ง่ายดายเหลือเชื่อ!
มันจะง่ายเกินไปไหม? เสียงในหัวของพรำพรรษถามตัวเองอย่างหวาดระแวง
สัญชาตญาณเตือนภัยอันเข้มข้นเตือนตัวเองอย่างหนัก แม้ว่าจะพ้นจากตัวตึกที่ถูกกักขังไว้อยู่สองวันสองคืนนั้นออกมาได้แล้ว
หญิงสาวอยู่บนรถยนต์ส่วนตัวของอาคเนย์โดยเขาให้แค่คนขับและบอดีการ์ดของเขาอีกคนพาเธอออกมาจากตึกไป 'เก็บข้าวของ' เพื่อย้ายมาอยู่กับเขา
ง่ายๆ แบบนี้?
จากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันแม้เพียงแค่สองวัน...สองคืน แถม...เวลาส่วนใหญ่ยังถูกใช้หมดไปบนเตียง แต่ไม่รู้ทำไมหญิงสาวถึงรู้สึกว่าเธอรู้จักเขาดีพอจะรู้ว่านี่มันไม่ใช่การตัดสินใจปกติของเขา ผู้ชายเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจคนนั้นไม่น่าจะปล่อยเธอออกมาง่ายๆ แบบนี้
พรำพรรษรู้สึกเหมือนกำลังก้าวลงหลุมพราง ...แต่จะไม่ก้าวก็ไม่ได้ ไม่เหลือที่ให้ไปแล้ว
ที่พักของเขานั้นเต็มไปด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าจะทันสมัยที่สุดในประเทศหรือในโลกนี้แล้วมั้ง เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิดและระบบล็อกที่อนุญาตเฉพาะบุคคลแบบระบุอัตลักษณ์ซึ่งเธอไม่สามารถฝ่าออกไปได้...ด้วยตัวเอง
ดังนั้นแม้จะเสียหน้านิดหน่อย ใช้แผนการเล็กน้อยแต่การรับปากมาอยู่กับเขานั้นเป็นหนทางเดียวที่จะหลุดออกจากตึกนั้นมาได้
ผมจะรอ...
อยู่ๆ คำคำนั้นก็หลุดมาในความทรงจำราวถูกกระซิบซ้ำที่ริมหู
พรำพรรษรู้สึกโหวงๆ ในใจแบบแปลกๆ ขณะรถเคลื่อนผ่านเส้นทางที่ไม่คุ้นชินไปสู่ถนนอีกสาย
แต่คนตายด้านอย่างเธอต้องไม่ควรรู้สึกอะไรสิ ...ใช่ไหมนะ?
รถจอดลงตรงหน้าอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งกลางเก่ากลางใหม่ ไม่แพงและไม่ถูกเกินไป เน้นหนักที่ระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนาที่สำคัญคือเดินทางสะดวกและต้องไม่สะดุดตานัก
...นี่เธอเลือกที่อยู่หรือเลือกเซฟต์เฮาส์กันแน่?
คำตอบคือ...ข้อสอง!
พรำพรรษมีห้องลักษณะนี้สำรองไว้สำหรับฉุกเฉินสี่ที่ จัดข้าวของไว้สำหรับการอยู่อาศัยระยะสั้นๆ มีเสื้อผ้าธรรมดาๆ อยู่หลายชุด ข้าวของเครื่องใช้จำนวนหนึ่ง เงินสดสำรองอีกนิดหน่อย เท่านี้ก็สร้างภาพของสาวพนักงานออฟฟิศทั่วไปคนหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว
บอดีการ์ดและคนขับรถไม่ยอมดื่มเครื่องดื่มที่เธอเสนอให้ พรำพรรษจึงต้องจำใจวางส่วนผสมพิเศษกลับคืนไว้ที่เดิม ไม่ได้มีโอกาสทดลองชงเครื่องดื่มพิเศษให้แขกได้ชิม
ในตู้เก็บอุปกรณ์ชงเครื่องดื่มของเธอในกระปุกชาดาร์จีลิงมีซองยาซ่อนไว้มิดชิด มันเป็นยานอนหลับชนิดแรงที่หญิงสาวเคยสั่งมาเตรียมไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ...ฉุกเฉินชนิดสุดๆ เหตุการณ์สมมุติกรณีเลวร้ายสุดอย่างเช่นถ้ามีคนร้ายบุกรุกเข้ามาถึงในบ้าน และถ้าเธอไม่ซวยถูกทำร้ายจนตายหรือบาดเจ็บสาหัสไปซะก่อน เธอคิดว่ามีวิธีเจรจาอย่างสร้างสรรค์หลากหลายวิธี การผ่อนคลายโดยการให้ยาสลบคนร้ายเป็นวิธีหนึ่งที่เธอคิดว่าตัวเองน่าจะปลอดภัยสุด
พรำพรรษเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย...ถึงร้ายมากๆ
โลกสำหรับคนที่ต้องดูแลตัวเองมาตั้งแต่อายุสิบสองปีนั้นไม่ง่ายและไม่ได้สวยงามแบบคนทั่วไป ถ้านั่นยังไม่แย่พอ...ยังมีมหาเศรษฐีโรคจิตตามรังควานส่งคนมาบังคับให้เธอย้ายไปอยู่ด้วยอีก!
หญิงสาวคิดอย่างโมโหเดือดขึ้นทุกทีขณะหยิบกระเป๋าเดินทางออกมาอย่างกระแทกกระทั้น เปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกก่อนชี้นิ้วสั่งคนที่เขาส่งมาคุมให้รื้อของในตู้ออกมาให้หมด เธอไม่หน้าแดงด้วยซ้ำยามเปิดลิ้นชักชุดชั้นในแล้วกวาดเทมันลงไปเป็นอย่างแรก จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของคนขับรถและบอดีการ์ดของอาร์คเนย์แล้วที่จะกวาดของจุกจิกในห้องใส่ในกระเป๋านั้น
หลังจากหางานให้คนของอาคเนย์ทำได้แล้ว พรำพรรษจึงเปิดประตูระเบียงออกไป วิวระเบียงห้องชั้นแปดที่เคยคิดว่าโอเค วันนี้กลับดูขัดหูขัดตาเพราะหัวใจคอยแต่จะคิดไปถึงท้องฟ้าในห้องกรุกระจกกว้างนั่น
หญิงสาวสบถในใจขณะเดินออกไปที่ราวแขวนผ้ามีผ้าเช็ดตัวตากอยู่... มันอยู่อย่างนี้มาชั่วนาตาปีแหละ เป็นการสร้างภาพพรางไว้ไม่ให้คนรู้ว่าไม่มีใครอยู่บ้าน
การมีผ้าเช็ดตัวตากไว้คนทั่วไปย่อมเข้าใจว่าบ้านมีคนอยู่มีการอาบน้ำจนต้องตากผ้าไม่ใช่รึไง
คนคิดพยักหน้าให้ตัวเองอย่างพึงพอใจ แถมผ้าเช็ดตัวที่ตากคลุมไว้ยังช่วยพรางทางเชื่อมสู่อีกห้องหนึ่งไว้อีกด้วย!
หญิงสาวหยิบกุญแจที่ไม่ลืมหยิบเอามาจากราวแขวนในห้องแรกมาไขประตูระเบียงห้องข้างๆ ซึ่งระเบียงทะลุถึงกันเข้าไปก่อนปิดล็อกกลับคืนไว้อย่างเรียบร้อย
...กระต่ายตื่นตูมต้องขุดโพรงสำรองไว้กันเหนียว
โดยเฉพาะกระต่ายน้อยบอบบางน่าสงสารช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างเธอ!
ที่จริงห้องนี้เป็นห้องเดียวที่เธอเช่าไว้สองห้องติดกัน ...ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้งานจริง
หญิงสาวคว้าชุดสูทที่คุ้นเคยออกมาจากตู้ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็แปลงร่างคืนกลับมาเป็นผู้บริหารลุคป้าคนเดิมซึ่งต่อให้เดินสวนกันกับคนขับรถและบอดีการ์ดที่คุมตัวเธอมา ...หรือต่อให้เดินสวนกับอาคเนย์เขาก็ไม่มีทางจำเธอได้
...ไม่มีวัน!
หญิงสาวตอกย้ำกับตัวเองสองรอบมั่นใจสุดๆ แต่ทำไมใจหมองสุดๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันยามนั่งรถแท็กซี่กลับมาถึงที่ออฟฟิศสำเร็จโดยปราศจากเงาคนของอาคเนย์ตามมาหลอกหลอน
บทจะง่ายก็ง่ายดายจนใจหาย...
หญิงสาวก้าวลงจากแท็กซี่พยักหน้าให้ รปภ. ที่ชิดเท้าตะเบ๊ะให้แบบเต็มพิธีการ
ประตูกระจกหน้าบริษัทสะท้อนภาพโดดเดี่ยวของหญิงสาวซึ่งพรางตัวไว้ในชุดสูทหนายาวคลุมถึงตาตุ่มกับแว่นตาอันโตที่บดบังใบหน้าไปกว่าครึ่งและมวยผมที่จงใจให้มันดูแก่กว่าความเป็นจริงเข้าไว้ เธอพรางตัวแบบนี้มายี่สิบเก้าปีแล้ว ...และก็คงอยู่แบบนี้ไปจนชั่วชีวิตแหละ
ขาเพรียวในรองเท้าแบรนด์เนมที่ลืมถอดเปลี่ยนก้าวยาวตรงมั่นใจมุ่งสู่ลิฟต์ผู้บริหารท่ามกลางการทำความเคารพของพนักงานที่ผ่านมาเจอ
หน้าบริษัทเป็นป้ายขนาดใหญ่มีอักษรย่อตัวยักษ์ชื่อพีเคกรุ๊ป 'พีเค' ย่อมาจากชื่อของคุณปกรณ์ ประการณานนท์ พ่อของภาสกรสามีของคุณภัสตราภรณ์ คุณปกรณ์เสียชีวิตไปได้เจ็ดปีแล้ว
ว่าแต่...ทำไมเธอถึงกลายมาเป็นผู้บริหารของบริษัทนี้ได้ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวพันกันเลยน่ะเหรอ?
...พูดแล้วมันยาว
คนคิดถอนใจเมื่อตวัดสายตามองตัวเลขบอกชั้นในลิฟต์ผู้บริหารที่มุ่งใกล้เข้าสู่ชั้นสูงสุดเข้าไปทุกที ไม่มีเวลาระลึกความหลังอยู่หรอกนะ
ติ๊ง!
เสียงกระดิ่งดังเตือนราวระฆังเริ่มยกของการผจญกับกองงานอันหนักหนาสาหัส
คนในห้องผู้บริหารลุกยืนขึ้นต้อนรับเมื่อเห็นเธอ ดนตร์เลขาสาวร่างสูงโปร่งบางในชุดรัดรูปสีดำ ปรายในชุดสีเหลืองมะนาวสุดเซ็กซี่ ต้องรักสาวผ้าพับไว้ในชุดวินเทจสีหวานยืนยิ้มกว้างเมื่อสังเกตสีหน้าแล้วเจ้านายไม่ค่อยอารมณ์เสียสักเท่าไหร่ ทุกคนรุมกันเข้ามา ผู้ช่วยเลขาอีกห้าคนหอบเอกสารกองพะเนินวิ่งตามเข้าไปในห้องขณะสามเลขาสาวแย่งกันรายงานเหตุการณ์ช่วงครึ่งวันที่ไม่มีเธอกันแบบรัวๆ
พรำพรรษถอนใจแทบอยากทรุดกองลงกับพื้นโต๊ะทำงานตัวโตที่กองพะเนินไปด้วยแฟ้ม
บริษัทบ้านี่จะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเธอ?
หญิงสาวใช้ความพยายามตั้งหลายปีมาแล้วที่จะส่งต่อตำแหน่งผู้บริหารกลับคืนไปให้กับภาสกรผู้สืบทอดเจ้าของกิจการที่แท้จริง หรือไม่งั้นก็พวกตาแก่บอร์ดบริหารหุ้นส่วนหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งมันเป็นความพยายามที่ล้มเหลวมาโดยตลอด
สิ่งที่ภาสกรทำได้ดีนอกจากการจีบผู้หญิงวันๆ หาแต่เรื่องให้ผู้หญิงพวกนั้นมาโวยวายหน้าบริษัทได้ไม่เว้นแทบจะทุกสามวันเจ็ดวันคือการเลี่ยงหนีความรับผิดชอบเรื่องการสืบทอดงานของตัวเองอย่างสุดชีวิต
ดูเหมือนความฝันสูงสุดของหมอนั่นคือการใช้เงิน กิน เที่ยว สืบพันธุ์ ไปวันๆ รอวันตายอย่างไร้ความรับผิดชอบ ไม่ว่าพรำพรรษจะใช้ไม้อ่อนไม้แข็งหรือกระทั่งไม้เบสบอลก็ไม่สามารถทำให้ภาสกรสำนึกหันกลับมารับผิดชอบต่องานของตัวเองและพนักงานอีกนับพันคนนี้ได้
แถมความพยายามครั้งสุดท้ายของเธอจบลงด้วยการที่คุณภัสตราภรณ์จับคู่เธอกับภาสกรกำหนดวันแต่งงานให้เสร็จสรรพโดยไม่มีปรึกษาหารือกันก่อนซะงั้น มิไยที่พรำพรรษจะพร่ำบอกปากเปียกปากแฉะว่าเธอและภาสกรเป็นได้แค่เพียงเพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน ไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่านั้น ไม่เคยคบกัน ไม่เคยมีความรู้สึกใดๆ ทั้งทางกายหรือทางใจต่อกัน คุณภัสตราภรณ์ก็ไม่สนใจ ยังคงเดินหน้าหาฤกษ์หายาม หาโรงแรม หาร้านเช่าชุดแต่งงาน หาออกแกไนซ์ และรีบร้อนร่อนบัตรเชิญไปทั่วทิศ เชิญแขกหลักพันมาเป็นพยานในการผูกมัดพรำพรรษเอาไว้กับลูกชายเธอให้ได้
พรำพรรษเคาะรัวนิ้วขณะคิดแผนการถัดไปแต่ยังไม่ทันคิดเสร็จต้องรักก็หยุดความคิดเธอไว้ด้วยการวางแฟ้มทับลงไปบนมือที่กำลังรัวนิ้วอย่างใช้ความคิดนั้นจนต้องรีบหดมือหนี
"หยุดคิดแผนร้ายก่อนค่ะ งานกองนี้ด่วนโคตรๆ เลยค่ะคุณพลัม" สาวน้อยยิ้มหวานทำน้ำเสียงออดอ้อนขณะวอนให้เซ็นแฟ้มตั้งมหึมาให้ โดยมีดนตร์ ปราย และผู้ช่วยอีกครึ่งโหลยืนรอต่อคิว พรำพรรษจะทำอะไรได้นอกจากกัดฟันกวาดงานตรงหน้าให้หมดสิ้น
...ยังกะการถูกขังไว้สองวันมันเป็นความผิดเธอยังงั้นแหละ!
สามอาทิตย์หลังจากนั้นพรำพรรษถูกกองงานท่วมหัวเคี่ยวกรำแทบไม่ได้โงหัวขึ้นมา แทรกด้วยการประชุม การวางแผนงาน การประชุมนอกรอบกับผู้บริหารทั้งภายในและภายนอก การขอเข้าพบอีกนับไม่ถ้วน หญิงสาวเรียกคนที่เกี่ยวข้องเข้าพบเพื่อกำหนดแผนที่ชัดเจนในการที่เธอจะวางมือจากตำแหน่งประธานบริษัทพีเคกรุ๊ป รวมถึงการไล่ยกเลิกขั้นตอนต่างๆ ที่จองไว้สำหรับการจัดงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงเดือน นั่นทำให้ภาสกรถูกกระตุ้นให้ต้องแวะมาสองครั้งโดนไล่ตะเพิดเตลิดเปิดเปิงกลับไปทั้งสองครั้ง
ยังแอบได้ยินพวกเลขานินทาว่าประสิทธิภาพการทำงานของเธอลดความบ้าคลั่งลงไปประมาณสิบเปอร์เซ็นต์
จะไม่ให้ลดได้ยังไงล่ะ...
ในเมื่อเธอหยุดคิดถึงท้องฟ้ากว้างในห้องนอนกรุกระจกใสห้องนั้นไม่ได้ ยังไม่รวมถึงโต๊ะกินข้าวที่วิวดีสุดๆ นั่นอีก ห้องหนังสือก็ยังมีหนังสือน่าอ่านอีกตั้งมาก กับ...เพื่อนร่วมเตียงที่ทำให้ไม่ได้นอนนั่น
...น่าแปลกชะมัด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถูกเขากวนเกือบตลอดคืนแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงนอนไม่หลับก็ไม่รู้ เป็นมาหลายคืนแล้วด้วย คงเป็นความอิดโรยนั่นด้วยแหละที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
และปรายคง...เป็นห่วงละมั้ง
เลขาสาวกางตารางนัดพร้อมประกาศให้เธอต้องไปตรวจสุขภาพประจำปี...ซึ่งไม่เคยไปเลยสักปี
ปรายหว่านล้อมด้วยข้ออ้างต่างๆ นานาตบท้ายด้วยเหตุผลประมาณว่าแฟนเธอจะได้สิทธิพิเศษอะไรสักอย่างถ้าแนะนำคนไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเอกชนที่แพงหูดับตับไหม้นั่นได้ แถมราคาโปรโมชั่นที่ถูกเหมือนได้เปล่า ร่วมด้วยการนัดหมายจะมาเยือนของคุณภัสตราภรณ์ที่ทนเห็นพรำพรรษหมางเมินใส่ลูกชายเธอไม่ไหวจึงต้องออกโรงเอง
จะมาบีบบังคับเธอถึงห้องผู้บริหารนี่!
นั่นทำให้การตรวจสุขภาพที่ปรายแนะนำดูน่าสนใจขึ้นมาทันที
ดังนั้นทั้งคู่จึงได้ระเห็จมาโรงพยาบาลเอกชนกลางเมืองก่อนได้เหวออ้าปากค้างกันอยู่ในห้องวินิจฉัยเพราะผลตรวจการตั้งครรภ์ดันเป็นบวก
"เดี๋ยวมานะหมอ" พรำพรรษลุกพรวดขึ้นโดยไม่ลืมคว้ากระเป๋าถือใบเล็กติดมือมา ส่งสัญญาณบอกปรายให้ไม่ต้องตามมาเธอต้องการใช้ความคิดคนเดียวสักพัก
หญิงสาวเดินดุ่มมุ่งหน้าสู่สวนของโรงพยาบาล
...นี่ขนาดกำลังช็อกเธอยังมีความสติแตกแบบมุ่งมั่นเลยคิดดู
หลังจากเลือกม้านั่งมุมลับตาคนในสวนสวยได้แล้วพรำพรรษก็นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง
สิ่งแรกเลยคือ...อยากหาอะไรไปขว้างใส่หัวคนตัวโตนิสัยไม่ดีนั่นให้แตกสักแผลสองแผลหรือหลายๆ แผล
ใครจะคาดคิดว่าคนบ้านั่นจะไม่ยอมป้องกันจน...
กรรมแท้ๆ เคยด่าภาสกรไว้เหมือนมันเข้าตัวยังไงไม่รู้
หลังจากนั่งคิดเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ รอให้อารมณ์เย็นลงแล้วจึงคิดหาวิธีการแก้ปัญหา
การตั้งท้องหรือต้องเลี้ยงเด็กสักคนไม่ว่าจะมีพ่อหรือไม่ก็ตามสำหรับตัวเธอมันไม่ใช่ปัญหาสักนิด ด้วยเงินเก็บที่มีอยู่ตอนนี้สามารถเลี้ยงเด็กทีเป็นโหลคลอดออกมาเป็นครอกก็ยังได้ และการเป็นซิงเกิลมัมสำหรับสาวมั่นอย่างเธอมันเป็นเรื่องไร้ความสำคัญแทบไม่ต้องเปลืองสมองมากังวลเลยด้วยซ้ำ แถมพ่อแม่เธอก็ไม่อยู่ไม่เหลือญาติพี่น้องให้ต้องอับอายใครอยู่แล้ว
โชคดีที่เธออยู่ในยุคสมัยนี้ที่ผู้หญิงหากสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ก็แทบไม่ต้องแคร์สังคมอีกแล้ว
เพียงแต่ว่า...
มือบางควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าใบเล็กมากดรายชื่อด่วนโทร.หาดนตร์ในรายชื่อที่บันทึกไว้ กริ่งเรียกดังไม่กี่ครั้งดนตร์ก็รับสาย
"คะคุณพลัม?" เสียงห้าวนิดๆ มีรอยเหนื่อยเล็กน้อยพร้อมกับเสียงกุกกักกึงกังดังแทรกมาเหมือนกำลังมีการเก็บของกันขนานใหญ่อยู่ทางปลายสายฝั่งโน้นแต่พรำพรรษไม่สนใจหญิงสาวพุ่งตรงไปยังคำถามที่ตนเองอยากรู้
"ดนตร์การยุติการตั้งครรภ์ที่กฎหมายรองรับนี่อายุครรภ์ต้องไม่เกินเท่าไหร่วะ?"
ปลายสายนิ่งอึ้งไปชั่วพักก่อนพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"คุณพลัมใจเย็นก่อนนะคะ ถึงผู้หญิงของคุณภาสกรคราวนี้จะกวนตีนแค่ไหนแต่เราก็ไม่ควร..."
"ไม่ใช่โว้ย! ไม่ใช่ผู้หญิงของภาสกร" พรำพรรษแทบตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างหัวเสีย
"ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงของคุณกรงั้นใครกันคะ?" ดนตร์ถามอย่างจนหนทางหลังจากนิ่งอั้นไปเหมือนใช้ความคิดประมวลเหตุการณ์แล้วหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ "เดี๋ยว...อย่าบอกนะว่าคุณพลัมไปทำใครเขาท้องน่ะ?"
"อีบ้า! ฉันไม่ใช่แกนะ! ฉันจะไปทำใครเขาท้องได้ยังไง มีแต่คนอื่นสิมาทำฉัน" พรำพรรษเผลอลืมตัวตะโกนด่าเสียงดังลั่น
"คุณพลัม!" ดนตร์เรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "...นี่อย่าบอกนะว่าเมื่อสามอาทิตย์ก่อนที่คุณหายไปสองวัน นั่น โอ้วหม่ายก๊อดส์! เอ๊ะ! แต่เดี๋ยวก่อน ขอนับก่อน...เอ...มันไม่น่าเป็นไปได้เลยนะ" ท้ายประโยคนั้นพึมพำเหมือนคุยกับตัวเองจนทำให้พรำพรรษไม่ได้ให้ความสนใจหญิงสาวเรียกเลขาส่วนตัวฝ่ายกฎหมายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ดนตร์ ถ้า...ถ้าอายุครรภ์สามสัปดาห์นี่มันยังสามารถยุติการตั้งครรภ์โดยไม่ผิดกฎหมายได้อยู่ไหมวะ?"
คู่สนทนาเงียบหายไปก่อนน้ำเสียงต่อมาจะนุ่มนวล
"...คุณพลัมคะ ถึงมันจะเป็นอุบัติเหตุหรือความไม่เต็มใจยังไงก็ตามแต่เราต้องไม่ลืมหลักการสิคะ ไม่งั้นเราจะไปเผชิญหน้าผู้หญิงกับเด็กๆ ยี่สิบกว่าคนของคุณภาสกรได้ยังไง เราไม่เคยใช้วิธีนี้แก้ปัญหานะ"
"ฉันก็ไม่ได้อยากใช้วิธีนี้แก้ปัญหา แต่มันไม่มีวิธีแล้วจริงๆ ดนตร์แกเข้าใจไหมว่าถ้าฉันท้องตอนนี้ ฉันต้องถูกคุณภัสตราภรณ์ลากเข้าพิธีแต่งงานกับภาสกรอาทิตย์หน้านี้แน่ๆ ...โดยยัยป้านั่นจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อเด็กน่ะ" พรำพรรษรู้สึกปวดหัวหนึบๆ จนต้องเปิดกระเป๋าควานมือหาซองบุหรี่แต่พอหยิบมันออกมาแล้วกลับเจอข้อความหน้าซอง 'บุหรี่มีอันตรายกับสตรีมีครรภ์' นั่นทำให้มือของหญิงสาวหยุดนิ่งไปชั่วพักก่อนขยำซองบุหรี่ราคาแพงนั่นขว้างทิ้งพร้อมสบถอย่างหงุดหงิด
"แม่งเอ๊ย!"
"คุณพลัม...จะให้ดนตร์ไปหาไหม?" น้ำเสียงนุ่มเย็นห้าวนิดๆ ถามมาอย่างห่วงใย นั่นทำให้คนที่หลุดเผลอลืมตัวไปรู้สึกตัวขึ้นมาได้ พรำพรรษสูดลมหายใจลึกยาวหลายครั้งก่อนตั้งสติ
"ไม่ต้อง นี่ฉันมาโรงพยาบาลกับปราย ถ้าต้องการเพื่อนฉันจะเดินไปหาปรายเอง ขอบใจมาก"
วางสายจากดนตร์ไปโดยไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ
...สงสัยต้องกลับไปถามหมอเอาเองซะแล้ว
หญิงสาวกดโทรศัพท์อีกรอบความรอบคอบและคุ้นชินกับการแก้ปัญหาทำให้สั่งงานไปได้โดยไม่ลังเล
"ปราย แกไปกว้านซื้อที่ตรวจการตั้งครรภ์มาให้ฉันสักโหล แล้วก็ติดต่อโรงพยาบาลอื่นที่ไว้ใจได้ให้ที ฉันอยากได้ความเห็นที่สองเผื่อผลตรวจอันนี้ผิดพลาดอีกสักสิบนาทีเจอกันที่รถ"
พรำพรรษกดวางสาย หญิงสาวอยากกรีดร้องสติแตก อยากขว้างปาข้าวของ อยากด่าใครสักคน...อีตาคนที่กวนโมโหสุดๆ นั่นน่ะ อยาก...ดื่มเหล้าให้เมาหัวทิ่มไปเลย... เมา... พอคิดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สมองมันพาลคิดไปถึงเขาอีกจนได้...
รู้งี้...เก็บข้าวของไปอยู่กับเขาซะแต่แรกก็ดีหรอก...
หึ!...ตลกละ คนอย่างพรำพรรษเนี่ยนะ เก็บข้าวของไปอยู่กับผู้ชายแค่คิดก็เกือบหลุดขำตัวเองออกมาแล้ว
คนอย่างเธอ ไม่มีวันเก็บข้าวของไปอยู่กับผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น
แค่จะหัวใจเต้นแรงเพราะผู้ชายยังไม่...
เคย...เลย...
คนคิดอ้าปากค้างตาค้างเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วพบคนที่ทำให้หัวใจกระตุกถี่เร็วอย่างไม่ทันตั้งตัว
อะไรจะบังเอิญขนาดนี้!?
คนที่เธอกำลังคิดว่าจะเก็บข้าวของไปอยู่ด้วย...
ไม่ใช่สิ!
ที่คิดไว้คืออยากหาอะไรขว้างใส่ให้เขาแตกสักหลายๆ แผล ด่าทอเขาให้หนำใจแต่ต้องยืนไกลๆ ไม่ให้เขาจับตัวได้นะ
อีตาผู้ชายที่กวนโมโหสุดๆ นั่นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าและหัวใจของพรำพรรษอยู่ๆ ก็เต้นกระหน่ำแรงอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาเมื่อสบสายตาคู่นั้น สายตาที่แม้ตอนนี้จะไม่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกทีหากแต่มีความดิ่งลึกดึงดูดสะกดใจจนไม่อาจถอนสายตา ...ถอนหัวใจจากเขาได้
พรำพรรษสูดลมหายใจลึกยาวอีกหลายทีตั้งสติอยู่ชั่วพัก บอกตัวเองได้ว่าความบังเอิญไม่มีในโลก!
พ่อของลูกเธอต้องไม่บังเอิญมาเจอเธอที่โรงพยาบาลในวันที่เธอมาตรวจสุขภาพประจำปีแล้วผลตรวจการตั้งครรภ์เป็นบวกแน่
หญิงสาวหรี่ตามองคนที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าห่างไประยะไม่ถึงเมตรร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดสูทธุรกิจสีเทาเข้มพอดีตัวแบบสูทสั่งตัดราคาแพงซึ่งมันทำให้เขาดูเนี้ยบไปทั้งตัว ดูหล่อแบบคนจริงๆ ไม่เหมือนซูเปอร์โมเดลในหน้านิตยสารที่หล่อแบบแชะเดียวแล้วเลิก แต่นี่เป็นความหล่อแบบใช้งานได้จริง
เป็นความหล่อแบบ...แบบ...มันดูดี...ที่สุดเลยเว้ยแกร!
หญิงสาวเบือนสายตาจากเรือนร่างแข็งแรงที่เธอรู้ว่าแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อแบบผู้ชายแท้ขนาดไหนพยายามระงับอกระงับใจที่เต้นรัวแรงจนน่ากลัวว่าเสียงหัวใจเต้นระทึกนี้มันจะดังจนเขาได้ยิน เมื่อสบสายตาคู่นั้นอีกครั้ง ความมั่นใจทั้งหมดทั้งมวลที่เคยมีเหมือนมันโดนสูบหายไปหมดเกลี้ยง
ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจที่ว่า...หากซ่อนตัวอยู่ในชุดสูทหนาเกล้าผมมวยแก่ๆ และสวมแว่นตาป้าๆ ไว้แล้วเขาจะไม่มีทางรู้ว่าเป็นเธอ ...แต่จากสายตาที่มองสบมานั้นบ่งบอกโดยไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าเขารู้...
แถมสายตารู้ทันคู่นั้นยังมีความรู้สึกมากมายถ่ายทอดออกมาจนสับสนปนเปกันไปหมด มากจนน่าแปลกใจ ปกติพรำพรรษเป็นคนแข็งกระด้างไม่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงระยะหลายปีที่เข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้บริหารเต็มตัวต้องใช้ความเด็ดขาดตัดสินทุกอย่างเธอยิ่งละทิ้งความรู้สึกไปจนหมดสิ้น เพราะทุกๆ การตัดสินใจนั้นอยู่บนพื้นฐานของความอยู่รอดของผู้คนนับพันที่ฝากชีวิตไว้กับเธอ ผู้หญิงใจแข็งอย่างพรำพรรษจึงยิ่งเพิ่มสกิลด์ความใจร้ายใจมาร จนคนทั่วไปมองเธอเป็นสาวน้ำแข็งเลือดเย็นไร้ความรู้สึกและไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น
ทว่า...ความมั่นใจนั้นเริ่มสั่นคลอนเมื่อสบสะท้อนแววตาของผู้ชายตรงหน้า แววตาที่เหมือนเอ่ยถ้อยคำออกมานับร้อยพันโดยไม่ต้องพูดจาและน่าตระหนกตรงที่เหมือนเธอจะเข้าใจถ้อยภาษาเหล่านั้นเสียด้วย!
มันมีทั้งความเกรี้ยวกราดที่ถูกกดข่มไว้ ความรู้ทันที่เหมือนเขาล่วงรู้ไปหมดทุกอย่างในชีวิตเธอ สายตานั้นยังรวมไปถึงการคาดโทษที่บ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ยอมให้เธอรอดพ้นไปได้จากการเอาคืนอันสุดร้อนแรงแน่
ยังมี...เหมือนการตัดพ้อ...แต่ทำไมอารมณ์ตัดพ้อมันถึงมาอยู่ร่วมกับอารมณ์โมโหได้ก็ไม่รู้
...เดี๋ยวสิ! หญิงสาวสะดุ้งวาบอยู่ในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่รู้เขาอยู่ที่ตรงนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่...
จะได้ยินอะไรไปบ้างแล้วก็ไม่รู้
จะได้ยิน...
...จะได้ยินอะไรแค่ไหนก็ช่างเขาสิ!
ไม่เห็นต้องรักษาภาพพจน์อะไรเลยไม่ได้อยากให้เขาเห็นว่าเป็นคนดีเสียหน่อย
เขาควรจะรู้แต่แรกด้วยซ้ำไปว่าเธอมันนางมารร้าย
นางมารร้ายตัวแม่!
คิดได้ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงเชิดหน้าถามถึงการปรากฏตัวที่ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญของเขา
"คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"
อาคเนย์เลิกคิ้วก่อนกวาดสายตาไปโดยรอบพื้นที่สวนที่จัดแต่งสวยงาม ทั้งคู่อยู่ในมุมลับตาที่มีสุมทุมพุ่มไม้บดบังจนค่อนข้างเป็นส่วนตัว พรำพรรษนั่งเก้าอี้สนามตัวยาวที่อยู่บนหญ้าเขียวที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี บนพื้นหญ้ามีก้อนอิฐปูเรียงเป็นทางเดินคดเคี้ยว พอเห็นเขามองทางพรำพรรษก็รู้ทันทีว่าเขาจะพูดอะไรหญิงสาวชี้นิ้วใส่หน้าเขาพร้อมปรามด้วยน้ำเสียงรู้ทัน
"หยุด! ห้ามพูดนะว่าเดินมา"
มีรอยยิ้มบางๆ ฉาบในดวงตาคู่นั้นของชายหนุ่มก่อนเขาจะทำท่าถอนใจอย่างเสแสร้งเหมือนเป็นการบอกว่าผู้หญิงที่รู้ทันไปหมดนั้น 'ไม่น่ารักเลย' แต่ประกายวิบวับในสายตานั้นขัดกับอาการที่แสดงเป็นตรงกันข้าม
"มาตรวจกิจการ ผมมีหุ้นอยู่ในโรงพยาบาลนี้ คุณล่ะมาทำอะไรที่นี่?" พูดจบเขาก็เดินมาทรุดลงนั่งข้างๆ บนม้านั่งตัวเดียวกันพร้อมหยิบกระเป๋าถือใบเล็กของเธอขึ้นสำรวจ ท่ามกลางสายตาขุ่นขวางของเจ้าของกระเป๋าที่สูดลมหายใจลึกยาวระงับความโกรธด้วยการนับหนึ่งถึงร้อยในใจขณะมองมือใหญ่หยิบของในกระเป๋าออกมาดูทีละชิ้นโดยไม่มีการขออนุญาต
กุญแจและคีย์การ์ดสำหรับเข้าตึกออฟฟิศถูกสำรวจเป็นอย่างแรก ตามมาด้วยปากกา กระเป๋าเศษตังค์ใบเล็กที่มีแบงค์พันพับเป็นชิ้นเล็กๆ ยัดใส่ไว้หลายใบ กระเป๋านามบัตรที่พรำพรรษใส่ไว้ทั้งนามบัตรตัวเอง นามบัตรลูกค้าบางคน บัตรเครดิต บัตรสมาชิกฟิตเนสและบัตรสมาชิกของอะไรอีกสองสามอย่าง รวมถึงบัตรประชาชนและใบขับขี่ที่ถูกอ่านอย่างละเอียดก่อนที่คนหน้าไม่อายจะเก็บบัตรสำคัญสองสามใบนั้นใส่กระเป๋าเสื้อสูทของตัวเองอย่างหน้าตาเฉยที่สุด! นอกนั้นเขาวางคืนกลับไม่ว่าจะเป็นนามบัตรลูกค้า บัตรสมาชิกและสิทธิพิเศษทุกใบ รวมถึงนามบัตรของเธอที่เขาสำรวจอ่านละเอียดทั้งชื่อนามสกุลตำแหน่ง...พรำพรรษหรี่ตาอย่างใช้ความคิดเมื่อไม่เห็นรอยประหลาดใจในสีหน้าเขาเมื่อกวาดสายตาผ่านตำแหน่งประธานบริษัทที่ปรากฏอยู่ในแผ่นกระดาษชิ้นเล็กนั่นแต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อก็ต้องสะดุดเมื่อเขาสำรวจลิปกลอสกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ของเธอ เขาพิจารณาราวกับไม่เคยเห็นลิปมันมาก่อนในชีวิตถึงขั้นเปิดออกมาดมกลิ่นก่อนตวัดสายตามาที่ของเจ้าของด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังจินตนาการว่ามันกำลังถูกใช้งานอยู่ ซึ่งสายตานั้นเข้มข้นจนเกือบรู้สึกได้ถึงสัมผัสแตะแผ่วที่ลูบไล้บนริมฝีปากจนเจ้าตัวแทบต้องยกมือขึ้นปิดป้องตัวเองจากสายตาวายร้ายของเขา แต่นั่นยังไม่ร้ายกาจเท่าเขาเก็บมันเข้าอกเสื้อไปอีกอย่าง
เดี๋ยวสิ!...จะเอาของฉันไปทำไมยะ!?
แล้วถ้านั่นยังถือวิสาสะไม่พอเขายังหยิบไฟแช็กออกมากวาดตามองผ่านๆ ก่อนเหวี่ยงมันทิ้งไปในพุ่มไม้อย่างหน้าตาเฉย
หนอย...นั่นมันซิปโป้นะเว้ย! ถึงจะไม่ได้แพงหูดับแต่ก็ไม่ใช่ไก่กาอาราเร่นะ
กระทั่งผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กยังถูกปล้นเอาใส่กระเป๋าเสื้อไปไม่ยอมคืน ฟางเส้นสุดท้ายที่ท้าทายความอดทนของพรำพรรษคือการถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์มือถือเธอมาเปิดดูเพื่อพบว่ามันติดล็อกสแกนลายนิ้วมือ
"ขอโทรศัพท์คืนได้ไหม ฉันกำลังรอสายสำคัญโทร.มาอยู่" พรำพรรษกัดฟันเจรจากับเขาอย่างอดทน อย่างคนมีอารยะ อย่างคนที่รู้สึกอยากข่วนตะกุยคนตรงหน้าให้ลูกกะตาหลุดติดนิ้วออกมาเลยแต่ต้องระงับอารมณ์ไว้เพราะรู้ว่าสู้เขาไม่ได้ จดไว้ในใจอีกอย่างว่าจะหา...หาบอดีการ์ดสักโหลเอาโหดๆ ดุๆ แบบที่พร้อมฆ่าคนได้ คนคิดกัดฟันอย่างโมโหว่าทำไมไม่คิดเรื่องการจ้างบอดีการ์ดได้ซะตั้งแต่หลายวันก่อนนะ ก่อนที่เขาจะโผล่มาและทำสิ่งชั่วร้ายแบบนี้
"โทรศัพท์สายสำคัญ?" อาคเนย์เลิกคิ้วเป็นเชิงถามและคล้ายขอคำอธิบายว่า 'สายสำคัญ' ของเธอนี่มีใครบ้าง
"ที่ออฟฟิศอาจมีเรื่องด่วน เลขาฉันอาจมีเรื่องให้ต้องตัดสินใจหรือไม่งั้นก็ว่าที่แม่สามีกับคู่หมั้นฉันอาจโทร.มาก็ได้" พรำพรรษกัดฟันอธิบายพร้อมโยนไม้ตายใส่หน้าเขา ดูซิว่าถ้ารู้ว่าเธอมีกำหนดงานแต่งอยู่อาทิตย์หน้านี้แล้วเขาจะยังตามรังควานเธออยู่ได้อีกไหม
อาคเนย์ยิ้มมุมปากกับ 'ลำดับ' ความสำคัญที่เจ้าตัวเผลอเอาคู่หมั้นซึ่งอ้างว่ากำลังจะแต่งงานกันอาทิตย์หน้าไปไว้สุดท้ายเลยทีเดียว
"ไหนขอดูหน่อยซิว่าสายสำคัญของคุณมันสำคัญจริงไหม?" ชายหนุ่มคว้ามือเล็กๆ ที่ยื่นมาคาดคั้นขอโทรศัพท์คืนนั้นมาจัดการสแกนลายนิ้วมือเปิดล็อกเครื่องออกมาท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของ 'นางมารร้าย' ที่มาเจอคนร้ายกาจกว่า
"คุณ!"
ชายหนุ่มใช้เพียงมือเดียวกดดูเบอร์โทร.ด่วนที่บันทึกไว้
ปราย...ดนตร์...ต้องรัก สามรายชื่อเลขาอยู่อันดับแรกก่อนเป็นเบอร์จิปาถะอีกสามสี่หมายเลข
"ถ้าเป็นสายสำคัญจริงทำไมในเบอร์โทร.ด่วนถึงไม่ได้ถูกตั้งไว้ล่ะ? ไหนคือเบอร์คนที่คุณกำลังจะแต่งงานด้วย? ทำไมไม่มีชื่อ 'ที่รัก' 'ดาร์ลิงค์' 'ฮับบี้' 'ฮันนี่' 'สวีตฮาร์ท' หรืออะไรเทือกนั้นเลย?" คนถามสไลด์รายชื่อในโทรศัพท์หาดูเมื่อสำรวจจากเบอร์ที่โทร.ออกแล้วไม่เห็นสิ่งที่ว่า นอกจากสามเลขาแล้วก็มีแต่เบอร์โทร.ชื่อคนที่มีตำแหน่งและชื่อบริษัทกำกับทุกรายชื่อซึ่งมันหมายถึงว่าเป็นสายเรื่องงานล้วนๆ
"มะ...มัน...เป็น เป็น...เรื่องส่วนตัว...มากๆ ของฉัน" พรำพรรษแถสีข้างถลอกขณะพยายามดึงมือตัวเองที่ยังถูกยึดไว้ในอุ้งมือใหญ่ออกมาแต่ไม่สำเร็จแถมเขายังสอดประสานนิ้วให้การจับนั้นแนบแน่นขึ้นไปอีกโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำขณะที่ทำสิ่งที่ทำให้พรำพรรษตาโตเมื่อเพ่งมองจนเห็นชัดว่าเขากำลังทำอะไร
อีผู้ชายบาร์บาเรี่ยนนี่กำลังกดดูและไล่ลบรายชื่อผู้ชายออกจากโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของเธอ!
มันคืออะไรย์ย์ย์ย์
ทำแบบนี้ก็ได้เหรอ?
????
"ฉะ...ฉันกำลังจะแต่งงานอยู่อาทิตย์หน้าแล้ว" พรำพรรษละล่ำละลักบอกเขาตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้าย...สุดท้ายแล้วจริงๆ เพราะถ้านี่ไล่เขาไม่สำเร็จเธอก็ไม่รู้จะหาอะไรมาอ้างแล้ว
"งานแต่งงานอาทิตย์หน้า?" อาคเนย์ทวนคำมองนิ่งมาด้วยสายตาน่ากลัวซึ่งตอนแรกพรำพรรษเดาว่าเขาน่าจะโมโหหากสิ่งที่เขาตอบกลับมานั้นมันห่างจากที่คิดไว้สุดๆ
"งานแต่งที่คุณกำลังไล่ยกเลิกโรงแรม ร้านดอกไม้และร้านเช่าชุดแต่งงานเนี่ยนะ?"
บ้าฉิบ!
หมอนี่รู้เรื่องเธอถึงขนาดนี้ได้ยังไง!?
เขาจ้างนักสืบ?
หรือวางสายไว้ใกล้ตัวเธอ?
หรือซื้อตัวคนของเธอ?
หรือ...หรือ...หรือ...
สมองของพรำพรรษขาวโพลนไปหมดยามพยายามคิดหาเหตุผลมาอธิบายเหตุการณ์สุดช็อกที่ถูกรู้ทันไปหมดซะทุกอย่าง ถ้าเขาจะรู้ดีขนาดนี้เธอก็ไม่มีปัญญาหาอะไรมาอ้างโดยไม่ถูกรู้ทันแล้ว
แถม...ถ้าเขา 'แสนรู้' ไปหมดขนาดนี้เรื่องผลการตรวจสุขภาพวันนี้ก็ไม่น่าจะหลุดรอดพ้นจากการรับรู้ของเขาไปได้ หญิงสาวกัดฟันมองคนที่นอกจากจะไม่ปล่อยมือเธอแล้วยังยกมือในมือขึ้นจรดจมูกเหมือนดมสำรวจหาอะไรสักอย่าง โดยพรำพรรษได้แต่กัดฟันเพราะรู้ว่าสู้แรงเขาไม่ได้ แถม...ถ้าไปขัดใจเขาขึ้นมาเขาอาจทำอะไรประหลาดๆ ...อะไรประหลาดๆ แบบที่... แบบ...เหมือนกับตอนที่ถูกขังอยู่ด้วยกันกับเขาสองวันนั่นน่ะ ภาพฉากการร่วมรักอันเร่าร้อนใต้แสงดาวในสวนบนยอดตึกวนย้อนมาให้เจ้าตัวหน้าแดงก่ำขึ้นมาแทบไหม้ และเพราะมัวคิดเรื่องลามกอยู่เลยทำให้ไม่ทันปัดป้องเมื่อเขาละมือจากมือขวาของเธอมาดึงมือซ้ายขึ้นไปสำรวจทำท่าเหมือนสุนัขตำรวจดมหากลิ่นผิดปกติที่ปลายนิ้ว เกือบ...กำลังจะถามอยู่แล้วว่าเขาอยู่สังกัดเคนายเป็นเจ้าหน้าที่ดมหายาเสพติดหรือไง ตาคมคู่นั้นก็ตวัดมองมาเหมือนรู้ทันว่าเธอกำลังจะจิกกัดเขา ซึ่งประกายอันเริ่มคุ้นเคยในสายตาคู่นั้นเตือนให้พรำพรรษรู้สึกตัวจนรีบกลืนถ้อยคำร้ายกาจลงคอแทบไม่ทันเมื่อสำนึกได้ว่าถ้าขืนปากไวปากคมใส่เขาอีก... เขามีวิธีที่ไม่เลือกวิธีการมากมายแค่ไหนในการลงโทษเธอ
"คุณไม่ได้ติดบุหรี่?" อาคเนย์ตั้งข้อสังเกตท่ามกลางการกะพริบตางุนงงของคนที่ถูกถาม
"ไม่" เพราะยังงง จับต้นชนปลายไม่ถูกจึงเผลอตอบไปตามความจริง
"แล้วคุณพกบุหรี่ไว้ทำไม?" อาคเนย์ถามต่อด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก
อยากตอบเหลือเกินว่า 'พกไว้สูบสิ!' ติดแต่คนตาดุตรงหน้าทำท่าทางว่าจะไม่ให้อภัยกับคำตอบรวนๆ นี้แน่ ดังนั้นพรำพรรษจึงได้แต่ถอนใจบอก...เหตุผลที่ไม่เคยบอกใคร หรือจริงๆ แล้วไม่เคยมีใครถาม
"มันเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอยู่ร่วมกับพวกเฮงซวยไร้สามัญสำนึกที่ชอบสูบบุหรี่รมชาวบ้าน เรื่องอะไรฉันจะต้องทนดมมะเร็งปอดอยู่คนเดียวล่ะ? ฉันเลยหัดสูบไว้เพื่อพวกนี้โดยเฉพาะ ฉันไม่ชอบเสียเปรียบใคร ถ้าคำจำกัดความของผู้หญิงดีๆ คือพวกที่นั่งยิ้มหวานทนดมควันบุหรี่จากพวกงี่เง่านั่นได้โดยไม่ปริปากบ่น งั้นก็เรียกฉันว่านางมารร้ายได้เลย" พรำพรรษตอบพร้อมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ไม่แคร์ลุคนางเอกเลยสักนิด
เป็นตรรกะที่...โคตรไม่ใช่นางเอกเลย...
...แต่เขาชอบชะมัด!
ตาคมกวาดมองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าตั้งแต่ทรงผมมวยยุ่งๆ ที่เหมือนเพิ่งตื่นนอนมานั่น แว่นหนาที่ปิดบังไว้ครึ่งหน้าเหมือนหน้ากากพรางไว้ ชุดสูทหนาที่คลุมมิดชิดหัวจรดเท้า ...เขาชักอยากหาเหตุผลแล้วว่าทำไมเธอถึงต้องแต่งตัวแบบนี้
ถามแบบถอดออกมาถามทีละชิ้น!
สายตาหมายมาดนั้นเล่นเอาพรำพรรษรู้สึกขนลุกหนาวเยือกแบบแปลกๆ นี่ถ้าได้รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในหัวหญิงสาวคงต้องยิ่งชิ่งหนีไปให้ไกลสุดเลยแหงๆ นี่ยังดีที่เธอไม่รู้และแถมทั้งมือเล็กบางยังคงตกเป็นตัวประกันอยู่ในอุ้งมือหนานั่นทำให้การหนียิ่งยากเข้าไปใหญ่
อาคเนย์กุมกระชับมือน้อยที่ในที่สุดก็คว้ากลับมาไว้ในอุ้งมือได้เสียที ที่จริงเขาไม่ได้นึกอยากเปิดเผยตัวตนต่อหน้าเธอเร็วขนาดนี้
แต่ติดที่พรำพรรษไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่จะคาดเดาและวางจังหวะก้าวให้เดินไปตามแผนได้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวว่าโดนวางแผนไว้
อยู่ๆ จากคนที่จนมุมและเหมือนน่าจะโดนไล่ต้อนได้ง่ายๆ กลับตั้งสติลุกมาหาทางแก้ปัญหาและจะเดินหนีออกจากแผนของเขาไปซะงั้น
ชายหนุ่มจึงต้องรีบออกมาคว้าเธอเอาไว้ก่อนที่จะหนีหายไปไหนได้อีก
คราวนี้...ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มั่นใจว่าเธอจะไปไหนไม่รอดแล้วจริงๆ
ตาคมกวาดมองด้วยสายตาที่ทำให้พรำพรรษยิ่งหนาวยะเยือกเข้าไปอีกทั้งที่อยู่ในชุดสูทหนาที่เคยใช้เป็นเครื่องมือปกปิดตัวตนอย่างมิดชิดแน่นหนาจากคนอื่นมาได้โดยตลอด แต่เหมือนมันไม่สามารถปกปิดจากสายตาเขาได้
"นางมารร้าย..." อาคเนย์พึมพำด้วยน้ำเสียงชื่นชมปนเอ็นดู...เอ่อ...มันแปลกๆ ไปมั้ยนะ "งั้นต่อไปคุณก็ไม่ต้องไปทนกับคนเฮงซวยพวกนั้นอีก"
"ยังไงไม่ทราบ!" พรำพรรษขึ้นเสียงถามอย่างโมโหพร้อมพยายามสลัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมนั้นไปด้วย "ไม่ต้องทนคนเฮงซวย! งั้นต้องไปปรึกษาคุณภัสตราภรณ์ว่าที่แม่สามีฉันก่อนคนแรกเลยนะ บอกเลยยัยป้านั่นน่ะเป็นคนอย่างที่ว่าหมายเลขต้นๆ ในชีวิตฉันเลย ฮึ!" เสียงสุดท้ายเกิดเพราะไม่ว่าทำยังไงมือก็ไม่ยอมหลุดออกจากการถูกเกาะกุมแน่นไว้เสียทีจนต้องหมดความพยายามไปเอง
"อดีตว่าที่แม่สามี" อาคเนย์บอกให้ขณะที่ชักรำคาญคนที่พยายามดึงมือออกไม่เลิกราจึงดึงแขนลากพาเอาคนตัวเล็กเข้าหาตัวซะให้รู้แล้วรู้รอดไป
"หา?" พรำพรรษเงยมองเขาด้วยความสงสัยในข้อความที่เขาพยายามสื่อ
"ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเป็นแค่อดีตว่าที่แม่สามีของคุณเท่านั้น ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก"
"หรา...เป็นอดีตได้ยังไงไม่ทราบ?" หญิงสาวถามอย่างเหลืออด เธอใช้เวลากว่าเจ็ดปีมาแล้วที่จะบอกคุณภัสตราภรณ์ว่าเธอและภาสกรนั้นไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่เคยมีอะไรกันเกินเลยกว่าเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แต่คุณภัสตราภรณ์ไม่เคยสนใจฟังเพราะสิ่งที่เธอให้ความสำคัญคือตำแหน่งผู้บริหารที่พรำพรรษสามารถทำงานแทนลูกชายไม่เอาถ่านของเธอได้เป็นอย่างดี อย่างนี้แล้วต่อให้ปฏิเสธหนักแค่ไหนก็ยากเหลือเกินที่จะไม่ให้คุณภัสตราภรณ์หมายตาเธอไว้แต่งเป็นสะใภ้เข้าบ้านเพื่อมาช่วยทำงานบริษัทแทนลูกชายผู้ที่วันๆ เอาแต่ลอยไปลอยมาของเธอ
"ผมก็คงต้องบอกตามความจริงไป ว่าผู้หญิงคนนี้ผมจองแล้วรวมถึงลูกในท้องเธอด้วย ถ้าคุณภัสตราภรณ์ไม่ยอมผมคงไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของลูกชายเธอได้ ถ้าคิดจะมาแย่งว่าที่ลูกสะใภ้แม่ผม"
คนพูดจบประโยคด้วยรอยยิ้มบาดตาทั้งๆ ที่ข้อความขู่ฆ่าชาวบ้าน และเต็มไปด้วยพาสเทนต์...อดีต ว่าที่ อดีตว่าที่... เยอะแยะไปหมดจนพรำพรรษไม่ไหวจะลำดับว่าใครควรอยู่ตรงไหนแน่
แต่ที่ทำให้พรำพรรษช็อกหนักจนสมองวิงเวียนเต็มไปด้วยเสียงหึ่งๆ คือ
เขารู้แล้ว!
ความคิดเห็น |
---|