12

บทที่ 12 ผู้ช่วยให้รอด


 

บทที่ 12 

ผู้ช่วยให้รอด

 

ชื่อของฉัน วันหนึ่งจะตายไป

อะเลคซันดร์ ปุชกิน

 

หลังกลับมาจากสุสาน เซิ่งเจาซีก็ป่วยหนักโดยไม่รู้สาเหตุ ไข้สูงสี่สิบกว่าองศาไม่ยอมลด สติมึนงงอารมณ์หมองเศร้า ทุกครั้งพอตื่นมาน้ำตาพานไหลไม่ยอมหยุด

เธอระบายเรื่องในใจด้วยเสียงเจือสะอื้นอยู่เป็นช่วงๆ ฉินจิ้งนำเรื่องมาปะติดปะต่อกันจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้งนี้เซิ่งเจาซีกลับประเทศเพราะต้องการตามหาแฟนเก่าที่หายตัวไป ไม่นึกว่าด้วยความบังเอิญอะไรหลายอย่างทำให้ผลลัพธ์กลายเป็นแบบนี้ ฉินจิ้งคิดว่าบางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจดลบันดาลให้เป็นเช่นนี้ เพราะไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายยึดติดไม่ยอมปล่อยวางแบบนี้ไปเรื่อยๆ จึงต้องทำให้รู้ความจริง

เธอลางานสองวันเพื่อมาดูแลเซิ่งเจาซีโดยเฉพาะ ในใจรู้สึกหนักอึ้งด้วยความกังวล เฝ้าคิดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยให้เซิ่งเจาซีผ่านพ้นความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้

แล้วจู่ๆ เช้าวันหนึ่งเซิ่งเจาซีก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบร้อยและไปทำงานตามปกติ ราวกับฟื้นขึ้นมาเป็นคนใหม่ ฉินจิ้งลองใช้ฝ่ามือแตะที่หน้าผากเธอ และพบว่าไข้ลดแล้ว ทั้งตอนนี้ก็ไม่ร้องไห้และพูดจาเลอะเทอะเหมือนหลายวันก่อน ทุกอย่างดูปกติจนไม่ค่อยปกติ

เซิ่งเจาซีไม่ยอมเชื่อว่าจิ้นซืออวี้ตายแล้ว ถ้าเขาตายแล้วจริงๆ งั้นคนที่ติดต่อลีคือใคร หรือต่อให้เขาตายแล้วจริงๆ เธอก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องเป็นยังไงมายังไง จะปล่อยให้เขาตายจากไปโดยที่เธอยังไม่เข้าใจอะไรสักอย่างแบบนี้ไม่ได้

ที่อยู่ที่ได้จากลี เธอไปมาแล้วไม่เจอตัวเขา แต่เธอเชื่อว่ายังมีวิธีอื่นที่จะควานหาตัวเขาจนเจอ

“เหล่าเผิง ฉันขอรบกวนอะไรคุณเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ” เซิ่งเจาซีร่ำไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปเรียกนายตำรวจเผิงจากด้านหลังด้วยน้ำเสียงหวาดๆ พร้อมดวงตาที่บวมเป่งราวกับลูกวอลนัต

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ช่วยฉันค้นข้อมูลของคนคนหนึ่งในระบบฐานข้อมูลของตำรวจได้ไหมคะ”

เธอไม่รู้ว่าทำแบบนี้ถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดหรือไม่ แต่นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดเท่าที่เธอจะคิดออกในตอนนี้

“แฟน?” เหล่าเผิงแกล้งแซวโดยไม่คิดอะไร

ไม่นึกว่าหญิงสาวจะพยักหน้าตอบอืม ไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย เหล่าเผิงเงยหน้าหันไปมองเธออย่างประหลาดใจนิดหน่อย ไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวที่ดูโผงผางตรงไปตรงมาอย่างเซิ่งเจาซีจะชอบค้นข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังของแฟนเหมือนเด็กสาวทั่วไป

“มีหมายเลขบัตรประชาชนของเขาไหม”

“ไม่มีค่ะ” เซิ่งเจาซีหยุดคิดครู่หนึ่ง ตอนนั้นพวกเขาอยู่อเมริกา ส่วนใหญ่ใช้พาสปอร์ตเกือบตลอด อีกอย่างไม่ว่าไปเที่ยวที่ไหน จิ้นซืออวี้ก็เป็นคนจองตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมให้ตลอด เรียกได้ว่าเขาสามารถท่องหมายเลขพาสปอร์ตกับบัตรประชาชนของเธอได้สบายๆ ทั้งที่เธอเองยังจำข้อมูลของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ค้นจากชื่อได้ไหมคะ”

“น่าจะมีชื่อที่ซ้ำกันเยอะ มีที่อยู่บ้าน หรือเบอร์โทรศัพท์อะไรแบบนี้ไหม”

“ไม่มีเหมือนกันค่ะ” มือถือของเธอมีแต่เบอร์ที่เขาใช้ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อหกปีก่อน...อ้อใช่! จู่ๆ เซิ่งเจาซีก็นึกได้ว่าหลังจากเขากลับมาที่จีน เขาเคยโทร. หาเธอครั้งหนึ่ง และเธอยังเก็บเบอร์นั้นไว้จนตอนนี้

“ลองค้นเบอร์นี้ได้ไหมคะ” เซิ่งเจาซีหาเบอร์จากในมือถือแล้วส่งให้นายตำรวจเผิง เหล่าเผิงกรอกข้อมูลในคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว

“อันนี้เป็นเบอร์ของตู้โทรศัพท์สาธารณะในเมืองเยว่เฉิงนะ ส่วนที่อยู่...เอ๋ ที่อยู่คือสำนักงานใหญ่ตำรวจเมืองเยว่เฉิง แฟนของเธอเป็นตำรวจเหรอ”

เมืองเยว่เฉิงอยู่ห่างจากเหิงเฉิงคนละโยชน์ เท่าที่เธอรู้ จิ้นซืออวี้น่าจะเกิดและโตที่เหิงเฉิง ต่อมาไม่ทันเรียนจบมัธยมปลายปีสองก็ไปเรียนที่อเมริกา แล้วตอนนั้นเขาจะไปที่เมืองเยว่เฉิงทำไม

“ไม่ใช่ค่ะ” เซิ่งเจาซีส่ายหน้า หยุดคิดอีกครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างไม่มั่นใจนัก “อันที่จริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

นายตำรวจเผิงมองเธอด้วยแววตากังวล “แม่สาวน้อย เธอถูกพวกสิบแปดมงกุฎในเน็ตหลอกมาหรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่ใช่นะคะ” ท่าทางเธอเหมือนไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่นัก “เขาชื่อจิ้นซืออวี้ค่ะ ลองช่วยฉันค้นดูหน่อยได้ไหมคะ”

โชคยังดีที่คนแซ่นี้มีไม่เยอะ ในระบบจึงไม่มีคนชื่อซ้ำ

แต่พอเหล่าเผิงจะกดเข้าไปดูข้อมูลที่อยู่ของจิ้นซืออวี้ กลับได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ สัญลักษณ์กากบาทสีขาวขนาดยักษ์บนพื้นหลังสีแดง พร้อมข้อความว่า ‘คำขอเข้าถึงถูกปฏิเสธ’

เซิ่งเจาซีขมวดคิ้ว “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ ในระบบของตำรวจน่าจะค้นได้ทุกอย่างนี่นา ข้อมูลที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ข้อมูลการโทร. เข้า-ออก รวมทั้งทรัพย์สินและรายได้ต่างๆ ฉันอ่านมาจากในเน็ตน่ะค่ะ”

เหล่าเผิงหัวเราะเสียงลั่น ไม่รู้เจ้าเด็กนี่ไปฟังข่าวเล่าข่าวลือพวกนี้มาจากที่ไหน

“ตอนนี้การเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างล้วนมีการจำกัดสิทธิ์ ตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างพวกเรามีสิทธิ์ดูแค่ข้อมูลที่อยู่ตามทะเบียนบ้านเท่านั้น อีกอย่างทุกครั้งที่ค้นจะมีการบันทึกข้อมูลไว้ในระบบหลังบ้าน ไม่ได้ล้วงดูข้อมูลได้ทุกอย่างแบบที่คนเอาไปลือกัน ข้อมูลโทร. เข้า-ออก ทะเบียนรถอะไรต่างๆ ต้องทำเรื่องยื่นขอก่อนถึงจะดูข้อมูลได้ ยิ่งถ้าเป็นบุคคลสถานะอ่อนไหวแบบนี้ พวกเราดูข้อมูลที่อยู่ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“อะไรคือบุคคลสถานะอ่อนไหวคะ”

“ก็มีหลายรูปแบบนะ ส่วนใหญ่คนที่ได้รับการปกปิดข้อมูลแบบนี้ แสดงว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการปกป้อง เช่นอาจจะเป็นบุคคลในครอบครัวของข้าราชการระดับสูง เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ อะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น หรือในบางกรณีก็อาจเป็นผู้ต้องหาในคดีที่ค่อนข้างพิเศษ หรือเป็นสายลับ...เสี่ยวเซิ่ง แฟนของเธอคนนี้นี่ไม่ธรรมดาเลยนะ”

แม่ของจิ้นซืออวี้เสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็ก ส่วนพ่อแต่งงานใหม่ เขาถูกส่งไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนั้นเพื่อนนักเรียนต่างบอกว่าครอบครัวของจิ้นซืออวี้ฐานะดีมาก พ่อเป็นข้าราชการใหญ่ แต่เซิ่งเจาซีไม่เคยถามเขาเรื่องพวกนี้

เซิ่งเจาซีรีบบันทึกที่อยู่ของสถานีตำรวจเมืองเยว่เฉิงที่ค้นเจอเมื่อครู่ไว้ในโทรศัพท์มือถือ

ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตจะเป็นอย่างไร เธอขอสาบานไว้ตรงนี้ว่าจะสืบเรื่องการตายของจิ้นซืออวี้ให้กระจ่างให้จงได้

เซิ่งเจาซีรีบทำเรื่องขอลาหยุด เซี่ยหย่งถามเธอว่าลาหยุดจะไปเที่ยวหรือลาพักผ่อนอยู่บ้าน

เซิ่งเจาซีบอกว่าจะไปเมืองเยว่เฉิง เหล่าเผิงที่นั่งอยู่ข้างๆ หูผึ่งทันที

“เธอจะไปหาแฟนของเธอคนนั้นน่ะเหรอ”

“ค่ะ ฉันต้องการตรวจสอบอะไรบางอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่ากรมตำรวจที่เมืองเยว่เฉิงจะยอมช่วยฉันไหม”

“คุณจะไปกรมตำรวจเมืองเยว่เฉิงเหรอครับ ผมมีรุ่นพี่ที่สนิทกันคนหนึ่งทำงานอยู่แผนกสืบสวนอาชญากรรมที่นั่น ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมแล้ว บางทีเขาอาจจะยอมช่วยคุณก็ได้นะครับ”

“จริงเหรอ” เซิ่งเจาซีดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที “งั้นคงต้องวานให้เธอช่วยแล้วละ! เสี่ยวเซี่ย”

ปกติเวลาเธอดุด่าบุคลิกจะเหี้ยมเกรียมรังสีอำมหิตแผ่ซ่าน ขนาดไม่พูดอะไรยังสร้างบรรยากาศตึงเครียดได้โดยไม่ต้องพยายาม ใครที่ไม่สนิทจะไม่กล้าเข้าใกล้ ต้องสนิทกับเธอก่อนจึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอไม่มีอะไร อารมณ์ทุกอย่างทั้งรักโลภโกรธหลงเขียนไว้ชัดในสีหน้า เวลาดีใจ ดวงตาทั้งสองจะเป็นประกายวิบวับ คนรอบข้างเห็นแล้วรู้สึกเหมือนว่าถ้าทำให้เธอมีความสุขได้ ไม่ว่าอะไรก็ยอมทั้งนั้น

เซี่ยหย่งให้เบอร์โทรศัพท์แก่เธอ และช่วยเธอโทร. หารุ่นพี่คนนั้นของเขาในทันที

“รุ่นพี่ของผมชื่อลู่เฉิน พอคุณไปถึงเยว่เฉิงแล้ว โทร. หาเขาได้เลย ผมเล่าให้เขาฟังแล้ว เขาจะพยายามช่วยคุณอย่างสุดความสามารถ”

เซิ่งเจาซีพร่ำขอบคุณเขาด้วยความซาบซึ้ง พลางถือใบลาเดินออกจากกรมตำรวจไป

พอเซิ่งเจาซีออกไปแล้ว เซี่ยหย่งถึงเข้าไปถามเหล่าเผิงด้วยเสียงงึมงำในคอว่า “เสี่ยวซีมีแฟนแล้วเหรอครับ”

เหล่าเผิงเงยหน้าขึ้นมองเขาจากด้านหลังคอมพิวเตอร์ ดวงตาฉายแววขี้เล่นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เหมือนมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “เดาว่าน่าจะเป็นแฟนเก่า ดูเหมือนจะเป็นคนที่ลึกลับมาก ระบบของพวกเราค้นดูข้อมูลของเขาไม่ได้เลย ถ้าเธอมัวรีรออยู่ละก็ ระวังดอกฟ้าประจำกรมตำรวจของเราจะถูกคนอื่นเด็ดไปเสียก่อน”

“พูดอะไรแบบนั้นครับ ผมแค่เป็นห่วงพี่ใหญ่ของพวกเราเท่านั้นเอง” เซี่ยหย่งเกาหัวแกรกๆ ท่าทางประหม่าเล็กน้อย “แฟนเขาคนนั้นชื่ออะไรเหรอครับ อะไรจะลึกลับขนาดนั้น”

“ดูเหมือนจะชื่อจิ้น...อะไรสักอย่าง...อวี้ เป็นชื่อที่ฟังดูวิชาการมากๆ น่ะ”

“จิ้นซืออวี้?” เซี่ยหย่งพูดโดยไม่ทันคิด

“เธอรู้จักเขาเหรอ”

เซี่ยหย่งจำได้ว่าสมัยที่เรียนอยู่มัธยมปลายปีหนึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาไปกินข้าวเย็นที่ ‘ร้านลับ40’ เป็นร้านขายข้าวผัดไข่ในละแวกบ้านญาติ เห็นนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มใหญ่กำลังยืนล้อมวงส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ที่มุมหนึ่งด้านหลังบ้านญาติของเขา เขาเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเห็นว่าพวกเขากำลังรังแกนักเรียนคนหนึ่ง 

ตอนที่เขาไปถึง แก๊งนักเรียนรุมกระทืบเหยื่อที่ถูกรังแกมาพักหนึ่งแล้ว และกำลังหยุดพักคุยกันอย่างสนุกสนานว่าจะเล่นงานเด็กคนนั้นยังไงอีก คนหนึ่งเสนอให้ใช้รองเท้าฟาด

“แบบนี้ไง!” คนที่เสนอพูดพลางถอดรองเท้าฟาดใส่หน้าเด็กคนนั้นโดยไม่ออมแรงแม้แต่น้อย 

เด็กหนุ่มที่ถูกตบใบหน้าบวมแดง ทั้งยังมีรอยพื้นรองเท้าสีดำเป็นปื้น เด็กคนนั้นกำหมัดแน่นจนมือสั่น จังหวะนั้นเซี่ยหย่งคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะสู้ตอบ แต่สุดท้ายกลับทนนิ่งอยู่แบบนั้น

“ไอ้พวกชอบไม้ป่าเดียวกัน จะอ้วกว่ะ!” พวกเขารุมด่าเด็กหนุ่มคนนั้น แต่อีกฝ่ายก็ไม่โต้ตอบ

ตอนนั้นเซี่ยหย่งยังอายุน้อยมาก และไม่รู้ว่าการชอบไม้ป่าเดียวกันหมายความว่าอย่างไรแน่ แต่ดูสีหน้าของทุกคนตอนที่พูดคำนี้ เดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

เด็กหนุ่มที่ถูกรุมทำร้ายดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ตรงนั้นด้วย เขาเงยหน้ามองเซี่ยหย่ง แววตาเหมือนกำลังขอความช่วยเหลือ 

กลุ่มนักเรียนที่รุมรังแกก็มองตามสายตาของเด็กหนุ่มและจ้องตรงมาที่เซี่ยหย่ง ทำให้เขาตกใจกลัวจนรีบวิ่งหนี

 

“เด็กที่ถูกรังแกคนนั้นคือจิ้นซืออวี้เหรอ”

เหล่าเผิงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ไม่ใช่หรอกครับ” พอพูดถึงจิ้นซืออวี้ สีหน้าของเซี่ยหย่งแลดูลำบากใจเล็กน้อย

ตอนนั้นจิ้นซืออวี้เรียนอยู่มัธยมปลายปีสอง โตกว่าเขาแค่ปีเดียวเท่านั้น เขาเคยได้ยินชื่อของรุ่นพี่คนนี้ตั้งแต่ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เพราะฝ่ายนั้นเป็นโรคออทิสติก ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว อันที่จริงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเขาก็เป็นประเด็นเมาท์ระหว่างกินข้าวของเหล่าเพื่อนนักเรียนมากพออยู่แล้ว แต่เขายังไอคิวสูงลิบผิดมนุษย์มนา และพ่อของเขาก็เป็นข้าราชการระดับสูงในเมืองด้วย ดังนั้นอาจารย์ทุกคนในโรงเรียนจึงประคบประหงมเขาราวกับไข่ในหิน

แม้จะมีคนซุบซิบปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับเขาอยู่ตลอด แต่เขาก็เก็บตัวพยายามไม่เป็นจุดสนใจ อีกอย่างเมื่ออยู่ในเมืองเหิงเฉิงอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว เขาก็ไม่นับเป็นพวกประหลาดพิสดารอะไรขนาดนั้น

สาเหตุที่ทำให้จิ้นซืออวี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็เพราะวันนั้นตอนเซี่ยหย่งวิ่งหนี เขาบังเอิญไปเจอกับจิ้นซืออวี้ซึ่งกำลังเดินอยู่ตรงถนนละแวกนั้น

เขาต่อสู้กับความคิดตัวเองอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าไปรั้งจิ้นซืออวี้ไว้

จิ้นซืออวี้ขมวดคิ้วมองแขนที่ถูกเซี่ยหย่งคว้าไว้แวบหนึ่ง ก่อนจะสลัดมือเขาให้พ้นตัวด้วยสีหน้ารำคาญเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร แค่จ้องเซี่ยหย่งอยู่เงียบๆ

ปฏิกิริยาของเขาทำให้เซี่ยหย่งรู้สึกอึดอัดไม่น้อย แต่ด้วยความปรารถนาดีก็ยังเอ่ยเตือนเขาว่า “ทางนั้นมีคนกำลังตีกันอยู่ รุ่นพี่อย่าเดินไปตรงนั้นเลยครับ ระวังจะโดนลูกหลงเอา”

จิ้นซืออวี้กวาดตามองเขาเหมือนเห็นมนุษย์ต่างดาว “เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”

เซี่ยหย่งรู้สึกเหมือนลวี่ห์ตงปินที่ถูกหมากัด41 แต่ตอนนั้นก็คิดว่าด้วยบุคลิกเขาแล้ว คงไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นแน่ เซี่ยหย่งเองก็ไม่อยากยุ่มย่ามเรื่องเขาเกินจำเป็น จึงปล่อยเขาไปโดยไม่รั้งไว้

ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ จิ้นซืออวี้ไม่ใช่แค่เข้าไปยุ่งเฉยๆ แต่เข้าไปยุ่งจนเรื่องบานปลายและร้ายแรงพอสมควร เซี่ยหย่งได้ฟังข่าวเล่าข่าวลือหลายเวอร์ชัน แต่รายละเอียดฟังแล้วไม่น่าเชื่อถือเลยสักเรื่อง รู้เพียงว่าหลังเหตุการณ์นั้นจิ้นซืออวี้ก็พักการเรียน จากนั้นก็ย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศ และไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเขาอีก

เด็กหนุ่มที่ถูกรังแกคนนั้นก็ย้ายไปเรียนต่างประเทศเช่นกัน 

คำด่า ‘ไม้ป่าเดียวกัน’ ยังคงประทับแน่นในสมองของเซี่ยหย่งอย่างไม่อาจลบเลือน 

ในความรู้สึกของเขา สิ่งที่รบกวนจิตใจเขามากที่สุดคือการที่ตัวเขาเองหลบเลี่ยงไม่ยอมช่วยเด็กหนุ่มคนนั้น เขาคือคนอ่อนแอที่รู้จักแต่การหนี

สาเหตุที่เขาเลือกทำงานเป็นตำรวจในเวลาต่อมา ส่วนหนึ่งไม่มากก็น้อยคือเพื่อชดเชยที่ตัวเองอ่อนแอในตอนนั้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น