1
หกปีก่อน
หญิงสาวไขกุญแจเข้าบ้าน หรืออีกนัยคือห้องเช่าเก่าโทรมบนอาคารสองชั้นที่อดสันนิษฐานไม่ได้ว่า มันน่าจะอยู่มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง สังเกตจากผนังปูนที่กระเทาะล่อนและสีของราที่เคลือบเขรอะอยู่บนนั้น ยังดีที่ทางเดินกว้าง แถมห้องก็ค่อนข้างใหญ่ แม้จะเก่าคร่ำคร่าจนแทบทรุด แต่โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างมาแข็งแรงแบบเกินมาตรฐานไปเยอะของตึกสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อนทำให้มันยังคงทรงตัวอยู่ได้
น้อยหน่าวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะข้างประตู กวาดตาสำรวจรอบห้องเร็วๆ รอบหนึ่ง มันมีร่องรอยเหมือนมีคนมาทำความสะอาดให้ แต่อย่างไรก็ไม่อาจล้างความเก่าโทรมของที่พักสุดหลอนนี้ไปได้ เธอทอดถอนใจให้ความโทรมเกินบรรยายนี้ เพราะหอพักนักศึกษาราคาถูกสมัยเรียนยังสภาพดีกว่านี้เยอะเลย
แต่จะให้ทำไงได้ ที่นี่เป็นที่อยู่เดียวในข้อตกลงย้ายออกมาอยู่นอกกรมทหาร ให้พ้นจากสายตาพ่อ...ท่านนายพล ประกาศ ปรมอัตตา คุณพ่อผู้เผด็จการ บ้าอำนาจ และหวงลูกสาวขั้นสุด หญิงสาวทำหน้าเบ้เมื่อสงสัยว่า ลูกสาวที่เตะผู้ชายสลบได้ในเท้าเดียวอย่างเธอ...ไม่รู้จะหวงไปทำไมนักหนา
ทำไมคุณพ่อต้องเผด็จการบ้าอำนาจด้วยนะ!
คิดอย่างโมโหจนอยากต่อยกระสอบทรายหรือซ้อมมวยขึ้นมาเลย ติดแค่ที่นี่ไม่มียิมหรือสโมสรให้เข้าไปออกกำลังกายได้ง่ายๆ จะให้ไปเป็นสมาชิกฟิตเนสก็...คิดแล้วความโมโหสลายลงทันทีเมื่อนึกถึงเงินในบัญชีที่สายป่านใกล้ขาดรอน
น้อยหน่ากวาดตาไปโดยรอบ อดประหลาดใจไม่ได้เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดไป อะไรบางอย่างที่ชื่อไอ้เก่ง ธรรมดามันต้องมาป้วนเปี้ยนกวนประสาทอยู่ในสายตาเธอเสมอ แต่นี่...มันก็หายไปหลายวันแล้วนะ แต่ห้องกลับสะอาดขึ้น
หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อกวาดตาไปพบแฟ้มอ่อนบนโต๊ะ เธอเดินไปหยิบดู พบว่ามันเป็นรายงานฉบับหนึ่ง รายงานที่...เธอเองก็ลืมไปแล้วว่าเคยสั่งให้ลูกน้องคนสนิท...สปายของคุณพ่อไปสืบหามาให้ โดยกำชับมันไว้ว่าถ้าไม่ได้เรื่องไม่ต้องกลับบ้าน
ไม่มีรูปถ่ายอยู่ในนั้น มีแค่รายงานสั้นๆ หน้าเดียว เป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวกับที่เธอให้มันไปสืบ ก็ไม่รู้สินะ ไอ้คนไปสืบก็ไม่อยู่ให้ถามเสียด้วย แถม...จากการซุ่มดูระยะไกลห้าสิบถึงร้อยเมตรอย่างที่ผ่านมา ก็ไกลเกินกว่าจะระบุหน้าตาเขาได้ชัด รู้แต่ว่าผู้ชายคนนั้นตัวโตอย่างกับหมี...
ผู้ชายที่ชื่อ อัคนี อรรคนีย์พิทักษ์
โอ้...นามสกุลดังนิ! อ่านไปอีกสองบรรทัดหญิงสาวก็ต้องตาโต นี่มัน...ไม่ใช่แค่นามสกุลดังนี่หว่า...หมอนี่มัน...ทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลที่ร่ำรวยติดอันดับประเทศมาทำบ้าอะไรอยู่แถวนี้
"ไอ้เก่ง!" หญิงสาวพึมพำ "เอ็งไปเอาข้อมูลมั่วอะไรมาให้ฉันหา!?"
น้อยหน่าเหลียวมองรอบตัวอย่างคันไม้คันมือ ถ้าลูกน้องคนสนิทอยู่ใกล้ๆ คงได้เหวี่ยงมันสักตุ้บสองตุ้บละน่า
‘มิน่าล่ะ มันถึงไม่กล้าโผล่หัวมาให้เห็น ฮึ่ม!’
คนคิดหัวเสียติดหมัด ความหงุดหงิดทบทวีขึ้นทุกที เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเรียกเหงื่อ กระตุ้นอะดรีนาลินให้กระปรี้กระเปร่า แต่ก่อนเธอจะทันได้เหวี่ยงแฟ้มบางๆ นั้นทิ้ง หญิงสาวก็พบว่ามีกระดาษอีกแผ่นติดมาด้วย กำลังจะขยำทิ้งอยู่แล้ว แต่ข้อความในนั้นเรียกความสนใจเธอให้ต้องกวาดตาอ่านด้วยสีหน้าครุ่นคิด
หญิงสาวหยิบโน้ตบุ๊กมาเปิดเครื่องและลงมือทำงานด้วยสีหน้าจริงจังไปอีกหลายชั่วโมง จนลืมความไม่พอใจที่มีต่อไอ้เก่งไปได้หมด ลืมกระทั่งประวัติของผู้ชายคนนั้นที่เธอวางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กทับเอาไว้ค่อนคืนเสียสนิท
ครั้งสุดท้ายที่น้อยหน่ามองนาฬิกาคือตีสอง หลังจากนั้นไม่รู้เธอวูบหลับไปเมื่อไร...รู้แต่ว่าเธอน่าจะฝัน
ในความฝันของเธอ มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งปักหลักอยู่หลังโต๊ะอีกฟากดุจเป็นตำแหน่งแห่งที่ของเขา ดวงหน้าของผู้ชายตัวโตคนนั้นเลือนราง เขาพูดอะไรบางอย่างกับเธอ พอจะเพ่งมองหน้าเขาให้ชัดพร้อมกับจะบอกให้เขาพูดอีกรอบ น้อยหน่าก็ดันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน ตื่นเพราะเสียงหวีดแหลมของนกหวีดที่เสียดขึ้นในความเงียบของเวลาตีห้าครึ่ง
ความปวดเมื่อยเพราะฟุบหลับกับโต๊ะทำให้หญิงสาวยกมือนวดต้นคอที่ร้าวระบมพลางกดปุ่มให้เครื่องคอมพิวเตอร์ออกจากโหมดสลีป ข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเรียกรอยยิ้มพึงพอใจบนดวงหน้านั้นได้เป็นอย่างดีท่ามกลางเสียงตะโกนเอะอะโวยวายราวกับมีไฟไหม้หรือมีเรื่องร้ายแรงอะไรสักอย่าง
แต่...ไม่มีอะไรหรอก ถ้าฟังดีๆ เสียงโวยวายนั้นก็คือ เสียงร้องเพลงมาร์ช และเพลงที่ทหารร้องขณะวิ่งยามเช้าแว่วมาให้ได้ยินตอนที่เธอเสียบปลั๊กกาต้มน้ำร้อน
“จากยอดดอยแดนไกลใครจะเห็น
ยากลำเค็ญเพียงใดใจยังมั่น
จะปกป้องผองภัยชั่วนิรันดร์
สิ้นชีวันก็ยังห่วงหวงแผ่นดิน
ด้วยหน้าที่ชีวิตรับผิดชอบ
คือคำตอบที่รบอยู่มิรู้สิ้น
ความภูมิใจลึกล้ำด่ำอาจิณ
รักแผ่นดินรักเกียรติศักดิ์นักรบไทย...”
ฟังเพลง “จากยอดดอย” ถึงแค่นั้นหญิงสาวก็คว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป ยังดีหรอกที่ที่นี่มีห้องน้ำในตัว ห้องน้ำกว้างขวาง สะอาด และปลอดภัย
พูดถึงความปลอดภัยแล้ว...
แม้จะโทรมสุดๆ แต่ที่นี่กลับเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสุดๆ
จะไม่ให้ปลอดภัยไปได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อผู้เช่าหกในแปดห้องของหอนี้เป็นทหารล้วนๆ เอ่อ...เป็นอดีตทหาร สามคนพิการ อีกสองคนพยายามหางานอยู่ แต่ทั้งหมดล้วนมีอาการ PTSD ทำให้มีปัญหาในการเข้าสังคมและการทำงาน
ส่วนอีกคนที่กำลังตะโกนร้องเพลงมาร์ชปลุกใจอย่างฮึกเหิมอยู่นี้...เธอไม่มั่นใจเหมือนกันว่ามีอาการ PTSD กับเขาไหม รู้แต่แกเป็นทหารมาชั่วชีวิต ปลดประจำการนานแล้วก็ยังไม่ยอมงดเว้นกิจกรรมฝึกของทหาร ต้องลุกมาออกกำลังตอนตีห้าครึ่งตรงเป๋งทุกวัน โชคยังดีที่ที่นี่อยู่ลึกและห่างจากบ้านคนพอสมควรทำให้กิจกรรมที่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายนั้นไม่ไปรบกวนเพื่อนบ้านจนถูกร้องเรียน
น้อยหน่าดื่มกาแฟกึ่งสำเร็จรูปรสชาติไม่ได้เรื่องที่ชงเองเสร็จแล้วก็โกยข้าวของจำเป็นใส่กระเป๋า...กระเป๋าแบรนด์เนมที่คุณนาถฤดี มารดาเธอซื้อให้เป็นของขวัญรับปริญญาเมื่อเกือบสองปีก่อน เป็นของราคาแพงเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นแหละที่เธอยอมรับมา เพราะคุณแม่ให้เหตุผลว่ามันจะทำให้ลุคเธอดูดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือตอนติดต่องานในอนาคต
แต่นอกนั้น ของพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับราคาแพงทั้งหลายที่ทั้งพ่อ แม่ และพี่ชายพยายามให้เธอไปซื้อหามาใช้สมฐานะ ถ้าไม่ต้องออกงาน หรือพบปะผู้คนที่เป็นกรณีจำเป็น เพราะถ้าไม่แต่งแล้วครอบครัวจะขายหน้า หญิงสาวก็แทบไม่ยอมควักเงินจ่าย และถ้าใครจะซื้อของพวกนั้นให้ หรือเป็นของขวัญในโอกาสต่างๆ เธอเป็นต้องขอรับเป็นเงินสดเสมอ จนพี่ๆ พากันขนานนามว่า 'อีงก' ไปแล้ว
ช่วยไม่ได้นี่นา...ก็มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำตามแผนการที่วางไว้ได้
แผนที่...แม้แต่คุณแม่ยังมองมาด้วยสายตาแปลกๆ ปนระอาใจ...น่าจะเป็นความระอาใจ...ละมั้งที่อยู่ในสายตาที่เธอได้รับมาตลอดยี่สิบสี่ปีนี้น่ะ บางทีแม้แต่การมีลูกสาวก็อาจไม่อยู่ในแผนที่คุณพ่อกับคุณแม่วางไว้ด้วย คุณแม่ถึงมีสีหน้าลำบากใจปนระอาเสมอเวลามองมายังเธอ
หญิงสาวยักไหล่ เธอสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกรอบหนึ่งจากกระจกบานใหญ่บนผนัง มันสะท้อนภาพหญิงสาวสวยจัดในชุดสูทธรรมดาที่เมื่อมาอยู่บนเรือนร่างสมส่วนก็ดูราวกับสูทสั่งตัดราคาแพง เธอ
เป็นหญิงสาวที่ไม่ว่าจะแต่งตัวอย่างไร ก็ดูแพงได้โดยไม่ต้องอาศัยโลโก้แบรนด์หรูมาแปะทับ ผมยาวสลวยรวบไว้อย่างง่ายๆ แต่ดูดีจนไม่ต้องเซต
น้อยหน่าเดินออกจากห้องพักโดยไม่ลืมหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊กติดมือมาด้วยอีกอย่าง พร้อมกับแผนธุรกิจในหัวที่ได้รับการจุดประกายจากกระดาษแผ่นเล็กที่แนบมาในแฟ้มอ่อนกับประวัติของหมอนั่น ประวัติของใครก็ไม่รู้ที่ไอ้เก่งมั่วนิ่มยัดเยียดมาให้ ประวัติที่เธอจำชื่อไม่ได้แล้ว รู้แต่นามสกุลอรรคนีย์พิทักษ์นั้นดังอยู่ไม่น้อยเลย เธอน่าจะไปหาข้อมูลจากในอินเทอร์เน็ตได้ไม่ยาก เพราะแบบนี้ไอ้ลูกน้องเฮงซวยถึงไปหามาลักไก่เธอไง
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ...ข้อมูลธุรกิจในกระดาษแผ่นน้อยนั้น มันไปเอามาจากไหน!?
และที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ...มีคนเดินตามเธอมา!
ต้องโทษหอพักเฮงซวยของพี่ปืนที่ดันอยู่ชานเมืองแถมในซอยเปลี่ยว จนต้องเดินเข้าซอยลึกเป็นกิโลนี่แหละ เธอเคยลองค้นข่าวเก่าในอินเทอร์เน็ตก็พบว่า จุดนี้มีเหตุจี้ปล้นทำร้ายร่างกาย มีถึงขั้นหนักกว่านั้นอยู่หลายสิบราย นี่แค่ที่เป็นข่าวนะ
แต่หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่แล้ว สถิติอาชญากรรมก็ลดฮวบฮาบ
ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเคยเดินตาม หรือพยายามจะปล้นน้อยหน่าในซอยเปลี่ยวที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าละเมาะรกๆ หรอกนะ แต่ไอ้พวกจิ๊กโก๋หรือแก๊งจี้ปล้นที่เคยพยายามล้วนแต่โดนเธอจัดการไปแล้วต่างหาก!
ดีกรีของเธอน่ะระดับแชมป์ศิลปะการต่อสู้ ทั้งมวยไทย ยูโด ไอคิโด เทควันโด ยิวยิตสู!
โชคดีอย่างมาก พวกนั้นพกมีด 'เล็กๆ' ที่เรียกรอยยิ้มจากคนถูกฝึกใช้มีดเดินป่าไปจนมีดทหารกูรข่ามาตั้งแต่อายุยังไม่สิบห้าได้เป็นอย่างดี
คงไม่ต้องเล่าต่อว่าชะตากรรมของเหล่าทรชนเป็นเช่นไร ดูจากสถิติอาชญากรรมที่ลดฮวบเอาเองละกัน ลดขนาดที่คนเอาไปเล่ากันปากต่อปากจนพวกมิจฉาชีพที่หากินแถวนี้พากันหลีกเลี่ยง และเกิดข่าวลือว่า ห้ามเดินตามผู้หญิงสาวสวยหุ่นดีที่เดินลำพังในที่เปลี่ยวเด็ดขาด!
งั้นแสดงว่าไอ้หมอนี่ที่เดินตามเธออยู่ถ้าไม่ใช่มิจฉาชีพต่างถิ่นก็อาจเป็นคนหื่นสิ้นคิด แต่หญิงสาวก็ไม่ตัดประเด็นนักปล้นเจ้าถิ่นทิ้ง นั่นทำให้มือเล็กแต่ไม่บอบบางสักนิดล้วงเข้าไปในกระเป๋า เตรียมพร้อมไว้ แล้วหาจังหวะเหมาะๆ หันกลับไปทันที
แป่ววว...!!!
ด้านหลังของหญิงสาวว่างเปล่า ไร้วี่แววมนุษย์สักคนเดียว...ทั้งๆ ที่เมื่อกี้รู้สึกว่ามีคนเดินสะกดรอยตามอยู่ชัดๆ
ดวงตาคมวาววับของน้อยหน่าหรี่ลง ขณะกวาดมองไปรายรอบ ไม่มีจุดอับสายตาที่คนตามมาจะใช้ซ่อนตัวได้ ฉับพลันหญิงสาวก็เบิกตากว้าง สีหน้าตระหนกขึ้นมาทันที
‘ถ้าไม่ใช่คน...งั้นมันก็เป็นไปได้อย่างเดียว
‘ผะ ผะ ผะ...ผี!’
คิดเสร็จร่างบางหมุนตัวกลับโกยอ้าวไม่คิดชีวิต
กับอาชญากรร้ายๆ เป็นฝูงไม่เคยกลัว ใครจะคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะกลัว...
เฮ้อ...
ความคิดเห็น |
---|