2

บทที่ 2


         

ท่ามกลางความวุ่นวายและผู้คนมากมายในมหานครนิวยอร์ก หญิงสาวร่างเล็กบอบบางคนหนึ่งเดินออกมาจากสนามบินจอห์นเอฟเคนเนดีและขึ้นรถไฟใต้ดินตรงมายังที่พักที่อยู่ในย่านบรุกลินไฮต์ ฝั่งบรุกลิน เธอต้องใช้เวลาเล็กน้อยกว่าจะหาที่พักตาม ‘ใบสั่ง’ ที่ได้มา ซึ่งเป็นอะพาร์ตเมนต์ที่อยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะใต้สะพานบรุกลินเท่าไร ทั้งยังมองเห็นแม่น้ำอีสต์จากด้านหน้าอะพาร์ตเมนต์อีกด้วย

            ศศินายิ้มน้อยๆ คิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ก็หรูหรา บรรยากาศดี มีที่ให้เธอพักผ่อนจิตใจหลังจากที่ต้องไปทำงานตาม ‘ใบสั่ง’ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะมีอิสระและกลับไปหา ‘ลูกชาย’ ได้

            พรุ่งนี้เธอจะเริ่มงานที่อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์  ต่อให้ไม่อยากทำอย่างไร แต่ใบหน้าน่ารักของเด็กชายวัยสี่ขวบคือแรงผลักดันให้เธอรีบสะสางงานพวกนี้ไปเสีย อับราฮัมรับปากแล้วว่างานนี้จะเป็นงานสุดท้าย เมื่อเสร็จงานแล้วเธอจะได้ชีวิตใหม่ และได้กลับบ้าน

            หญิงสาวใช้เวลาจัดของในห้องไม่นานนักเพราะอะพาร์ตเมนต์ที่นี่ก็ตกแต่งพร้อมอาศัยอยู่แล้ว ส่วนเธอก็มีข้าวของเล็กน้อย แค่เสื้อผ้าสำหรับทำงานและชุดลำลองไม่กี่ชุด คอมพิวเตอร์แลปทอปและยาสำหรับโรคประจำตัวเท่านั้น หลังจากเก็บของเรียบร้อยจึงเดินออกมาจากห้อง ตั้งใจว่าจะไปสำรวจร้านอาหารและไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใต้สะพานบรุกลินเสียหน่อย

            ศศินานั่งลงบนเอ้าอี้ริมแม่น้ำอีสต์ใต้สะพานบรุกลิน มองตึกฝั่งแมนฮัตตันที่เริ่มเปิดไฟหลากสีสัน มองผู้คนที่มาเดินเล่น ออกกำลังกาย และนักท่องเที่ยวมากมายที่มาเก็บภาพแสงสีของมหานครนิวยอร์ก เห็นแล้วก็อดเหงาไม่ได้ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้น ตั้งใจจะต่อสายขอคุยกับอเล็กซ์ แต่อับราฮัมก็โทร. มาเสียก่อน

            “ค่ะ” หญิงสาวจำต้องกดรับอย่างเสียไม่ได้

            “เห็นไดรฟ์ที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงหรือเปล่า” ปลายสายถาม

            หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกย้อนถึงตอนเก็บของ เธอจำได้ว่าเห็น แต่ก็ไม่ได้หยิบขึ้นมาดูเพราะไม่กล้าแตะต้องข้าวของของเขาหากยังไม่ได้รับอนุญาต

            “ว่ายังไง” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นจนศศินาต้องรีบตอบ

            “เห็นค่ะ”

            “พรุ่งนี้ไปทำงานก็เอาไปด้วย ฉันเชื่อว่าเธอรู้ว่าจะต้องทำยังไง”

            “คุณต้องการอะไรคะ” เธออดสงสัยไม่ได้ เขาต้องการให้เธอทำอะไรกันแน่ ส่งเธอมาถึงนิวยอร์กเพื่อให้ทำงานกับอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ แต่กลับยังไม่บอกเสียทีว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไรกันแน่

            “ทำตามที่บอกก็พอ ไว้เธอเชื่อมต่อได้เมื่อไหร่ฉันจะสั่งเธออีกที”

            “ฉันอยากคุยกับอเล็กซ์” หญิงสาวลองเสี่ยงขอร้องเขา กลัวว่าลูกจะร้องไห้หาเพราะเธอเลี้ยงอเล็กซ์มาตามลำพังตั้งแต่แรกเกิด อยู่ด้วยกันตลอดเวลาจนกระทั่งเขาก้าวเข้ามาและแยกเธอออกมาจากเด็กชาย

            “ได้สิ” อับราฮัมรับคำพร้อมกับเปิดกล้องวิดีโอแชตให้ แล้วหันไปเรียกอเล็กซ์ “อเล็กซ์ มามี้ของลูกจะคุยด้วย”

            “ฮะ” เด็กชายรับคำเสียงใสจากที่ไกลๆ พร้อมๆ กับที่เด็กชายร่างกลมป้อมวิ่งถลามาหาอย่างรวดเร็ว แล้วร้องเสียงดังลั่นบ้าน “มามี้!”

            “ไงตัวแสบ”

            “มามี้ไปนาน ผมคิดถึงมามี้ฮะ”

แค่ได้ยินน้ำเสียงฉอเลาะช่างอ้อนของเด็กชาย หัวใจของหญิงสาวก็ไหววูบ เธอมองใบหน้าและแววตาไร้เดียงสาแล้วก็น้ำตาคลอ

            “แม่ก็คิดถึง แต่แม่ต้องมาทำงาน อเล็กซ์อย่าดื้อนะ”

            “ไม่ดื้อเลยฮะ” เด็กชายส่ายหน้ารัวจนผมสีน้ำตาลเข้มกระจายยุ่งเหยิง พวงแก้มอวบยุ้ยน่าฟัดสั่นไปตามจังหวะส่ายหน้าด้วย ภาพนั้นเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวได้ทันทีแม้ว่าจะอยู่ในสภาวะเครียดก็ตาม

            “ทำการบ้านหรือยัง”

            “ทำแล้วฮะ” เด็กชายตอบเสียงใส แรกๆ ก็สีหน้ายิ้มแย้มดี แต่หลังๆ มากลับค่อยๆ เบะปากตั้งท่าจะร้องไห้ จนศศินาต้องปลอบ

            “เป็นลูกผู้ชาย แม่สอนว่ายังไง”

            “ต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆ ฮะ” เด็กชายอเล็กซ์ตอบ พยายามข่มใจไม่ร้องตามที่แม่สอน ผลคือสะอื้นฮักจนไหล่เล็กสะท้าน

            “ถ้าอเล็กซ์ร้องไห้ แม่จะเป็นห่วง”

            “แต่ผมคิดถึงมามี้นี่ฮะ” เด็กชายแย้งเสียงใสเจือสะอื้นแล้วรีบเช็ดน้ำตา “แต่ผมจะเป็นเด็กดีฮะ จะเรียนเก่งๆ แล้วช่วยมามี้ทำงาน มามี้จะได้ไม่ต้องไปไกล”

            “โธ่อเล็กซ์” ได้ยินอย่างนั้นแล้วน้ำตาก็พานจะไหลออกมาเสียให้ได้ แต่หญิงสาวหัวใจแกร่งฝืนยิ้มให้เด็กชายแล้วส่ายหน้าเบาๆ “แม่จะรีบกลับนะ”

            “ตั้งใจทำงานนะฮะ”

            ศศินายิ้มให้เด็กชาย “แม่จะตั้งใจทำงาน”

            “รักมามี้ฮะ” อเล็กซานโดรส่งโทรศัพท์ให้ ‘พ่อ’ แล้ววิ่งหายไป

            “พรุ่งนี้ฉันจะติดต่อเธออีกที” อับราฮัมออกคำสั่งเหมือนอย่างเคย อย่างที่เจอกันครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน...

            ศศินาถอนหายใจ พูดอย่างนี้แล้วเธอจะทำอย่างไรได้นอกจากพยักหน้าและกดวางสาย หย่อนโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าเสื้อโคต แล้วเบนสายตาไปยังผู้คนมากมายที่ริมแม่น้ำอีสต์ แต่เธอกลับไม่ได้มองใครจริงจังเลย หญิงสาวเอาแต่นั่งเหม่อ สิ่งที่เธอนึกถึงคือความทรงจำและสาเหตุที่ทำให้เธอจากบ้านมาไกลถึงที่นี่ ซ้ำยังมี ‘ลูกติด’ อีกต่างหาก

            แต่คิดเสียดายอย่างไรก็เท่านั้น เวลาล่วงเลยผ่านมาถึงห้าปี เธอถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว จะมีก็แต่ต้องก้าวต่อไปเท่านั้น

            หญิงสาวยิ้มกับตัวเอง เงยหน้ามองสะพานบรุกลินที่เชื่อมระหว่างเกาะแมนฮัตตันกับฝั่งบรุกลิน พรุ่งนี้...เธอจะต้องเข้าไปทำงานใกล้กับ ‘เขาคนนั้น’ ทั้งที่เธอไม่ต้องการเลยแม้แต่นิดเดียว

เช้าวันทำงานวันแรกของสัปดาห์ เสียงนาฬิกาปลุกบนตู้เล็กๆ ปลุกให้หญิงสาวร่างเล็กแบบบางที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นงัวเงียลุกขึ้นหันไปปิดเสียงนาฬิกา นึกอยากหยุดเวลาไว้แค่นี้ เธอไม่อยากไปทำงานเลยสักนิด แต่สุดท้ายก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกจากที่นอน พับผ้าห่มเก็บเตียงเรียบร้อยแล้วตรงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำอาหารเช้าง่ายๆ กินรองท้อง แต่ก็กินได้ไม่มาก สมองคิดแต่เรื่องการไปทำงานที่อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ จนสุดท้ายแล้วเธอกลืนไปได้แค่สองสามคำเท่านั้นก็ต้องเททิ้งไป

            ศศินาถอนหายใจ เดินมาตรวจเช็กความเรียบร้อยอีกครั้ง ภาพสะท้อนจากกระจกเผยให้เห็นหญิงสาวชาวเอเชียร่างเล็ก ผิวขาวเหลือง ผมยาวสยายรุ่ยร่ายล้อมกรอบหน้า สภาพไม่ต่างจากผีจูออนทีเดียว

            บุคลิกภาพคือความประทับใจแรกเมื่อพบกัน ต่อให้จะไม่อยากไปทำงานที่นั่นอย่างไรก็เถอะ แต่เธอจะทำตัวโทรมเหมือนคนใกล้ตายแบบนี้ไม่ได้ คิดแล้วหญิงสาวก็เติมเครื่องสำอางเสียหน่อย ริมฝีปากที่เคยซีดเซียวถูกเติมด้วยลิปสติกสีแดงสด ดวงตากลมโตถูกเน้นด้วยอายส์ไลเนอร์จนคมเข้มโฉบเฉี่ยว แค่นี้ก็แทบไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว

            หญิงสาวยิ้มให้ตัวเอง ได้แต่หวังว่าเธอคงไม่ดวงตกเจอ ‘เขา’ หรือถ้าซวยขนาดนั้นจริงๆ ก็ขอให้เขาจำเธอไม่ได้แล้วกัน

            ศศินาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หันไปคว้ากระเป๋าสะพายที่ด้านในบรรจุไดรฟ์สำคัญตามคำสั่งไว้มาสะพายไหล่ จากนั้นจึงเดินออกจากที่พัก มุ่งหน้าสู่ใจกลางแมนฮัตตันซึ่งเป็นที่ตั้งของอะลอนโซ ทาวเวอร์ ตึกสำนักงานของอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์

            อะลอนโซ ทาวเวอร์คือ ตึกสูงราวสี่สิบชั้นกลางย่านมิดทาวน์ที่แม้ไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตึกเอ็มไพร์สเตต หรือตึกไครสเลอร์ แต่รูปทรงทันสมัยและกรุด้วยกระจกวันเวย์ทั้งหมดก็ดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งคนที่อาศัยอยู่ในแมนฮัตตันก็ตาม หนึ่งในนั้นคือศศินา หญิงสาวหยุดเดิน ไม่สนใจผู้คนที่เดินผ่านมาผ่านไป เพราะสายตาของเธอจดจ้องอยู่ที่ตึกตรงหน้าเสียแล้ว

            หวังว่าจะไม่เจอเขาแล้วกัน...

            หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจซ้ำๆ ให้กำลังใจตัวเองว่าอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์มีตั้งหลายสิบชั้น พนักงานตั้งเท่าไร ไม่มีทางที่เขาจะเจอเธอง่ายๆ แน่นอน

            ศศินาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไปติดต่อกับประชาสัมพันธ์ ส่งเอกสารยืนยันตัว ใบสมัครจากทางเอเจนซี่ที่เธอไม่รู้ว่า พวกของอับราฮัมทำอย่างไรถึงมีมันขึ้นมาและส่งให้เธอได้ แต่ทุกอย่างก็ทำให้เธอผ่านด่านและมานั่งในแผนกคอมพิวเตอร์ของสำนักงานได้

            ถ้าเปรียบซิลิกอน วัลเลย์ เป็นอาณาจักรไอทีที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่ใฝ่ฝันของพนักงานออฟฟิศทุกคนแล้วละก็ อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ก็คงจะเป็นอันดับต้นๆ ของฝั่งอีสต์โคสต์เช่นกัน

            เสียงต้อนรับของระบบปฏิบัติการนานาทำให้ศศินารู้สึกทึ่งเล็กน้อย เพราะที่นี่ทันสมัยและอุดมไปด้วยเทคโนโลยีมากกว่าทุกบริษัทที่เธอเคยเข้าไป ‘ทำงาน’ ระบบสั่งการด้วยคำสั่งเสียง มีระบบปฏิบัติการที่ปรากฏตัวได้ทุกที่ในตึกควบคุมความปลอดภัยของข้อมูล เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าในเมื่อมีระบบอัจฉริยะขนาดนี้อยู่ในสำนักงาน แล้วจะจ้างพนักงานแผนกคอมพิวเตอร์และไอทีไปทำไม

            แต่อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ยังสร้างความประหลาดใจให้เธออีกมาก...

            ในใจกลางแมนฮัตตันที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ไม่เหมือนบริษัทต่างๆ ในซิลิกอน วัลเลย์ที่อยู่ติดอ่าวซานฟรานซิสโกซึ่งพื้นที่เหลือเฟือ แต่อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์กลับทำโฮมออฟฟิศได้บรรยากาศเดียวกับหลายบริษัทชั้นนำ แต่ละชั้นดูกว้างขวาง พนักงานแต่งตัวตามสบาย แต่ละคนมีมุมทำงานของตัวเอง จะตกแต่งอย่างไรก็ได้

            ศศินาสนใจโต๊ะทำงานของสาวคนหนึ่งที่วางต้นไม้ไว้เสียรอบราวกับอยู่ในป่า ซึ่งมารับรู้ทีหลังว่าเธอเป็นหนึ่งในทีมโฆษณาและรักการเดินป่าเป็นชีวิตจิตใจ เธอจะมีแรงบันดาลใจก็ต่อเมื่อมีต้นไม้อยู่ใกล้ตัวเท่านั้น
            น่าสนใจมาก
!

            นอกจากโฮมออฟฟิศสะดวกสบายแล้ว ยังมีฟิตเนส มุมอ่านหนังสือพักผ่อนสบายๆ มีแม้กระทั่งเกมต่างๆ ให้ในแต่ละชั้นอีกด้วย

            ศศินาถูกพามาที่ชั้นเก้าซึ่งเป็นชั้นกลาง เพราะตึกนี้แบ่งเป็นออฟฟิศแค่ยี่สิบชั้นล่างเท่านั้น ส่วนยี่สิบชั้นบนแบ่งเป็นห้องพักเหล่าคนสนิทของ เชสก์ อะลอนโซ และยังแบ่งเป็นแล็บและชั้นสะสมซูเปอร์คาร์ แน่นอนว่าสองชั้นบนสุดเป็นเพนต์เฮาส์หรูส่วนตัวของเชสก์ อะลอนโซ เจ้าของบริษัทแห่งนี้

            หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและคอยสอนงานศศินาตลอดครึ่งวันเช้า ศศินาไม่ใคร่จำชื่อเพื่อนร่วมงานเท่าไรนักเพราะมั่นใจว่าอยู่ไม่นานแน่ เพราะทุกครั้งที่ ‘พวกนั้น’ ใช้เธอทำงานจนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว ก็จะพาเธอออกจากพื้นที่โดยเร็ว

            ‘ยินดีต้อนรับสู่อะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์และระบบปฏิบัติการนานา กรุณาใส่ยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ด’

            แค่เปิดคอมพิวเตอร์ก็เจอปัญหาใหญ่ทั้งที่ยังไม่ทันลงมือ ‘ทำงาน’ ด้วยซ้ำ ในเมื่อที่นี่ใช้ระบบปฏิบัติการสุดไฮเทค ที่ตรวจตรารหัสเข้างานของพนักงานทุกคน แล้วเธอจะผ่านด่านโดยไม่มีใครจับได้ได้อย่างไรกัน

            ดวงตาคู่กลมโตมองแฟลชไดรฟ์ ‘คำสั่ง’ ที่วางไว้ใกล้มือ แล้วเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอทำไม่ได้แน่ อย่างน้อยก็ต้องเรียนรู้ระบบปฏิบัติการนานาอีกสักพักให้รู้ว่าทำงานอย่างไร ต้องฝ่ากี่ด่านอรหันต์ถึงจะบรรลุด่านเซียนเจาะเข้าเมนเฟรมได้ เธอถึงจะกล้า

 
 

 


  ๒พื้นที่ทางตอนใต้ของอ่าวซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของโลก

เชื่อมต่อไดรฟ์นี้

            พนักงานคนใหม่ถอนหายใจแล้วรีบเก็บไดรฟ์เจ้าปัญหาก่อนที่ใครจะเห็นมัน ความรีบทำให้ลนลานจนเผลอทำตกพื้น

            “เอส!”

เสียงเรียกของใครบางคนทำเอาศศินาสะดุ้งใจหายวาบ พอตั้งสติได้ก็หันไปตามเสียง แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเธอแน่ใจว่าไม่รู้จักหญิงสาวร่างสูงเพรียวบาง ใบหน้าคมคายแบบสาวละตินอเมริกาตรงหน้าเลยสักนิด จำได้ว่าเจ้าหล่อนไม่ได้อยู่แผนกนี้ด้วยซ้ำ

            “รู้จักฉันด้วยหรือคะ” ถามพลางชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆ ในใจก็คาดเดาไปต่างๆ นานา หรือว่าจะเป็นเพราะเธอเป็นน้องใหม่ เลยมีคนรู้จักอย่างนั้นหรือ

            “รู้ซี” สาวสวยตอบอารมณ์ดีพร้อมทั้งฉีกยิ้มหวานปานนางงามจักรวาล แล้วอธิบายต่อไปว่า “ฉันบอกว่าคอมพิวเตอร์ฉันเสีย ฉันเลยเดินลงมาที่นี่เพราะเห็นว่ามีพนักงานใหม่ เขาให้ฉันมาหาเอส แล้วก็ชี้มาตรงนี้”

            “ทำไมไม่โทร. มาแจ้งล่ะคะ ไม่ต้องเดินมาเองก็ได้”

            “ฉันชอบออกกำลังกายน่ะ” สาวอารมณ์ดีตอบแล้วยื่นมือมาให้ “ฉันชื่อ อนินทิตา โรซาเลส เรียกอนินก็ได้”

            ศศินาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อแบบไทย เพราะมองแล้วสาวตรงหน้าไม่มีความเป็นไทยตรงไหนเลย

            “อย่าให้อธิบายเลย ยาวแน่ๆ เอาเป็นว่ามีเชื้อสายไทยสักยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์น่ะ สถิติความน่าจะเป็นของลักษณะทางพันธุกรรมไม่แสดงออกมากหรอก ยีนเด่นกลบหมดแล้ว” อนินทิตาพูดแล้วก็หัวเราะ ดูอารมณ์ดีมากจนศศินาอดรู้สึกไม่ได้ว่า...อนินทิตาสติดีหรือเปล่า

            “ห้องทำงานคุณอยู่ชั้นไหนคะ ฉันจะขึ้นไปดูให้” ถ้าไม่รีบเข้าเรื่อง สาวตรงหน้าต้องพาเธอเสียสติตามไปแน่ๆ

            “ไม่เอาน่า” คนสวยแบะปากทันที

            “แต่นี่เวลางานนะคะ”

            “และก็ใกล้พักแล้วด้วย เป็นเวลางานที่สาวๆ รวมกลุ่มนินทาเจ้านายเลยละ”

            “ทำไมหรือคะ” ศศินาขมวดคิ้ว ในเมื่อมีระบบปฏิบัติการสุดอัจฉริยะคอยสอดแนมทุกการเคลื่อนไหวขนาดนี้ ยังมีคนกล้านินทาเจ้านายอีกหรือ

            “เขาว่ากันว่า...คุณอะลอนโซชอบสาวเอเชีย เวลามีพนักงานเข้ามาใหม่ทีไร ถ้าเป็นคนเอเชีย ส่วนมาก...ไม่รอด” คราวนี้สีหน้าของสาวอารมณ์ดีไม่เหลือเค้าความขี้เล่นอีกต่อไป ทำเอาคนฟังใจหายวาบ

            “จริงหรือคะอนิน” ศศินาถามเสียงสั่น เธอกลัวว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...เธออยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว!

            ความเงียบของอนินทิตาทำให้ศศินากลัว จนรู้สึกถึงเหงื่อที่เริ่มผุดพรายตามปลายจมูกและไรผม รอว่าอนินทิตาจะพูดอะไรต่อ ทว่า...

            “ฉันล้อเล่น!” อนินทิตาโพล่งแล้วฉีกยิ้มแบบนางงามจักรวาลอีกครั้ง จนคนที่ตั้งใจจะโกรธก็กลับโกรธไม่ลง

            “ฉันตกใจหมดเลย” จากที่ตกใจกลัวแทบตาย แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ล้อเล่น ศศินาก็ค่อยถอนหายใจโล่งอก

            “ไปเถอะ ได้เวลาพักแล้ว เราไปหาอะไรกินกัน”

คำชวนของสาวสวยตรงหน้าทำให้ศศินาลังเล เธอไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก ไม่รู้ว่าการเป็นเพื่อนกับอนินทิตาจะส่งผลอย่างไรกับตัวเองบ้าง เมื่อไรที่เธอออกไปจากที่นี่ อนินทิตาคงเดือดร้อนมากทีเดียว

            “ไม่ดีกว่าค่ะ” เจ้าของเสียงหวานปนเศร้าตอบ

            “ทำไมจะไม่ดีล่ะ มาๆ มากับฉันค่ะ มีร้านอร่อยเลยไปแค่สามสี่บล็อกเอง อร่อยกว่าที่นี่เยอะด้วย” อนินทิตาทำตาแพรวพราว แล้วดึงแขนศศินาให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินไปทันที โดยไม่สนใจความสมัครใจของอีกฝ่ายเลยสักนิด

            สาวเอเชียร่างเล็กได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ เธอเชื่อแล้วว่าอนินทิตาเป็นคนสวยและ ‘ประหลาด’ ได้ใจดีจริงๆ

            นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาทำงาน ชื่อของ ศศินา สไนเดอร์ อยู่ในความสนใจของเชสก์ตลอดเวลา แม้จะไม่ลงไปดูด้วยตัวเอง แต่เขาก็สั่งให้เดรโกจับตามองเธอตลอด มีระบบปฏิบัติการนานาคอยดูแลความผิดปกติของสาวคนนั้น แต่ก็ยังไม่พบพิรุธใดๆ เธอแค่เปิดคอมพิวเตอร์และเข้าระบบล็อกอินของพนักงานตามปกติ

            ‘คุณเดรโกมารอพบค่ะคุณอะลอนโซ’ ระบบปฏิบัติการนานารายงานเจ้านายที่ยังจดจ่อกับประวัติของ ศศินา สไนเดอร์ ว่ามีสิ่งที่เชื่อมโยงกับ Mr. S หรือไม่ แต่ก็ยังไม่พบ

            “ให้เข้ามาเลย” เชสก์ออกคำสั่ง

            ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สมกับเป็นบอดีการ์ดฝีมือดีเดินเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านาย แล้วรีบรายงานเข้าเรื่องทันที “เรื่องพนักงานใหม่ครับคุณเชสก์”

            “ศศินาใช่ไหม”

            “ครับ”

            “ว่าไง”

            “เธอออกไปข้างนอกกับอนินทิตาครับ” เดรโกรายงานเสียงเรียบเรื่อย แต่ความกังวลฉายชัดในดวงตาคู่คมของเขา

            ชื่อของสองคนนั้นทำให้เชสก์ชะงัก ศศินาคือคนต้องสงสัยของเขา ส่วนอนินทิตาก็มีพฤติกรรมแปลกประหลาด ตั้งแต่ที่ลอบเดินตามเขาและรามไปแล้ว แม้จะแสดงออกถึงความ ‘สนใจ’ แต่สายตาของเธอไม่แสดงออกถึงความพอใจในตัวเขาและรามเลยสักนิด

            “ออกไปไหนกัน”

            “กินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารเล็กๆ ถัดจากสำนักงานเราไปแค่สามบล็อกครับ”

            “จับตาดูไว้ก่อน”

            “ให้เรียก ศศินา สไนเดอร์ ขึ้นมาพบเลยไหมครับ”

            “ไม่ต้อง” ชายหนุ่มส่ายหน้า แม้จะอยากพบหน้าศศินามากเพียงไร แต่ถ้าเขาเรียกเธอขึ้นมาพบตอนนี้ก็ไม่ต่างจากบอกให้เธอรู้ตัวว่าเขากำลังสงสัยเธอ สู้ปล่อยให้เวลาผ่านไป ถ้าเธอไม่เกี่ยวข้องกับ Mr. S จริง มันก็จะผ่านไปเอง

            เดรโกพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากห้อง ให้เจ้านายได้ทำงานต่อตามลำพังอย่างที่ต้องการ

            เมื่อคล้อยหลังเดรโกไปแล้ว เชสก์จึงออกคำสั่งกับระบบปฏิบัติการนานาให้ดึงประวัติของ ศศินา สไนเดอร์ ขึ้นมาอีกครั้ง

            สถานภาพระบุว่าหย่าร้าง และมีลูกชายอายุสี่ขวบหนึ่งคน!

            หัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบ มองภาพของเธอแล้วทำให้เขานึกย้อนไปถึงใครบางคนที่เฝ้าค้นหามานานแสนนาน แต่ก็ไม่พบแม้เงาของเธอ ศศินาคล้ายกับสุคนธวามาก แต่สีหน้าแววตาต่างกัน สุคนธวาเป็นเด็กสาวร่างเริง แววตามีแต่ความสดใส ผิดกับศศินาที่แม้ว่าใบหน้าจะอิ่มเอิบกว่า แต่ดวงตากลับหวานปนเศร้า สีหน้าราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบก็ไม่ปาน

            ‘เธอเป็นใครกันแน่ศศินา’ เชสก์ได้แต่ถามตัวเองหลายต่อหลายครั้ง อยากพบเธอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าเธอคือใครกันแน่ แต่ยังทำไม่ได้

            ดวงตาคู่คมกวาดมองประวัติที่พักของเธอก็พบว่าอยู่แค่บรุกลินไฮต์นี่เอง ห่างกับที่พักของรามแค่ไม่กี่บล็อก บางที...เขาควรไปเยี่ยมเสียหน่อยแล้ว

            เชสก์พับความตั้งใจนั้นไว้ก่อนแล้วลงไปที่แล็บและทำงานตามปกติ ‘งานใหญ่’ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำใกล้เสร็จแล้วก็จริง แต่เขายังเตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ เพื่อสิทธิพิเศษบางอย่างที่มากับงานชิ้นนี้

            จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน หนุ่มลูกครึ่งสเปน-ไทยก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงาน

            “ไม่ต้องตาม เดรโก นายอยู่ที่นี่แล้วคอยรายงานเรื่องที่ฉันสั่งไว้เป็นระยะๆ แล้วกัน”

            “ครับคุณเชสก์” บอดีการ์ดหนุ่มรับคำแล้วล่าถอยไปทำงานของตัวเอง ให้เจ้านายออกไปตามลำพังอย่างที่ต้องการ

           

การทำงานวันแรกไม่ค่อยหนักหนาเท่าไรนัก เพราะส่วนมากหัวหน้าก็จะสอนเรื่องระบบปฏิบัติการนานาของอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ สอนระบบงานและการทำงานกับแผนกต่างๆ ให้รู้จักผังสำนักงานรวมทั้งเพื่อนร่วมงานด้วย และเมื่อเลิกงานศศินาจึงเดินออกจากอะลอนโซ ทาวเวอร์ อย่างรวดเร็วราวกับกลัวถูกใครจับได้ แต่ก็ช้ากว่าสาวสวยอนินทิตาอีกจนได้ เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เจอสาวสวยขี้เล่นอีกครั้งบนรถไฟใต้ดินขบวนเดียวกัน ทำเอาศศินาต้องหลบวูบ เพราะกลัวความสนิทสนมที่เร็วเกินไปของอนินทิตา

            สาวร่างเล็กอาศัยความได้เปรียบทางรูปร่างค่อยๆ เบียดแทรกผู้คนบนรถไฟใต้ดินไปให้ไกลจากอนินทิตาให้ไวที่สุด จนกระทั่งถึงสถานีที่หมาย แล้วจึงรีบเดินออกไปก่อนที่อนินทิตาจะหันมาเห็น

            ศศินาเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจแล้วว่าอนินทิตาไม่ตามมาแล้วจริงๆ จึงถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบเดินมุ่งหน้าสู่ที่พัก แต่กระนั้นก็ยังอดเหลียวมองไปรอบตัวไม่ได้ ยอมรับว่า ‘หน้าที่’ ทำให้เธอหวาดระแวงไปเสียทุกอย่างตามประสาคนมีชนักติดหลัง กลัวแม้กระทั่งพวกคนไร้บ้านที่อาศัยตามสถานีรถไฟใต้ดิน

            หญิงสาวกระชับกระเป๋าสะพายไว้แน่นพร้อมทั้งเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น และเมื่อหันไปทางด้านหลังก็พบว่ามีผู้ชายตามเธอมาจริงๆ ด้วย

            ใคร!

            ศศินาได้แต่สงสัย แต่ไม่กล้าหันไปมองเต็มตา เธอไม่มีศัตรูที่ไหนทั้งนั้น เว้นเสียแต่ศัตรูของคนอื่นที่มาพร้อมกับ ‘งาน’ ที่เธอต้องทำตาม ‘ใบสั่ง’ เท่านั้น และนั่นก็คือเหตุผลที่เธอต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ จนเดือดร้อนไปถึงอเล็กซานโดรที่ต้องย้ายตามเธอเป็นว่าเล่น

            หรือว่านี่จะเป็นอีกครั้งที่เธอต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ...

            คิดแล้วก็ได้แต่เครียด ศศินาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น อีกนิดเดียวก็จะถึงอะพาร์ตเมนต์ แค่ข้ามถนนไปเท่านั้น ความรีบร้อนทำให้หญิงสาวไม่ทันระวังว่ากำลังจะหมดสัญญาณคนข้ามถนน ผลคือเกือบถูกรถชน ดีที่มีใครบางคนคว้าแขนเธอไว้และกระชากเธอออกมาจนพ้นทาง แต่ก็ส่งผลให้ล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่

            เอี๊ยด!

            เสียงเบรกรถดังสนั่นส่งผลให้การจราจรในชั่วโมงเร่งด่วนติดขัดเล็กน้อย จนกระทั่งหนุ่มสาวรีบลุกขึ้นและเดินข้ามไปจนถึงหน้าอะพาร์ตเมนต์

            เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาหญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้อง สมองยังเบลอๆ จนกระทั่งเห็นว่าข้างหน้าคืออะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง และรู้สึกได้ถึงมือของใครบางคนที่กุมต้นแขนเธอแน่น ดวงตาคู่คมดุวาววับราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน ศศินาสะดุ้งใจหายวาบเมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าคือใคร

            เขาคือ เชสก์ อะลอนโซ!

            ศศินายังรู้สึกเหมือนกำลังฝัน เธอได้แต่มองใบหน้าคุ้นเคยของเขาอย่างงงๆ เวลาผ่านไปห้าปีแล้ว และเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิมมากเช่นกัน ทั้งท่าทาง สีหน้า และแววตา เมื่อก่อนเขาดูเป็นแค่เศรษฐีเพลย์บอยคนหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับดูดุดัน อันตราย ไม่มีแววกะล่อนขี้เล่นเหมือนก่อนอีกแล้ว

            แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ เธอไม่สนใจเขาอีกแล้ว และหวังว่าเขาจะจำเธอไม่ได้ เพราะหลังจากเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย เธอเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

            “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณและพยายามเบี่ยงตัวหลบเขาอย่างสุภาพที่สุด แต่ก็ยังไม่พ้นมือเขาอยู่ดี จนเธอต้องบอกซ้ำ “ปล่อยได้แล้วค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”

            เป็นอีกครั้งที่ศศินาพยายามดึงแขนตัวเองให้พ้นจากการเกาะกุมของเขา แต่แรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชาย ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไร้ผล

            “คุณคะ” เธอยังทำตัวเป็นปกติราวกับไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ไม่ว่าเขาจะจำเธอได้หรือไม่ก็ตาม แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว และเขากับเธอ...ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว

            ระหว่างที่ศศินากำลังกลัวและคิดไปต่างๆ นานา เชสก์กลับยังทำเฉย เขานิ่งมากจนน่ากลัว ดวงตาคู่คมดุยังวาววับอ่านยาก ยากจะคาดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

            “กรุณาปล่อยฉันเถอะค่ะ ขอบคุณที่ช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ฉันไม่เป็นแล้ว” ศศินาบอกพร้อมทั้งส่งยิ้มสุภาพ แต่ยิ่งเธอทำห่างเหินมากเท่าไร ดวงตาของเขาก็ยิ่งดูแข็งกร้าวกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก

            “ไม่เจอกันนานนะ” เขาพูดออกมาในที่สุด

น้ำเสียงราบเรียบของเชสก์กดดันคนฟังจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ  ในใจกำลังกลัดกลุ้มอย่างหนัก เธอไม่รู้จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้อย่างไร

            “เกรงว่าคุณจะจำคนผิดแล้วละค่ะ” หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย ส่ายหน้าเบาๆ แล้วถอยห่างจากชายหนุ่มตรงหน้าอย่างนุ่มนวล แต่กลับถูกเขากระชากแขนเข้าไปประชิดอีกครั้ง

            “ไม่เอาน่าผักหวาน โตๆ กันแล้ว อย่าคิดว่าฉันจำเธอไม่ได้สิ”

            “คุณจำคนผิดแล้วจริงๆ ค่ะ” เธอแสร้งส่ายหน้าอย่างจนใจ การใช้ชีวิตต่างแดนหลายปีทำให้เธอเรียนรู้ที่จะปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง และได้แต่หวังว่าเขาจะจับไม่ได้เช่นกัน

            “ถ้าอย่างนั้นเธอชื่ออะไร”

            “ไม่จำเป็นต้องรู้ค่ะ เราไม่รู้จักกันเสียหน่อย” หญิงสาวนัยน์ตาโศกกล่าวเสียงสุภาพ แล้วล่าถอยออกไปอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เชสก์ยอมปล่อยแต่โดยดี

            “อย่างนั้นหรือ...” เจ้าของเสียงเข้มทำสีหน้าครุ่นคิด คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเช่นเดียวกับดวงตาวาววับของเขา

            “ค่ะ”

            “ก็ได้” อยู่ๆ สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่ก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเขาก็เดินจากไปทันทีโดยไม่พูดอะไรต่อสักคำ

            ศศินาได้แต่ถอนหายใจโล่งอกที่เขายอมถอย แต่เธอก็ยังไม่วางใจว่าเชสก์จะเชื่อจริงๆ สังเกตจากสายตาวาววับราวกับเจอเหยื่อที่ถูกใจคู่นั้นปะไร เธอเดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังมีแผนการอะไรหรือเปล่า

            ความเครียดทำให้หญิงสาวมือสั่นจนใช้เวลาอยู่นานกว่าจะไขกุญแจเข้ามาในห้องพักได้ เธอรีบปิดประตูและล็อกห้องอย่างแน่นหนา แล้วเดินมาที่หน้าต่างที่มองเห็นถนนหน้าอะพาร์ตเมนต์ ก็พบว่าเชสก์ยังอยู่ ทั้งยังมองมาที่ห้องของเธอด้วยสายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

            เขาไม่เชื่อจริงๆ ด้วย!

            หญิงสาวใจหาย เธอรีบเดินออกมาให้พ้นจากหน้าต่างห้องแล้วหยิบโทรศัพท์โทร. หาอับราฮัมทันที

            “มีอะไร” ปลายสายทำเสียงแข็ง แต่ศศินาไม่สนใจทั้งนั้น รู้อย่างเดียวว่าเธออยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว

            “ฉันอยากออกจากที่นี่แล้ว หาคนอื่นทำแทนเถอะ”

            “ไม่ได้!”

            “ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะย้ายออกจากที่นี่” เธอกำลังจะตัดสาย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดต่อไปของเขา

            “แล้วอเล็กซ์ล่ะ” คนถือไพ่เหนือกว่าเอ่ยเสียงเรียบ “เธอจะห่วงแต่ตัวเองหรือ”

            คำพูดนั้นทำให้ศศินาชะงัก จริงที่เธอไม่ใช่คนตัวคนเดียว แต่มีเด็กชายไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกคนที่จะต้องพลอยลำบากไปด้วย

            “เธอต้องทำงานที่นั่นต่อจนกว่าฉันจะออกคำสั่ง”

            “อีกนานแค่ไหน”

            “อีกไม่นาน”

            “ฉันกับลูกจะได้กลับบ้านทันทีที่เสร็จงานใช่ไหม”

            “ใช่” ชายหนุ่มให้คำมั่น
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น