7

ตอนที่ 7 เมียเก่าหรือเด็กใหม่


ตอนที่ 7 เมียเก่าหรือเด็กใหม่

น่าเอ็นดู

ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่พัทธ์ธีระนึกถึงคำนี้ขึ้นมา

ไม่ว่าจะเป็นดวงตาโตที่ปริ่มน้ำใส ปลายจมูกแดงเรื่อ ริมฝีปากที่เชิดขึ้นอย่างแง่งอนโดยไม่รู้ตัว ยิ่งคราวนี้หอบหายใจเสียตัวโยนด้วยความเหนื่อย ใบหน้าก็ยิ่งแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิงเรียกได้ว่าไม่เป็นทรง พอเครื่องหน้าทั้งหมดทั้งมวลนั้นเงยขึ้นมองเขาตาโต พร้อมกับริมฝีปากเชิดๆ คนที่คิดจะลด ละ เลิก ไปอีกนาน หรือตลอดไปกลับสัมผัสความรู้สึกประหลาดในอก

ใช่ อยากสัมผัส

เขาคิดว่าเพราะเพ้นท์เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มไม่นานหรือเปล่า ผิวกายถึงเนียนนุ่มมือ จับตรงไหนก็เด้ง สัมผัสตรงไหนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเนี่ยล่ะคือเด็กมหาวิทยาลัยของจริง มีคนบอกว่าอุณหภูมิของเด็กค่อนข้างสูง ซึ่งเด็กคนนี้ตัวอุ่นมาก ยิ่งโอบ ยิ่งชอบใจ ยิ่งได้กลิ่นหอมก็ยิ่งอยากสูดดม จนเมื่อกี้เผลอคิดเอาจริงเสียอย่างนั้น

พอเม้มปากมากๆ เข้า ปากก็แดงได้ใจจริงๆ

“ท่าทางจะแก่จริงแล้วแฮะเรา”

ฟรอสก็เคยได้ยินเพื่อนรุ่นเดียวกันพูดถึงสาวเอ๊าะๆ วัยมหา’ลัยว่าน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ อยากจะได้อยากจะโดนซะหน่อย ฟังดูเป็นพวกเฒ่าหัวงูจนเขานึกขำ อาจจะเพราะชายหนุ่มมีหลานอยู่สามคน ไอ้ครั้นจะให้คิดอกุศลกับเด็กก็ใช่ที่ มันทำให้รู้สึกผิดบาปต่อหลานวัยละอ่อน แต่คราวนี้ ผู้กำกับหนุ่มชักเข้าใจความรู้สึกเพื่อนลางๆ

ก็ไม่ลางล่ะ นึกอยากจับจูบจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าเข้าใจหัวอก

“เขาว่าเด็กๆ ทำให้กระชุ่มกระชวยเห็นทีจะจริง”

ไม่ใช่ว่าฟรอสไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับเด็กอื่นที่ไม่ใช่หลาน อ้อ เด็กในความหมายที่เอาขึ้นเตียงได้ด้วยนะ เขาใกล้สิ ใกล้มากด้วย จะเด็กฝึกงาน ทีมงานในกอง หรือแม้แต่นักแสดงเอง แต่เพราะปัญหาครอบครัวที่ทำให้ปวดหัวตุบๆ ชายหนุ่มจึงไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องพรรค์นั้น และคิดว่าจะไม่สนไปอีกนาน แต่นี่ เขาเพิ่งหย่าไม่นาน แต่ดันเริ่มคิดเหมือนเพื่อนเสียอย่างนั้น

‘โห ไอ้ฟรอส เมื่อก่อนมึงอะเจ้าชู้ตัวพ่อ แล้วนี่อะไรวะ อย่าแก่ก่อนวัยเว้ย เด็กๆ ผิวนุ่มๆ ตัวอุ่นๆ มันก็ต้องอยากกอดอยากชิมตามประสา’

‘ประสาเฒ่าหัวงูที่อยู่เต็มหัวมึงอะนะ’

‘ไอ้เวร เขาเรียกวัยอาเสี่ย มีเงิน มีแรงก็ต้องมีเล่นนอกบ้านกันบ้าง’

เอาเป็นว่าถ้ามันถูกเมียฆาตกรรม เขาจะเอาพวงหรีดไปให้มันเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายแทนความเป็นเพื่อนยี่สิบปีก็แล้วกัน

‘อีกอย่างมีเมียอย่างเมียมึงอย่าเรียกว่าเมียเลย เรียกว่าภาระที่เป็นสภาวะจำยอมดีกว่า’

ฟรอสปัดเรื่องนี้ออกไปจากหัว เพราะรู้ดียิ่งกว่าเพื่อนพูด แต่ครั้งนี้ต้องยอมรับว่ามีเรื่องนึงที่มันพูดถูก

เด็กก็ผิวนิ่มตัวอุ่นจริง

“แถมทำให้หลับสบาย”

เขาก้มลงมองสองมือที่เพิ่งจะไปโอบเอวเด็กเสียเนื้อแนบเนื้อ แล้วมุมปากก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มพอใจ ยิ่งนึกถึงเมื่อวานที่ตื่นขึ้นมาตอนฟ้ามืดโดยลำพัง แต่มีอาหารเย็นทำเตรียมไว้ให้พร้อมกับกระดาษโน้ตข้อความน่ารักว่า...

 

ผมกลับก่อนนะครับอา เห็นอาหลับสบายเลยไม่อยากปลุก

ถ้าอาหิวก็เอากับข้าวเข้าเวฟก่อนนะครับ ทานร้อนๆ อร่อยกว่า แล้วผมก็ตุ๋นกระหล่ำเอาไว้ให้ รับรองว่านิ่มกินง่ายแน่นอน ลองทานสักหน่อยนะ กินผักดีต่อสุขภาพนะครับ

เพ้นท์

 

กระดาษโน้ตหนึ่งแผ่น แต่เขาเห็นหน้าคนเขียนเลยว่าต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด เป็นห่วงคนแก่ไม่ยอมกินผักมากแค่ไหน ซึ่งมันทำให้รู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก แถมครั้งนี้ยังมั่นใจด้วยว่าเขาเผลอหลับเพราะกอดเด็กคนนี้เอาไว้จริงๆ

หากจะมีเรื่องไหนที่ยังข้องใจก็คงเรื่องที่เพลิงโทรมาถามว่าอาเป็นโรคนอนละเมอหรือเปล่า

หนทีคราวก่อนจะเผลอละเมอทำอะไรเด็กมัน แต่ทำอะไรเนี่ยสิ

“ครั้งหน้าแกล้งละเมอดีมั้ยวะ”

ฟรอสหัวเราะอย่างชอบใจ ยังไม่คิดจะถามเพ้นท์โต้งๆ เพราะไม่อยากให้เด็กตื่น

ไอ้เขามันเป็นต้นแบบนิสัยเอาแต่ใจของหลานทั้งสามคนอยู่แล้ว ประเภทอยากได้อะไรต้องได้ เขาเนี่ยล่ะต้นตำรับ แต่ก็เพลาๆ ไปบ้างตามอายุที่มากขึ้น แต่ครั้งนี้ ชายหนุ่มนึกอยากเอานิสัยเดิมมาใช้กับเด็กคนนี้อย่างบอกไม่ถูก

ก็แค่แหย่เล่นตามประสาผู้ใหญ่เจอเด็กน่าเอ็นดู

ร่างสูงบอกตัวเองแบบนั้น ยกมือเสยผมให้พ้นใบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายชัดถึงความสนุกสนาน อารมณ์ดี แถมยังผ่อนคลายเสียจนดูเด็กลงไปอีกหลายปี ยิ่งนึกหน้าแดงซ่านของคนที่ถูกแกล้งจนวิ่งหัวหกก้นขวิดไปหน้าบ้านยิ่งตลก

พนันได้ว่าคนส่งของต้องคิดว่าเมื่อกี้เจ้าหนุ่มนี้ทำอะไรลามกอยู่แน่

ฟรอสคิดขำๆ ก็ไม่ใช่ว่าแค่หน้าเพ้นท์ที่แดงเรื่อเท่านั้น เพราะพอกอดพอดิ้นไปมากๆ เข้า เสื้อยืดที่ใส่นี่ยับยู่เชียว ผมเผ้ายุ่งเหยิงเสียพาลให้นึกว่าเพิ่งจะโรมรันกับใครมา

“คุณครับ! ผมต้องบอกเจ้าของบ้านก่อน”

“หลีกไป!”

“เฮ้ย!”

เห็นทีจะไม่ใช่คนส่งของ

ปัง!

ฟรอสยังไม่ทันบอกตัวเองจบ ประตูหน้าบ้านก็กระแทกเสียงดังลั่น จนชายหนุ่มก้าวออกจากห้องครัว เดินไปดูที่มาของเสียงอย่างไม่แยแสเท่าไหร่ หากใบหน้าคมที่เคยเผยรอยยิ้มหล่อเหลาแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม เด็ดขาด แฝงด้วยพลังอำนาจที่ยากจะต่อกรง่ายๆ

ความเด็ดขาดยามที่เผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้

“พี่ฟรอส!”

ร่างสูงมองตรงไปยังคนที่เรียกชื่อเขา...หญิงสาวร่างระหงในชุดแบรนด์ดังโชว์สัดส่วนที่ดูแลรักษาอย่างดี ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพง เรือนผมยาวมัดรวบโชว์วงหน้าที่แสนภาคภูมิใจ และดูโดดเด่นสำหรับใครต่อใคร

หากไม่ใช่สำหรับผู้ชายคนนี้ ถ้าผู้หญิงคนนี้จะเด่นยังไงก็เด่นด้านที่ทำให้ชีวิตเขาวุ่นวายอยู่หลายปี

“เอ่อ อาครับ...”

“ไม่เป็นไร มานี่มา”

เพียงแค่ฟรอสตวัดสายตามองคนมาเยือน ผู้หญิงที่จะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างก็กลืนทุกคำพูดลงไปในลำคอ ใบหน้าขัดเคืองไม่พอใจ แต่ไม่กล้า ซึ่งนั่นทำให้เพ้นท์แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอึดอัด มองหน้าเขาสลับกับผู้หญิงคนนี้ ซึ่งฟรอสก็เดาได้เลยว่าทางนั้นบุกเข้ามาโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน

ดังนั้น พอเขาเอ่ยปากเรียก เพ้นท์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย

เด็กน้อยรีบถอดรองเท้าแล้วก้าวยาวๆ มายืนข้างเขา

“ไปเถอะ มีอะไรก็ไปทำ”

“ครับอา”

เพ้นท์รีบพยักหน้าหงึกๆ คงพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่...

“เด็กนั่นเป็นใคร!”

ทันใดนั้น คนที่ยอมเงียบไม่ถึงนาทีก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง ก้าวเข้ามาในตัวบ้าน จนทั้งฟรอสทั้งเพ้นท์หันไปมอง ซึ่งเจ้าของบ้านก็ว่าเรียบๆ

“ถอดรองเท้า”

รองเท้าส้นเข็มคู่นั้นย่ำเข้ามาในบ้านของเขา ซึ่งแทนที่คนฟังจะทำตามอย่างคนมีมารยาท ใบหน้านั้นกลับเชิดขึ้น บอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ทำไมจูนต้องทำ บ้านหลังนี้ก็เป็นของจูนเหมือนกัน!”

คำที่ทำให้ฟรอสยิ้มเย็น

ใช่ ผู้หญิงคนนี้คือเมียเก่าของเขาเอง

“นั่นข่าวเก่าแล้ว”

กึก!

คนฟังชะงักไปทันที ดวงตาเบิกกว้าง แล้วสองมือก็กำเข้าหากันแน่นอย่างโกรธจัด ซึ่งท่าทางแบบนี้บอกฟรอสว่าอย่างน้อยเมียเก่าเขาก็ไม่ไร้หัวคิดเสียทีเดียว

เขาหย่าแล้ว และบ้านหลังนี้ก็เป็นของเขา ไม่ใช่ให้ใครมาแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรก็ได้

“แต่จูนต้องมีสิทธิ์ในบ้านหลังนี้ครึ่งหนึ่ง!”

“ไปฟังใครปั่นหัวมาอีกล่ะ แม่คุณหรือเพื่อนคุณ”

“พี่ฟรอส! พี่ไม่มีสิทธิ์มาว่าแม่หรือเพื่อนจูน!”

จูนตวาดแหวเสียงแหลมจัด แต่พอเขากดสายตามอง ทางนั้นก็กัดปากแน่น ดวงตาฉายแววขุ่นแค้น แต่เพียงพักเดียวก็แหวขึ้นมาใหม่

“และจูนมีสิทธิ์ได้มากกว่านี้!!!”

คนฟังยิ้มหยันขึ้นมาทันที เขาไม่ต้องไปอยู่ในเหตุการณ์ก็เดาได้ว่าทำไมเมียเก่าถึงบุกมาถึงนี่ ก็คงมีใครไปกรอกหูล่ะสิว่าเงินที่เขาให้สำหรับค่าหย่ามันน้อยเกินไป ควรจะได้มากกว่านี้ หรือไม่ก็เอาเงินที่ได้ไปถลุงกับค่าทำหน้า เสื้อผ้า ของใช้ หรือเที่ยวเล่นไปเยอะจนเลือกมาเผชิญหน้ากับเขาแบบนี้

ฟรอสยังไม่ลืมความโกรธที่ผู้หญิงคนนี้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวพี่ชายเขา

ชายหนุ่มจึงก้าวเข้าไปหาอีกก้าว มองคนที่ถอยหลังหนี แต่ยังทำใจกล้าเงยหน้าประสานสายตากับเขา แล้วชายหนุ่มก็หยุดเดิน เอ่ยเสียงเย็น

“แต่ผมว่ามันมากเกินไปด้วยซ้ำ...สำหรับคนอย่างคุณ”

“กรี๊ดดดด พี่ฟรอส!!!”

อีกฝ่ายกรีดร้องออกมาเต็มเสียง ซึ่งฟรอสแค่สั่นหน้า ดูเคยชินกับสิ่งที่เจออยู่ตอนนี้ มีเพียงแววตาเย็นชาเท่านั้นที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง และจับจ้องคนที่กำมือแน่น ใบหน้าที่แต่งแต้มมาอย่างดีไม่ต่างจากอสูรร้าย แล้วจูนก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังจนลั่นบ้าน

“คนอย่างจูนหมายถึงยังไง! จูนเป็นเมียพี่มาห้าปี ตั้งห้าปี! จูนเสียเวลาไปตั้งเท่าไหร่ แต่จูนได้แค่ยี่สิบล้านเนี่ยนะ แค่ยี่สิบล้านมันเทียบกับสิ่งที่จูนเสียไปไม่ได้ จูนแก่ลงทุกวัน เงินแค่นี้ชดใช้ให้จูนไม่ได้!!!”

“เฮอะ”

หากคนฟังแค่หัวเราะขึ้นจมูก ไม่โต้ตอบอะไรมากกว่านั้น ผิดกับแววตา

ใครกันแน่ที่เสีย

ใครกันแน่ที่เอาเงินของเขาไปทำศัลยกรรมมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา

ใครกันแน่ที่ไม่ทำอะไรนอกจากใช้จ่ายเงินเขาไปวันๆ

ฟรอสไม่พูด แค่มองคนที่โวยวายขึ้นมาเหมือนคนบ้า จนทางนั้นรู้สึกตัว หลบสายตา มองหาอะไรก็ได้ที่จะมาสาดใส่เขา และสายตาคู่นั้นก็ไปหยุดที่...เด็กข้างตัว

“แล้วเด็กนี่ใคร! นี่พี่หย่ากับจูนไม่เท่าไหร่ก็พาเด็กเข้าบ้านแล้วเหรอ คนเขาจะพูดถึงจูนยังไง จูนจะเสียหายแค่ไหนที่ผัวจูนเอาเด็กผู้ชายขายตัวมานอนกกในบ้าน!!!”

ชายหนุ่มชินชากับการที่ถูกผู้หญิงคนนี้โวยวายใส่ แต่เขาไม่เคยพอใจยามที่อีกฝ่ายลากคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย และครั้งนี้ก็เป็นเด็กที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย จนสีหน้าเปลี่ยน ดวงตาดุดันกว่าเดิม ซึ่งเหมือนอีกฝ่ายจะตีความผิด

“อะไร ร้อนตัว นึกว่าจูนไม่รู้เหรอว่าก่อนที่จะแต่งกับจูนพี่ก็มั่วมาหมดแล้ว นี่หย่าไปทันไรก็คว้าใครก็ไม่รู้เอาเข้ามาในบ้าน...เขาจ่ายให้แกเท่าไหร่ล่ะถึงมาอ้าขาให้เขาถึงในบ้านของฉัน!!!” คนพูดหันไปเล่นงานคนที่ยืนตะลึงตาค้างไปแล้ว จนเพ้นท์ส่ายหัวแรงๆ

“ผมไม่ได้...”

“เขาให้แกเท่าไหร่ ฉันให้มากกว่าแล้วไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้!”

เพ้นท์ดูทั้งโกรธ ทั้งอึดอัดใจ แล้วหันมามองหน้าฟรอส จนนึกรู้ว่าที่เด็กมันเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สู้คน แต่เพราะยังเกรงใจเขาอยู่มากต่างหาก

“ก็ผมบอกแล้วไงว่า...”

“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน อี๊ ขยะแขยง อีตัว!”

นายพัทธ์ธีระอาจจะยังเงียบอยู่ แต่ดวงตาคู่คมวาวขึ้นมาแล้ว ผิดกับเพ้นท์ที่เริ่มโกรธจนตัวสั่น

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมเป็นเพื่อนไอ้เพลิง” หากเด็กคนนี้มีความอดทนผิดคาด เพ้นท์ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น จนวินาทีท่ามกลางความโกรธของฟรอส เขาค่อนข้างแปลกใจ แต่เหนืออื่นใดคือ...พอใจอยู่ลึกๆ

“พอกันทั้งอาทั้งหลาน! นี่หลานมั่วไม่เลือกของพี่ส่งเพื่อนมาให้พี่เลยเหรอ!!!”

“ไอ้เพลิงไม่ได้มั่วไม่เลือก!”

หากคนที่อารมณ์เย็นเมื่อครู่เสียงดังขึ้นมาแล้ว โต้กลับด้วยความโกรธแทนเพื่อน

“ถ้านอนกับเขาไปทั่วไม่เรียกว่ามั่วแล้วอะไร อ้อ ไอ้เด็กนั่นต้องเรียกว่าร่าน!”

“พอได้แล้ว!!!”

ทันใดนั้น ฟรอสก็ตวาดขึ้นมาเสียงดังจนเสียงถกเถียงลั่นบ้านเหลือเพียงเสียงอื้ออึงในหัว ทั้งเมียเก่า ทั้งเพื่อนหลานหันมามองเป็นตาเดียว ในขณะที่เพ้นท์มองกลับมาด้วยแววตาดื้อดึง ไม่เห็นด้วยว่าเขายอมปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ว่าเพลิงได้ยังไง แต่พักเดียวเพ้นท์ก็พยักหน้าแล้วก้มหน้าลงราวกับเด็กคนนี้เข้าใจว่าเขาโกรธ และโกรธมากกว่าที่เห็นภายนอก

ส่วนผู้หญิงอีกคนก็สะดุ้ง แต่กลับไม่ยอมหยุด

“ทำไม จูนพูดถึงหลานพี่ผิดที่ไหน...”

“อย่าให้ผมต้องเตือนซ้ำสอง”

เฮือก!

เขาจะไม่ทนถ้ามีใครกล้าเอ่ยปากว่าคนในครอบครัวของเขา โดยเฉพาะเจ้าหลานรัก

ความรู้สึกนั้นชัดเจนเสียจนต่อให้เป็นผู้หญิงที่โง่ที่สุดก็ต้องเรียนรู้ว่าตลอดห้าปีมานี้มีเรื่องไหนที่แตะต้องไม่ได้

“จูนไม่พูดถึงหลานพี่ก็ได้...จูนต้องการค่าหย่าเพิ่ม” หญิงสาวจึงสูดหายใจลึกๆ แล้วเข้าเรื่องที่มาวันนี้แทน

“เราตกลงกันแล้ว” ฟรอสเองก็พูดเสียงเรียบ

ข้อตกลงทุกอย่างมีทนายและพยานรับรู้ อีกทั้งยังเซ็นใบหย่าไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องเอาเงินให้กับผู้หญิงคนนี้อีก

“แต่จูนคิดว่ามันน้อยไป”

“เงินสดรวมคอนโดและรถสองคันเป็นเงินยี่สิบล้าน...มากเกินไปด้วยซ้ำ”

ฟรอสยังคงพูดด้วยน้ำเสียงแบบเดิม เพราะเขาให้เกินกว่าที่ผู้หญิงคนนี้ควรจะได้รับแล้ว

ตลอดเวลาห้าปีมานี้เขาไม่เคยได้รับอะไรจากอดีตภรรยาเลย แม้แต่ความทรงจำที่ดี แต่ที่ยอมให้ขนาดนี้ก็เพราะต้องการตัดปัญหา เขาอาจจะมีที่ดินและทรัพย์สินจากมรดกเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ใช่ว่าจะขายเป็นเงินสดได้ทันที เคยมีรายรับมากมายตอนที่เป็นนักแสดง แต่ก็ลงทุนกับหลายอย่างจนไม่ได้ถือเป็นเงินสด ฟรอสจึงตัดสินใจขายหุ้นมรดกให้กับพี่ชาย แต่ทางนั้นต้องการให้หุ้นที่พ่อให้มายังเป็นของเขาเหมือนเดิม จนให้หยิบยืมเงินมาสำหรับค่าหย่าไปก่อน

เขาเป็นหนี้พี่ชายตัวเองด้วยซ้ำ

“จูนรู้ว่านี่แค่เศษเงินของพี่! อย่านึกนะว่าจูนไม่รู้ว่าที่ดินตรงสาย 2 ตั้งหลายร้อยล้าน จูนไม่ยอมกับแค่ไม่กี่สิบล้าน!”

“จะไม่มีการให้เงินอะไรเพิ่มมากกว่านี้ทั้งนั้น”

ชายหนุ่มว่าเสียงเข้ม แล้วหันไปบอกกับคนที่กำลังอ้าปากค้าง

“ไหนว่าจะทำอาหารเที่ยงไง ไปเถอะ อาหิวแล้ว”

“เอ่อ ครับ”

ท่าทางเด็กน้อยจะประมวลผลกับจำนวนเงินที่คุยกันไม่ทัน จนฟรอสเกือบจะหลุดยิ้มเอ็นดู

“พี่ฟรอส!”

“อะไรอีก” เขาหุบยิ้ม หันขวับ

“พี่ฟรอสคะ แต่ แต่จูนทำให้พี่ตั้งเยอะแยะ จูนเป็นเมียพี่มาห้าปี จูนไม่ควรได้แค่นี้”

พอเห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ และเขาไม่สนใจ เมียเก่าก็เริ่มบีบน้ำตา ว่าเสียงสั่น งัดความเป็นผัวเมียตลอดห้าปีขึ้นมาใช้ จนฟรอสโคลงหัว เพราะนี่แค่เศษเสี้ยวความหน่ายใจ ก่อนหน้านี้เขาเจอมาเยอะกว่านี้ตั้งเท่าไหร่ ถ้ายังหลงกลก็ไม่ควรเรียกตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ฉลาดที่สุดในโลกแล้ว

หมับ!

ดังนั้น สิ่งที่ฟรอสทำคือการจับต้นแขนเด็กที่จะเดินเข้าครัว แล้วใช้อีกมือชี้ไปตัว

“เด็กคนนี้อยู่ไม่กี่วันยังทำให้ผมมากกว่าคุณรวมกันห้าปีซะอีก”

จูนดูอึ้ง แล้วตวัดสายตาเกลียดชังไปมองเด็กน้อย

จากนั้นก็หันมามองหน้าเขาด้วยแววตาจะร้องไห้

“ไม่จริง จูนเป็นเมียที่ดี จูนทำให้พี่ทุกอย่าง พี่ก็พูดได้นี่ พี่มีใหม่แล้วนี่ จูนจะไปสู้เด็กอายุน้อยๆ ได้ยังไง ผู้ชายทุกคนก็เห็นแก่ตัว ได้ใหม่แล้วลืมคนเก่า พี่ก็แค่พูดจาเห็นแก่ได้ว่าจูนไม่เคยทำอะไรให้พี่เลย...”

“พูดพอหรือยัง”

“พี่ฟรอส...”

“ถ้าพอแล้วก็ออกไปได้แล้ว ผมจะกินข้าวเที่ยงกับ ‘เด็กใหม่’”

“!!!”

เขาไม่สนใจอาการตัดพ้อต่อว่า เพราะอย่างว่าว่าปวดหัวกับมันมาหลายปี จะให้หลงกลลูกไม้ตื้นๆ ก็โง่เกินไป จูนก็แค่ทำให้เขารำคาญแล้วก็จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ถ้าใครจะผิดก็คงเขาที่ใช้วิธีตัดปัญหามาโดยตลอดจนผู้หญิงคนนี้เคยตัว

คราวนี้ ฟรอสจึงยกมือโอบรอบหัวไหล่เพื่อนหลาน ยอมรับสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ยัดเยียดให้ซะเลย

“พี่ฟรอส! พี่ทำอย่างนี้ได้ยังไง เลว! ทั้งพี่ทั้งมันเลวทั้งคู่ มันมีอะไรดี! จูนเป็นผู้หญิง จูนเป็นหน้าเป็นตาให้พี่ได้ จูนเป็นคนที่คู่ควร เป็นคนที่พี่พาไปโชว์ใครก็ได้ ไม่ใช่เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้!” หญิงสาวโวยวายเสียงดัง ทั้งเสียหน้า ทั้งโกรธจัด แต่เจ้าของบ้านแค่กระชับหัวไหล่เด็กน้อยมากขึ้นกว่าเดิม มองเมียเก่าด้วยสายตาเย็นชา แล้วหันไปมอง ‘เด็กใหม่’ ด้วยแววตาอ่อนโยน

“ขอโทษทีที่เพ้นท์ต้องมาฟังเรื่องไร้สาระแบบนี้”

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมว่า ผม...” เด็กน้อยส่ายหัวเสียผมปลิว อ้ำอึ้งพูดไม่ออก เหลือบไปมองเมียเก่าเขาด้วยแววตาหวาดๆ

“อยู่นี่แหละ เดี๋ยวแขกก็กลับแล้ว”

“พี่ฟรอส!!!”

พอเขาไม่สนใจผู้หญิงอีกคน จูนก็ตวาดแหวขึ้นมาเสียงดัง จากท่าทางจะร้องไห้เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นโมโหจนอยากจะแล่นมาฉีกอกเขา

“ได้! เอาอย่างนี้ใช่มั้ย ก็ได้!” แต่ทันใดนั้นหญิงสาวก็พยักหน้าหลายที เน้นย้ำคำว่าได้ด้วยโทนเสียงต่ำๆ ดวงตาคู่นั้นฉายชัดว่าไม่ยอมแพ้

“ก็ถ้าพี่ไม่ให้เงินจูน จูนจะเอาข่าวไปขายให้พวกนักข่าวว่าที่เราเตียงหักเพราะพี่เป็นเกย์ คนเขาต้องอยากรู้อยู่แล้วว่าอดีตดาราดังเลิกกับเมียเพราะอะไร เอาสิ พี่ไม่สนใจจูนก็ได้ แต่ยังไงทุกคนก็ต้องเห็นใจผู้หญิงอย่างจูนที่ต้องมากินน้ำใต้ศอกไอ้เด็กนี่ ทั้งพี่ทั้งมันจะโดนด่า จะอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ พี่อยากให้ล่มจมกันไปหมดก็เอาเลย!”

“...”

“พี่ฟรอส อย่าคิดนะว่าจูนจะกลัวพี่ จะจัดการพี่น่ะง่ายกว่าที่พี่คิดเสียอีก!!”

คนพูดตวาดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ว่ารวดเดียวจนหายใจหอบ แผ่นอกสะท้อนขึ้นลง หากแววตาฉายชัดถึงความสะใจ มองมาเหมือนถือไพ่เหนือกว่า แต่มันไม่ได้ทำให้ฟรอสขยับคิ้วสักเส้น แค่มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา

“พูดจบหรือยัง”

“อย่าคิดว่าพี่มองจูนแบบนั้นแล้วจูนจะกลัว จูนจะโทรหานักข่าวเดี๋ยวนี้!”

“เอาสิ ก็ถ้าไม่กลัวคดีพลิก”

คนที่ทำท่าจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาขู่ชะงัก แต่ก็ยังไม่เชื่อคำพูดเขาด้วยการปลดล็อกโทรศัพท์ แล้วทำท่าจะโทรออก ซึ่งฟรอสก็ไม่แยแส รอจนกระทั่งทางนั้นพูดกับปลายสาย

“ฮัลโหล ค่ะ จูนเอง พี่จำจูนได้ใช่มั้ยคะ...”

หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นมองด้วยความถือดี จงใจพูดในจังหวะที่ช้าลง ดูมั่นใจว่าคนทางนี้ต้องตกลงรับเงื่อนไขที่ยื่นให้ในตอนแรก

หากนายพัทธ์ธีระยังใจเย็น ผิดกับเด็กน้อยข้างตัวที่ตัวแข็งทื่อ เงยหน้ามองเขาหน้าซีดเผือด

ไม่รู้ว่าเพราะกลัวที่ถูกลากเข้าไปในเรื่องนี้แบบตั้งตัวไม่ทันหรือห่วงที่เขากำลังจะมีเรื่อง

“อาครับ”

“ไม่เป็นไร”

น้ำเสียงห่วงใยนั่นล่ะมั้งที่ทำให้เขายอมเคลื่อนไหว

ใจจริงฟรอสก็อยากให้เรื่องนี้ไปให้ถึงที่สุดเพื่อจบปัญหาเหมือนกัน แต่เมื่อคิดแล้วว่าจะมีเด็กคนหนึ่งถูกลากมาพัวพันด้วย เขาก็คิดว่าไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้บานปลายจะดีกว่า ซึ่งอย่าคิดว่าเขาไม่มีไพ่ตาย

“คุยเสร็จแล้วส่งสายต่อมาให้ผมนะ”

จูนชะงัก มองหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อ ให้ฟรอสว่าต่อด้วยรอยยิ้ม

“ผมอยากบอกนักข่าวเหมือนกันว่าอดีตภรรยามีรสนิยมชอบหิ้วเด็กหนุ่มๆ ขึ้นห้องมา...หลายปี”

เท่านั้นแหละ เมียเก่าก็หน้าซีด บอกกับปลายสายอย่างรวดเร็ว

“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร เท่านี้นะคะ ขอโทษที่รบกวน”

กระทั่งวางสายเรียบร้อยแล้ว จูนถึงเริ่มกลับมาหน้าแดงก่ำ

“พี่เอาเรื่องอะไรมาพูด!!!”

“ความจริง”

“พี่อย่ามาใส่ร้ายจูน! จูนไม่เคยทำตัวแบบนั้น”

ฟรอสยิ้มเย็น

“แบบไหน มั่วไม่เลือกหรือ...ร่าน”

“...”

เขาเอาคำพูดที่ผู้หญิงคนนี้กล้าว่าหลานชายเขาโยนกลับไป มองคนที่ไม่หลงเหลือความสวย มีเพียงดวงตาวาวโรจน์และแดงก่ำ ริมฝีปากบิดเบี้ยว สองมือจิกเล็บลงกลางฝ่ามือ จนเป็นฝ่ายพูดบ้าง

“ถ้าคุณอยากบอกนักข่าวอะไรก็เชิญเลย แต่ระวังคดีพลิกก็แล้วกัน”

ฟรอสไม่บอกว่าเขามีหลักฐานอะไรบ้าง แต่แค่นี้ก็ทำให้วัวสันหลังหวะผวาเฮือก ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เรื่องที่จะเอาเรื่องนี้มาข่มขู่เขา และชายหนุ่มก็ยืนยันความคิดเดิมว่าเขาจะไม่ให้อะไรผู้หญิงคนนี้มากไปกว่าที่เคยให้ไปแล้ว

เขาจะไม่ทำอะไรก่อน แต่อย่ามาเล่นกับคนอย่างเขาก็แล้วกัน ถ้าแบบนั้นก็มารอดูตัวจริงของฟรอส พัทธ์ธีระก็แล้วกันว่าจะลงมือยังไง

“ถ้าหมดเรื่องแล้วก็เชิญ”

คนพูดผายมือกลับไปทางประตูหน้าบ้าน

“จูนไม่ยอมให้มันจบแบบนี้แน่”

คนพูดสะบัดหน้ากลับไปสวมรองเท้าอย่างฉุนเฉียว

ขณะที่ฟรอสเองก็ไม่กลัวคำขู่เพราะตลอดห้าปีที่ผ่านมาบอกเขาว่าผู้หญิงคนนี้เก่งแต่ปาก แต่ถึงจะกล้าจริง เขามีอะไรให้ต้องกลัว

ทุกทีฟรอสก็คงให้มันจบไปแบบนี้ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป อาจจะเพราะเมียเก่าล้ำเส้นที่เขาขีดเอาไว้หลายเรื่อง ทั้งที่ไปอาละวาดที่บ้านพี่ชาย ทั้งเอาเรื่องไร้สาระมาข่มขู่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือผู้หญิงคนนี้กล้าพูดจาว่าร้ายหลานรักของเขา

“อ้อ แล้วก็ไม่ต้องมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกล่ะ เพราะที่นี่มีเจ้าของบ้านคนใหม่แล้ว”

“เอ๊ะ!?”

ไม่ใช่แค่จูนที่หันมามองอย่างตกใจ แต่เด็กข้างตัวเขาก็แปลกใจเช่นกัน และเพ้นท์ก็เปลี่ยนเป็นความตกตะลึงเพราะ...

จุ๊บ

ร่างสูงจัดการหมุนตัวไปเชยปลายคางเพื่อนของหลานชายให้เงยขึ้น แล้วโน้มหน้าเข้าไปสัมผัสริมฝีปากสีสดอย่างรวดเร็ว ว่องไว แม่นราวกับจับวาง กดลงไปหนักๆ ต่อหน้าภรรยาเก่า และเด็กน้อยที่เบิกตากว้างจนแทบจะโปนถลนออกมา

ไม่รู้ว่าเพราะปากของเด็กมหา’ลัยนุ่มหรือปากของเจ้าเด็กนี่นุ่มกันแน่ เพราะฟรอสกดลงไปหนักๆ อีกครั้ง แล้วผละออก

เขายิ้ม

“ปากหวานนะเรา”

น่าแปลกที่สถานการณ์มันเคร่งเครียดขนาดนี้ แต่ฟรอสกลับเย้าแหย่เด็กน้อยอย่างอารมณ์ดี ใจอยากจะหอมแก้มนุ่มๆ เด้งๆ ของคนที่ตัวแข็งไปแล้วอีกสักที แต่...

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!”

เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน จนหันกลับไปสบตาคนที่โกรธจัด ชี้หน้าเขาสลับกับเด็กในอ้อมกอด หากร่างสูงแค่ยิ้มเย็น

“อ้อ ที่ถามผมว่าเด็กคนนี้ดีกว่าตรงไหน มันเทียบกันไม่ได้หรอก เพราะเหนือกว่าทุกอย่าง ตั้งแต่อายุยันนิสัย” ว่าไปก็เลื่อนมือไปจับหัวทุยให้ซบลงบนบ่าของเขาไปด้วย มีเพียงดวงตาที่จับจ้องเมียเก่าไม่ละไปไหน และไม่แปลกใจเลยที่คนตรงหน้าจะกรีดร้องออกมาเต็มเสียงอีกครั้ง

“แก แก แก๊!!!”

“กลับไปได้แล้ว อย่าให้ผมต้องถึงขั้นเรียกตำรวจ”

“ไอ้ชั่ว!”

อีกฝ่ายตะโกนด่าเขาเป็นคำสุดท้าย แต่เพียงทำท่าจะก้าวเข้าไปหา หญิงสาวก็คว้ารองเท้าที่ใส่ไม่เข้าสักที แล้ววิ่งเท้าเปล่าออกไปทางหน้าบ้านด้วยความหวาดกลัว

กระทั่งได้ยินเสียงรถที่จอดอยู่หน้าบ้านแล่นออกไปแล้ว สีหน้าของชายหนุ่มถึงเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นเหนื่อยล้า

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยเถียงเลยตอนที่หลานๆ บอกว่าการตัดสินใจแต่งงานตัดปัญหาของเขาคือหนทางนำไปสู่ความพินาศ ตอนนั้นเพราะใจไม่คิดว่าจะรักใครอีกแล้ว เขาถึงคิดว่าจะแต่งกับใครก็ไม่ต่างกัน ประจวบเหมาะกับผู้หญิงคนนี้เข้ามา โวยวายว่าเขาต้องรับผิดชอบ และเหมือนตอนนั้นจะนิสัยดีกว่านี้

เวลาแค่ปีเดียว ไม่สิ อาจจะแค่สองเดือนเผยธาตุแท้ที่เขารับไม่ได้ออกมา

ห้าปีแห่งความทรมานจบลงได้สักที

หากตอนนี้เขาควรจะสนใจเด็กน้อยที่ถูกลากเข้ามาจะดีกว่า

“ขอโทษด้วยนะที่อาลากเข้ามาในเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

“...ฮึก”

หืม?

ฟรอสชะงักเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ละสายตาจากหน้าบ้านกลับมามองคนในอ้อมกอดที่นิ่งไปตั้งแต่ถูกเขาโอบ แต่คราวนี้ไม่ใช่อาการตัวแข็งทื่อ หากเป็น...น้ำตาหยดใสที่ร่วงหล่นเป็นสาย

คนที่ใจเย็นแม้แต่ตอนที่ถูกด่าว่าขายตัวกำลังร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆ!

“อาขอโทษที่ลากเราเข้ามา ไม่เป็นไร เชื่ออานะว่าผู้หญิงคนนั้นไม่กล้าทำอย่างที่พูดหรอก อาขอโทษที่ปล่อยให้เพ้นท์ถูกด่าว่าขายตัว ไม่เอา ไม่ร้อง”

“...แรก...ฮึก”

หากเพ้นท์กลับร้องไห้เป็นเผาเต่า เงยหน้าขึ้น น้ำตาร่วงเผาะๆ เป็นสาย สองมือยกขึ้นปาดไปมาไม่ต่างจากเด็กสามขวบ แล้วเสียงร้องไห้โฮก็ดังขึ้น

“ฮือออออออ จูบ...จูบแรก...มันเป็นจูบแรกของ...ฮึก ของเพ้นท์...จูบแรกของผม ฮืออออออออ”

ฮะ!? จูบแรก?

คำตอบที่ทำให้ฟรอส พัทธ์ธีระตะลึงงัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น