1

1

01


ฉันไปตามนัดหมาย แหงนหน้าคอตั้งบ่ามองตึกสูงเสียดฟ้าที่พุ่งขึ้นไปในอากาศ ผ่านหมอกควันและมลพิษของเมืองหลวง ดุจจะไปแตะเอื้อมถึงดวงดาว

นั่นเป็นความคิดแรกเมื่อเห็นที่นั่น...

สถานที่ที่ฉันมาตามนัดเพื่อคืนเงินและปฏิเสธงาน...ซึ่งไม่รู้ว่างานอะไร แต่ที่แน่ๆ คุณสมบัติของประกาศนียบัตรระดับปริญญาตรีซึ่งจบจากสถาบันศึกษาศิลปะระดับชั้นรองๆ ของฉัน ไม่มีทางทำให้ฉันเหมาะสมกับเงินเดือนนั้นแน่

ตึกหรูหราอลังการดุจโรงแรมชั้นหนึ่งมีห้องโถงกว้างใหญ่ตกแต่งไว้อย่างวิจิตรอลังการ พนักงานต้อนรับพาฉันไปที่ลิฟต์ส่วนตัวที่ไม่มีเลขบอกชั้น มันพุ่งตรงไปสู่ชั้นสูงสุด!

อิ๊บอ๋ายละ! ถ้าลิฟต์มันเกิดค้าง แล้วตรูจะรู้ได้ไงว่าลิฟต์มันพามาติดอยู่ที่ชั้นไหนฟระ

ประตูลิฟต์เปิดออกอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศเย็นเฉียบ...ชวนให้คิดว่ามันพ่นไอร้อนคืนใส่ชาวบ้านในเมืองมากมายขนาดไหนนะ

คนที่ยืนรอฉันอยู่คือชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง อายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี สวมสูทสากลตัดเย็บประณีตพอดีตัวเด๊ะ ทีแรกฉันคิดว่าเขาคือ 'นายจ้าง' ผู้เรียกตัวฉันมาทำงานที่ไม่รู้ว่างานอะไรด้วยค่าจ้างสูงลิบนั้น เขายิ้มให้นิดหนึ่ง ฉันจับได้ถึงอาการฝืนเล็กน้อยและซ่อนความยุ่งยากใจในสีหน้า

“คุณรัตติกัญญา?” ผู้ชายตรงหน้าเริ่มเอ่ยคล้ายจะถาม

“ค่ะ ฉันมาเพื่อ...” ฉันรับคำแล้วพยายามบอก

“ผมชื่อเทหวัตถ์...เชิญทางนี้” เขาไม่รอให้ผู้มาเยือนอย่างฉันพูดจบ รีบชิงผายมือเชื้อเชิญฉันเข้าไปด้านใน

‘เอาละสิ...กันยา หมอนี่จะมาไม้ไหนวะ’

เจ้าของสถานที่เดินนำไปยังประตูไม้บานมหึมา ทำจากไม้แผ่นเดียวที่แกะสลักนูนสูงเป็นรูปพระจันทร์ดวงมโหฬาร ด้วยฝีมือช่างชั้นครูที่ตอกสลักลวดลายละเอียดยิบ ซับซ้อนซ่อนรายละเอียดนับชั้นไม่ถ้วน เป็นลักษณะการนำลายโบราณมาประยุกต์และจัดองค์ประกอบใหม่เป็นเรื่องราวของตำนานพระจันทร์ ดูโมเดิร์นจัดๆ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของผู้ที่เข้าใจในวัฒนธรรมโบราณอย่างลึกซึ้ง

พระจันทร์ไม้สลักดวงใหญ่บนประตูนั้นเริ่มหมุนยามเมื่อเทหวัตถ์กดรหัสสิบสามหลักที่แป้นควบคุมข้างประตู

แม่เจ้า! บานประตูมหึมาที่ดวงจันทร์ขยับได้!!

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ก็รู้สึกได้ถึงไอเย็นที่เย็นเฉียบ หนาวยิ่งกว่าความเย็นใดๆ อัดปะทะใส่

วินาทีนั้น...ราวกับบรรยากาศถูกดูดหาย ฉันสำลักลมหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนสะท้านจากความหนาวเย็น...ไม่สิ...ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งที่รู้สึกราวกับอยู่ในสุญญากาศ แต่ก็ชั่ววูบเดียวเท่านั้น จากนั้น...ก็เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

ด้านในเป็นห้องรับรองขนาดใหญ่ เพดานสูงไม่ต่ำกว่าสิบห้าเมตร ห้องใช้สีเข้มเอิร์ทโทนเน้นเทา ดำ น้ำตาล และสีเนื้อไม้ บางส่วนเป็นปูนเปลือยโชว์ผนังดิบ แต่บางส่วนกลับตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เป็นการผสมผสานที่ดีเยี่ยม เก่า-ใหม่ ตะวันออก-ตะวันตก ตั่งไม้โบราณตั้งคู่กับโต๊ะสไตล์โมเดิร์นอาร์ตกึ่งประติมากรรมสวยๆ ได้อย่างลงตัว เพดานสูงลิบประดับแชนเดอเลียร์แบบโบราณและกล้องวงจรปิดอีกหลายตัว! 

เทหวัตถ์เดินนำไปสู่อีกประตูหนึ่งที่เปิดสู่ห้องประชุมสุดโมเดิร์น ซึ่งผนังเป็นกระจกทั้งบานเผยภาพเมืองหลวงจากมุมสูงลิบลิ่ว

เขาผายมืออย่างสุภาพเชิญให้นั่ง แต่ฉันรีบมุ่งสู่ประเด็นที่มา

“เอ้อ...ฉันมาเพื่อ...”

“ขอผมดูเอกสารเลยครับ จะได้เซ็นสัญญาเลย” เทหวัตถ์รวบรัด

...เอกสารอัลไล!?

...สัญญาอัลไล!?

“ฉันไม่ได้เอาเอกสารมาหรอก” ฉันบอกออกไปได้ในที่สุด เทหวัตถ์ชะงักไปนิดหนึ่ง ฉันรีบต่อประโยคให้เสร็จ “ฉันมาเพื่อปฏิเสธค่ะ แล้วฉันจะโอนเงินคืนให้ บอกเลขบัญชีคุณมา เดี๋ยวฉันโอนออนไลน์ให้เดี๋ยวนี้เลย”

ฉันตั้งท่าจะควักกระเป๋าขณะที่เทหวัตถ์ทำท่าทางตกใจกับคำปฏิเสธนั้น เขารีบพูด

“ไม่ได้นะ! คุณปฏิเสธไม่ได้นะ เขาคงไม่ยอมหรอก!”

“เขา?” ฉันทวนคำ ขณะอีกฝ่ายก็เหมือนตกใจกับคำพูดตัวเองที่เผลอ 'หลุด' อะไรบางอย่างออกมา

นั่นไง! มีพิรุธแบบนี้ไง...แก๊งต้มตุ๋นแหง!

หลอกลวงกันแน่แล้ว ล้านเปอร์เซ็นต์!

“เอ้อ...ผมยังไม่ได้บอกคุณเลยว่าจะให้มาทำงานอะไร แล้วคุณจะปฏิเสธได้ไงล่ะครับ” เทหวัตถ์พยายามตั้งคำถามไปในอีกประเด็น

มีผู้ชายตัวสูงสวมสูทเรียบเนี้ยบกริ๊บ ดูลุคโคตรแพง แถมหน้าตาดีจนเป็นนายแบบได้สบาย มาหว่านล้อมแบบนี้เป็นใครก็ต้องหวั่นไหวแหละ...แต่ไม่ใช่ฉันที่บอกเขาอย่างหน้าตาเฉย

“เพราะคุณไม่บอกไงล่ะ ฉันถึงต้องปฏิเสธ อีกอย่าง ฉันไม่ใช่คนฉลาด มีความสามารถพอกับจำนวนค่าจ้างที่คุณเสนอมาหรอกนะ”

เทหวัตถ์กะพริบตาปริบๆ อ้าปากค้าง อึ้งไปแป๊บ ก่อนพึมพำกับตัวเอง

“เกิดมา...ไม่เคยเจอคนมาสัมภาษณ์งานแล้วบอกว่าตัวเองความสามารถไม่พอสำหรับงานมาก่อน...”

แหงละ เวลาสัมภาษณ์งานใครๆ ก็ต้องบอกคุณสมบัติตัวเองเยอะเว่อร์ไว้ก่อนทั้งนั้น ส่วนจะทำได้จริงไม่จริงนั้นเป็นปัญหาของนายจ้างทีหลังไง!

แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมา โทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น เทหวัตถ์ปลีกตัวไปรับสาย ทำให้ฉันมีเวลาสำรวจโดยรอบ 

เขาพาฉันมาที่ห้องประชุมกว้างพอจะจัดงานเลี้ยงย่อมๆ จุแขกสักยี่สิบถึงสามสิบคนได้สบายๆ แต่เฟอร์นิเจอร์ในห้องกลับไม่เน้นรองรับจำนวนผู้มาประชุม เพราะโต๊ะประชุมแบบโมเดิร์นตัวใหญ่กว้างอลังการนั้นมีเก้าอี้เพียงแค่ไม่กี่ตัว...แสดงว่าคงไม่ค่อยได้ใช้ประชุมมากนัก นอกจากใช้โชว์ลูกค้า...หรือใช้เป็นฉากบังหน้า...

แก๊งต้มตุ๋นแหง กลับเหอะกันยา...

กำลังที่จะตัดสินใจลุกขึ้น เทหวัตถ์ก็หันกลับมาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ

“เขาว่า...เอ้อ....ผมว่า...ก่อนคุณจะปฏิเสธ คุณควรได้ชมที่นี่รอบๆ เสียก่อน เชิญทางนี้” 

ชายหนุ่มเดินนำไปทางอีกด้านหนึ่งของห้องประชุม...สภาพการณ์แบบนี้ คนสติดีๆ ที่คิดจะมาปฏิเสธงานที่ไหนจะตามเขาไปล่ะ…

ถ้าอีตาเทหวัตถ์จะไม่เลื่อนผนังกั้นออก เผยห้องด้านในที่ซ่อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง

นั่นไง! มีห้องลับซ่อนไว้จริงๆ ด้วย!

แต่...ไม่ยักมีใครซ่อนอยู่ในนั้น ไม่มีตากล้องหรือทีมงานที่จะวิ่งมาบอกว่า

'นี่เป็นรายการล้อกันเล่น ใครเขาจะเรียกคนอย่างแกมาสมัครงานแล้วให้เงินเดือนสูงขนาดนี้กัน!'

ชายหนุ่มไม่ใส่ใจทีท่าปฏิเสธใดๆ เขาก้าวยาวๆ ไปที่ประตูบานคู่ที่เป็นไม้แกะสลักแบบโบราณบานมหึมาอีกแหละ ประตูนั้นซ่อนอยู่หลังผนังกั้นห้องประชุม

พอเขาเปิดมันออกกว้าง ก็เผยให้เห็นถึงห้องที่อยู่หลังประตูบานนั้น ฉันอ้าปากค้าง ตาค้าง สมองสั่งการให้สั่นหน้าแต่ขาไม่รักดีพาฉันพุ่งตรงไปหา Pietà รูปแกะสลักหินอ่อน ผลงานของมิเกลันเจโล โคตรอภิมหาประติมากรยุคเรอเนซองซ์ชื่อก้องโลก!

Pietà เป็นคำในภาษาอิตาลี แปลว่า ความสงสาร

มันเป็นประติมากรรมแกะสลักรูปพระแม่มารีโอบประคองร่างที่แน่นิ่งของพระเยซูไว้หลังจากท่านโดนตรึงกางเขน สีหน้าของพระเยซูเรียบสงบเหมือนไม่มีทุกข์โศกใดในโลกจะแผ้วพานพระองค์ได้อีก ส่วนพระแม่ก็มีความโศกสลดและสูญเสียในดวงหน้างดงามสมบูรณ์แบบที่ราวจะสะท้อนเสียงสะอื้นออกมาได้ รอยยับของเครื่องแต่งกายก็ละเอียดราวกับจะคลี่ออกมาเป็นผืนได้ทั้งๆ ที่สลักออกมาจากหินอ่อน!

แม้ฉันจะไม่เคยเห็นของจริง (ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์) แต่ภาพสลักจำลองอันนี้มันสวยชะมัด! สมกับที่มิเกลันเจโล  ภาคภูมิใจจนต้องแอบมาสลักชื่อไว้บนผลงานเอกชิ้นนี้ชิ้นเดียว!

ห้องนี้เป็นห้องประติมากรรมตะวันตกมีทั้งเก่าใหม่ปะปน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นงานก๊อบปี้ (ละมั้ง) ผลงานมาสเตอร์พีซระดับโลกไม่ว่าจะเป็น The Thinker ผลงานสุดคลาสสิกของโรแดง 

นั่นก็งานของโดนาเตลโล! นั่น! แบร์นินี โน่นก็ของ คอนสแตนติน บรานคูสิ โอ๊ย...

ยังไม่ทันที่ฉันจะลงรายละเอียดชื่อศิลปินเหล่านั้นหมด อีตาเทหวัตถ์ก็เปิดประตูอีกบานพาฉันสู่ห้องภาพเขียนที่...

ฉันตาลาย สมองเบลอจนไม่อาจจาระไนรายชื่อของผลงานและศิลปินระดับโลกที่เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ในห้องนั้นได้ ไม่รู้จะเริ่มจากใครก่อนดี...คือมันโคตรเยอะอะ แถมห้องภาพเขียนนั้นยังทอดยาวและแบ่งซอยเข้าไปอีกเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

เจ้าของที่นี่ต้องร่ำรวยมหาศาลและมีรสนิยมอย่างถึงที่สุด งานแต่ละชิ้นที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นผลงานมาสเตอร์พีซ!

“เดี๋ยว! หยุด! พอแล้ว!” ฉันรีบหยุดเทหวัตถ์ก่อนเขาจะไปเปิดประตูอีกบานและทำให้ฉันอาจไม่สามารถปฏิเสธงานนี้ได้อีกตลอดกาล

“ตกลงคุณจะให้ฉันทำงานอะไรแน่” ฉันถาม

“เขาบอกว่าคุณมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการบูรณะ ดูแล...อะไรพวกนี้” เทหวัตถ์ผายมือไปโดยรอบ

“ฉันมีความรู้ด้านศิลปะกับพิพิธภัณฑ์บ้าง...นิดหน่อย” ฉันออกตัวเสียงอ้อมแอ้ม

“ฮื่อ...ที่นี่ก็จัดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์...”

...โคตรใหญ่

“เล็กๆ ได้” ชายหนุ่มต่อคำอย่างน่าหมั่นไส้ หมอนี่น่าจะไม่เคยไปเดินพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาส่วนใหญ่ในประเทศนี้แหงๆ

“นอกจากงานศิลปะแล้ว” เทหวัตถ์พูดต่อ “นายจ้างของเรา” 

อย่ามา 'เรา' นะยะ!

เขาพูดพลางเดินนำเข้าไปสู่อีกห้อง คราวนี้มันเป็นห้องสมุดขนาดมหึมา ฉันลากขาเดินตามอย่างทดท้อ หมดความพยายามจะปฏิเสธใดๆ แล้ว

“เป็นนักสะสมทั้งงานศิลปะและหนังสือ”

“นายจ้าง?” ฉันทวน เห็นชัดแล้วว่าเทหวัตถ์ไม่ใช่เจ้านายอย่างที่คิดตอนแรก

“ใช่ ผมเป็นทนายส่วนตัวและเจ้านายผมต้องการผู้ดูแล...จัดการหลายสิ่งหลายอย่าง...เออ ว่าแต่คุณเป็นคนกลัวผีไหม” เขาพูดท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงเหมือนชวนคุย แต่...

ฉันอ้าปากค้าง กะพริบตาถี่ๆ

นั่นไง! แบบเดียวกันกับบ้านสวยขายถูกมีผีสิงเปี๊ยบ

นี่มัน...งานดีเงินเดือนสูง แถมผีด้วยแหงๆ เลย!

“กลัว!” ฉันตอบหน้าตาเฉยขณะที่อีกฝ่ายซึ่งท่าทางจะคาดเดาคำตอบอื่นอยู่สะอึกไปนิด

“ถ้ามาทำงานแล้วโดนผีหลอก ฉันก็อยู่ไม่ได้หรอกนะ นี่ใช่มะ สาเหตุที่ค่าจ้างแพง หลอกคนอื่นมาทำงานไม่ได้แล้วละสิ”

ชิ!...ชิ!...ชิ!

เทหวัตถ์ทำท่าเหมือนคนโดนผีหลอกซะเอง เขาอ้าปากค้างก่อนรีบโพล่งออกมา

“เปล่า! ไม่ใช่! ไม่มี! ไม่มีใครเคยถูกผีหลอกที่นี่!”

นั่น! รีบปฏิเสธรัวๆ แบบโคตรมีพิรุธเลย นี่ถ้าไม่ใช่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของคนโคตรรวยขนาดนี้คงได้ออกรายการคนอวดผีไปแล้วแหงๆ

“ผมหมายถึง...คนบางคน...อาจหวาดผวา คิดไปเอง กลัวไปเอง เหมือนกลัวความมืด หรือไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนคนเดียวอะไรอย่างนั้น ไม่ได้พูดถึงว่าโดนผีหลอกแบบจะจะแบบ...ออกมาให้เห็นตัวแบบนั้น หรือไม่งั้นก็พวกที่กลัวเวลาเห็นศพ หรือกลัวถ้าต้องอยู่ในห้องที่เคยมีคนตาย หรืออะไรเทือกนั้นน่ะ” ยิ่งเขาอธิบายก็ยิ่งมีพิรุธหลุดออกมาเพียบ

“ฉันเคยเรียนกายวิภาค เคยวาดโครงกระดูกและกล้ามเนื้อจากการดูศพจริง ไม่กลัวศพหรือที่ๆ มีคนตายหรอก อีกอย่างงานศิลปะหรือของโบราณในพิพิธภัณฑ์น่ะ พวกงานศิลปะเก่าๆ พวกนั้นทั้งศิลปินทั้งเจ้าของที่สะสมไว้ก็ตายกันมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ฉันไม่กลัวหรอก”

เทหวัตถ์ค่อยยิ้มได้...จริงๆ เขาก็เป็นผู้ชายหน้าตาดีนะเนี่ย

“งั้นก็ไม่มีปัญหา เซ็นสัญญากันเลย!” ชายหนุ่มรวบรัด

เฮ้ย! เดี๋ยวดิ ใครตกลงกะเอ็ง เห็นยิ้มหล่อๆ แต่โมเมเก่งนะเราน่ะ

“ใครบอกคุณว่าฉันจะเซ็น” ฉันรีบเบรกตัวโก่ง

“อ้าว! ก็ผมเห็นคุณวิ่งเข้าหาแทบจะโดดขึ้นนั่งตักรูปปั้นนั่น เลยคิดว่าคุณจะชอบ...” เทหวัตถ์พูดยิ้มๆ สีหน้าแสดงความเหนือกว่าออกมาอย่างไม่ปิดบัง ดูเขาจะเริ่มจับจุดได้แล้วแหละว่าฉันคลั่งไคล้ของที่เขาเอามาล่อตาล่อใจพวกนั้นแค่ไหน

“ฉันชอบงานศิลปะ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะชอบงานนี้นะ” ฉันเถียงหน้าดำหน้าแดง ตัดอกตัดใจอย่างยากเย็นขณะพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งเขา “ถ้า...ถ้าเกิดฉัน...เข้าไม่ได้กับผู้ร่วมงานล่ะ”

“ไม่มี” เทหวัตถ์ตอบพร้อมรอยยิ้มรื่นรมย์ ทำเอาฉันอ้าปากค้าง

“คุณจะให้ฉันดูแลของมากมายพวกนี้คนเดียวเนี่ยนะ!” ฉันตะโกน 

นี่มันบ้าไปแล้ว!

“คุณมีแม่บ้านทำความสะอาดให้...ซึ่งเขาจะไม่มากวนใจคุณเลย” เทหวัตถ์เริ่มยื่นข้อเสนออย่างประนีประนอม

“แล้ว...ข้าวของมากมาย กำหนดเวลา ค่าเคพีไอ การประเมินประสิทธิภาพการทำงาน...” ฉันท้วงอย่างทดท้อ

“ไม่มีขอบเขตเวลา...ไม่มีใครจะมาประเมินหรือกำหนดกฎเกณฑ์คุณ ขอแค่คุณอยู่ที่นี่ อยู่กับงานพวกนี้ ดูแลมันไปตามที่คุณพอใจ จะจัดหมวดหมู่ บูรณะซ่อมแซม จัดวาง โยกย้ายยังไงก็ได้” เทหวัตถ์พูดหน้าตาเฉย

เฮ้ย! โห...จ้างให้มานั่งเล่นนอนเล่นท่ามกลางงานศิลปะเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว!!!

“แล้ว...ถ้า...ฉันทำมันพังล่ะ” ฉันถามอย่างรอบคอบ ค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้นแหง

เทหวัตถ์สะอึกนิดหนึ่ง ก่อนถอนใจยาวๆ ยิ้มฝืนๆ

“เป็นคำถามที่ดี...” ความหมายของคำนี้คือ... ‘เอ็งถามเชี่ยไรเนี่ย!’

“เราก็จะส่งไปซ่อมกับช่างมืออาชีพ โดยคุณไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายอะไร ซึ่งที่จริงเราก็ค่อนข้างคาดหวังกับคนที่รักงานศิลปะแบบคุณนะ ว่าคุณจะไม่ทำให้มันเสียหายน่ะ” เขาเน้นเสียงแดกดันท้ายประโยค

“แล้ว...” ฉันยังไม่หยุดตั้งคำถาม

เทหวัตถ์สะดุ้งกับความสงสัยไม่รู้จบนั้น สีหน้าเขาชักเริ่มหมดความอดทนขณะฉันเดินวนดูชั้นหนังสือ มีหนังสือสะสมแบบแรร์ไอเท็มและหนังสือเก่ามากมาย ซึ่งถ้าฉันปฏิเสธไป เขาคงไม่มีทางให้ยืมกลับไปอ่านที่บ้านง่ายๆ แหงๆ 

“ค่าจ้างที่สูงมากกับขอบเขตงานที่ให้ความสะดวกสบายแก่ฉันมากขนาดนี้...แล้วความคุ้มค่าของเจ้านายคุณมันจะอยู่ตรงไหนอะ?” ฉันหันไปถามตรงๆ สงสัยจริงจังว่าเขาจะจ้างฉันมานั่งเล่นนอนเล่นในห้องพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวแบบนี้ด้วยเงินเดือนสูงลิบ โดยไม่ได้รับความคุ้มค่าใดๆ เลยได้อย่างไร

คำถามนี้ทำให้เขายิ้มนิดๆ แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริงใจกว่าทุกที มีรอยชื่นชมจางๆ ในดวงตา

“ความคุ้มค่าของเจ้านายผมบางทีก็ไม่ได้วัดด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจ และความพอใจของเขา...ในบางเรื่องก็ไม่มีสิ่งใดจะมีมูลค่าพอ...”

เขาจะรู้ตัวมั้ยนะ...ว่าตอบคำถามได้โคตรกำกวม วกวน และไม่รู้เรื่องอะ

“เอ่อ...” 

เทหวัตถ์ถอนใจ ทำท่าปลดปลงและพร้อมรับทุกคำถามจากคนเรื่องมากตรงหน้าแล้ว

“คำถามสุดท้าย ถ้า...เจ้านายคุณไม่ชอบฉันล่ะ” ฉันถามอย่างจนปัญญาจะหาข้ออ้าง แต่ก็เป็นคำถามที่สำคัญเพราะค่อนข้างมั่นใจในนิสัยประหลาดของตัวเองว่าค่อนข้างเข้ากับคนอื่นยาก

ชายหนุ่มมองมาด้วยสายตาประหลาด มองฉันอย่างสำรวจหัวจดเท้า เออ...ก็...นะ ผู้หญิงไทยสูงร้อยหกสิบห้าเซ็นต์ ไม่มีเงินไปฉีดกลูต้าฯ ถึงแม้จะไม่ได้ขุ่นคล้ำดำปี๋ แต่ก็คงไม่ได้ขาวตามมาตรฐานของคนระดับเขาหรอก แถมผมฉันก็ไม่ได้เข้าร้านทำมาหลายเดือนเ ลยตัดสินใจรวบตึงไว้ หนังหน้าก็แต่งมาแค่...นิโหน่ย...ไม่ได้กะจะมาทำให้ใครประทับใจนี่หว่า...

ก็แหมเว้ย! ฉันมาปฏิเสธงานนะ เสื้อชุดกระโปรงสุภาพไม่โป๊ แถมคงสุดเชยเลยแหละ รู้งี้แต่งจัดเต็มมาซะก็ดี ให้เกียรติสถานที่ ที่...ชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้มาเหยียบซ้ำหรอก!

“เขา...” เทหวัตถ์เริ่มประโยคด้วยสีหน้าครุ่นคิด เหมือนกำลังเลือกเฟ้นหาคำในภาษาต่างชาติมาพูด ชายหนุ่มกลอกตามองเพดานข มวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วพัก ก่อนรอยยิ้มแฝงรอยชั่วร้ายจะผุดพรายบนใบหน้า

“ถ้าหาก... ผมรับรองได้ว่านายจ้างของเราจะไม่เป็นปัญหาใดๆ กับคุณ...คุณจะยอมรับงานนี้ไหม”

ประโยคนั้นแปลกชะมัด...แถมรอยยิ้มมั่นใจแบบชั่วร้ายนั่น...โคตรไม่น่าไว้ใจเลย

“ติ๊กตอกๆๆ เร็ว เวลาเป็นเงินเป็นทองนะคุณ ผมต้องรีบไปธุระที่อื่นอีก...” เทหวัตถ์เร่งยิกๆ พลางทำท่ายกแขนขึ้นดูนาฬิกาอย่างคนมีธุระร้อน

“แล้ว...ถ้าฉันเกิดกลายเป็นตัวปัญหาสำหรับนายจ้างคุณขึ้นมาล่ะ” ฉันถามปลงๆ หมดปัญญาจะหาเหตุผลมาแถต่อ

ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยสีหน้าครุ่นคิดปนขบขัน ที่จริง...เขาแทบจะหลุดหัวเราะเลยละ!

“ผมชอบความคิดนี้แฮะ โอเค เอางี้...ถ้าคุณมีความสามารถทำได้ขนาดนั้น ทางเราจะชดใช้ให้คุณอย่างคุ้มค่าที่สุดเลย จะว่าไป...ผมน่าจะจ่ายเพิ่มให้คุณนะเนี่ย...เออ! เอาเถอะ...ไปดูสัญญากันเลยดีกว่า”

เขาผายมือเชิญชวนฉันเดินกลับไปที่ห้องรับรองห้องแรกอีกครั้ง คราวนี้ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนฉัน...คงต้องหาสักวิธีแหละที่จะทำให้เขาไล่ออกให้จงได้

...แหม่ คิดวิธีจะให้เขาไล่ออกทั้งๆ ที่เขายังไม่ทันจ้างเลยเนี่ยนะ

คือ...โคตรเจริญล่ะ เอ็งเอ๊ย!


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น