8

บทที่ 8


8

 

บางครั้งเธอก็สงสัยว่าพี่ชายตัวเองทำอาชีพสุจริตอย่างที่บอกทางบ้านไว้จริงหรือเปล่า

หรือจริงๆ แล้วเขาเป็นมาเฟียปลอมตัวมากันแน่...น้อยหน่าคิดขณะก้าวเข้ามาในห้องคอนโดของเพื่อนสาว ที่ประตูห้องเปิดค้างไว้อยู่เหมือนรอให้เธอเข้าไปเคลียร์

คอนโดของมู่ลี่หรือชื่อจริงคือ มัลลิกา เป็นห้องแบบสตูดิโอขนาดใหญ่ มีห้องนอนสำรองที่หญิงสาวไม่ได้ใช้ จึงทำให้น้อยหน่าตัดสินใจเอาของมาฝากไว้ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจนัก

แต่ใครจะคิดว่า ไอ้พี่ชายเฮงซวยของเธอจะกล้าทำแบบนี้!

บริเวณโถงด้านหน้าระเกะระกะด้วยข้าวของของเธอที่เคยฝากเอาไว้ในห้องนอน แต่ตอนนี้ถูกขนออกมาวางคล้ายเตรียมขนย้ายได้ในทันที

อาจจะในทันทีที่ไอ้พี่ชายสุดเผด็จการอาละวาดเสร็จ

‘หน็อย...นี่มัน...ไม่ไหวแล้วนะเว้ย!’

หญิงสาวเดินเข้าไปในส่วนห้องรับแขก พบร่างสั่นเทาของมัลลิกานั่งตัวลีบอยู่ที่โซฟามุมห้อง โคมไฟสุดคิวต์ดีไซน์เก๋ถูกดัดแปลงการใช้งาน นำมาวางส่องไปที่เจ้าของบ้านต่างไฟสอบสวนผู้ต้องหา ทำให้ร่างบางๆ ที่มีผิวขาวจัดแบบสาวหมวยของเพื่อนเธอยิ่งซีดเผือด ดวงหน้าสดไร้สีสัน บ่งบอกว่าหญิงสาวถูกบุกเข้าห้องมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันกระทั่งลงรองพื้นเสียด้วยซ้ำ!

สาวหมวยสุดมั่นที่ไร้อายไลเนอร์เสริมขอบตา จึงได้แต่นั่งตัวสั่นงันงก ดวงหน้าซีดเผือด ตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากแน่น ห่อตัวอยู่บนโซฟาจนแทบจะจมหายไปกับเบาะอยู่แล้ว

"ไอ้มู่ แกเป็นไงมั่งวะ" น้อยหน่าเดินเข้าไปจับมือเพื่อนมากุมไว้

มัลลิกาเอื้อมมือเย็นเฉียบมากุมมือน้อยหน่า อาการสั่นเทาบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงโดนขู่ขวัญไปไม่ใช่น้อย

ก็...พี่ชายเธอเคยเรียนหลักสูตรอาชญาวิทยาและการสอบสวนผู้ต้องหา เรื่องข่มขู่ชาวบ้านนี่งานถนัดเขาเลยแหละ! ด้วยประสบการณ์ที่โดนมาไม่รู้ตั้งเท่าไร ทำไมเธอจะไม่รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของพี่ชายตัวเอง

น้อยหน่าคิดอย่างโมโหเมื่อเอื้อมมือไปปัดโคมไฟไม่ให้มันส่องเพื่อนที่ยังนั่งตัวสั่นอยู่ มัลลิกาดูเหมือนจะดีขึ้นนิดหน่อยเมื่อไม่โดนไฟส่องหน้าแล้ว

"น้อยหน่า...ฉัน..." ยังไม่ทันที่มัลลิกาจะได้พูด หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงที่ดังแทรกขึ้น

"มาแล้วเหรอไอ้ตัวดี" เสียงทักดังมาจากในครัวซึ่งมีร่างสูงใหญ่ของพี่ปืนนั่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่นั่งทำงานค้างไว้ มองมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ซึ่ง...ทำได้ไม่ถึงครึ่งของอีตาผู้ชายหน้าบึ้งนั่นเลยด้วยซ้ำ

แถม...พอเขาพับฝาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กลงและเดินจากในครัวมาตรงหน้า...แม้จะต้องเงยหน้านิดหน่อยเพราะความสูงตระหง่านของพี่ปืน แต่...

ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อหลายชั่วโมงก่อนเธอได้ไปเจอคนตัวใหญ่กว่านี้มากมาเลยทำให้เขาดู...ไม่ค่อยใหญ่เท่าไรไปแล้ว แถม...สีหน้าดุๆ ที่ดูอย่างไรก็ดุไม่จริงของตานั่นก็ยังดูดุกว่าของพี่ปืนตั้งเยอะ นั่นทำให้เธอค่อนข้างผ่อนคลาย ยามเผชิญหน้าพี่ชายจอมเฮี้ยบ แถมยังสงสัยขึ้นมาเสียอีก

"พี่ปืน พี่สูงเท่าไหร่อะ"

"ร้อยแปดสิบห้า" พี่ปืนเผลอตอบแบบงงๆ ก่อนขมวดคิ้ว "อย่ามาเฉไฉ ไอ้น้อยหน่า แกหายหัวไปไหนมาบ้านช่องไม่กลับ"

พี่ชายสายเขียวว้ากใส่ น่าประหลาดตรงที่ปกติเขาไม่ค่อยอารมณ์ขึ้นง่ายๆ แบบนี้ ออกจะใจเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้องด้วยซ้ำไป

"ก็อยู่แถวๆ นี้แหละ" คนพูดโบกมืออย่างไม่ใส่ใจขณะคิดไปด้วยว่า ‘ถ้าพี่ปืนสูงร้อยแปดสิบห้าเซ็นต์ หมอนั่นก็ต้องทะลุร้อยเก้าสิบไปหลายเซ็นต์แหง’

"ไอ้เก่งมันไม่ได้รายงานหรือไง ว่าน้อยหน่าไปไหนมา" ท้ายเสียงน้อยหน่าเริ่มเหวี่ยงเมื่อนึกขัดใจว่าทุกฝีก้าวของเธอถูกจับตามองตลอด

"ถ้ามันบอก คุณพ่อคงไม่ปรี๊ดแตกขนาดนี้หรอก เพราะแกหายหัวไปแบบนี้ไงล่ะ ถึงจะได้โดนลากตัวกลับบ้านน่ะ"

"หา?" น้อยหน่าเบิกตากว้างอ้าปากค้างอึ้งตะลึงไปไม่เป็นเลยเมื่อได้ยินว่า...ไอ้เก่งไม่ฟ้องพ่อ!

‘เป็นไปได้ยังไงที่คนอย่างมันไม่ฟ้องคุณพ่อ!?’

คนที่หายใจเข้าหายใจออกเป็นการเพ็ดทูลพ่อเธออย่างมันเนี่ยนะ ไม่ฟ้องว่าเธอใช้ให้ไปทำอะไรและไปโดนอะไรมาจนหน้าตาเป็นแบบนั้น...แต่เดี๋ยวก่อน ที่สำคัญกว่าการที่ไอ้เก่งไม่ฟ้องคุณพ่อคือ...

"พี่ว่าอะไรนะ" หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อจับความได้ในที่สุด

"พ่อบอกให้ฉันลากตัวแกกลับบ้าน เดี๋ยวนี้!" พี่ปืนประกาศเสียงดังก่อนหมุนตัวกลับด้วยท่วงท่าสุดเผด็จการอย่างสุดแสนมั่นใจว่า อย่างไรคนได้รับคำสั่งก็ไม่อาจขัดขืนแน่ๆ แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็ต้องหมุนตัวกลับมาเพราะไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง

ร่างสูงหยุดยืน หรี่ตามองดูสีหน้าดื้อดึงของน้องสาวที่ยืนปักหลักมองมาด้วยสีหน้าไม่ยอมแพ้

"น้อยหน่าไม่กลับ!" หญิงสาวประกาศจุดยืนแน่วแน่ ทั้งๆ ที่เหงื่อเริ่มตกเพราะความกดดัน...เธอเกิดและเติบโตขึ้นมาโดยต้องทำตามคำสั่งแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงจนจิตใต้สำนึกฝังลึกไปแล้ว ว่าเธอต้องเชื่อฟังทุกคำสั่งจากคนที่บ้าน

แต่ต้องไม่ใช่ครั้งนี้ ครั้งที่เขาล้ำเส้นไปไกล ถึงขั้นรังควานคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างเพื่อนเธอ แถมยังข่มขู่เสียจนมัลลิกาดูจะจิตหลุดอยู่รอมร่อ ท่าทางที่น้อยหน่ายืนบังเพื่อนไว้ คือเป็นทั้งความปักหลักมั่นในจุดยืนของตัวเอง ทั้งปกป้อง 'ผู้บริสุทธิ์' ดวงซวยจากการคุกคามของพี่ชายเธอ

"นี่แกกล้าขัดคำสั่งคุณพ่อเรอะ ไอ้น้อยหน่า!" พี่ปืนตะโกนลั่นราวกับว้ากใส่พลทหารหย็องกรอดที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งครูฝึก

"น้องคุณโตแล้วนะ คนอายุยี่สิบสี่มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น" ประโยคนั้นเป็นของมัลลิกาที่เถียงแทนด้วยเสียงสั่นๆ อย่างทนไม่ไหว หลังจากเห็นเพื่อนแอบสะดุ้งถอยนิดหนึ่ง เพราะน้ำเสียงอำมหิตของไอ้ผู้ชายโรคจิตที่บุกบ้านเธอ แถมมาถึงก็ขู่เอาๆ

‘หน็อย...คิดว่าฉันไม่กลัวหรือไงกัน!’ มัลลิกาโมโหเดือดดาลสุดๆ ทั้งๆ ที่กลัวสุดๆ อยู่เช่นกัน

"นี่มันเรื่องในครอบครัว เป็นเรื่องส่วนตัวโว้ย!" พี่ปืนเสียงดังอย่างไร้เหตุผล

นี่พี่ชายเธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย ไม่เคยเห็นเขาจิตหลุดขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ!

"เรื่องครอบครัวบ้านนายสิ มาแหกปากตะโกนอยู่บ้านชาวบ้านแบบนี้น่ะ" มัลลิกาเดือดกว่าที่คิด ตอนนี้เหมือนหญิงสาวจะตั้งสติได้แล้วจึงลุกจากโซฟาที่ซุกตัวอยู่มายืนตะโกนโต้...จากข้างหลังน้อยหน่า

"พี่ปืนอย่ามาตะโกนในบ้านชาวบ้านได้ไหมเล่า เดี๋ยวห้องข้างๆ ได้ออกมาด่าเอาหรอก" น้อยหน่าต้องรีบยุติการป่าวประกาศให้โลกรู้ของคนทั้งคู่ โดยรีบเดินไปปิดประตูให้พ้นจากสายตาสงสัยของเพื่อนบ้านที่เริ่มมีหลายห้องเปิดประตูชะโงกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

"เฮอะ! ห้องรูหนูที่ผนังบางยิ่งกว่ากระดาษพรรค์เนี่ยนะ แค่ฉันหายใจแรงหน่อยเพื่อนบ้านก็ได้ยินเสียงแล้ว" พี่ปืนทำสีหน้าเหยียดหยัน

"หน็อย...นี่มันห้องสตูดิโอห้องละตั้งห้าล้านเชียวนะยะ ไอ้คุณพี่ของไอ้น้อยหน่า" มัลลิกาของขึ้น ดูจะลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้กลัวอีกฝ่ายแค่ไหน

"ห้าล้านแล้วไง ผ่อนได้แต่กระดาษเปล่า โฉนดสักใบมีให้เห็นไหมเล่า" 'ไอ้คุณพี่ของไอ้น้อยหน่า' ชักของขึ้นด้วยอีกคน เขาโกรธทั้งน้องสาวตัวเอง ทั้งเพื่อนน้องสาวที่เงยหน้าเถียงฉอดๆ ใส่ ตัวก็เล็กๆ ยิ่งทำให้เขาเหมือนรังแกเด็กเข้าไปอีก ยิ่งทำให้เขาโมโหโดยไม่รู้ตัว

"หน็อย...นี่มันบ้านในฝันของมนุษย์เงินเดือนครึ่งค่อนประเทศนะยะ ทำเลติดรถไฟฟ้าเดินไปไม่ถึงห้านาที มีฟิตเนส มีสระว่ายน้ำ มีเพื่อนบ้านคุณภาพสูงตลาดบนของประเทศ เหมาะเอาไว้ส่องหาว่าที่พ่อของลูกขนาดนี้ ถามหน่อยเถอะ ยังมีที่ไหนไฮเอนด์กว่านี้อีกยะ"

มัลลิกาทนไม่ไหวแล้ว หมอนี่รู้ไหมว่าค่าดาวน์ห้องที่นี่มันแพงแสนแพงแค่ไหน แล้วแถมยังค่าส่วนกลางที่ขูดเลือดขูดเนื้อกันนั่นอีก เมื่อมาโดนย้ำถึงเรื่องความคุ้มค่า ของที่อยู่อาศัยอันไร้โฉนดนี่เข้าไป หญิงสาวเลยจิตหลุดลืมตัวลืมความกลัวไปหมดสิ้นแล้ว

"นี่...เธอเลือกที่อยู่เพื่อเอาไว้ส่องหาผู้ชายงั้นเรอะ" ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอัศจรรย์ใจปนเดือดดาล...แบบแปลกๆ ก่อนหันไปเขม่นใส่น้องสาวตัวเอง "ไอ้น้อยหน่า กลับไปนี่เราต้องคุยกันเรื่องการเลือกคบเพื่อนของแกหน่อยแล้ว"

"ไมใช่ย่ะ! นั่นมันแค่ผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ฉันไม่ได้ของขาดบ้าผู้ชายขนาดนั้นนะ!" มัลลิกาตะเบ็งเสียงเถียงหน้าดำหน้าแดง เพราะสายตาดูแคลนปนคาดโทษจากอีกฝ่าย

"อ้อ...ไม่ได้ของขาด แค่มองหาไม่ได้หยุดเท่านั้นใช่ไหม" ชายหนุ่มถามเสียงหยัน

"ไอ้พี่ปืน!?" น้อยหน่าอุทานอย่างตกใจ พี่ชายเธอนั้นแม้จะปากร้าย ปากเสีย แต่ไม่เคยใช้ถ้อยคำชั่วร้ายขนาดนี้มาก่อน "นี่มันเกินไปแล้วนะ"

"ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นฉันจะแจ้งความข้อหาบุกรุก" มัลลิการ้อง มือหนึ่งชี้นิ้วไปที่ประตูไล่เสียงสั่นด้วยความโกรธ อีกมือก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมกดเบอร์ 191

"งั้นฉันก็จะแจ้งความกลับว่าเธอล่อลวง ลักพา กักขัง หน่วงเหนี่ยวน้องสาวฉัน" พี่ปืนไม่ยอมแพ้ เถียงราวกับเด็กๆ ทั้งๆ ที่ข้อหานั้นไม่น่าจะใช้ได้กับคนอายุยี่สิบสี่ปีเข้าไปแล้ว แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้หญิงเหมือนกันด้วย

"ฮ้า!!" มัลลิการ้องเสียงหลงที่อยู่ๆ โดนเกทับด้วยข้อหาที่...ที่... "นายจะบ้าเรอะ"

"โอ๊ย...หยุดเลย หยุดที พี่ปืน พี่จะบุกรุกบ้านชาวบ้าน มาทำเรื่องผิดกฎหมายแบบนี้ไม่ได้รู้ไหม ไอ้มู่มันแจ้งความได้จริงๆ นะ" น้อยหน่าห้ามศึกก่อนหันไปถามเพื่อน " มู่...นอกจากบุกรุกเข้ามาแล้ว พี่ฉันทำอะไรแกอีกหรือเปล่า"

คำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังนั้นทำให้หญิงสาวเจ้าของห้องทำได้เพียงสีหน้าฮึดฮัดขัดใจ เพราะว่านอกจากการบุกรุกเข้ามาข่มขู่กันแล้ว ยังไม่มีการกระทำที่เรียกได้ว่า 'ผิดกฎหมาย' จริงจังพอจะแจ้งข้อหาโดยคู่กรณีไม่มีโอกาสปฏิเสธเลยสักอย่าง สำหรับข้อหาบุกรุกอีกฝ่ายก็อาจแก้ตัวว่ามาตามหาน้องสาวที่ขาดการติดต่อไป...ซึ่งเท่ากับผลักความผิดมาให้เธอสบายๆ

นับว่าหมอนี่รู้กฎหมายมากพอที่จะหลีกเลี่ยงกฎได้อย่างน่าโมโหที่สุด!

ดวงตาเรียวของมัลลิกาค้อนใส่คนตัวโตที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่กลางบ้านของเธอ ก่อนตอบเน้นคำเสียงสะบัด

"ไม่!"

"จริงนะ?" น้อยหน่ายังไม่วางใจ เพราะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของพี่ชายตัวเองดี

คำถามนั้นทำให้มัลลิกาพยักหน้าแกนๆ ก่อนบอก

"ฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก แกน่ะสิ นี่! กะจะลากตัวกันกลับไปจริงๆ ใช่ไหม" หญิงสาวหันไปถามคนตัวโตที่ยืนกร่างอยู่กลางบ้านชาวบ้านที่ไม่มีทีท่าว่าจะถอยไปไหน ถ้าไม่ได้ตัวน้องสาวกลับไปตามคำสั่งของบิดา

มัลลิกาทำปากเบ้นิดหนึ่งขณะตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า

"ก็นิสัยอย่างนี้น่ะสิ น้อยหน่ามันถึงไม่อยากอยู่บ้าน นี่คงจะเผด็จการกันทั้งบ้านเลยใช่ไหมเนี่ย เป็นฉัน ฉันก็ทนไม่ไหวหรอกว่ะ" ท้ายประโยคหญิงสาวหันไปทำน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจเพื่อน พร้อมตบไหล่แปะๆ โดยยังเหลือบแลไปทางคู่กรณีอย่างหวาดระแวงนิดหน่อย

เผื่อ...อีกฝ่ายโมโหจนลืมตัว กระโจนเข้ามาจะทำร้าย เธอจะได้รีบหลบหลังน้อยหน่าได้ทันท่วงทีไง!

"หุบปากไปเลย น้อยหน่า ไปคุยกันที่บ้าน" ปืนตัดสินใจก้าวพรวดเข้ามา คว้าข้อมือน้องสาว ลากให้ห่างออกมาจากยายเพื่อนตัวป่วน ก่อนเขาจะโมโหจนพลั้งมือทำอะไรลงไป

"หน็อย...มันจะมากไปแล้วนะ นาย...น้อยหน่า ไม่ต้องไป" มัลลิกาโวยวายแต่ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าตามมาดึงเสื้อเพื่อน เธอไม่ยอมพาตัวเองเข้ามาอยู่ในระยะที่มือยาวๆ ของผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์จะเอื้อมมาถึง กลายเป็นการยื้อยุดฉุดกระชากเล็กๆ ที่ทำท่าจะลุกลามใหญ่โต

"เดี๋ยว! หยุด!" เป็นน้อยหน่าที่ตัดสินใจหยุดทุกอย่างลงตรงนั้น

ด้วยเป็นคนมองสถานการณ์ได้เด็ดขาด ทำให้น้อยหน่าตัดสินใจได้เร็วว่า การยืดเยื้อไม่เป็นผลดีกับใครแน่ เพราะสถานการณ์ตอนนี้พวกเธอเสียเปรียบทุกประตู ไหนจะความแข็งแรงที่ไม่มีทางสู้พี่ปืนที่เป็นทหารผ่านการฝึกหน่วยรบพิเศษมา ชนิดที่เสื้อเขาแทบไม่มีเหลือที่ให้ติดปีกหรือเหรียญตราที่ล่ามาได้แล้ว และด้วยขนาดตัวผอมๆ บางๆ ดูง้องแง้งของเพื่อนตัวเองที่รังแต่จะเป็นตัวถ่วง หากลงไม้ลงมือกันขึ้นมาจริงๆ

การประมือกับพี่ชายในครั้งที่ผ่านมาทำให้หญิงสาวรู้ว่า อีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหน ลำพังตัวเธอเองน่ะ คงพอเอาตัวรอดได้อยู่หรอก แต่ไอ้เพื่อนหัวแข็งที่บอบบางเหมือนจะหักครึ่งได้ แค่พี่ปืนหายใจรดใส่แรงๆ นี่สิ ดีไม่ดี...คนแผนสูงเจ้าเล่ห์อย่างไอ้พี่ปืนอาจใช้มัลลิกาเป็นตัวประกันข่มขู่เธอเอาก็ได้

ดังนั้นทางที่ดี...ควรเป็นทางลาดยาง...ไม่ใช่โว้ย!

"ไอ้มู่ ฉันจะไปแล้ว ขอบคุณที่ให้ยืมห้องฝากของไว้นะ" หญิงสาวหันไปตัดสินใจตัดจบกับเพื่อน เพื่อให้มัลลิกาห่างจากตัวอันตรายอย่างพี่ปืนเสียก่อน แล้วหันไปหาพี่ชาย

"พี่ปืน ไปหาที่คุยกันที่อื่น"

ปืนหรี่ตามองประเมินน้องสาวตัวเองก่อนจะยักไหล่นิดหนึ่ง เขาเดินนำออกมาทางโถงทางเดินด้านหน้า กระเป๋าหลายใบของหญิงสาวกองอยู่

"แล้วพี่จะทำยังไงกับกระเป๋าพวกนี้?" น้อยหน่ายังพยายามยื้อไว้ กะว่าอย่างน้อยอาจทิ้งพวกมันไว้ที่นี่ได้...แต่ยังไม่ทันจะตอบ เสียงเคาะประตูดังขึ้น พี่ชายเธอแสยะยิ้มร้ายๆ ใส่ก่อนเดินไปเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน ที่ทำเอาหญิงสาวตาเบิกโพลง มองบรรดาผู้มาเยือนที่ปรากฏตัวอยู่ตรงช่องประตู

มัลลิกาถลึงตาใส่ผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าประตู ก่อนจะตวัดตาไปยังคนที่เดินไปเปิดประตูให้พลางคิดว่า 'ค่าส่วนกลางมีไว้ทำไม' ในเมื่อมีผู้บุกรุกมาคุกคามเธอถึงหน้าห้องอีกตั้งสองคน

คอยดูนะ เธอจะหาทางฟ้องร้องไอ้คอนโดเฮงซวยนี่ให้ยับเลย โทษฐานที่ระบบรักษาความปลอดภัยห่วยแตกจนปล่อยให้มีแขกไม่ได้รับเชิญขึ้นมาก่อกวนถึงห้องเธอได้ตั้งสาม...เอ่อ...สอง เอ๊ะ สามสิ!

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ขยี้ตาอีกหลายที หันมองหน้าน้อยหน่าก่อนหันกลับไปมองที่หน้าประตูอีกครั้ง แล้วพึมพำขึ้นมา

"นี่...ฉันคงไม่ได้จ้องหน้าจอคอมพ์มากไปจนเห็นภาพหลอนใช่ไหม" คำถามกึ่งถามตัวเองปนรำพันนั้นได้รับการยืนยันเป็นเสียงคำรามเบาจากน้อยหน่าตามด้วยเสียงตอบอย่างอ่อนใจ

"พี่ปาล์มกับพี่บอมบ์น่ะเขาเป็นแฝดเหมือน"

ต้องบอกว่า...เป็นแฝดเหมือนเปี๊ยบเลยเหอะ!

เหมือนจนเมื่อมองแวบแรกยังคิดว่าตาลาย เห็นภาพหลอน คนบ้าอะไรจะเหมือนกันได้ขนาดนี้ แม้ว่า...เสื้อผ้าของทั้งคู่นั้นจะแตกต่างกัน แต่ต่างก็เป็นผู้ชายตัวสูง น่าจะถึงร้อยแปดสิบกว่าเซ็นต์ น้อยกว่าอีตาพี่ปืนแค่ไม่กี่เซ็นต์

ต้องบอกว่าคนบ้านนี้หน้าตาดีกันทั้งบ้าน เพราะนอกจากน้อยหน่าที่สวยเสมอต้นเสมอปลายแล้ว พี่ชายฝาแฝดต่างก็หน้าตาดีชนิดที่ผมเกรียนทรงทหารไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้เลย กลับยิ่งทำให้พวกเขาดูดิบเถื่อนแบดกายเร้าใจเข้าไปอีก

น่าเจ็บใจที่คนหน้าตาดีดันรวมถึงอีตาพี่ปืนโรคจิต ซึ่งหล่อพอจะไปแคสติงบทพระเอกละครสักช่องได้เลยด้วยซ้ำ!

"น้อยหน่า...นี่แกมีพี่ชายกี่คนกันแน่วะ" มัลลิกาถามอย่างอ่อนใจ พลางพยายามสันนิษฐานว่า พ่อแม่ต้องหน้าตาดีขนาดไหน ถึงผลิตลูกหน้าตาดีหมดทั้งบ้านออกมาได้ขนาดนี้ ป๊ากับหม้าเธอน่าจะมาดูงานไว้บ้างนะ...เดี๋ยวสิ! น่าจะไม่ทันละ

"ยังมีพี่ชายคนโตอีกคน เดี๋ยว...นี่คงไม่ได้เรียกพี่ป้อมมาด้วยอีกคนหรอกใช่ไหม" คนถามหวาดระแวง พลางชะโงกหน้าออกไปกวาดตามองหาบริเวณหน้าห้องจนถ้วนทั่ว

"ขืนให้หมอนั่นต้องถ่อมากับเรื่องแค่นี้ คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ไปได้แล้ว กลับบ้าน" พี่ชายคนรองบ่นเบาๆ ก่อนหันไปพยักหน้าให้น้องชายฝาแฝดช่วยกันขนสัมภาระของน้อยหน่าออกมาจากห้องของมัลลิกา ซึ่งถอยห่างออกไปยืนระแวงภัยอยู่ด้านข้าง

"นะ...น้อยหน่า...ถ้าแกมีอะไรให้ช่วย..." คนเป็นห่วงเพื่อนยังพยายามเอ่ยเบาๆ

"ไม่ต้องห่วง ถ้าน้อยหน่ามันมีอะไรให้เธอช่วย เดี๋ยวฉันจะแวะมาเยี่ยมอีก" ไอ้พี่ปืนหันไปแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมใส่เจ้าของบ้านที่รีบปิดประตูใส่หน้าเขาแทบไม่ทัน

"ไอ้พี่ปืนบ้า!" น้อยหน่าทุบปึ้กเข้าใส่หัวไหล่หนาของพี่ชายตัวโต ก่อนเอ็ดอีกครั้ง "อย่าแกล้งเพื่อนน้อยหน่าได้ไหมเล่า"

ที่จริงกระเป๋าของเธอมีแค่ไม่กี่ใบเท่านั้น แต่ที่เขาเรียกพี่ชายอีกสองคนมาแสดงตัวน่าจะเพราะต้องการข่มขู่มัลลิกาล้วนๆ หญิงสาวคิดอย่างหัวเสีย ขณะโดนต้อนเข้าไปในลิฟต์

"เพื่อนแกมันตลกดีว่ะ เขาชื่อว่าอะไรนะ" คำถามกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีนั้น แทรกด้วยการตีเนียนถามชื่อกันแบบ...โคตรไม่เนียนเลย ทำเอาน้อยหน่าหันไปสบตาพี่ชายอีกสองคน ส่งความหมายแบบที่รู้กัน

พี่ปืนหรือพันตรีปราณธรนั้นเป็นคนฉลาดมาก จดจำอะไรๆ ได้แม่นยำเสมอ ชื่อคน ชื่อตำแหน่ง หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เขาจำได้หมด

แต่! นอกเหนือจากเรื่องงาน เขาไม่เคยจำชื่อใครได้เลย!

ยังดีหรอกที่พอจำชื่อเพื่อนตัวเองได้บ้าง...แต่ก็เพราะมันเกี่ยวพันกับหน้าที่การงาน แต่กับคนรอบข้างนอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาไม่เคยจำชื่อเพื่อนๆ ของพี่น้องได้เลยสักครั้งเดียว เวลาจะบอกอะไรเกี่ยวกับเพื่อนๆ ของพี่น้องนั้นต้องเท้าความกันอย่างน่าอ่อนใจเสมอ และเขาก็ไม่เคยคิดจะปรับปรุงตรงนี้สักนิดเดียว โดยอ้างว่าเสียดายพื้นที่เซลล์สมอง หากต้องมานั่งจดจำชื่อที่ไร้สาระ

แล้วนี่อะไร...

"พี่จะ...อยากรู้ชื่อไอ้มู่ไปทำไมเรอะ" น้อยหน่าหรี่ตามอง คาดคั้นเสียงเข้ม "ถามจริง...พี่คิดอะไรกับเพื่อนน้อยหน่ารึเปล่าเนี่ย"

คำถามทำให้เกิดรอยยิ้มร้ายๆ บนใบหน้าพี่ปืน ก่อนชายหนุ่มจะรับคำเสียอย่างนั้น

"คิดสิ!" คำตอบมาพร้อมกับเสียงติ๊งของลิฟต์ที่ดังขึ้นอย่างถูกจังหวะ ราวกับเสียงประกอบในละครซิตคอมอย่างไรอย่างนั้น!

"ฮะ!" สามพี่น้องตะโกนออกมาพร้อมกัน

ปืนหันมามองสีหน้าเหลอของน้องๆ ที่พากันปากอ้าตาค้าง ก่อนจะหัวเราะพร้อมเดินนำออกจากลิฟต์มาที่ลานจอดรถขณะอธิบายไปด้วย

"คิดอยู่ว่าคราวหน้าจะแกล้งอะไรมันดี ถ้าแกยังดื้อเอาข้าวของมาฝากมันไว้อีก" ท้ายประโยคชายหนุ่มเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังผสมข่มขู่ ขณะเดินไปเปิดรถให้น้องชายฝาแฝดนำกระเป๋าและสัมภาระของน้อยหน่าไปเก็บ จากนั้นเดินไปที่ประตูด้านคนขับแต่ยังไม่เปิดประตู เพราะน้องสาวที่เขาต้องเอาตัวกลับบ้านให้ได้นั้นยังยืนนิ่งอยู่ ไม่ยอมเดินตามมาดีๆ

"ขึ้นรถ!"

คำสั่งห้วนปนรำคาญของพี่ชายเผด็จการยิ่งเรียกประกายดื้อดึงให้ปรากฏในดวงตาและสีหน้าของน้อยหน่า จนประกาศว่า

"ไม่ไป!"

"อย่าให้ต้องยุ่งยากน่า แกก็รู้ว่า..." ปืนกล่อมพลางสบตาน้องชายทั้งคู่เหมือนส่งสัญญาณว่า ให้ปาล์มกับบอมบ์จัดการลากน้องสาวสุดดื้อเข้าไปในรถให้จบๆ ไป

...คิดเหรอว่าเธอไม่รู้!

"หยุดเลย!" หญิงสาวชี้หน้าพี่ชายฝาแฝดที่ทำท่าจะขยับตัวเหมือนจะเข้าชาร์จ

"ถ้าพวกพี่ใช้กำลังนะ...เตรียมตัวขึ้นโรงพักกันไว้ได้เลย น้อยหน่าจะแหกปากร้อง ขอให้คนช่วยให้ดู" น้อยหน่าต่อรองด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางหันหน้าไปทางลิฟต์ที่เพิ่งมีกลุ่มคนจำนวนมากเดินออกมา

สามหนุ่มบ้านปรมอัตตาต้องหยุดมือ เพราะหากลงมือลากตัวน้องสาวเข้ารถตอนนี้คง...ไม่ค่อยดีเท่าไร

"แถมยังมีกล้องวงจรปิดอีก" หญิงสาวพยักพเยิดไปทางกล้องวงจรปิดที่ส่องมาทางนี้พอดี เธอเลือกยืนจุดนี้ให้กล้องจับภาพ เพราะหากเกิดอะไรขึ้น...

"ไอ้มู่มันคงไม่ปล่อยพี่ปืนไปง่ายๆ หรอก เพื่อนเค้าเป็นโปรแกรมเมอร์ก็จริง แต่รับจ๊อบพวกสร้างแคปชัน สร้างกระแสไวรัลคลิปในเน็ต ทั้งโพรโมตของ ทั้งทำลายคน มันรับทั้งนั้นละ พวกข่าวดาราหรือพวกกระแสข่าวดังๆ ชั่วข้ามคืนที่สังคมจับตาน่ะเกินครึ่งเป็นฝีมือมัน เชี่ยวชาญซะด้วย" คนพูดยิ้มเยาะก่อนค่อยๆ ถอยห่างออกมาทางกลุ่มคนที่เดินใกล้เข้ามา

"คิดดูดีๆ แล้วกัน ถ้าลองพี่ทำอะไรน่าสงสัยให้กล้องจับภาพได้ จนมันมีหลักฐานการกระทำผิดกฎหมายที่ชัดเจนของพี่ปืนอยู่ในมือน่ะ มันคงใส่สีตีไข่ในแคปชันจนพี่ไม่เหลือที่ยืนแน่" พูดจบ หญิงสาวก็อาศัยจังหวะที่ยังมีคนเยอะๆ อยู่รายล้อม หมุนตัววิ่งไปทางลิฟต์ที่กำลังจะปิดพอดี หญิงสาวแทรกตัวเข้าไปทันพอดีโดยไม่สนใจเสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกหาของพี่ชายฝาแฝดที่เกือบวิ่งตามมาอยู่แล้ว แต่ปืนสั่งให้พวกเขาหยุด

"ไม่ต้องตาม" พี่ชายคนรองของบ้านปรมอัตตาสั่งเสียงเข้ม ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดไลน์แล้วกดปุ่มอัดเสียง พูดด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้เหี้ยมเกรียมเป็นพิเศษ

"ไอ้น้อยหน่า...ข้าวของของแก ฉันจะเอาไปไว้ที่บ้านป้าทิพย์ ถ้ายังอยากได้คืนก็เข้าไปเอาได้นะ ฉันไม่ห้าม"

คำขู่นั้นเล่นเอาฝาแฝดหันขวับมาพร้อมกัน พูดก็แทบจะพร้อมกัน

"พี่ปืน! ไปทำกับน้องมันขนาดนั้นได้ไงวะ พี่ก็รู้ว่าบ้านนั้นมัน..."

สีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจของน้องชายสองคนยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า บ้านคุณป้าที่น้องสาวหวั่นเกรงนั้นมีบางอย่างที่น่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้จริงๆ ขนาดฝาแฝดที่แสบไม่ใช่เล่นยังแท็กทีมกันกลัวเลย แต่ปืนก็เพียงยกมือหยุดการโวยวายของทั้งคู่อย่างไม่ใส่ใจ

ชายหนุ่มครุ่นคิดหนักครู่หนึ่งก่อนกดอัดเสียงอีกครั้งหนึ่ง

"ส่วนบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม และบัญชีธนาคารน่ะ คราวนี้แกเจอของจริงแน่ พ่ออนุมัติแล้วให้ระงับได้ไม่ใช่แค่ขู่เหมือนที่ผ่านมา ถ้ายังต้องใช้เงินอยู่และอยากมีที่ซุกหัวนอน คงรู้นะว่าต้องทำไง"

"พี่ปืน!" ฝาแฝดร้องพร้อมกันอีกครั้ง ก่อนพากันถอยห่างออกไป ทำท่าเหมือนไม่อยากมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับการข่มขู่น้องในครั้งนี้

"รังแกมันขนาดนี้แม่ด่าแหงๆ" ปาล์มพึมพำขณะบอมบ์พยักหน้ารัวๆ

"แม่ยิ่งโอ๋มันอยู่ด้วย พี่ปืนเตรียมตัวไว้เลย"

"จะรังแกกันก็เหลือทางถอยไว้ให้มันบ้างสิ ต้อนมันจนมุมขนาดนี้ ถ้ามันลุกขึ้นมาฟ้องแม่นะ ฮื่อ...ไม่อยากจะคิด" ปาล์มยังรำพึงรำพันโดยมีบอมบ์เออออเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

คือ...ผู้ชายตัวสูงเกินร้อยแปดสิบเซ็นต์ ผมเกรียน หน้าโหด แต่จับกลุ่มคุยกันเรื่องรังแกน้องแล้วกลัวมันไปฟ้องแม่...

นี่มันคืออะไร้รร!

ปืนตวัดสายตาขุ่นๆ มองไอ้น้องชายฝาแฝดที่ป๊อดขึ้นมาอย่างน่าโมโห

"ทำไมจะไม่เหลือทาง แม่เพิ่งให้เงินมันไปใช้ น่าจะเป็นหมื่น หรืออาจจะหลายหมื่นด้วยซ้ำไป!"

เขารู้มาว่าตอนที่คุณนาถฤดีให้น้อยหน่าไปศพท่านนายพลซึ่งคุณพ่อรู้จักและนับถือ คุณนาถฤดีแอบเอาเงินให้ลูกสาวคนเล็กไว้ใช้จ่ายจำนวนไม่ใช่น้อย นั่นทำให้เขากล้าข่มขู่จะตัดเงินและบัตรเครดิตของน้องสาว เพราะคำนวณแล้วว่าอย่างไรน้องก็ยังพอเอาตัวรอดไปได้อยู่

"จริงดิ?" ฝาแฝดถามแทบจะพร้อมกัน ทำให้พี่ชายคนรองตวัดตาใส่จนเกือบจะค้อน

"ฉันเคยล้อเล่นกับพวกแกหรือไงกัน" พูดจบปืนก็เหมือนคิดอะไรได้ เขากดอัดเสียงในไลน์อีกรอบ คราวนี้น้ำเสียงเข้มข้นคุกคามยิ่งกว่าทุกครั้ง

"อ้อ...ไอ้น้อยหน่า แล้วถ้ายังมีเพื่อนคนไหนรับแกเข้าบ้าน ก็เตรียมตัวให้มันรับความซวยไว้ได้เลย หึๆๆ" คนพูดหัวเราะโรคจิตพร้อมกับนัยน์ตาที่วาววับขึ้นเมื่อนึกถึง 'เพื่อนน้อง' รอยยิ้มชั่วร้ายผุดพรายขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว มันเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกที่ทำเอาน้องชายทั้งคู่พากันถอยหนีห่างออกไปอีกหลายก้าว รู้สึกราวกับไม่เคยเจอพี่ชายตัวเองเวอร์ชันชั่วร้ายขนาดนี้มาก่อน

...แค่ข่มขู่น้องสาวให้กลับบ้านตามคำสั่งคุณพ่อ มันต้องจัดเต็มเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์กัน ขนาดนี้เชียวเรอะ!

"พวกแก" อยู่ๆ คนที่ยังมีรอยยิ้มโรคจิตยังติดอยู่ที่ริมฝีปากก็หันขวับมา ทำเอาฝาแฝดหนุ่มสะดุ้งผวาเฮือก

"อะ...อะไร" ปาล์มรับหน้าที่ถามขณะที่บอมบ์กลัวจนไปหลบอยู่ข้างหลังเขาเรียบร้อยแล้ว

"เอารถกันมารึเปล่า" ปืนถามพลางข่มสีหน้าให้นิ่ง เหมือนไม่เคยทำน้องหวาดผวามาก่อน

"เอามา" บอมบ์ยื่นหน้ามาตอบ

"ดี งั้นก็แยกย้าย" ชายหนุ่มสั่งขณะกดรีโมตล็อกรถแล้วเดินดุ่มมุ่งหน้าไปทางลิฟต์

"พี่จะไปไหนน่ะ พี่ปืน" น้องชายตะโกนถาม เพราะต่างรู้ว่าไม่มีทางตามน้องสาวที่เผ่นหนีไปแล้วทัน น้อยหน่ามีทักษะในการหลบหนีอย่างฉกาจฉกรรจ์ ตลอดเกือบสองปีมานี้ไม่เคยมีใครลากตัวมันกลับไปบ้านได้

"ฉันลืมของ" ปืนร้องบอกจากหน้าลิฟต์

"ลืมของ?" น้องชายสองคนร้องถามพร้อมกัน

นี่...แกเป็นฝาแฝดก็จริง แต่ไม่ต้องพูดพร้อมกันขนาดนี้ก็ได้นะ แต่สาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่อดประหลาดใจไม่ได้คือ ไอ้พี่ปืนเนี่ยนะ...ลืมของ!

คนความจำดีเข้าข่ายอัจฉริยะอย่างพี่ปืนไม่มีทางลืมของไว้ที่ไหนอย่างเด็ดขาด ยกเว้นแค่...

"ลืมอะไรเรอะ" บอมบ์ตะโกนถามออกไป ขณะพี่ชายก้าวเข้าไปในลิฟต์และหันกลับมาพร้อมกับคำตอบที่เก็บรอยยิ้มกว้างแบบสาสมใจไว้ไม่อยู่

"โน้ตบุ๊กทำงานน่ะ ลืมไว้ในครัวบ้านไอ้หมวยเพื่อนน้อยหน่ามัน"

ประตูลิฟต์ปิดลงท่ามกลางสีหน้าอึ้งๆ ของหนุ่มแฝด ก่อนปาล์มจะใช้ศอกสะกิดคู่แฝดให้รู้สึกตัวและพากันเดินไปที่รถ

"จงใจแน่ๆ แกเห็นรอยยิ้มพี่ปืนไหม" ปาล์มเมาท์มอยพี่ชาย

แฝดของเขาพยักหน้าหงึกๆ แล้วเอ่ยสำทับอย่างสุดแสนมั่นใจ

"ตั้งใจเลยแหละ ไอ้พี่ปืน"

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น