3

ตอนที่ 3 ด้านได้อายอด


ตอนที่ 3 ด้านได้อายอด

ทุกทีในวันหยุดสุดสัปดาห์ หากนาฬิกายังไม่บอกว่าเที่ยงวัน พระพายไม่มีทางฟื้น เพราะในวันศุกร์หากไม่มีแข่งรถ ผู้ชายรักสนุกคนนี้ก็มักจะหาความสดชื่นให้ชีวิตที่ผับบาร์จนดึกดื่นค่อนคืน กลับมาก็สลบยาว แต่วันนี้ทุกอย่างแปลกออกไป เมื่อหนุ่มผิวเข้มลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ยังไม่ทันจะเก้าโมงดี ดวงตาแจ่มใส ไร้วี่แววง่วงงุนเช่นวันทำงาน ริมฝีปากยกขึ้นอย่างอารมณ์ดีสุดขีด

หากพระพายยังสนุกกับการหาความสดชื่นให้ตัวเอง เขาคงไม่ไปหลอกถามเบอร์เด็กหนุ่มอีกคนหรอก

ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้แล้วที่ร่างสูงรู้สึกว่าอะไรๆ ก็ไม่สนุกอย่างทุกที สมองเอาแต่คิดถึงค่ำคืนแสนเร่าร้อนกับเด็กน้อยเย็นชาคนนั้น พอเมื่อวานไม่มีแข่ง แถมไม่มีนัด เขาก็ขี้เกียจจะไปท่องราตรี ตรงกลับบ้าน กินข้าวกับครอบครัวแล้วเข้านอนตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน เพื่อ...ตื่นไปดักเหยื่อ

ในเมื่อความสนุกของเขาตอนนี้มีหน้าตาแบบหนุ่มน้อยสูงโปร่ง ตาเย็นๆ ปากแดงๆ ที่ป่านนี้คงโยนช่อดอกไม้ลงถังขยะตั้งแต่วันที่ได้รับ เขาก็ควรจะรีบตื่นแล้วไปแหย่ไปหยอดเพื่อทำคะแนนไม่ดีกว่าเหรอ ซึ่งหากถามพระพายว่าชอบมั้ย ก็ต้องชอบสิ ไม่งั้นไม่เสียเวลาขนาดนี้หรอก แต่ชอบในรูปแบบไหน เขาก็ไม่มีคำตอบเหมือนกัน

ชายหนุ่มรู้เพียงว่าติดใจ และเมื่อติดอยู่ในใจแล้วจะเกาะออกทำไม สู้ไปทำให้มาติดอยู่กับเขาไม่ดีกว่าเหรอ

ความคิดของคนที่เดินฮัมเพลงเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างว่องไว สะบัดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็กในวันทำงานมาเป็นกางเกงยีนกับเสื้อยืดสีเข้มที่ขับเน้นรูปร่างมาดแมน เสยผมตัดสั้น มองกระจกนิด แล้วก็ยกยิ้มกว้างอย่างมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง

พระพายไม่เคยคิดว่าตัวเองไม่หล่อ

ไม่ใช่ว่าเขาหลงตัวเอง แต่ข้อสรุปนี้มาจากปฏิกิริยาของคนรอบข้างไม่ว่าจะหญิงหรือชายที่ต่างยินยอมพร้อมใจให้เขาต่างหาก เขาอาจจะไม่ได้หล่ออลังการงานสร้างอย่างไอ้พายุเพื่อนสนิทที่สนามแข่ง แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่ารูปร่างแข็งแกร่ง และใบหน้าคมคร้ามของเขาไม่แพ้ผู้ชายหน้าไหนเหมือนกัน

อีกทั้งต้นทุนเขาค่อนข้างดี

ไม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่ฐานะทางบ้านที่ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ออกจะมีกินมีใช้เหลือเฟือ แม้หน้าที่การงานจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เป็นประธานบริษัทอย่างพ่อ แต่ในฐานะลูกชายคนโตผู้สืบทอดก็มีภาษีไม่น้อย ไหนจะการศึกษาที่เรียนจบทั้งปริญญาตรีและโทจากต่างประเทศก็เป็นใบการันตีอีกอย่าง ดังนั้นพระพายจึงเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยขาดคนมาขึ้นเตียงด้วย

ทว่า...ไม่ยักกะสนใจกันเลยสักนิด

เด็กคนนั้น สกาย คนที่มองเขาด้วยสายตาเย็นชาราวกับว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่ดึงดูดใจเลยสักนิด แต่มันไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเสียความมั่นใจ ตรงกันข้าม เขากลับสนใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครปฏิเสธเขา มีสิ แต่ไม่ใช่มองด้วยสายตารังเกียจเหยียดหยามแบบนั้น

มันทำให้ยิ่งอยากรู้ว่าเด็กคนนั้นคิดอะไรอยู่

“อยากรู้ก็ต้องไปหาสินะ”

พระพายว่ายิ้มๆ แล้วคว้าหมวกกันน็อกใบเก่งเดินลงไปยังชั้นล่าง

หากวันไหนที่เขาไม่ ‘หิ้ว’ ใครมาด้วย พระพายก็มักจะกลับบ้านมากกว่าคอนโดมิเนียมที่ซื้อไว้เพื่อการนั้นโดยเฉพาะ

“อ้าวพี่พาย วันนี้ตื่นเช้าจัง”

“พอคำนี้ออกมาจากปากคนตื่นเช้าจริงๆ แล้วรู้สึกเหมือนแกกำลังประชดใส่พี่อยู่เลย”

เพียงแค่ก้าวลงมาชั้นล่าง เสียงน้องสาวคนเล็กก็ดังมาจากห้องรับแขกจนต้องหันไปมอง

พรายพรรณ...สาวหนึ่งเดียวในจำนวนสามพี่น้อง

หญิงสาวหน้าตาสะสวยเจ้าของรูปร่างสูงยาวเข่าดีดุจนางแบบบนหน้าปกนิตยสาร ผิวพรรณขาวเกลี้ยงเกลาผิดกับตัวเขา ผมยาวสีดำสนิทที่มักจะรวบรัดเอาไว้ง่ายๆ ซึ่งแม้เจ้าตัวจะสวมแค่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดอยู่บ้านก็ไม่อาจจะปิดบังความงามที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ใครจะรู้เล่าว่าสาวสวยคนนี้มีนิสัยเหมือนพี่ชายทุกกระเบียดนิ้ว

นิสัยอะไรน่ะเหรอ...อยากได้ก็ต้องเอาให้ได้ไงล่ะ

ตอนม.ปลาย รายนี้ฟันมาแล้วครึ่งโรงเรียน อ้อ! โรงเรียนหญิงล้วนด้วยนะ

“คิดมากนะพี่พาย แล้วนี่จะไปไหน แน่ะ! แต่งตัวแบบนี้ คราวนี้หนุ่มหรือสาวล่ะคะ” น้องสาวทำตาวิบวับ ถามอย่างรู้ทัน ส่วนคนฟังหัวเราะอย่างเห็นขำ ถามกลับบ้าง

“แล้วแกล่ะ ช่วงนี้ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดีนะ”

“พรรณเพิ่งเข้าปีหนึ่ง ยังไม่อยากออกลาย” พรายพรรณยักไหล่ บอกตรงๆ เพราะเธอเพิ่งจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง เปิดเทอมได้ไม่กี่วันจะให้ออกไปหาสาวเลยก็ใช่ที่ รอให้ปรับตัวคุ้นชินกับอะไรๆ ก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน

“ฮ้าววว! แต่ตอนพี่เรียนปีหนึ่ง พี่ก็ได้ตั้งแต่วันแรกเลยนะ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง ซึ่งพระพายก็ยิ้มกว้าง หันไปมองคนที่เดินอ้าปากหาวลงมาจากชั้นสองด้วยสภาพยังไม่ตื่นดีอย่างขบขัน

“แปลกนะที่แกกลับบ้านตั้งแต่เปิดเทอมอาทิตย์แรก”

“ลืมของน่ะพี่ เลยกลับมาเอา” หนุ่มร่างเล็กเจ้าของใบหน้าเย้ายวนใจตอบ

เพราเพลิง...น้องชายคนกลางในจำนวนสามพี่น้อง

หากพระพายได้รูปร่างสูงใหญ่และสีผิวจากบิดา พรายพรรณก็ได้ความสูงจากบิดาและผิวพรรณอย่างมารดา ส่วนคนกลางน่ะเหรอ แทบจะถอดมารดาพวกเขาออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างเล็กบางทั้งที่เป็นผู้ชาย ใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลา ยิ่งเมื่อล้อมด้วยเรือนผมสีน้ำตาลแดงก็ยิ่งแผ่ออร่าความน่ามอง เมื่อรวมกับผิวพรรณที่ดีมาแต่เกิด บวกกับเจ้าตัวประโคมประทินผิวเข้าไปก็แทบจะเรืองแสงในความมืด ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้น้องชายคนกลางของเขา...สวยเสียยิ่งกว่าคนเล็กด้วยซ้ำ

พรายพรรณอาจจะมองไม่ออกว่าชอบผู้หญิง แต่เพราเพลิงมองปราดเดียวก็รู้เลยว่าเกิดมาเพื่อได้กับผู้ชาย แถมมันยังไม่เคยปิดบัง ‘ความอยาก’ ของตัวเองเลยสักครั้ง

พี่ใหญ่อย่างเขาถือสโลแกนว่าด้านได้อายอด ถ้าอยากได้หมดแล้วจะอายไปทำไม ส่วนเจ้าเพลิงนี่บอกชัดเจนว่า ได้หมดถ้าสดชื่น แล้วมันจะไปแปลกอะไรที่เจ้าน้องชายซึ่งตอนนี้เรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัยดังคนนี้จะเคยออกล่าเหยื่อตั้งแต่วันแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย

พระพาย เพราเพลิง พรายพรรณ สามพี่น้องนิสัยเดียวกัน!

“วันนี้กลับบ้านได้แปลว่าไม่มีคนถูกใจงั้นสิ” พรรณแซว นั่นทำให้คนง่วงกลอกตา

“มี แต่เขาไม่เอาพี่”

จากนั้นเพลิงก็ทำแก้มป่องพองลมใส่น้องสาว แล้วหันมามองพี่ใหญ่

“แล้วพี่พายล่ะ ตื่นแต่เช้า คราวนี้หญิงหรือชาย”

ถ้าเพราเพลิงไม่ปิดบังว่าชอบผู้ชาย พรายพรรณไม่ปิดบังว่าชอบผู้หญิง เขาเองก็ไม่ปิดบังเช่นกันว่าได้หมดทั้งชายหรือหญิง ดังนั้นพระพายจึงหัวเราะ ขยี้หัวน้องชายเบาๆ แล้วบอกอย่างไม่ปิดบัง

“ผู้ชาย”

“น่ารักกว่าเพลิงมั้ย” น้องชายถามอย่างอยากรู้ จนคนฟังโยกหัวไปมา

“ตอบยาก พี่ไม่เคยมองว่าแกน่ารักว่ะ”

“โห! มีน้องชายน่ารักระดับจักรวาลยังกล้าพูดงี้” มันทำตาโต

“โหกว่า พี่ชายพรรณโคตรมั่นหน้า” น้องสาวเข้าผสมโรง

“หรือแกไม่คิดว่าตัวเองหน้าตาดี”

“ไม่ได้พูดสักคำ” พรรณว่ายิ้มๆ ในดวงตาฉายแววมั่นใจในตัวเองไม่ต่างจากพี่ชายทั้งสอง

ท่าทางที่หากไม่ตอบคงเถียงกันไม่จบทำให้พระพายว่าขำๆ

“เอาจริงๆ ว่าคนนี้ก็ไม่ได้มองปุ๊บโดนปั๊บหรอก แต่ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารัก ทั้งตาวาวๆ ปากเบ้ๆ หน้าตึงๆ เวลามองพี่พวกแกนี่น่ารักสุดๆ” พอพูดแล้วก็นึกถึงดวงตาสีดำคู่นั้นที่ฉายแววเย็นชา ริมฝีปากสีสดที่รู้ว่าหอมหวานแค่ไหนยามบอกว่าไม่สนใจเขา และสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายเลยสักนิดนั่นก็ทำให้อยากไปเห็นหน้าเสียเดี๋ยวนี้

วันนี้จะทำหน้าน่ารักใส่อีกหรือเปล่านะ

“พี่พายนี่ก็โรคจิตเนอะ” พรรณวิจารณ์

“ไม่เท่าพวกแกหรอก”

“นิสัยพวกเราก็มาจากพี่นั่นแหละ” เพลิงย้อน ซึ่งคนฟังก็หัวเราะ รู้ดีว่าช่วยเลี้ยงเจ้าน้องสองคนนี้มาเองกับมือ นิสัยมันจะเอียงไปทางเดียวกันจนแม่เบื่อจะบ่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก่อนที่จะหมุนตัวออกจากบ้านอย่างขี้เกียจคุยต่อ เจ้าตัวก็นึกขึ้นได้

“เพลิง”

“หืม” เจ้าของชื่อที่ทิ้งตัวนั่งบนโซฟา แถมยังซบไหล่น้องสาวเลิกคิ้วนิด

“น้องเพลิง” พระพายเปลี่ยนวิธีเรียก จนทางนั้นตาโต

“ไหงจู่ๆ เรียกงี้” เพราเพลิงหรี่ตามอง

“เขินมั้ย” พี่ชายก็ไม่สน ถามต่อ

“กับพี่พายไม่ แต่ถ้าคนอื่นเรียก...” เพลิงเลียปาก ดวงตาวาววับ บอกชัดเจน “...โคตรชอบเลยละ”

จากนั้นก็เสริม

“อ้อ จะดีมากถ้าหล่อล่ำ หุ่นฟิต ลีลาเด็ด เสียวเผ็ดทุกท่ามาเรียกนี่โคตรระทวย”

“อื้อฮึ ขอบใจ”

พระพายพยักหน้า แล้วยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณว่าไปแล้วนะ ขณะที่ใบหน้าคมคายระบายยิ้มกว้าง ดวงตาวาววับไม่ต่างจากน้องตัวเอง เพราะหากที่น้องชายพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เขาก็ควรจะทำให้เด็กคนนั้นระทวยได้เหมือนกัน

ไม่ได้หลงตัวเองหรอกนะ แต่หล่อล่ำ หุ่นฟิต ลีลาเด็ด เสียวเผ็ดทุกท่วงท่า...ก็ไอ้พายไม่ใช่เหรอวะ

หึๆ ถ้าเอาไปพูดกับน้องสกายได้โดนมองเหยียดแน่ แต่ก็อยากเห็นชะมัด

ความคิดของคนที่ยิ้มกว้างอารมณ์ดี เอาบิ๊กไบค์ลูกรักออกจากโรงจอดรถ แล้วเร่งเครื่องไปยังจุดหมายปลายทางในทันที

 

ใช้เวลาไม่นาน บิ๊กไบค์สัญชาติอิตาลีที่ปรับแต่งจนมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองล้านบาทก็แล่นเข้ามาจอดใต้หอพักนักศึกษาขนาดกลาง เรียกสายตาจากผู้อยู่อาศัยที่หันมาเมียงมองอย่างสนใจ ซึ่งตามประสาคนอัธยาศัยดี พระพายก็ดึงหมวกกันน็อกออกแล้วส่งยิ้มขี้เล่นให้เสียจนนักศึกษาสาวๆ หลายคนอายม้วน ทว่าวันนี้ชายหนุ่มไม่ได้มีความคิดที่จะมาแหย่สาวไหนก็ได้ เขามีเป้าหมายเดียว แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นมีสถานที่ให้แวะเสียก่อน

หลายวันมานี้ พระพายก็หลอกถามเลขห้องของสกายจากวาเรนเหมือนกัน แต่ช่วงนี้โทร.ไปแต่ละที ไม่ไอ้พายุเป็นคนรับ เรนก็ตัดสายทิ้ง มีครั้งล่าสุดที่ทางนั้นรับแล้วบอกตรงๆ ว่าจะไม่บอกอะไรเกี่ยวกับเพื่อนสนิทอีกแล้วเพราะไม่อยากให้คนทางนี้โกรธ

ในเมื่อหาข่าวจากคนใกล้ตัวไม่ได้ เขาก็ไม่ยี่หระ คนอย่างไอ้พายไม่เคยจนสิ้นหนทาง ดังนั้นแทนที่จะโทร.ไปหาเจ้าของห้อง (ให้โดนไล่กลับ) เขาจึงคว้าหมวกกันน็อกและของที่ซื้อมาเลี้ยวไปยังห้องกระจกที่เป็นออฟฟิศเล็กๆ ของเจ้าของหอพักแทน

“สวัสดีครับ”

พระพายไม่ลังเลที่จะเปิดเข้าไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ทั้งที่ตาคมเห็นอะไรบางอย่างเด่นมาแต่ไกล

ขณะที่ผู้หญิงอายุราวสามสิบต้นๆ ก็สะดุ้งโหยง หันมามองเขาตาโต แล้วหันขวับไปมองสิ่งที่พระพายจ้องอยู่เช่นกัน

“เอ่อ พี่ไม่ได้งุบงิบดอกไม้ของน้องเอาไว้เองหรอกนะ แต่ว่า คือ...”

“น้องสกายโยนทิ้งใช่มั้ยครับ”

“อ่า ก็...จ้ะ” คนพูดทำหน้าลำบากใจ แต่ก็ยอมรับในที่สุด

ขณะที่พระพายมองดอกทานตะวันช่อสวยที่เขาจัดการโทร.สั่งเอง ไปรับเอง แถมยังเอามาฝากให้ด้วยตัวเอง ทั้งที่วันธรรมดาก็ยุ่งแสนยุ่งกับงาน ซึ่งแทนที่มันจะประดับอยู่บนโต๊ะข้างเตียงคนที่ได้รับ กลับนอนนิ่งอยู่ในแจกันของเจ้าของหอพักเสียอย่างนั้น แต่...ไม่ได้โกรธ

เขาพยายามกลั้นขำอยู่ต่างหากล่ะ

ตอนแรกนึกว่าจะโยนลงถังขยะเสียอีก แต่ยังอยู่แฮะ

แต่ท่าทางนิ่งไปของชายหนุ่ม ทำให้คนมองเข้าใจผิดไปไกลโข

“กายไม่ได้โยนทิ้งหรอกนะคะ”

“ครับ?”

พระพายหันกลับไปสบตา แล้วทำตาปรอยๆ ดูน่าสงสาร แค่นี้ก็ทำให้อีกฝ่ายยิ่งอ้ำอึ้งเข้าไปใหญ่

อีกครั้งที่ชายหนุ่มมั่นใจว่าหน้าตาของเขาไม่แพ้ใคร

“คือกายห้ามไม่ให้พี่บอก แต่พี่อึดอัดอะ ขืนน้องคิดว่ากายโยนทิ้งก็คิดว่ากายเป็นเด็กไม่ดีอีก พี่พูดเลยก็แล้วกัน” ซึ่งหนุ่มหล่อที่กำลังทำหน้าน่าสงสารก็ทำให้คนมองใจอ่อนยวบยาบ อะไรที่รับปากเอาไว้กับเด็กหนุ่มอีกคนปลิววับออกจากหัวใจในวินาทีนั้น

“ไม่หรอกครับ ผมไม่มีทางมองว่าน้องสกายเป็นเด็กไม่ดีหรอก ผมแค่...เสียใจ” พระพายเพิ่มอ๊อปชั่นก้มหน้าให้ดูสลดอีกอย่าง แค่นี้คนฟังก็ฮุบเหยื่อ

“โธ่! อย่าเสียใจไปเลยนะ กายไม่ได้โยนทิ้งจริงๆ ค่ะ กายแค่เอามาฝากให้พี่ แล้วบอกว่าที่ห้องไม่มีที่เก็บ จะทิ้งก็สงสารดอกไม้ เอามาไว้ห้องนี้ให้ดูสดชื่นดีกว่า แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เจ้าตัวบอกว่าถ้าน้องมาอีกให้บอกว่ากายโยนทิ้งไปแล้ว แต่พี่เสียดายเลยขอมาวาง...สกายไม่อยากทิ้งดอกไม้ของน้องหรอกนะ” พี่เจ้าของหอบอกรวดเดียวจบ แต่ทำให้พระพายยิ่งเบือนหน้าไปทางอื่น

“น้องไม่เป็นไรนะ”

หนุ่มหล่อไหล่สั่นก็จริง แต่เปล่าเสียใจอย่างที่ผู้หญิงตรงหน้าคิด แต่...กลั้นขำฉิบหาย

ใครจะไปคิดว่าน้องสกายเป็นเด็กไม่ดีล่ะ ขนาดเกลียดขี้หน้ากูยังหาทางปกป้องดอกไม้ที่แสนน่าสงสารอีกแน่ะ เด็กดีจะตาย

ชายหนุ่มนึกภาพตอนที่สกายกำลังจะโยนดอกไม้ลงถังขยะด้วยความไม่พอใจเขาออกเลย แต่เด็กที่ชอบทำหน้าเย็นชาคนนั้นก็ยังใจอ่อนยวบยาบ หาที่อยู่ให้เจ้าดอกทานตะวันสวยๆ พวกนี้จนได้ แถมท่าทางจะเลือกได้ดี เพราะนี่ผ่านมาหลายวันแล้วยังดูสวยสดอยู่เลย

น่าสนใจว่ะ นอกจากจะเร่าร้อน บางทีก็เย็นชา แล้วยังขี้ใจอ่อนอีก ยังมีอะไรอีกน้า~

“ผมไม่เป็นไร ขอบคุณพี่ที่ช่วยคราวก่อนอีกครั้งนะครับ อ้อ! นี่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ขอบคุณที่ช่วยดอกไม้ที่น่าสงสารพวกนี้นะครับ” พระพายรีบปรับสีหน้า ก่อนจะถูกจับได้ว่าไม่โศกจริง จากนั้นก็ส่งขนมที่แวะซื้อระหว่างทางให้

“พี่เกรงใจ”

“แต่ผมเกรงใจกว่าครับ รับไว้เถอะนะ”

อีกฝ่ายลังเลนิด แต่ก็รับเอาไว้จนได้

“อ้อ! ผมยังไม่ได้แนะนำตัวสินะครับ ผมชื่อพายครับ แล้วพี่...”

“จอยค่ะ เรียกพี่จอยก็ได้ เด็กทั้งหอก็เรียกแบบนั้น เอ่อ พี่ถามได้มั้ยว่าน้องกับกายนี่...” คนพูดทำไม้ทำมือวนๆ แทนคำถาม แบบที่คนตัวโตก็ทำหน้าลังเลนิด แต่สุดท้ายก็ยกมือเกาหัวแก้เก้อ หูแดงๆ ยิ้มแห้งๆ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

“อย่าบอกใครนะ ผมจีบน้องสกายอยู่ครับ”

“หืม?”

พี่จอยทำตาโตขึ้นมาทันที แต่คนสารภาพเต็มปากก็มั่นใจว่าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายรังเกียจ สมัยนี้เกย์เยอะแยะ ทำหอพักแบบนี้ไม่เคยเจอสักคู่สิแปลก อีกทั้งเขาบอกตรงๆ ดีกว่าอ้อมโลกเยอะ ทำอะไรจะได้สะดวก แถมเชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อยว่าอย่าบอกใคร...กระจายทั่วทั้งตึกแน่

นอกจากนั้น...

“ถ้าหนหน้าอยากฝากอะไรไปให้กายอีก บอกพี่ได้เลยนะ พี่เต็มใจช่วย” หญิงสาวบอกอย่างกระตือรือร้น แบบที่พระพายก็ส่งยิ้มจริงใจปนยินดีไปให้

“ขอบคุณมากนะครับพี่”

ผู้หญิงทุกคนชอบเสือก...เอ๊ย! อยากรู้เรื่องรักใคร่ของชาวบ้าน อีกฝ่ายก็ไม่เว้น ดังนั้นพระพายจึงได้พวกมาหนึ่งคนถ้วน แถมยังเป็นคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของสกายดี แล้วแบบนี้เด็กหนุ่มคนนั้นจะรอดพ้นเงื้อมมือของเขาได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย

จังหวะที่จอยไม่เห็น หนุ่มหล่อแสนจริงใจจึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

เพื่อเป้าหมายแล้ว ไอ้พายไม่เคยเลือกวิธีการ หึๆ

 

กว่าที่นายนภนท์จะฟื้นคืนสติก็เกือบจะเที่ยงวัน ซึ่งถือว่าเช้ามากสำหรับเด็กสถาปัตยกรรม แต่เพราะนี่เพิ่งจะอาทิตย์แรกของการเรียนปีสอง อภิมหางานที่มากมายเสียจนไม่ได้กินไม่ได้นอนยังไม่ถาโถมเข้าใส่ สกายจึงพยายามใช้ชีวิตอย่างคนปกติก่อนที่หลังจากนี้หลายเดือนจะหมดสภาพ และสิ่งที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาเต็มตาคือความหิวที่ทำให้ท้องร้องโครกคราก

เมื่อคืนกว่าที่จะปล่อยน้องปีหนึ่งกลับบ้านก็ดึกดื่นมากแล้ว เขาเองก็ต้องอยู่ประชุมกับพวกรุ่นพี่ต่อ อีกทั้งพี่ส้ม รุ่นพี่ปีห้าที่ไม่ควรจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับน้อง และควรเอาเวลาไปเตรียม Thesis ของปีนี้กลับลงมาด่าปีสี่แก้เครียด ทำเอาปวดกบาลกันไปทั้งบาง มีแค่ไม่กี่คนที่พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

พี่ส้มอกหักจากพี่พายุเลยเอามาลงกับพวกเขายังไงล่ะ

‘ดุฉิบ ท่าทางช่วงนี้จะแดกหวานมากไปหน่อย ไอ้เรน มึงก็เพลาๆ ความหวานกับแฟนมึงในไอจีบ้างนะ พี่ส้มจะงับหัวขาดกันทุกคนแล้ว’

ไอ้ซิกว่าเช่นนั้น ซึ่งแม้สกายไม่พูดอะไรแต่ก็เห็นด้วยสุดหัวใจ

สุดท้าย กว่าที่จะกลับห้องมาได้ก็เกือบจะเที่ยงคืน แล้วด้วยความที่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนทำงานเร็ว สกายเลยเลือกที่จะนั่งเคลียร์บรรดาการบ้านที่ได้รับมอบหมายมาของอาทิตย์นี้ไปบางส่วน กว่าหัวจะถึงหมอนก็ตอนฟ้าสว่าง สรุปว่าไม่มีเวลากินข้าวมากว่าสิบสองชั่วโมงแล้ว

“หิวชะมัด”

แถมพอเปิดตู้เย็นก็ว่างเปล่าจนได้แต่ถอนหายใจ นี่แค่เปิดเทอมอาทิตย์แรกก็ยุ่งจนไม่มีเวลาซื้อของเข้าตู้เย็น ไม่อยากจะคิดเลยว่าปลายเทอมจะมีสภาพแบบไหน

สกายจึงเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน คว้ากระเป๋าเงินกับกุญแจเดินออกจากห้อง

เรื่องน้ำไม่อาบนี่ปกติ เดี๋ยวหาอะไรกินก่อนค่อยกลับมาอาบก็ได้

ทว่าใครจะคิดเล่าว่าแค่เดินออกมาจากประตูก็เจอ...

“อรุณสวัสดิ์ครับน้องสกาย”

คนบ้าที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว!

ขวับ!

เท่านั้นแหละ สกายก็หมุนตัวเตรียมกลับขึ้นห้อง แต่ไม่ทันคนตัวโตที่พุ่งมาคว้าแขนเอาไว้ก่อน

“คนอะไรใจร้ายจัง เห็นหน้ากันแล้วเดินหนี”

ถ้าไอ้พี่ราหูพูดธรรมดาคงไม่เท่าไหร่ นี่เล่นจงใจตะโกนเสียงดังให้รู้กันทั้งหอ จนมีสายตาของเพื่อนร่วมหอหลายคนที่เมียงมองอย่างสนใจ เท่านั้นไม่พอ พี่จอยยังโผล่หน้ามาจากออฟฟิศ แล้วบอกอย่างกระตือรือร้น

“กาย พี่เขามารอเราตั้งแต่ก่อนสิบโมงเลยนะ อย่าใจร้ายนักสิ”

นภนท์อยากเป็นคนใจร้ายอย่างปากว่าหรอกนะ แต่พอเห็นสายตาตำหนิของพี่จอย กับรอยยิ้มของคนที่จับแขนเขาเอาไว้มั่นก็ได้แต่ถอนหายใจ

“พี่มีธุระอะไร” พอสกายหมุนตัวกลับมาเพื่อเป็นสัญญาณว่าจะคุยด้วย พี่จอยเองก็ยิ้มกว้าง ทำตาล้อเลียน แล้วหายกลับเข้าออฟฟิศไป จนเด็กหนุ่มอยากจะถอนหายใจหนักๆ เห็นท่าว่าอะไรที่ขอให้ช่วยทำ ทางนั้นคงขายเขาทิ้งไปแล้ว

คนหล่อมันมีภาษีดีกว่านี่นะ แม้จะหล่อแบบดำๆ ก็เหอะ

“เห็นหน้าพี่แล้วถอนหายใจ แน่ะ! คนใจร้าย” อีกทั้งพี่ราหูยังแซวยิ้มๆ จนอยากจะสะบัดมือหนี

“อือ ผมใจร้าย ปล่อยได้หรือยัง” สกายไม่คิดต่อความยาวหรอก ตัดบทมันตรงนั้น แต่มีเหรอที่แค่นี้จะทำอะไรคนอย่างพระพายได้

“ยัง พี่ยังพูดไม่จบเลย”

“งั้นก็พูดมา เร็วๆ ด้วย ผมมีธุระ” คนพูดพยายามดึงมือให้หลุดจากการเกาะกุม แต่คนตัวโตก็ยึดเอาไว้มั่น ซึ่งหากเป็นวาเรนคงดิ้นแด่วๆ ไปแล้ว แต่สำหรับสกาย พอดึงคืนไม่ได้ เขาก็ปล่อยเลยตามเลย แค่มองตาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังสนุกที่ได้แหย่เขามากแค่ไหน

“น้องสกายเอาดอกไม้พี่ไปทิ้งเหรอครับ”

“อือ”

“ใจร้ายอะ”

“อือ ใจร้าย”

“ไม่สงสารคนหล่อตาดำๆ หน่อยเหรอ”

“ไม่ แล้วพี่ก็ไม่ได้ตาสีดำ แต่สีน้ำตาล” ตอนแรกก็ตั้งใจจะไม่ตอบโต้หรอกนะ ทว่าแม้แต่คนอารมณ์เย็นยังอดจะหมั่นไส้ผู้ชายที่ตีหน้าเศร้า บอกด้วยเสียงน่าสงสาร แต่ดวงตาพราววิบวับไม่ได้ แถมมือที่จับแขนเขาก็กำลังกดนิ้วโป้งคลึงผิวเขาเล่นไปด้วย

“รู้แม้กระทั่งว่าพี่ตาสีอะไร ใจจริงก็สนใจพี่ใช่มั้ยล่ะ”

คราวนี้สกายยิ้มเย็น

“พี่ลืมไปหรือเปล่าครับว่ายืนอยู่ตรงหน้าผม คงมีแต่คนตาบอดเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่าสีอะไร” ใจจริงอยากด่าว่าคนโง่ แต่ยังไงอีกฝ่ายก็เพื่อนพี่พายุ คนที่ไม่ชอบมีเรื่องกับใครเลยด่าด้วยสายตา นั่นทำให้พี่ราหูหัวเราะเสียงดังลั่น

“แต่พี่ยังไม่รู้เลยว่าตาน้องสกายสีอะไร ไหน ขอดูหน่อยสิ”

“เฮ้ย!”

ทันใดนั้น ฝ่ามืออบอุ่นก็แตะลงบนแก้มขาว จนสกายเองก็สะบัดหน้าหนีด้วยความตกใจ แต่มีเหรอที่จะหนีผู้ชายคนนี้พ้น เพราะพอหนี พระพายก็ยิ่งตาม พอหันหน้าสุดคอก็ไม่พ้นมือข้างนั้นที่กุมกระชับพวงแก้มจนได้ แถมยังหน้าด้านบังคับดันให้หันกลับมาสบประสานสายตากันอีก

“ไหนครับ ให้พี่ดูหน่อย”

แต่สกายยังคงทำหน้านิ่ง ไม่สนใจความใกล้ชิดของพวกเขา ไม่สนใจปลายนิ้วที่ลูบคลึงแก้มเล่น จ้องดวงตาสีน้ำผึ้งกลับ ฟังเสียงนุ่มทุ้มที่อยู่ห่างเพียงคืบ

“ว้า! แต่พี่ไม่ยักรู้ว่าตาของน้องสกายสีอะไร ท่าทางพี่จะตาบอดแล้วละ”

คนฟังยังเงียบ มองอีกฝ่ายที่ยิ้มกว้างเสียจนตาพร่า แล้วว่าต่อ

“เพราะความรักทำให้พี่ตาบอด”

กึก!

แม้แต่เด็กหนุ่มเองก็ยืนตัวแข็งทื่ออย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน รู้หรอกว่าผู้ชายเสเพลแบบนี้พูดคำว่ารักได้อย่างไม่อายปาก แต่นี่มันใต้หอพักนักศึกษาที่มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา และมีหลายคนที่ยังมองมาทางนี้อย่างสนอกสนใจ จนสกายยังอึ้ง

‘พี่รักกายนะ’

ทว่าวินาทีนั้น ภาพของใครบางคนก็ซ้อนทับผู้ชายตรงหน้าจนพวงแก้มที่ควรจะแดงระเรื่อกลับซีดสีลงอย่างรวดเร็ว

“น้องสกาย?” แล้วมีเหรอที่จะพ้นสายตาคนตาบอดเก๊ได้

แกร๊ง!

เฮือก!

ทว่าจังหวะนั้นเอง สกายก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูกระจกของออฟฟิศที่ปิดลงเสียงดัง ดึงสายตาไปมองที่มาของเสียงแล้วเห็นหลังพี่จอยไวๆ บ่งบอกว่าทางนั้นแอบฟังอยู่ อาศัยช่วงเวลานั้นปรับอารมณ์ที่ไหววูบไปชั่วครู่หนึ่ง สายตาที่หันกลับมามองพระพายจึงเย็นชา

“หมดเรื่องที่อยากบอกแล้วใช่มั้ยครับ”

“เป็นอะไรมั้ย”

“...”

คนฟังนึกโกรธตัวเองที่เผลอปล่อยอารมณ์ให้คนทางนี้จับได้ แล้วบ้าชะมัด น้ำเสียงที่สะบัดความขี้เล่นทิ้งไป เหลือเพียงความห่วงใยทำให้หัวใจที่นิ่งสนิทมาตลอดเต้นเพี้ยนไปหลายจังหวะ ดวงตาคู่นั้นก็จริงจังกว่าเดิม จนร่างโปร่งที่ยอมยืนนิ่งให้จับอยู่นานก็พยายามดึงมืออีกฝ่ายออก

“เป็น ถ้าพี่ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมไปซื้อข้าวสักที”

ทว่าฝ่ามือที่จับแขนเขากลับบีบแน่นขึ้น เรียกสายตาของเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นอีกครั้ง

“...”

“...”

สกายสัมผัสได้ว่าทางนั้นกวาดมองทั่วหน้าเขาอย่างจับสังเกต ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะยกยิ้มขึ้น ดวงตาพราววิบวับอีกครั้ง ไหนจะฉวยมือข้างที่พยายามเกาะอีกฝ่ายออกไปวางแนบแผ่นท้องตัวเองเสียอย่างนั้น

“น้องสกายยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย บังเอิญจังเลย พี่ก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน ได้ยินเสียงท้องพี่ร้องมั้ย มันดังว่าอยากกินข้าวกับน้องสกายจังเลย”

“ผมได้ยินได้แต่เสียงโครกคราก” เด็กหนุ่มสวนกลับ ด้วยความที่อารมณ์ยังไม่คงที่ เขาเลยไม่ปิดบังน้ำเสียงรำคาญใจเลยสักนิด ซึ่งผู้ชายตัวโตก็โต้กลับ

“แปลว่าได้ยิน งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะเนอะ”

พระพายมัดมือชกไม่พอ ยังออกแรงลากให้เดินไปด้วยกัน จนสกายนิ่วหน้า พึมพำกับตัวเอง

“หนาชะมัด”

“ครับ พี่เป็นคนมือหนา”

“หน้าพี่นั่นแหละ!” เด็กหนุ่มบอกเต็มเสียง และทำให้คนเดินนำหันมายิ้มระรื่นให้

“ไม่ใช่แค่หน้านะครับ อกพี่ก็หนา อยากซบมั้ยล่ะ”

จากนั้นก็ฉวยมือของเขาไปวางบนแผ่นอกกว้าง จนสกายเองก็รีบสะบัดออกไม่ต่างจากต้องของร้อน เพราะนี่ไม่ใช่ในห้องที่ปิดมิดชิด แต่เป็นกลางซอยหอพักของเขา ฟันคมเผลอขบริมฝีปากล่างเต็มแรง ส่งสายตาหงุดหงิดไปให้ แต่ผู้ชายตัวโตก็ยังว่าต่อ

“พี่โฆษณาเลยว่ามีแต่คนติดใจอยากซบแล้วซบอีก”

พี่ราหูยักคิ้วหลิ่วตา ดูมั่นใจในตัวเองจนสกายกัดปากแน่น ทั้งฉิวทั้งขัน อารมณ์ที่แกว่งไกวไปมาเมื่อครู่กลับสู่สภาวะปกติ ไม่รู้ว่าจะอ่อนอกอ่อนใจดีมั้ยที่เจอคนแบบนี้ แต่ก็ส่งสายตาเย็นชาไปแทนคำพูด

“ไม่เคยมีใครว่าพี่หน้าด้านบ้างเหรอครับ”

“ลองจับดูมั้ยล่ะจะได้รู้ว่าด้านจริงมั้ย” คนพูดยื่นหน้าเข้ามา แถมยังพองลมเข้าแก้มข้างหนึ่ง ดูเป็นหนุ่มหล่อขี้เล่นสุดๆ

ส่วนสกายจ้องหน้าอยู่นาทีเต็มๆ มองคนหล่อที่ยังเอียงแก้มให้แบบนั้น แล้วเป็นฝ่ายหมุนตัว เดินจ้ำไปทางหน้าปากซอย

ถ้าเขายังต่อความกับอีกฝ่าย เห็นทีว่า...กว่าจะได้กินข้าวคงตอนพระอาทิตย์ตกดิน!

ทว่าเสียงนุ่มๆ ก็ยังดังตามมา

“โอเคครับๆ พี่พายเป็นคนหน้าด้านก็ได้ แต่เคยได้ยินมั้ยว่าด้านได้อายอด แล้วถ้าพี่อยากได้น้องสกายทั้งหมด พี่จะอายไปทำไม” สกายยิ่งเดินจ้ำไปทางหน้าปากซอยเร็วขึ้น ปล่อยให้คนตัวโตเดินตามอย่างไม่เร่งรีบ ทั้งที่ดวงตากำลังพราวระยับอย่างชอบอกชอบใจ

แม้พระพายจะยังติดใจสายตาที่หม่นลงของเด็กหนุ่ม แต่ตอนนี้เขาสนใจปากแดงๆ ที่กำลังกระตุกอยู่หลายทีมากกว่า

วันนี้แค่ปากกระตุก แต่เชื่อไอ้พายสิว่าหนหน้าจะทำให้ยิ้มปากกว้างเลย คอยดู!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น