04
แล้วเราก็ได้พบกัน
จะให้ถูกคงต้องบอกฉันได้พบเขา...
แต่ขออย่าให้เขาได้เจอฉันเลยจะดีมาก...อ้อ ฉันใช้คำผิด...ขอละคำว่า 'เรา' ไว้ในฐานที่ 'เรา' ไม่ควรเป็น 'เรา' ละนะ
หลังจากทำงานที่นี่มากว่าสองสัปดาห์ ฉันเพิ่งได้พบกับนายจ้างของฉัน แม้จะโดยบังเอิญ แต่ช่างชัดเจนจะจะตา กระจ่างแจ้งจนใจกระเจิง...
แล้ว จ. จานจะเยอะไปไหน!?
มันทำให้เข้าใจแล้วละว่า ทำไมเทหวัตถ์ถึงยอมจ่ายราคาค่าจ้างที่สูงลิบลิ่วทั้งๆ ที่ปริญญาของฉันไม่ได้เลิศเลออะไร
เข้าใจแล้วละว่า ทำไมที่นี่มีฉันแค่คนเดียว
เข้าใจแล้วถึงการที่ต้องปกปิดทุกอย่างเป็นความลับ
...แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ที่บังคับให้ฉันมาอยู่ร่วมบ้านกะศพเนี่ยยยย!!!
ร่างบนฟูกนอนปูผ้าซาตินสีดำเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมเชิ้ตสีขาวที่มีผ้าห่มคลุมถึงหน้าอก ดูเหมือนคนที่หลับอยู่...หลับสนิทในห้วงนิทราสุดลึก ร่างนั้นดูอายุไม่เกินสามสิบปี ผมยาวสีน้ำตาลเข้มล้อมกรอบดวงหน้าเรียวที่เกลี้ยงเกลาจนเกือบเหมือนใบหน้าของผู้หญิง จมูก ปาก คิ้ว คางสมส่วนราวกับความงามที่ผ่านการสลักเสลาของประติมากรเอก มีเพียงแค่สีผิวที่ดูซีดๆ หม่นๆ ไปนิดหน่อยเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วไม่มีร่องรอยความตายกล้ำกรายบนใบหน้านั้นแม้แต่น้อย
การทำงานตลอดสองสัปดาห์มานี้ทำให้ฉันได้สัมผัสกับงานศิลปะชั้นเลิศของโลกจนเรียกได้ว่า มหาศาล แต่ไม่มีงานชิ้นไหนเทียบได้กับ 'ความงาม' หมดจดของร่างที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ
“เขา...” ฉันถามตะกุกตะกัก
“เขา...ประสบเหตุ...บางอย่าง และด้วยเหตุผลบางอย่าง...ทำให้เราต้องเก็บเขาไว้อย่างนี้...เพื่อรอเวลา...” คำอธิบายของเทหวัตถ์เต็มไปด้วย ‘บางอย่าง’ ที่ยากจะอธิบาย
“หมายถึง รอญาติเขามาจัดการอะไรอย่างนั้นน่ะเหรอ” ฉันคาดเดาพลางนึกไปถึงเรื่องราวที่เล่าถึงคนตายที่ญาติเก็บศพไว้ในบ้าน ทำเสมือนว่ายังมีชีวิตอยู่...แน่นอนบ้านนั้นกลายเป็นตำนานบ้านผีสิง ออกรายการ คนอวดผี ไปแล้วเรียบร้อย
เทหวัตถ์ยักไหล่ทำท่าอ่อนใจ ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ตอบรับ
“เขา...นานแค่ไหนแล้ว...” ฉันถามอีกที จับจ้องดวงหน้าของร่างนอนนิ่งนั้นไม่คลาดสายตา
“...นาน...” เทหวัตถ์ทำท่าคิด ก่อนมองนาฬิกาแล้วอุทาน “บ่ายสามโมง! ผมต้องรีบไปธุระแล้ว”
เขาก้าวพรวดๆ นำไปที่ประตู ทำให้ฉันจำต้องเดินตามออกมา เมื่อเหลียวกลับไปมองร่างนั้น น่าแปลกใจทั้งที่ควรกลัวหรือหวาดระแวงมากๆ แต่กลับรู้สึกแบบนั้นแค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่รู้ทำไมความรู้สึกส่วนใหญ่กลับเหมือนอาลัยอาวรณ์และในอกกลับรู้สึกโหวงๆ แปลกๆ
ผู้ที่จ่ายค่าจ้างให้แก่ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว...
เปล่า...มันไม่ใช่อาชีพที่เสียสละ สูงส่งหรือทรงคุณธรรมอย่างหมอชันสูตร เจ้าหน้าที่มูลนิธิหรือพนักงานแต่งหน้าศพอะไรอย่างนั้นหรอก...
มันเป็นอาชีพที่...ฉันโดนหลอกมาทำ!
แง...ช่วยด้วย!!!
ฮือๆ ไม่น่าเห็นแก่เงินเลย...ไม่น่าไปยอมเซ็นสัญญาบ้าๆ นั่นเลย ไม่น่า...
เทหวัตถ์โปะหน้าฉันด้วยเช็คตัวเลขหกหลัก หยุดเสียงโวยวายได้เป็นชะงัด
เขามองฉันที่หยุดโวยวายราวปิดสวิตช์ด้วยสีหน้าพึงพอใจก่อนพึมพำ
"มองคนไม่ผิดจริงๆ"
เดี๋ยวสิ! หมายความว่าไงยะ!?
"หมายความว่า..." เทหวัตถ์อธิบายช้าๆ ด้วยสีหน้าท่าทางมีความสุขที่ไม่ต้องรับมือกับคำโวยวาย เรื่องความหวาดกลัวที่โอเวอร์แอกติงของฉัน
"คุณเป็นคนเข้มแข็ง" ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงชื่นชม
อืม...
"ฉลาดและมีเหตุผล"
...พูดได้ดี
"มีความเป็นมืออาชีพ รักในเงิน เอ๊ย! งานที่ทำ" เขายิ้มปลอบประโลมฉันที่มองตาขุ่นขวางแล้วเอ่ยต่อ "เหมาะสมกับงาน"
"แต่..." ฉันอ้าปากจะท้วง
"หรือจะไม่เอา" เทหวัตถ์ถาม ทำท่าจะกระตุกเช็คคืน
"เอา!" ฉันรีบคว้าเช็คกลับมายัดใส่กระเป๋า ทำหน้าย่นใส่
"อย่าทำหน้าย่น" ชายหนุ่มเอานิ้วเรียวยาวเคาะหว่างคิ้วขณะสำทับ "อายุขนาดนี้อิลัสตินไม่ค่อยทำงานแล้ว มันจะกลายเป็นรอยย่นถาวร"
"อ๊ากกกก!!! ปากเหรอนั่น!" ฉันตะโกนใส่โดยไม่สนว่า อีกฝ่ายมีสถานะเป็นทนายของนายจ้างผู้ซึ่งยื่นเช็คตัวเลขหกหลักให้เป็นค่าปิดปาก ซึ่งก็แน่นอนเพราะหมอนี่ไม่ใช่เหรอที่หลอกฉันมาอยู่กะคนตายอะ!
"ก็เพราะนายไม่ใช่เรอะที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ที่นี่ ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ออกไปไหนก็ไม่ได้ มีเงินแต่ไม่มีปัญญาไปทำทรีตเมนต์ ทำสปาให้สวยๆ ไว้อ่อยผู้น่ะหา!?"
"เอาน่า...เดี๋ยวไปเหมาเครื่องสำอางลดอายุยี่ห้อแพงๆ มาไว้ให้โบกกลบร่อง โอเคไหม" เทหวัตถ์เกทับด้วยเครื่องสำอางแบรนด์
ฉันแยกเขี้ยวใส่ แต่ยอมหยุด...ไม่ได้เห็นแก่เครื่องสำอางแพงๆ หรอกนะ
ขอย้ำอีกที...ฉันไม่ใช่คนงกหรอกนะ จริง...จริ๊ง!
เมื่อคนเราเสียชีวิต แรกๆ ร่างจะยังคงสภาพเดิม
ร่างกายยังคงนิ่ม แล้วอุณหภูมิของร่างกายจะค่อยๆ ลดลง หลังจากหกชั่วโมงไปแล้วแคลเซียมจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ร่างคนตายจะแข็งอยู่อย่างนั้น และหลังจากยี่สิบสี่ชั่วโมงไปแล้ว กระบวนการตามธรรมชาติจะเข้ามาจัดการให้ร่างนั้นเข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย...ซึ่งไม่น่าดูเท่าไร
หลายวัฒนธรรมจึงคิดหาวิธีหยุดยั้งกระบวนการเน่าสลายไปตามธรรมชาตินั้นไว้ หนึ่งในนั้นคือการทำมัมมี่เก็บรักษาศพผ่านน้ำยาและกระบวนการต่างๆ นานา และมีอีกหลายกรณีที่ศพเป็นมัมมี่โดยธรรมชาติเช่นถูกแช่แข็งอย่างฉับพลัน และผ่านกาลเวลามาได้โดยไม่ถูกทำลายก่อนมีคนค้นพบ ส่วนใหญ่ร่างที่ถูกทำให้เป็นมัมมี่มักจะสูญเสียน้ำจนเสียสภาพเดิมไปกลายเป็นศพแห้งกรัง การตกลงไปในบ่อโคลนหรือบ่อน้ำมันดินซึ่งเป็นทั้งสาเหตุการตายและเป็นการสตัฟฟ์ร่างนั้นไว้ก็ทำให้ศพไม่เน่าเปื่อยเช่นกัน ถ้าพบในไทย (ส่วนใหญ่เป็นสังขารพระเกจิดังๆ) มักถูกปิดทองทั้งตัวจนไม่สามารถพิสูจน์สภาพได้ (สาธุ 99)
ที่ที่ฉันคิดว่าได้ใกล้ชิดกับศพสุดๆ แล้ว (ไม่นับอาจารย์โครงกระดูกที่เรียนในวิชากายวิภาค อันนั้นไม่ใช่ของจริง) ก็คือที่พิพิธภัณฑ์กายวิภาคที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นที่ศึกษากายวิภาค สำหรับนักศึกษาแพทย์และนักศึกษาศิลปะ (ที่ดีติดอันดับโลก!) ที่นั่นมีตั้งแต่ตัวอ่อนทารกทุกอายุครรภ์ ร่างกายมนุษย์ลักษณะต่างๆ ตัวอย่างตัดขวางของร่างกายมนุษย์ เส้นประสาทฉีดสีที่เลาะออกให้เห็นทั้งร่างอย่างสมบูรณ์แบบสุดๆ
พอละ เดี๋ยวจะกลายเป็นรีวิวพิพิธภัณฑ์ซะเปล่าๆ
ที่ฉันอยากจะบอกคือ ร่างเหล่านั้นทุกร่างคงสภาพได้ด้วยน้ำยาพิเศษ ซึ่งให้กลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งบรรยากาศเลยทีเดียว อีกที่ใกล้ๆ กันคือ พิพิธภัณฑ์นิติวิทยาศาสตร์ซึ่งอยู่ในศิริราชเช่นกัน ที่นี่มีตัวอย่างจากคดีต่างๆ ตั้งแต่ฆ่าตัวตาย อุบัติเหตุ ไปถึงสิ่งของที่ใช้ในการฆาตกรรม มีเคยตัวอย่างศพบางศพอยู่ในตู้ให้ดูด้วย ร่างนั้นไม่ได้ถูกดอง แต่ถูกอาบน้ำยาบางอย่างให้คงสภาพเป็นร่างสีดำแข็งๆ ซึ่งก็กึ่งๆ มัมมี่แหละ
ที่ยกตัวอย่างมาไม่มีร่างไหนที่ดูสมบูรณ์เท่าร่างนายจ้างของฉันเลย
หลังจากถามเทหวัตถ์หลายครั้ง...แต่ละครั้งสาเหตุการตายและระยะเวลาไม่เคยตรงกันเลยสักครั้ง!
ร่างหลังความตายของลูนาร์นั้นดูเหมือนไม่ได้อาบน้ำยาอะไรเพื่อรักษาสภาพ...แต่โดยส่วนตัวก็ไม่คิดว่าจะมีน้ำยาอะไรที่รักษาสภาพศพไว้ดุจนอนหลับได้ขนาดนี้ แถมยังไม่มีความเน่าเปื่อยใดๆ ให้ได้รู้ระยะเวลาหลังตายแล้วเลย เหมือนเขาแค่หลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย โดยที่ไม่หายใจ หัวใจไม่เต้น และร่างกายเย็นเฉียบ (นี่ถ้าเขาไม่มีผมนะ ฉันสันนิษฐานไปแล้วว่าเขาต้องเคยบวชเป็นพระเกจิวัดดังวัดไหนสักแห่งแน่)
ผมของเขาสีเข้มแต่ไม่เชิงดำนักมันออกจะสีเหลือบๆ ปนน้ำเงินปนน้ำตาลทองอย่างไรบอกไม่ถูก ร่างนั้นนอนอยู่ทำให้กะความสูงไม่ได้ แต่ถ้าลุกยืนคงไม่ต่ำกว่าเมตรแปดสิบห้าหรือเมตรเก้าสิบเซ็นต์แน่ๆ (เดี๋ยวสิ! แล้วแกจะให้เขาลุกยืนทำมายยยยย)
เขาน่าจะไม่ใช่คนไทยหรอก รวมถึงเทหวัตถ์ด้วย รายนั้นก็เป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่เกินเมตรแปดสิบเซ็นต์ เป็นหนุ่มหน้าสวย จมูกโด่ง ขนตายาวดูคล้ายๆ แขก คล้ายๆ ฝรั่ง แต่ก็นะ...สมัยนี้ที่ศัลยกรรมโมฯ ได้ทุกสัญชาติ ตอนเกิดเป็นคนไทย ตอนวัยรุ่นเป็นเกาหลี แก่ตัวไปเป็นอีกเพศหนึ่งยังมีมาแล้วเลย ฉันก็ได้แต่ปลงในยุคที่ผู้ชายสวยชนะผู้หญิง แล้วแบบนี้หน้าที่ไม่ศัลยกรรม ไม่โปะ ไม่โบ๊ะ ไม่โบฯ ไม่ฟิลเลอร์ ไม่ร้อยไหม สำหรับฉันได้แค่นี้ก็พอใจละ (ตอนมีอิสระก็ไม่มีตังค์ทำ ตอนมีตังค์ก็ดันถูกขังไปไหนไม่ได้แล้ว กรรม!)
วัฒนธรรมเกี่ยวกับความตายมีมายาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
มีตั้งแต่การนำเครื่องประดับอาหารหรือสิ่งของทางพิธีกรรมใส่ไว้ในหลุมศพ ไปจนถึงการทำสุสานยิ่งใหญ่ ฝังข้าทาสบริวาร สัตว์เลี้ยง และทรัพย์สมบัติตามลงไป (ซึ่งคนตายไม่มีทางได้ใช้) การฝัง การเผา การทำพิธีกรรม การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย ทั้งหมดนี้เป็นพิธีเพื่อผู้ที่ยังอยู่ทั้งสิ้น
เพื่อให้เธอ...ได้ทำอะไรเป็นสิ่งสุดท้ายเพื่อคนที่เธอรัก
เพื่อให้ได้รู้สึกว่าคนที่จากไป..ได้รับสิ่งดีๆ
เพื่อให้คนที่ยังอยู่...ได้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับผู้ที่จากลา
เพื่อที่ความอาลัยจะได้มีที่สิงสถิตอยู่ชั่วกาล
...
ฉันเงยหน้าจากกองหนังสือที่ค้นหาบรรดาเรื่องเกี่ยวกับความตาย ไม่มีเรื่องไหนที่อธิบายถึงการดำรงอยู่ของร่างกายชายหนุ่มผู้เป็นนายจ้างของฉันได้เลย คิดถึงยายอชิระชะมัด เพื่อนของฉันที่บ้าค้นคว้าเกี่ยวกับความตาย ตั้งแต่วัฒนธรรมการฝังศพไปจนถึงเทพแห่งความตายของวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก ถ้าได้มาเห็นนายจ้างของฉัน ยายนั่นคงต้องกรี๊ดแน่ (หมายถึงกรี๊ดดีใจนะ ไม่ใช่กรีดร้องสยองขวัญแบบฉัน)
อ้อ...ลืมไป เทหวัตถ์ห้ามไม่ให้ใครรู้นี่นา ฉันวางมือที่กำลังจะกดโปรแกรมแชตในโทรศัพท์มือถือ ส่งข้อความออกไปถึงเพื่อนลงพลางถอนใจยาวๆ
เออ...มือถือนี่อีกอย่าง...ที่นี่ไร้สัญญาณโทรศัพท์อย่างชนิดที่เรียกได้ว่าหมดจด
เว้ย!!! นี่แกอยู่บนยอดตึกกลางเมืองหลวงนะเฟ้ย หรือค่ายโทรศัพท์ของฉันสัญญาณล่มถาวร หรือโดนยึดสัมปทานคืน หรือฉันลืมจ่ายค่าโทรศัพท์...ถ้าฉันลืมจ่ายนี่ไม่คิดจะส่งข้อความหรือโทร. มาด่าทอจิกทวงกันบ้างหรือไง้...ฉันเป็นลูกค้ามาหลายปีแล้วนะ บทจะยกเลิกก็ยกเลิกกันงี้เลยเหรอ
ฉันกำลังคิดในอีกแง่ว่า หรืออีตาเทหวัตถ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์ที่ในตึกนี้
แหงๆ เลย...ฉันคิดอย่างฟุ้งซ่านขณะที่ชูโทรศัพท์มือถือ (ที่เริ่มกลายร่างเป็นก้อนพลาสติกไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับก้อนหิน) ขึ้นหาสัญญาณ มันมีบางแวบที่เหมือนสัญญาณหลงมา แต่วูบหนึ่งก็หายเกลี้ยง
"WTF!" ฉันตะโกนอย่างบ้าคลั่งให้สัญญาณอันบางเบาไม่ถึงขีดที่วูบวาบราววิญญาณหลอกหลอน
ฉันอยู่ในห้องสมุด พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับความตายและการตัดสัญญาณโทรศัพท์เพิ่มเติมจากหนังสือในห้องสมุด (ค้นอากู๋ไม่ได้ เพราะมันไม่มีสัญญาณเน็ตไง)
เออ ฉันเล่าไปหรือยัง ห้องสมุดที่นี่สุดอลังการเลยนะ เป็นห้องโถงใหญ่มหึมาที่เรียงรายด้วยชั้นหนังสือไม้สีเข้มเต็มไปด้วยลวดลายแกะสลักสุดอลังการ มันสูงเท่าตึกสามชั้น มีบันไดและระเบียงให้ปีนขึ้นไปดูหนังสือ บางตู้ก็มีบันไดวนที่มีเหล็กดัดเป็นลวดลายเถาไม้เกี่ยวเลื้อยเลี้ยวพัน ยิ่งดูยิ่งเหมือนห้องสมุดสาธารณะของเทศมณฑลซินซิเนติและแฮมิลตันที่สร้างเมื่อ ค.ศ.1874 ที่จริงแล้วมันเป็นตึกที่สร้างขึ้นมาสำหรับเป็นโรงโอเปร่า แต่กลับกลายมาเป็นหอสมุดที่สุดหรูหราอลังการ น่าเสียดายที่ต้องปิดลงเพราะแผนพัฒนาเมืองใน ค.ศ.1955 และหายไปในที่สุด...
ที่ไหนล่ะ!
ตอนนี้มันมาปรากฏร่างสุดอลังการบนยอดตึกระฟ้าในเมืองหลวงของประเทศ ฉันงี้อยากโพสต์เป็นบ้าเลยว่าฉันได้มาเยือนห้องสมุดสุดแสนอลังการนั้น แต่ภาพที่ออกมาคงเหมือนใช้โฟโต้ชอปตัดแปะรูปตัวเองลงไปในภาพห้องสมุดซินซินเนติฯ แหงๆ
แถมอย่าลืมว่ายังมีเรื่องสัญญาการรักษาความลับอีกล่ะ
รัตติกัญญาเซ็งเป็ด!
ฉันอยู่ในสถานที่ลึกลับ ไร้สัญญาณโทรศัพท์ และกว้างไม่มีที่สิ้นสุด
ที่นี่กว้างขวางจนฉันเลิกคำนวณและเลิกคิดในแง่ความเป็นจริงด้วยว่า ทำไมมันถึงกว้างได้กว้างเอา กว้างไม่เกรงใจใคร อยากกว้างก็กว้างไป ฉันก็แค่เดินได้ไม่ทั่วแค่นั้นเอ๊ง!
ฉันพาตัวเองเปลี่ยนอิริยาบถจากบนเก้าอี้ไม้แข็งๆ ของโต๊ะไม้ขัดมันในห้องสมุดมาจ่อมลงในอาร์มแชร์ตัวใหญ่นุ่มที่ดูดชีวิตจนอยากซุกตัวอยู่อย่างนั้นตลอดไป
เฟอร์นิเจอร์ที่นี่ทุกชุดมีขนาดใหญ่โต สวยงาม และคลาสสิก แต่ละมุมตกแต่งจัดเต็มเหมือนตัดเอาภาพจากนิตยสารบ้านสวยๆ จากทุกมุมโลกมาประดับรวมกันไว้อย่างมีศิลป์
มาคิดๆ ดูแล้ว นี่ฉันเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในนิยายแนวคฤหาสน์ลึกลับที่นางเอกเป็นหญิงสาวธรรมดาติดจะสวยๆ หยิ่งๆ หลงเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์โบราณหลังใหญ่ที่มีความลับมากมายซุกซ่อนอยู่ แถมสมาชิกในคฤหาสน์ก็ล้วนแล้วแต่มีความลับซ่อนไว้ให้นางเอกค้นหา ซึ่งนางก็เที่ยวผูกมิตรกับผู้คนไปทั่วพร้อมๆ กับเล่นเกมนักสืบ เก็บข้อมูลต่างๆ นานา จับแพะชนแกะไปเรื่อย จนคลี่คลายปริศนาหมดทั้งเรื่องได้ด้วยตัวคนเดียว
เก่งกว่าเชอร์ล็อก โฮล์มส์อีกนะเนี่ย หรืออีกนัยหนึ่งคือ เรียกได้ว่านางมีความเผือกอย่างยอดเยี่ยม เผือกผิดผู้ผิดคน เผือกผิดมนุษย์มนา เผือกล้ำหน้าจนเฉลยได้หมดทุกปม คนเราอะไรมันจะเผือกได้ขนาดนั้นแล้วยังรอดอยู่ได้อีก (วะ!)
หลังจากเผือกจนได้ที่แล้ว นางเอกของเราก็จะต้องได้เคลมเจ้าของคฤหาสน์หนุ่มหล่อทายาทมหาเศรษฐี ไม่ว่าเขาจะเคยคบใครมาก่อน เป็นกิ๊กกับตัวร้าย มีคู่หมั้นเป็นฆาตกร หรือมีเมียอยู่แล้ว ท้ายที่สุดอีนังนางเอกก็จะแย่งทุกชะนี เอาพระเอกที่หล่อที่สุดในเรื่องมาครองได้สำเร็จ (เอ๊...พลอตมันแปลกๆ มั้ยนะ...ไม่หรอกมั้ง...เนอะ)
นั่นแหละสมมุติว่าฉันเป็นนางเอกนิยายแนวนั้นละกัน เพราะสถานที่นี้ก็คล้ายๆ คฤหาสน์ลึกลับในเรื่องแหละ ผิดแต่มันยิ่งใหญ่อลังการกว่ากันมากมายหลายเท่า เอาแค่งานศิลปะที่รวบรวมไว้ที่นี่ (ทั้งของแท้และของที่ฉันคิดว่าก๊อบปี) นั่นก็มหาศาลจนประมาณมูลค่าไม่ได้ ชนะนิยายแนวคฤหาสน์ลึกลับทุกเรื่องแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้พลอตนิยาย (ชีวิต ดรามา ลึกลับ โรแมนติก ผจญภัย) ของฉันมันไปต่อไม่ได้คือ...
ที่นี่มันดันมีฉันเพียงคนเดียวนี่สิ!
WTF!
ดูเหมือนว่าน่าจะมีแม่บ้าน (แม่บ้านมหัศจรรย์ที่ทำความสะอาดสถานที่กว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีเศษฝุ่นผงหลงเหลือซักเม็ด เชรดดด นางทำได้ไง!?) ซึ่งไม่ยอมมาให้ฉันได้เจอ (แล้วฉันจะเผือกความลับของที่นี่ได้จากใครล่ะ) สิ่งมีชีวิตเดียวที่โผล่หน้ามาให้เห็นคือเทหวัตถ์ ซึ่งกุมความลับทุกอย่างไว้ แต่ไม่น่าที่เขาจะเป็นตัวดำเนินเรื่องต่อให้ตัวละครนางเอก (มโน) อย่างฉันได้เลย
คือ...ถ้าในเรื่องมันมีใครคนหนึ่งในพวกเราที่เป็นฆาตกร แล้วทั้งเรื่องดันมีตัวละครอยู่แค่สองคนเนี่ย...ฆาตกรควรเป็นใครล่ะ หือ?
อ้อ...จุดที่สำคัญที่สุดในนิยาย (ชีวิต ดรามา ลึกลับ โรแมนติก ผจญภัย) ของฉันคือ พระเอก (เจ้าของคฤหาสน์ที่หล่อสุดและรวยสุดในเรื่อง) ดันเป็นสิ่งไม่มีชีวิต...ฉันหมายถึงเคยมีชีวิต แต่ตอนนี้เขาได้แต่นอนนิ่งๆ ตัวเย็นเจี๊ยบ ไม่หายใจอยู่ในห้องง่ะ
จบ เลิก แยกย้าย โสดสนิทติดทนคานต่อเหอะกันยา
งื้อ...หนูอยากเป็นนางเอกนิยายโรแมนติกบ้างง่า...
แต่ไม่เอาพระเอกที่ตายแล้วนะ ไม่งั้นนิยายโรแมนติก+อีโรติกที่ปูมาตลอดนี่มันจะกลายเป็นนิยายแนว Necrophilia (โรคจิตที่ชอบร่วมเพศกับศพ) ไปซะ
ความคิดเห็น |
---|