ถ้านี่เรียกว่าบ้าน...
โลกนี้ก็ไม่มีสิ่งที่ควรค่าแก่การเรียกว่าปราสาทหรือวังแล้ว!
บ้านอรรคนีย์พิทักษ์ใหญ่มาก เป็นตระกูลเก่าแก่แค่เพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ยังคงรักษาพื้นที่หลายสิบไร่ใจกลางเมืองเอาไว้ได้และยังคงรักษาบ้านเดิมโบราณอายุร้อยกว่าปีเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยมขณะที่คฤหาสน์หลังใหม่ก็ต่อเติมขึ้นมาโดยไม่ได้ทำลายความหรูหราสง่างามของเรือนไม้สักที่มีอายุมาตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์นั้นเลย
"โอ้! โหว...อภิมหึมามหาปราสาทอะ!" ปรายอุทานอ้าปากค้างตาค้างหมดสภาพเลขาสาวสวยเซ็กซี่ที่เธออุตส่าห์เทรนมาแทบตาย
พรำพรรษคิดอย่างโมโหขณะสายตามองอย่างอาวรณ์ไปที่ประตูรั้วอัตโนมัติซึ่งกำลังปิดตัวเข้าหากันอยู่อย่างช้าๆ แต่ด้วยระยะทางไม่ต่ำกว่าห้าร้อยเมตรจากลานน้ำพุหน้าคฤหาสน์ที่เธอยืนอยู่ไม่น่าจะมีทางที่จะวิ่งไปถึงทันและหญิงสาวโคตรมั่นใจเลยว่ามีโอกาสสูงมากที่จะโดนคว้าตัวไว้ก่อนลากตัวเธอไปลงโทษอย่างป่าเถื่อนต่อหน้าลูกน้องเขาแน่...โดยอีตาผู้ชายบาร์บาเรี่ยนนั่นน่ะ!
คิดแล้วอยากถอดแหวนเพชรเม็ดยักษ์นั่นขว้างใส่หน้าเขาเหลือเกิน ติดแต่คนที่รู้ทันกันไปหมดกุมกระชับมือเธอไว้แน่นหนาป้องกันการวิ่งหนีและถอดแหวนเหวี่ยง เหลืออะไรให้ทำได้ล่ะ นอกจากก้าวตามเขาเข้าไปบริเวณหน้าคฤหาสน์หลังใหม่ที่ใหญ่พอๆ กับโรงแรมหรู ซุ้มประตูเลียนแบบสถาปัตยกรรมบาโรกอันหรูหราเวอร์วังอลังการขณะคนรับใช้กว่าครึ่งโหลยืนเข้าแถวรอต้อนรับราวกับหนังสยองขวัญยุคโกธิคที่เคยดูตอนเด็กๆ
อาคเนย์ยังไม่เข้าไปข้างในหากหมุนตัวพรำพรรษหันหากล้องถ่ายรูปที่มีตากล้องรัวชัตเตอร์เก็บแทบทุกอิริยาบถที่เขาหมุนตัวเธอไปมาโอบเอวและถ่ายรูปคู่กันด้านหน้าบ้านเก็บไว้
สร้างภาพ!
...เขาต้องเอารูปพวกนี้ไปไว้ใช้ประโยชน์ในภายหลังแน่...
พวกแผนสูง!
"ยิ้มหน่อย ไม่ต้องทำหน้าเหมือนโดนบังคับมาขนาดนี้ก็ได้ เดี๋ยวชาวบ้านรู้หมดว่าเราเต็มใจแต่งงานกันแค่ไหน" เสียงห้าวกระซิบอยู่เหนือหัวมีริ้วรอยขบขันอยู่เต็มเปี่ยมนั่นทำให้อยากสับศอกใส่เข้าให้อีกสักรอบแต่ติดที่เขาหนีบแขนเธอไว้แน่นหนาขณะพาพรำพรรษเข้าสู่ตัวบ้านโดยไม่ลืมให้ช่างภาพตามมาเก็บรายละเอียดเหล่านั้นไว้
ช่างภาพตามมาถ่ายรูปทุกช็อตให้เห็นภาพเธออยู่ในบ้านอรรคนีย์พิทักษ์อย่างชัดๆ บ้านที่ไม่เคยเปิดให้สื่อมวลชนเห็นง่ายๆ ไม่เคยยอมให้รายการไหนมาถ่ายทำเพื่อโอ้อวดความร่ำรวยนี้ด้วยซ้ำไป
"คุณจะถ่ายไปทำไมนักหนา" พรำพรรษกัดฟันถาม คนที่ชอบซ่อนตัวหลีกหนีสังคมอย่างเธอไม่ชินและรำคาญกับการถูกเรียกถ่ายหมุนซ้ายหันขวาหันค้างไว้ขออีกทีพวกนี้ที่สุด
"อวดชาวบ้าน" อาคเนย์ตอบน้ำเสียงกลั้วรอยยิ้ม
"ถ้าอยากอวดคุณก็อวดบ้านคุณไปสิ จะมาจับฉันถ่ายรูปพวกนี้ทำไม" หญิงสาวกัดฟันกลั้นสีหน้าเหวี่ยงเอาไว้
"ไม่ได้จะอวดบ้าน จะอวดพลัม" คนพูดลากตัวเธอตามมานั่งลงคู่กันที่โซฟาในห้องรับแขกสุดอลังการ จับสองมือของหญิงสาวล็อกไว้ในอุ้งมือใหญ่
"คนอย่างฉันมีอะไรน่าอวดตรงไหนกัน?" พรำพรรษสงสัย
อาคเนย์ก้มลงมองคนที่เงยหน้าขึ้นส่งสายตาเต็มไปด้วยคำถามจริงจัง นี่เธอคงไม่รู้ตัวสินะว่า...พอสลัดชุดสูทหนาๆ นั้นทิ้งไปแล้วสวมอยู่ในชุดเดรสที่พอดีตัวเกาะเกี่ยวทรวดทรงองค์เอวบอบบางเผยสัดส่วนโค้งเว้าที่พอเหมาะพอดีโดยไม่เปิดเผยจนเกินไปนั้นตัวเองดูดีน่ามองแค่ไหน
แถมดวงหน้านั้น...ใบหน้าที่ผ่านการเมกอัพมาสามรอบจนเขาต้องอธิบายให้ปรายฟังว่า
"ผมต้องการตัวพลัมคนเดิม ไม่ใช่ไปแย่งมนุษย์ป้าจากภาสกรมาแล้วจับไปศัลยกรรมทีเดียวหมดทั้งตัวเข้าใจไหม ถ้าแต่งจัดเต็มเกินไปไม่คิดว่าจะมีคนเอารูปพลัมก่อนและหลังแต่งหน้ามาเทียบกันแล้วจะถูกเอาไปนินทาถูกเอาเรื่องไปขยายว่าแต่งงานกับผมแล้วไปศัลยกรรมมาหมดทั้งตัวเหรอ"
อธิบายกับปรายอย่างอดทนก่อนที่จะได้พรำพรรษในลุคแต่งหน้าอ่อนๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้แต่งหน้า มีความงามแบบเป็นธรรมชาติที่ไม่เสริมปรุงแต่งดูสะอาดตาและเยาว์วัยแต่เป็นอันตรายกับหัวใจอย่างร้ายกาจจนคนมองชักใจไม่ดีต้องคว้ามือน้อยนั้นมากุมไว้กันไม่ให้หนีหายหรือมีใครมาขโมยไปได้จึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
"งั้นอย่างน้อยก็ยิ้มไว้ให้ลูกดูก็ได้ ถ้าลูกมาดูภาพแล้วถามว่าทำไมหม่ามี้หน้าบึ้งจังจะตอบลูกว่าไงล่ะ?"
คำถามนั้นทำเอาคนฟังนิ่งอึ้งไป คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นนั้นเหมือนฟ้องว่ามีความคิดวุ่นวายมากมายวิ่งชนกันอยู่ในสมองของหญิงสาวจนสับสนปนเปไปหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือรอยยิ้มของอาคเนย์ที่รู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว นางมารร้ายของเขาเริ่มรวนเรและหวั่นไหวกับสายใยชีวิตที่เกาะเกี่ยวพันกันอยู่ไม่ใช่น้อย
ที่จริงแล้วเธอไม่ใช่ผู้หญิงใจแข็งใจร้ายใจดำอย่างที่พยายามแสดงออกสักนิด
ถ้าเธออยากทำลายเด็กจริงๆ เธอจะขว้างบุหรี่ทิ้งทำไม
ถ้าไม่แคร์เด็กจริงๆ เธอจะพยายามที่จะหลีกหนีถึงขั้นยอมแตกหักกับคุณภัสตราภรณ์ทำไม ในเมื่อการแต่งงานนั้นจะนำมาซึ่งความมั่นคงทั้งในชีวิตในทางการเงินและสถานะทางสังคมได้เป็นอย่างดี
ถ้าไม่แคร์...เธอจะยอมละทิ้งความพยายามที่เพียรสร้างมาตลอดเจ็ดปีเดินหนีจากการครอบครองความสำเร็จนั้นมาเพื่ออะไร?
"นี่เป็นรูปครอบครัวรูปแรกของเราในบ้านเรานะ เต็มใจหน่อย...อย่ายิ้มแบบกัดฟัน" อ้อมแขนแกร่งรวบร่างบางเข้าชิดด้วยกิริยาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างชัดแจ้ง แม้เหมือนเป็นการบังคับแต่ก็เป็นไปด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง กึ่งครอบครองกึ่งปกป้องดูแล...จากทุกความผันแปรในโลกนี้
...เหมือนเป็นครั้งแรกตั้งแต่โตมา ที่พรำพรรษรู้สึกได้ถึงความมั่นคงและการถูกปกป้อง
เหมือนเป็นครั้งแรก...ที่ไม่ได้ถูกมองว่าเข้มแข็งเกินจนไม่ต้องใส่ใจให้ความช่วยเหลือดูแล
เหมือนเป็นครั้งแรก...ที่สามารถแสดงความอ่อนแอและอ่อนไหวพึ่งพิงใครสักคนได้อย่างแท้จริง
เหมือนเป็นครั้งแรก...ที่ใจแข็งๆ ร้ายๆ ดำๆ ของเธอเหมือนมันละลายหลอมเหลวเป็นเยลลี่ได้โดยไม่ต้องพึ่งความเมามายจากแอลกอฮอล์
ภาพที่...อีกนานปีต่อมาได้ถูกทักถามจึงเป็นไปด้วยคำถามที่ว่า
'ทำไมในรูปนี้แม่ถึงได้ยิ้มเขินๆ แบบนี้ล่ะ?'
"บ้านใหญ่ขนาดนี้อยู่กันกี่คนนี่?" พรำพรรษถามขึ้นเมื่อถูกจับจูงพาเดินสำรวจบ้านซึ่งแค่ส่วนรับแขกด้านหน้าก็สามารถเดินชมเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ ได้ทั้งวันแล้ว
"ส่วนใหญ่ก็คนใช้ แม่ผมอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง กับญาติบางคน"
ดูเหมือนคำว่าญาตินั้นจะทำให้เธอสะดุ้งนิดหนึ่งซึ่งนั่นไม่รอดพ้นสายตาเขาไปได้
"คุณเป็นลูกคนเดียวเหรอ?" พรำพรรษถามเมื่อหยุดยืนดูรูปครอบครัวขนาดใหญ่เต็มกำแพงตรงบริเวณชานพักบันไดด้านหน้า เป็นภาพวาดซึ่งมีชายชราหน้าตาดุนั่งอยู่บนเก้าอี้หลุยส์มีคนยืนกระหนาบอยู่สองด้าน ฝั่งหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนที่หน้าตามีความละม้ายอาคเนย์อยู่หลายส่วนอีกด้านหนึ่งคืออาคเนย์ที่ดูอายุอ่อนวัยกว่าตอนนี้หลายปี ยืนอยู่ด้วยสีหน้า...บอกบุญไม่รับยังไงไม่รู้ ไม่ยักมีสมาชิกคนอื่นอยู่ในนั้นดังนั้นพรำพรรษจึงเดาว่าเขาเป็นลูกคนเดียวและชายชราท่าทางทรงอำนาจที่นั่งอยู่ตรงกลางนั้นน่าจะเป็นคุณอัคคีคุณตาของเขาซึ่งเป็นผู้สร้างอาณาจักรธุรกิจที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านนี่ขึ้นมา
"ไม่ ผมมีพี่ชายอีกคน...พี่ชายสารเลว!" อาคเนย์ตอบน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์แต่ข้อความอันสาหัสนั้นทำให้พรำพรรษต้องรีบหุบปากกลืนคำถามว่าทำไมถึงไม่มีภาพพี่ชายเขาอยู่ในนี้ด้วยลงคอแทบไม่ทัน
"ไว้ว่างๆ ผมจะเท้าความเรื่องความสัมพันธ์อันแหลกเหลวภายในครอบครัวอรรคนีย์พิทักษ์ให้พลัมฟังก็แล้วกัน อยากเห็นคุณตาทวดไหม?" นั่นไม่ใช่คำถามเพราะเขาดันตัวเธอเข้าไปในประตูมหึมาบานหนึ่งซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยภาพบรรพบุรุษ ทั้งภาพวาดและภาพถ่าย ภาพเก่าๆ มากมายถูกจัดเรียงในกรอบร้อยเรียงกันเหมือนเป็นการบอกเล่าประวัติศาสตร์ของตระกูล
นอกจากนั้นยังมีตู้โชว์อีกมากมายที่มีทั้งถ้วยรางวัล โล่ ใบประกาศนียบัตร ภาพรับปริญญา และที่อยู่ลึกเข้าไปนั้นเป็นพวกเครื่องประดับ เครื่องยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งแสดงถึงความเก่าแก่ของตระกูลและความสูงศักดิ์ที่ทำงานในราชสำนักมาช้านานแล้ว มีแผนผังแสดงเครือญาติติดอยู่ที่ผนังด้านหนึ่งซึ่งทำเอาพรำพรรษถึงกับห่อปาก
"โหย...นี่ตระกูลคุณถึงขั้นนับกลับขึ้นไปได้ถึงรุ่นทวดของทวดเลยเหรอ?" กล่าวอย่างทึ่งๆ คนทั่วไปมักมีการบันทึกเรื่องพวกนี้ไว้ไม่เกินสี่ถึงห้ารุ่น ถ้าหากไม่เสียหายจากสงครามภัยพิบัติและการสิ้นสลายการสืบทอดวงศ์ตระกูลก็มักไม่ได้มีการบันทึกไว้อย่างเจาะจง
"ใช่" น้ำเสียงอาคเนย์มีรอยภาคภูมิใจแฝงอยู่ไม่น้อย ก้มลงยิ้มใส่ตาคนข้างตัวก่อนประคองมือเล็กข้างที่สวมแหวนหมั้นขึ้นมาทาบทับไว้บนตำแหน่งหนึ่งในภาพนั้น
"และลูกของเราสองคนก็จะมาอยู่ในรุ่นถัดไปในแผนผังนี่"
"เอ่อ...อ่า...เอ่อ...นี่คุณคงไม่ได้หมายความว่า...ว่า..." พรำพรรษติดอ่าง ขยับมือยุกยิกเหมือนอยากดึงมือหนีจากการเกาะกุมบงการของเจ้าของมือใหญ่
"อย่างที่พลัมคิดแหละ" อาคเนย์พูดกลั้วหัวเราะ ...หัวเราะให้กับตัวเอง ...หัวเราะให้กับชะตากรรมที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตต้องมาทำอะไรแบบนี้ ...กับคนที่ทำท่าเหมือนไม่เต็มใจเสียด้วย
"เราต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องไม่ให้คุณภัสตราภรณ์มาอ้างสิทธิ์ลมๆ แล้งๆ ได้ ให้ลูกของเราได้เกิดมาอย่างไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ใครและเขาต้องได้รับสิทธิ์เต็มที่ในฐานะทายาทของอรรคนีย์พิทักษ์" คนพูดเน้นย้ำโดยการยกมือเล็กขึ้นจรดจุมพิตไปบนนิ้วนางข้างที่สวมแหวนพร้อมยิ้มสะกดใจใส่ตาเธอ
"แต่งงานกันนะ...นะ" ถ้ายังไม่ได้หลงเพริดไปกับรอยยิ้มเย้ายวนปั่นป่วนหัวใจอย่างร้ายกาจของเขาตั้งแต่แรกพรำพรรษเชื่อว่ายังไงก็ต้องตกหลุมน้ำเสียงนุ่มนวลสะกดจิตนั้นแหงๆ ยังดีที่มีมืออีกข้างที่ว่างอยู่หญิงสาวจิกใส่ขาตัวเองเต็มที่ หยิกบิดเนื้อแรงซะจนน้ำตาแทบเล็ด
...ไม่ได้! ต้องกลั้นไว้ประเดี๋ยวเขาจะนึกว่าเราซาบซึ้งกับการขอแต่งงานจนน้ำตาไหล!
"ไม่!" คนพูดสลัดหัวจนผมกระจายก่อนจะต้องร้องออกมาเพราะถูกรวบเอวยกลอยและติดตรึงกับผนังด้วยร่างสูงที่เบียดตัวเข้าแนบชิด จนพรำพรรษรู้สึกตัวบี้แบนแทบกลายเป็นกล้วยทับอยู่แล้ว
"ทำไมล่ะ?" อาคเนย์ถามไม่มีความเย้ายวนและล่อหลอกในน้ำเสียงนั้นอีกแล้ว มีแต่ประกายตาวาววับของคนเอาแต่ใจที่กำลังจะเริ่มรังแกเธออีกรอบ
"ปล่อยก่อนได้ไหม?" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นต่อรองอย่างพยายามใจเย็น
"ไม่" นอกจากไม่ปล่อยแล้วอาคเนย์ยังเบียดเนื้อตัวประชิดเข้าหาคุกคามหนักยิ่งกว่าเดิมอีก
"เออ...โอเค งั้นฉันจะบอกให้ว่าทำไมฉันถึงแต่งงานกับคุณไม่ได้ ข้อแรกเราแตกต่างกันเกินไป" พรำพรรษรีบพูดเหตุผลเผื่อว่าเขาจะรับฟังบ้าง
"เราเหมือนกันมากๆ ต่างหากล่ะ ผมรู้ว่าพลัมคิดอะไรอยู่และพลัมก็รู้ว่าผมคิดอะไร ...พลัมเป็นผู้หญิงคนแรกเลยนะที่ทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังมองดูภาพสะท้อนของตัวเองในเวอร์ชันเซ็กซี่ปากร้ายกวนประสาทแต่โคตรน่ารักเลย แล้วอย่างนี้จะให้ผมปล่อยไปได้ยังไง?"
"ตะ...แต่ ฐานะเรา..."
"คนเกือบหมดประเทศนี้ก็ฐานะต่างกับผมทั้งนั้นแหละแค่ผมบังเอิญเกิดมารวยมากๆ ไม่น่าจะใช่เหตุผลที่ทำให้ผมแตกต่างจากชาวบ้านจนแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้เสียหน่อย"
"แต่เราแทบไม่รู้จักกันเลยนะ" พรำพรรษพยายามให้เหตุผลพร้อมๆ กับตะปบคว้ามือใหญ่ที่เริ่มเข้ามาป้วนเปี้ยนกับร่างกายเธออย่างกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ "เรา...เราเจอกันแค่สองวันเท่านั้นเองนะ มัน...มันไม่พอที่จะให้คนสองคนแต่งงานกันได้หรอก" หญิงสาวกัดฟันอธิบายกับคนที่เมื่อมือถูกคว้าจับไว้ก็เปลี่ยนเป็นก้มหน้าเข้าหาไล่แตะแผ่วริมฝีปากไปตามซอกคอและข้างแก้ม
"เรารู้จักกันดีจะตาย อย่างน้อยก็ตลอดสองวันนั้นไม่มีส่วนไหนของพลัมที่ผมไม่รู้จัก"
"ยะ...หยุดนะ!" พรำพรรษห้ามเสียงแข็งแต่สั่นไหวเมื่อรับรู้ได้ถึงการแตะต้องร้อนแรงของริมฝีปากที่น่าจะฝากรอยร้อนร้ายไว้ตามเนื้อตัวเธอ "ฉะ...ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องพรรค์นั้นเสียหน่อย"
อาคเนย์มองคนที่เงยขึ้นเถียงหน้าแดงก่ำอายจนแก้มแทบแตกระเบิดออกมานั้นแล้วเลยอดใจไม่ไหวที่จะหอมแรงๆ ไปบนแก้มแดงๆ นั้นหลายฟอด
"เรื่องอื่นเราก็รู้จักกันนะ ตลอดสามอาทิตย์มานี้ผมติดตามดูพลัมจนรู้เกือบหมดทุกเรื่องเลย ...และ" คนพูดเงยขึ้นจากซอกคอหอมกรุ่นที่ถูกซุกไซ้จนแดงไปหมดแล้วนั้นมาสบสายตากับหญิงสาวด้วยสีหน้ารู้เท่าทันกัน
"เชื่อว่าคนขี้ระแวงอย่างพลัมก็ต้องสืบเรื่องผมมาไม่น้อยเหมือนกัน ดังนั้นเรารู้เรื่องของกันและกันมากกว่าคู่แต่งงานบางคู่ด้วยซ้ำไป"
"ตะ..."
"ถ้ายังมีแต่อีก ผมจะกดพลัมลงบนพื้นแล้วแสดงเหตุผลทางกายภาพว่าทำไมเราต้องแต่งงานกันซะที่นี่เดี๋ยวนี้เลย ท่ามกลางรูปบรรพบุรุษทั้งตระกูลเป็นพยานนี่แหละ แถม...ประตูก็ไม่ได้ล็อกไว้ด้วย" คนพูดตาวาววับสีหน้าเอาจริง...หื่นจริงจนพรำพรรษต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอก่อนหลับตาข่มใจ
"ถ้า...ฉันตกลง" หญิงสาวถามอย่างกดข่มอารมณ์ก่อนกัดฟันถาม "คุณจะช่วยเอามือออกไปได้ไหม?" คนถามสายตาตกลงมามองจิกที่อุ้งมือใหญ่ที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นในมือที่ยึดครองแตะต้องไม่ยอมหยุดมาครู่ใหญ่แล้ว
อาคเนย์ยิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มที่ราวกับมีดวงดาวพริบพราวอยู่ในดวงตาคู่นั้นละมือจากสิ่งยั่วใจในทันทีโดยโอบสองมือไปทางด้านหลังเกาะกุมเอวเล็กบางไว้ผ่อนตัวเธอลงให้ยืนตั้งหลักได้มือใหญ่เอื้อมมาขยี้ผมสลวยด้วยท่าทางเอ็นดูก่อนพูดพร้อมจับจูงมือเธอ
"เด็กดี ว่าง่ายๆ โตไวๆ แค่จดทะเบียนสมรสเองไม่เจ็บเหมือนมีเซ็กซ์ครั้งแรกหรอก"
พรำพรรษหันไปถลึงตาใส่ ...ถ้าแปลภาษาจากสายตาของหญิงสาวออกมาเป็นคำพูดได้...เชื่อว่าบรรพบุรุษของเขาคงสะดุ้งแทบหลุดจากกรอบรูปที่ตรึงติดผนังไว้แน่
นี่มันแค่...จดทะเบียนสมรสเอง...
ตรงไหน!!!
ถ้าคิดว่าบ้านเขาเวอร์วังมากแล้ว...พิธีจดทะเบียนสมรสกับเขายิ่งหนักข้อขึ้นกว่าอีก!
พรำพรรษสูดลมหายใจเข้าแรงแทบก้าวขาไม่ออกเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้อง...ห้องที่ทีแรกคิดแค่ว่าอาจมีเจ้าหน้าที่จากเขตส่งคนมาให้บริการเป็นพิเศษพร้อมเอกสารต่างๆ ให้เซ็นชื่อแกร๊กเดียวไม่เกินห้าหรือสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อยแยกย้ายกันไปด้วยจำนวนคนมามุงกันไม่ควรเกินสิบคน...แค่นั้นเธอก็อายจะแย่แล้ว
แต่นี่...เขาจำเป็นต้องเวอร์ขนาดนี้ไหม
ภายในห้องรับรองใหญ่ซึ่งหญิงสาวสังหรณ์ใจว่าเป็นห้องพิเศษในบ้านเพื่อใช้สำหรับจัดงานสำคัญลักษณะน่าจะคล้ายๆ ห้องรูปไข่ หรือห้องสีงาช้างหรือห้องสีม่วงห้องสีเขียวอะไรเทือกนั้น ห้องที่เต็มไปด้วยการตกแต่งอย่างหรูหราบานหน้าต่างมหึมามีม่านหนาหนักยาวจรดพื้น เสาสวยประดับด้วยลวดลายคลาสสิกและเพดานตกแต่งแชนเดอร์เลียร์พวงมหึมาที่ทอประกายแพรวพรายระยับ ทุกหนทุกแห่งถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดทั้งที่มีสีสวยทั้งที่มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบ มีคนอยู่หลายสิบคนในห้อง ไม่นับคนรับใช้อีกนับสิบที่เดินเสิร์ฟเครื่องดื่มและของว่างราวอยู่ในงานเลี้ยงโรงแรมหรู พรำพรรษชะงักกึกแทบอยากจะกางแขนจิกกรอบประตูโก่งตัวขืนไว้ไม่ยอมเข้าไปด้านใน ติดแต่เมื่อกวาดมองบรรดาบุคคลที่รวมกันอยู่ในนั้นแล้ว...หญิงสาวยิ่งต้องสูดลมหายใจหนาวเหน็บจำต้องยอมก้าวตามที่เขาโอบเอวกึ่งประคองกึ่งดันให้เดินไปข้างหน้าเคียงข้างเขา
"ทำไมไม่เชิญรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมาซะเลยล่ะ" หญิงสาวกัดฟันประชดประชันเสียงเขียวเมื่อกวาดสายตาแล้วพบบุคคลสำคัญมากมายอยู่ภายในห้องไม่ว่าจะเป็นข้าราชการระดับสูงของกรมการปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคนพรำพรรษรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างแต่สังเกตจากเครื่องหมายยศแล้วมีแต่ระดับบิ๊กๆ ทั้งนั้น
หมดกันกับมโนภาพงานเล็กๆ น่ารักที่รู้กันแค่ไม่กี่คนที่พรำพรรษวาดหวังไว้
"อ้าว ผมก็ไม่รู้ว่าพลัมอยากเจอ ไม่งั้นเชิญท่านมาด้วยแล้ว" น้ำเสียงนุ่มนวลกวนกลับมาหน้านิ่งมากกกกก
อีตานี่!
ยังดีอยู่หรอกที่ก่อนหน้านี้เขาให้เธอไปพักเตรียมตัวในห้องรับรองห้องหนึ่งโดยที่ ปราย ดนตร์และต้องรักรออยู่แล้ว ไม่ต้องถามก็พอรู้ได้ว่าพวกนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
ปรายรับหน้าที่เติมแป้งและลงมือแต่งหน้าบางๆ ให้เข้มขึ้นกว่าเดิมอีกนิดสำหรับไม่ให้ดูซีดไปเวลาเข้ากล้องในช่วงเวลาสำคัญ ดนตร์เลือกเครื่องประดับและรองเท้าปล่อยหน้าที่เลือกชุดให้กับต้องรัก สาววินเทจเจ้าของเครื่องแบบเดรสสีหวานลายลูกไม้เลือกชุดสีงาช้างมีลายคล้ายลูกไม้ในตัวผ้า รูปทรงเรียบหรูอลังการเหมือนจะเข้าไปในงานพระราชพิธีอะไรสักอย่าง
"แก...ไอ้ต้อง เลือกชุดดีๆ เอาดีๆ ฉันไม่ได้จะไปทำพิธีตักบาตรเช้าในงานแต่งนะเว้ย" พรำพรรษดุเลขาสาวน้องเล็กเข้าให้
"อ่าว...แล้ว...เอ่อ..." ต้องรักเหวอไปเลย "ก็ไหนเขาบอกว่าคุณพลัมจะ...จะ...เอ่อ...ต้อง ...ต้องผิดเหรอคะ?" สาวน้อยทำหน้าจะร้องไห้ดูน่ารักน่าสงสารและน่ารังแกที่สุด! ต่อมนางมารร้ายของพรำพรรษเต้นยิกๆ ด้วยอารมณ์มันเขี้ยว เอ็นดูปนอยากรังแกแต่คำถามนั้นของต้องรักก็ทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า... เออ...ที่จริงมันก็เป็นพิธีแต่งงานนี่หว่า แม้จะแค่เพียงการจดทะเบียนก็เถอะ
"ต้องไม่ผิดหรอกจ้ะ ทำถูกแล้ว" ดนตร์เลขาสาวร่างสูงเพรียวในชุดดำสุดเซ็กซี่เดินถือกล่องเครื่องประดับเข้ามาระงับเหตุก่อนนางมารร้ายจะทำน้องร้องไห้ไปซะก่อน "ชุดนี้เนี้ยบเหมาะกับพิธีดี เข้ากับชุดไข่มุกนี่" ดนตร์วางกล่องกำมะหยี่ลงข้างๆ ชุดที่ถูกเลือก ไข่มุกเซาท์ซีเม็ดเป้งเปล่งประกายวาววับเป็นชุดสร้อยและต่างหูที่น้อยชิ้นแต่เรียบหรูและดูแพง จากนั้นดนตร์วางรองเท้าสีครีมฉลุลายลูกไม้เข้าชุดกันลงไป
"ถ้าใส่ชุดนี้เข้าไปฉันมิกลายเป็นมนุษย์บ้านขนมปังขิงเรอะ" พรำพรรษทำหน้ายี้ใส่ชุดที่บรรดาลูกน้องเลือกวางไว้ให้
"หุบปาก! ทีใส่ชุดมนุษย์ป้าน่าเกลียดนั่นยังทนมาได้ตั้งหลายปี นานๆ สวยทีแค่นี้อย่าบ่น" คงมีแต่ดนตร์คนเดียวเท่านั้นละมั้งที่กล้าต่อปากต่อคำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนไม่ได้กำลังจิกกัดด่าทอกันด้วยถ้อยคำอันสาหัส
สาวเซ็กซี่หันไปเหลือบมองทางชายหนุ่มเกือบจะเพียงคนเดียวในห้องแต่ก่อนที่จะได้ถามไถ่หรือไล่เขาออกไปก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน อาคเนย์กวาดสายตารอบหนึ่งว่าพรำพรรษยังอยู่ในสภาพเรียบร้อยดีเขาจึงเปิดประตูให้คนข้างนอกเข้ามา
"คุณอาร์คครับ แขกมากันครบหมดแล้ว" ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทที่แตกต่างไปจากบรรดาบอดีการ์ดแง้มประตูเข้ามาแจ้งข่าว
"อืม เดี๋ยวเราจะไปในสิบนาที" อาคเนย์ตัดบทแต่คนที่หน้าประตูยังดันประตูไว้ไม่ยอมถอย
"เอ่อ...ขอคุยเรื่องสัญญาก่อนแต่งงานหน่อยสิครับ คุณคงลืม..."
"ไม่ต้อง ไม่ได้ลืม ไม่จำเป็น" อาคเนย์ตัดบทอีกทีแต่คราวนี้ดูเหมือนคู่สนทนาจะแสดงอาการต่อต้านออกมาอย่างจริงจังหมอนั่นถึงกับยันประตูไว้ทำท่าเหมือนไม่กลัวตาย ไม่กลัวสายตาดุๆ จากคนเป็นนายเสียด้วยซ้ำ
"จำเป็นสิครับ ผมไม่ยอมให้คุณจดทะเบียนสมรสโดยเจ้าสาวยังไม่ได้เซ็นหนังสือสัญญาก่อนแต่งงานให้เรียบร้อยก่อนหรอกนะ" คนพูดเหงื่อตกเล็กน้อยจากการพยายามฝืนแรงสู้กับคนเป็นนายที่ตัวใหญ่กว่า
"แกนี่เป็นทนายที่น่ารำคาญที่สุดเลยรู้ตัวไหม ศศินไสหัวไป" อาคเนย์ไล่ไม่ไยดี
"เอ่อ...เดี๋ยว...ดูเหมือนเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่เหรอ เอกสารทางกฎหมายเดี๋ยวให้ดนตร์ไปช่วยดูก็ได้ แล้วจะให้ฉันเซ็นอะไรก็เอามาเลย" พรำพรรษห้ามศึกก่อนหันไปพยักหน้าให้เลขาฝ่ายกฎหมายของตัวเองที่ผงกหัวรับคำสั่งก่อนเดินสวยๆ ออกประตูไปพร้อมกับทนายของอาคเนย์
"คุณไม่จำเป็นต้องเซ็นเอกสารอะไรพวกนั้นก็ได้" อาคเนย์บอกสีหน้าไม่พอใจ
"ทำตามขั้นตอนไปมันจะยากตรงไหนกัน ฉันขี้เกียจมีเรื่องกับคนของคุณทีหลัง" พรำพรรษบอกอย่างไม่ใส่ใจ ขณะถอดชุดออก ...ซึ่งเมื่อมันเป็นครั้งที่สองของวัน คนเรา...ก็ย่อมมีภูมิต้านทานกันบ้าง พรำพรรษสามารถกดข่มอาการใจเต้นรัวตีสีหน้านิ่งสนิทเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ทั้งๆ ที่มีประจักษ์พยานวายร้ายตีมึนยืนดูตาเป็นมันอยู่ด้วยในห้อง
คนที่อายดันเป็นต้องรักที่หน้าแดงก้มหน้างุดลงไปเสจัดกระโปรงมือไม้สั่นเป็นพัลวัน
"เอ๋...คะ ...คุณพลัมคอเป็นอะไรคะทำไมมัน...มัน...ดะ...ดะ...แดง..." ต้องรักตอนแรกน้ำเสียงเหมือนตกใจเมื่อเงยขึ้นมาเห็นว่าปรายกำลังพยายามใช้คอนซีลเลอร์กลบรอยบนผิวขาวๆ ให้เจ้านายอยู่แต่ตอนท้ายๆ เสียงถามอ่อยและแผ่วหวิวลง
คราวนี้...มันไม่ได้แดงเป็นจ้ำๆ เฉพาะช่วงลำคอบ่าไหล่และไหปลาร้าแล้ว หน้าของพรำพรรษก็พลอยแดงก่ำไปด้วยอย่างควบคุมอาการไว้ไม่อยู่ท่ามกลางเสียงกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นของใครบางคนที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยแดงนี้
"อ๊ะ! อุ๊ย! อุ๊ย!อุ๊ย! อ๊าย! ขะ...ขอโทษค่ะ ต้องขะ ขอโทษค่ะ ต้องไม่เห็นอะไรทั้งนั้น" ต้องรักอุทานเสียงดังเมื่อเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไรเลขาสาวน้อยยกมือขึ้นปิดตาหันหลังให้ราวกับเปิดห้องมาเห็นบทอัศจรรย์นั้นกับตายังไงยังงั้นแหละ
"นังต้อง! ไปยืนสงสัยไกลๆ เลยนะ สุดมุมห้องโน่นเลยไป๊!" ปรายต้องหันไปตวาดไล่นังคนขี้สงสัยที่ทั้งอายหน้าแดงและทำท่าเหมือนจะร้องไห้ไปในคราวเดียวกัน
สรุป...มีสองคนที่ถูกไล่ออกไปยืนรอที่นอกห้อง
อาคเนย์กลั้นหัวเราะจนไหล่สะท้าน ยอมถอยออกมาก่อนที่พรำพรรษจะจิตหลุดมากไปกว่านี้แล้วพิธีจดทะเบียนสมรสอันน่าจะเป็นมงคลอาจเปลี่ยนเป็นเรื่องนองเลือดแทน ชายหนุ่มก้มลงมองร่างเล็กๆ ของสาวน้อยในชุดเดรสลายลูกไม้แสนหวานที่ยังพึมพำไม่หยุดว่า 'ต้องขอโทษค่ะๆ ๆ ๆ' ขณะหันหน้าเข้าหากำแพงเหมือนท่าน้องหมาเวลาสำนึกผิดยังไงยังงั้น ประกายขำขันปนมันเขี้ยวเหมือนเจอเรื่องสนุกวิบวาวในดวงตาชายหนุ่มขณะบอกตัวเองว่า พรำพรรษมีแต่เรื่องน่าสนใจ 'ของเล่น' น่าสนใจ ไว้ว่างๆ เขาคงต้องขอยืมยัยคนแคระตัวน้อยนี่มาแกล้งเล่นบ้างแล้ว
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันขยับตัวไปทำอะไรอย่างอื่น ประตูห้องฝั่งตรงข้ามก็เปิดผลัวะออก ศศินก้าวปึงๆ อย่างหัวเสียออกมาพร้อมแฟ้มและกระเป๋าเอกสารที่ยังปิดไม่มิดเสียด้วยซ้ำไป อาคเนย์เลิกคิ้วมองดูทนายหนุ่มซึ่งเป็นคนเขี้ยวลากดินและใจเย็นมากคนหนึ่งแต่ดูท่าทางแล้ว... เขามองเลยไปทางด้านในที่ดนตร์เดินนวยนาดออกมาช้าๆ ด้วยมาดนางพญา ริมฝีปากบางๆ อมยิ้มนิดๆ ซ่อนความสาสมใจไว้ด้วยมาดนิ่งและมีมารยาทมากพิธีการ
อา... ลูกน้องของพลัมนี่ช่าง...มีแต่คนน่าสนใจ เขาชักอยากรู้แล้วสิว่าหญิงสาวตรงหน้ามีวิธีจัดการกับคนน่ารำคาญอย่างศศินยังไง
"วันนี้คงเตรียมการไม่ทันค่ะ ไว้รอตรวจสอบเอกสารเรียบร้อยแล้วค่อยให้คุณพลัมเซ็นให้นะคะ" ดนตร์รายงานอย่างรู้ใจหลังจากสบสายตาตั้งคำถามของอาคเนย์และศศินไม่ยอมพูดอะไรออกมา ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างพึงพอใจในความรู้งานของเธอ
"ต้องรัก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้" สาวเซ็กซี่เพิ่งหันไปเห็นต้องรักยืนเอาหัวชนกำแพงในท่าสำนึกผิดอยู่
อาคเนย์หันไปแล้วก็พลันนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาบวกกับท่าทางที่โดนเล่นงานเข้าไปของศศินทำให้เขาอดไม่ไหวแล้วจริงๆ ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ โดยมีเสียงของหนักๆ ถูกขว้างกระแทกประตูตอบรับอย่างฉุนเฉียว
เกินกว่าเวลาที่คิดไว้ไปอีกสิบนาทีกว่าที่ 'เจ้าสาว' จะระงับอกระงับใจยอมออกมาจากห้องได้ หลังจากตรวจความเรียบร้อยเกินสิบรอบดับเบิ้ลเช็กทริปเปิ้ลเช็กแล้วว่าไม่มี 'รอยแดง' ตรงไหนเหลือไว้ให้ต้องรักสงสัยได้อีก
พรำพรรษกัดฟันข่มกลั้นความโมโหเมื่อสบสายตายิ้มได้ที่คราวนี้ไม่แค่ยิ้มแล้วตาคู่นั้นเหมือนกำลังหัวเราะได้เลยเสียด้วยซ้ำ
มันจะอารมณ์ดีมากเกินไปแล้วนะยะ!
คนคิดโมโหจนอยากหันไปหยิกใส่ยัยต้องให้เนื้อเขียวแต่ต้องปิดปากมันไว้ก่อนนะ กันมันร้องน่ารำคาญแล้วค่อยแกล้งมัน ติดแต่เหมือนดนตร์จะรู้ทัน แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องแต่เลขาสาวสวยเดาจากความฉุนเฉียวและประกายตาอาฆาตของเจ้านายสาวได้จึงดึงเอาต้องรักให้ถอยไปข้างหลังและแทรกตัวเข้ามาขวางไว้
"อย่าเพิ่งรังแกจนมันกลัวหนีไปสิคะ เรายังต้องใช้ต้องรักตอนไปดูที่กับตึกอีกสองแห่งตอนอาทิตย์หน้านี้อยู่นะคะ แถม...มันยังไม่ได้ช่วยดูรอบๆ บ้านนี้ให้เลย ยังรังแกมันไม่ได้นะคะคุณพลัม" ดนตร์หาเหตุผลมาหยุดยั้งความคลุ้มคลั่งของเจ้านายที่หายใจฟืดแรงอย่างโมโหแต่ระงับใจได้ด้วยการเอาผลประโยชน์มากลบอารมณ์ซาดิสต์ส่วนตัวล้วนๆ
หญิงสาวซึ่งยังไม่ทันหายโมโหก็ต้องมาอารมณ์ขึ้นอีกรอบเมื่อเจอพิธีแบบจัดเต็มซึ่งสำหรับเธอแทบไม่แตกต่างจากการจัดพิธีแต่งงานที่เชิญแขกมาเป็นร้อยเลย แต่จะเหวี่ยงก็ไม่ได้ วุฒิภาวะทางอารมณ์เธอนั้นถูกฝึกปรือมาจนผิดมนุษย์มานานแล้วดังนั้นหญิงสาวจึงสามารถเปลี่ยนโหมดมาเป็นรอยยิ้มนิดๆ ดูไม่เสแสร้งได้แบบฉับพลันจนคนที่ลอบมองอยู่อดกระชับอ้อมแขนที่โอบล้อมรอบเอวบางไว้แน่นขึ้นไม่ได้ และเมื่อหญิงสาวเหลือบสายตาขึ้นสบตาอาคเนย์ก็ทำปากโดยไม่เอ่ยเสียงออกมาน่าจะเป็น...
'น่ารัก'
แต่...ให้ตายสิ! ทำไมพรำพรรษถึงรู้สึกได้ถึงคำว่า 'มนุษย์บ้านขนมปังขิง' จากสายตาของเขานะ
และไอ้ชุดมนุษย์ขนมปังขิงที่ต้องรักเลือกให้นั้นมันดันโคตรเข้ากับห้องอันหรูหราอลังการนี่ราวกับตัดมาเพื่อใช้สำหรับห้องนี้ยังไงยังงั้น...หรือไม่งั้นต้องรักก็ต้องแอบมาเห็นห้องนี้ก่อนแล้วถึงไปเลือกชุดให้เธอ
เป็นเด็กที่โก๊ะเอ๋อไม่ทันคนแต่ดันมีเซนส์อันฉกาจฉกรรจ์จนน่าขนลุก
เอาเหอะ ให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ก่อนเถอะ ค่อยไปหาทางคิดบัญชีกับเขา หญิงสาวคิดอาฆาตไว้ในใจขณะไหว้สวยๆ แบบที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ถูกเชิญมาเป็นสักขีพยานในการข่มขู่เธอให้แต่งงานด้วยของอาคเนย์ นี่เขากะจะไม่เหลือทางรอดไว้ให้เธอหนีเลยสินะ
ทางหนึ่งพรำพรรษอาฆาตแค้นคิดแผนการร้าย อีกทางก็วางตัวสวยๆ เก็บไม้เก็บมือเรียบร้อยไม่มีหลุดกิริยาแย่ๆ ออกมาให้ตัวเองขายหน้า
โดยยังหวังอยู่ว่าจะได้แก้แค้น...
...ถ้าเธอรอดชีวิตจากพิธีวันนี้ไปได้นะ
ความคิดเห็น |
---|