9

บางสิ่งที่หายไป


 

จากหนึ่งวัน สองวัน สามวัน ล่วงผ่านไปนับสัปดาห์ รามก็ยังไม่กลับมา นอกจากตุ๊กตาคิตตี้แล้วก็ยังมีเสื้อผ้าของเขาอีกสองสามชุดที่ยังอยู่ที่บ้าน อนินทิตาจึงเอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ เผื่อว่าวันไหนเขากลับมาเอา เธอจะได้คืนเขาไป และชีวิตของเธอก็จะกลับมาเป็นปกติ

            แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ...

            เวลาอยู่บ้าน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเธอก็มักจะเห็นแต่ภาพที่เคยอยู่ร่วมกับเขา นึกถึงเสียง สายตาเจ้าเล่ห์ เสียงหัวเราะกวนประสาทที่แม้ว่าส่วนมากจะมาจากการทะเลาะกันก็เถอะ แต่เธอก็อดคิดถึงไม่ได้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งนึกถึงจนต้องเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการทำงานให้หนักเข้าไว้ เช้ามาก็รีบออกจากบ้าน และกลับมาให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

           

เช้านี้นักจิตวิทยาอาชญากรสาวคนเก่งถือแก้วกาแฟด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างหนีบแฟ้มเอกสารแบบประเมินและติดตามการรักษาอาการทางจิตเวชของสตีเวนเดินเข้ามาในอาคารสถาบันจิตวิทยาเหมือนอย่างทุกวัน วันนี้เธอมาเร็วกว่าปกติเพราะไม่อยากอยู่บ้านนานนัก จึงมีเวลาคุยกับจิตแพทย์หนุ่มใหญ่ที่ทำงานด้วยกัน

            “หมอคะ ฉันมีเรื่องอยากปรึกษา” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยปาก ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดตอนกำลังโกรธจัดว่าจะลองให้หมอประเมินสุขภาพจิตให้ว่าทำไมถึงหลวมตัวไปชอบคนแปลกประหลาดอย่างรามเข้า จนกระทั่งอยู่ๆ เขาก็หายไป เธอคิดว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาจะค่อยๆ เลือนหายไป ที่ไหนได้...ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น จนเธอยังตกใจตัวเองว่าจะติดใจอะไรกับผู้ชายบ้าๆ คนหนึ่ง

            จิตแพทย์มือหนึ่งแห่งสถาบันจิตวิทยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ายอมรับฟังแต่โดยดี อนินทิตาจึงเล่าเรื่องตั้งแต่วันแรกที่รามมาถึง ตัดเรื่องที่เขาถูกทำร้ายออกไป บอกแค่ว่าเป็นอุบัติเหตุ และเป็นคนที่เคยรู้จักกันมา จากนั้นจึงสาธยายนิสัยประหลาดของเขาให้คุณหมอฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

            “หมอว่าฉันกำลังจะเสียสติหรือเปล่าคะ” อนินทิตากุมขมับ ยิ่งเห็นคุณหมอหนุ่มใหญ่กำลังส่งยิ้มใจดีมีเมตตามาให้ เธอยิ่งกลัวคำตอบเหลือเกิน

            “คุณไม่ได้เป็นอะไรหรอกคุณโรซาเลส ไม่ได้มีอาการทางจิตเวชด้วย”

            “แต่ฉันฝังใจกับเขามากเลยนะคะ” เจ้าของเสียงหวานแย้ง “แล้วดูนิสัยเขาสิคะ หมอก็รู้ว่าปกติแล้วฉันชอบความสมบูรณ์แบบ สเปกผู้ชายต้องหล่อล่ำระดับพระเอกเท่านั้น แต่ทำไมยังฝังใจกับคนนิสัยแบบนั้นล่ะคะ”

            “เขาเรียกว่าความรักต่างหาก ที่คุณกระวนกระวายเพราะคุณไม่ยอมรับตัวเอง”

            “แต่...” อนินทิตากำลังจะค้าน ทว่าแม็กซ์และเพื่อนร่วมทีมมาถึงเสียก่อน จึงต้องยุติบทสนทนาลงเพียงเท่านี้ แล้วเดินทางไปยังสถานที่คุมขังผู้ต้องหาคดีเดอะดาร์กแฟนทอม

 

ในขณะที่อนินทิตากำลังทำงานหนักเพื่อลืม อีกคนก็กำลังทำงานหนักเพื่อ ‘ปกป้อง’ บางสิ่งเช่นกัน

            อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มกลับมาที่บ้านหลังหนึ่งที่เปรียบเสมือนแหล่งกบดานของเขา มีเพียงหนึ่งคนที่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ก็คือ สเปนเซอร์ ไวลด์ คนที่ครั้งหนึ่งอนินทิตาช่วยเหลือจนรอดตายมาได้ และเป็นคนเดียวกับที่บอกที่อยู่อนินทิตาแก่เขา จนเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘แผนการ’ ทั้งหมด รามเป็นมนุษย์ประเภทเจ้าแผนการ ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของเขาทั้งสิ้น นับตั้งแต่เริ่มสวมรอยเป็นเดอะดาร์กแฟนทอม เขามักจะวางแผนรัดกุม มีแผนสำรองไว้เสมอทุกครั้งที่ออกทำงาน เช่นเดียวกับครั้งนี้ แต่มีอย่างหนึ่งที่ผิดแผนไป

            แต่ช่างเถอะ...คนอย่างเขามันรักตัวเองที่สุดในโลกอยู่แล้ว

            ชายหนุ่มคิดเย้ยหยันตัวเองแล้ววางแลปทอปสองเครื่องลงบนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงที่สุมไปด้วยอุปกรณ์ไอทีต่างๆ จนแทบไม่มีที่ว่าง เขาเปิดเครื่องแล้ว ‘ส่งงาน’ ตามที่ได้รับมอบหมายมา

            นั่นคือรายชื่อทุกคนที่ทำคดีเดอะดาร์กแฟนทอม และแผนการเคลื่อนย้ายทั้งพรรคพวก สตีเวน เรแกน รวมถึงมิโรสลาฟและ เวส สไนเดอร์ อีกด้วย!

            “ผมได้รายชื่อทั้งหมดแล้ว” ผู้ชายผมบลอนด์ตาสีฟ้าที่นั่งอยู่ในมุมมืดตอบกลับผ่านโปรแกรมวิดีโอคอล

            “ผมจะเจอคุณได้ยังไง” รามขมวดคิ้ว เขารู้จักผู้ชายคนนี้มาตลอดชีวิตการทำงานของเขา แต่ไม่เคยเห็นในมุมนี้มาก่อนเลย

            “ใจเย็นสิรามิเรซ” ชายผมบลอนด์หัวเราะเบาๆ แต่น้ำเสียงชวนให้หวาดระแวงไม่น้อย “ผมได้รายชื่อและแผนการเคลื่อนย้ายนักโทษทั้งหมดแล้ว แต่...จะเชื่อได้ยังไงว่าจริง ผมจะเชื่อได้ยังไงว่าคุณเป็นสายให้ผมแล้วจริงๆ”

            “งั้นก็รอลงมือสิ”

            “แล้วเราจะได้เจอกันแน่”

            “ผมรอเวลานั้นแทบไม่ไหวเลยละ” รามยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายแพรวพราว แล้วตัดการติดต่อเพียงแค่นี้

            “แน่ใจว่าบ้านของนายไม่ถูกสอดแนม” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง

            รามหันกลับมาหาสเปนเซอร์ที่กบดานอยู่ที่นี่ตลอดเช่นกัน ที่สเปนเซอร์ยังตัดใจไปไหนไม่ได้ก็เพราะยังห่วงสุคนธวา ภรรยาของ เชสก์ อะลอนโซ คนที่สเปนเซอร์แอบรักมาตลอดหลายปี ทั้งที่รามก็เตือนแล้วว่าไม่ต้องห่วงหรอก คนพวกนั้นหลุดพ้นข้อสงสัยนานแล้ว ทั้งยังมีบอดีการ์ดตามเป็นพรวน คนที่น่าห่วงคือพวกเขาต่างหากที่ตกลงลองเล่นกับไฟครั้งนี้

            “ถ้าถูกสอดแนม นายก็น่าจะตายไปนานแล้วมั้ง” อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มตอบกวนๆ ผิดกับตอนที่คุยกับชายผมบลอนด์ราวกับคนละคน

            “นายไม่รู้หรือว่าหมอนั่นเอาแผนไปทำอะไร” น้ำเสียงเข้มงวดของสเปนเซอร์เจือความตำหนิ สีหน้าเคร่งขรึม เขาคงรู้สึกผิดน้อยกว่านี้ถ้าไม่มีอนินทิตาเข้ามาเกี่ยวข้อง

            “เดี๋ยวเราก็จะได้รู้”

            “แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอนิน?”

            “ฉันไม่ให้เกิดอะไรขึ้นกับอนินหรอก” รามยิ้มชั่วร้าย “คนเดียวที่จะเล่นงานยายผู้หญิงนั่นได้ต้องเป็นฉัน”

            “นี่แค่ถูกชูนิ้วกลางให้แค้นขนาดนี้เลยเหรอ” สเปนเซอร์กอดอก มองรามด้วยสายตาสงสัย “คนแบบนายน่าจะโดนชูนิ้วกลางใส่จนชินนะ”

            “นายนี่ปากไม่ดีมากกว่าที่คิดนะ” หนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-อินเดียชักสีหน้าไม่พอใจ

            “น้อยกว่านายก็แล้วกัน” สเปนเซอร์ยักไหล่ แล้วถามทันทีที่เห็นรามลุกขึ้นเก็บของอีกแล้ว “แล้วนั่นจะไปไหน”

            “ทำงานต่อไง”

            “นายไว้ใจฉันให้อยู่บ้านนายขนาดนี้เลยหรือ” ถามพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมเข้มเจือความสงสัย

            อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลหนุ่มหัวเราะหึๆ นึกถึงวันแรกที่รู้ว่าสเปนเซอร์คือคนเดียวกับ Mr. S แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบรักษาความปลอดภัยของอะลอนโซ เอ็นเตอร์ไพรส์ได้ และบุกเข้าไปหาสเปนเซอร์ถึงที่ เขาเคยบอกสเปนเซอร์แล้วว่าคนอย่างพวกเขาไม่เคยมีเพื่อนที่แท้จริงหรอก และเขาก็ไม่ไว้ใจผู้ชายตรงหน้าขนาดนั้น แต่ที่ยอมให้สเปนเซอร์อยู่ในแผนก็เพราะว่าเขาทำเองทั้งหมดไม่ได้ และที่สำคัญ...เขาเชื่อว่าต่อให้เคยทรยศใครมามากมาย แต่สเปนเซอร์ไม่มีวันทรยศผู้มีพระคุณอย่างอนินทิตาแน่นอน

            รามยิ้มเจ้าเล่ห์ ยักไหล่เบาๆ แล้วหอบแลปทอปออกจากห้องไปโดยไม่ให้คำตอบใดๆ เหมือนเคย นึกจะมาก็มา จะไปก็ไป ไม่คิดจะบอกอะไรสักอย่าง

            สเปนเซอร์ได้แต่ถอนหายใจ มองโทรศัพท์ที่แจ้งเตือนข้อความอีเมลเข้ามาเป็นร้อยๆ ฉบับ ทั้งหมดมาจากอนินทิตาที่พยายามติดต่อว่าเขาอยู่ที่ไหน

            ...หรือเขาควรจะตอบรับเสียงเรียกจากเธอเสียที

 

เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ อนินทิตาตื่นแต่เช้าเหมือนเคยอย่าง แต่แปลกไปกว่าเมื่อเกือบหนึ่งเดือนก่อนที่มีคนมาอยู่ร่วมบ้านด้วยก็คือการที่เธอต้องเตรียมอาหารเช้าเอง มันไม่เคยอร่อยอย่างไรก็ยังกินไม่ได้อยู่อย่างนั้น หญิงสาวจึงคว้ากุญแจบ้านแล้วเดินออกไปร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปสองบล็อก ได้อาหารเช้าเป็นไข่คนกับกาแฟและขนมปังนิดหน่อย นั่งกินพร้อมกับนั่งมองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา จนกระทั่งกินเสร็จแล้วเธอจึงกลับบ้าน

            แต่น่าแปลก...เธอรู้สึกเหมือนมีคนตามอีกแล้ว

            อนินทิตาหันหลังขวับ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต ผู้คนละแวกนี้ส่วนมากเป็นวัยทำงานที่พอถึงวันหยุดก็มักพักผ่อนอยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นรุ่นคุณปู่คุณย่าที่เคยเห็นหน้าค่าตากันบ่อยๆ เวลามาออกกำลังกาย

            ช่างเถอะ...เธอคงคิดไปเอง

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวไขกุญแจเข้าบ้าน แต่อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอจึงกดรับสาย “ว่าไงแม็กซ์”

            “คุณอยู่ที่ไหน” เจ้าหน้าที่หนุ่มถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทำเอาอนินทิตาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ตอบไปตามจริง

            “อยู่บ้านน่ะสิ”

            “ผมจะไปรับ”

            “นี่วันหยุดนะแม็กซ์ แล้วก็ยังเช้ามากด้วย”

            “หมอฮาเปอร์ถูกรถชนที่หน้าสถาบัน ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีแล้วละ”

            “ว่าไงนะ!” คนฟังใจหายวาบ จิตแพทย์หนุ่มใหญ่ใจดีที่ร่วมทำคดีกับเธอน่ะหรือ

            “ใช่”

            “ได้ๆ ฉันจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวรีบเข้าบ้านและเปลี่ยนเสื้อผ้า ลืมเรื่องที่มีคนตามไปสนิทใจ ตอนนี้เรื่องที่น่าห่วงกว่าคือการที่หมอฮาเปอร์ถูกรถชน ทำเอาเธอใจหายวาบ คนทำงานด้วยกันมาหลายสัปดาห์ และเขาก็เป็นหมอที่ดีมากอีกด้วย ทำเอาเธออดคิดไม่ได้ว่าจะเกี่ยวกับที่ทำคดีเดอะดาร์กแฟนทอมหรือไม่ เพราะจะว่าไป...แม็กซ์ยังจับคนลอบฆ่าสตีเวนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

 

หนุ่มสาวมาถึงโรงพยาบาลในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา และพบว่าอาการของหมอฮาเปอร์หนักกว่าที่คิด ภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าสถาบันฯ แสดงให้เห็นว่าจิตแพทย์หนุ่มใหญ่ถูกรถพุ่งเข้ามาชนอย่างแรงจนถึงขั้นศีรษะกระแทกพื้น และยังไม่มีท่าทีจะรู้สึกตัว

            “หวังว่าจะแค่อุบัติเหตุ” แม็กซ์หันมาสบตาอนินทิตาที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน

            นักจิตวิทยาสาวพยักหน้า เธอก็หวังให้เป็นแค่ ‘อุบัติเหตุ’ ก็พอ ทั้งที่ในใจคิดไปอีกอย่าง อาคารสถาบันจิตวิทยามีขนาดใหญ่พอๆ กับโรงพยาบาลประจำรัฐและไม่ได้ตั้งอยู่ติดถนนด้วยซ้ำ แต่ถูกชนหน้าสถาบัน ดูอย่างไรก็เหมือน ‘จงใจ’ เอาชีวิตมากกว่า

 

            จากอุบัติเหตุของจิตแพทย์หนุ่มใหญ่ทำให้หัวหน้าของแม็กซ์ยิ่งระแวงว่าอาจจะไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ และเป็นไปได้ว่าบางทีความลับอาจรั่วไหล แต่ยังไม่อาจหาตัวการได้

เมื่อไม่มีหมอฮาเปอร์แล้ว อนินทิตาจึงรับหน้าที่ดูแลเคสของสตีเวนอย่างจริงจัง เพราะหัวหน้าของแม็กซ์ยังไม่ไว้ใจให้หมอคนอื่นเข้ามาแทน งานทุกอย่างจึงมากองอยู่ที่อนินทิตา ไหนจะต้องเขียนรายงานหัวหน้าของเธออีก ทำเอาเธอยุ่งจนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง แต่ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้เธอไม่ว่างพอที่จะนึกถึงราม

             นับจากวันที่หมอฮาเปอร์ถูกรถชน อนินทิตาก็ไม่ต้องไปที่สถาบันอีก แม็กซ์จะมารับเธอที่บ้านและตรงไปยังสถานที่คุมขังสตีเวน จนแม้แต่เจฟฟ์เองก็ยังยุให้เธอลองคบกับแม็กซ์ไปเลย ไหนๆ ก็ตัวติดกันขนาดนี้แล้ว เธอจึงตอกกลับอย่างดุดันไม่แพ้กันว่า ‘ถ้าว่างมากก็คาบกระดูกไว้เล่นๆ ก็ได้นะเจฟฟ์’ หลังจากนั้นหนุ่มรุ่นน้องก็ไม่พยายามจับคู่ให้เธอกับแม็กซ์อีกเลย

            อนินทิตาคิดแล้วส่ายหน้าอย่างขันๆ แต่แล้วเสียงปืนที่ดังอย่างต่อเนื่องก็เรียกความสนใจจากเธอ เธอปัดเรื่องของเจฟฟ์ออกไปจากความคิด แล้วเฝ้ามองการฝึกซ้อมรับมือสำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ต้องหา

            “ทุกอย่างจะเรียบร้อย” แม็กซ์ถอดเครื่องแบบปฏิบัติการออก แล้วเดินกลับมาหาอนินทิตาที่นั่งตรวจรายงานที่จะต้องส่งหัวหน้าไปพลางระหว่างดูเขาฝึกซ้อม

            นักจิตวิทยาสาวเงยหน้าจากแท็บเล็ตแล้วพยักหน้า เมื่อได้อยู่กับหน่วยงานลับระดับประเทศที่มีการฝึกรักษาความปลอดภัยสูงสุด มีทหารและหน่วยรบพิเศษรวมทั้งชุดปฏิบัติการพิเศษฝีมือดีทั้งในและนอกกฎหมายอยู่ด้วย เธอไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร

            “วันนี้ฉันกลับเองนะ” เธอพูดขึ้นหลังจากออกจากลานฝึกซ้อมปฏิบัติการพิเศษของแม็กซ์

            “ทำไมล่ะ” เจ้าหน้าที่หนุ่มชะงักแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

            “ฉันแค่ไม่อยากรบกวน อยากไปซื้อของนิดหน่อย”

            “แต่...”

            “ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า” สาวคนเก่งบอกปัดรำคาญ จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่คดีแรกที่เธอทำงานเกี่ยวกับพวกอาชญากร เธอไม่ใช่พวกสืบสวนโดยตรง ก็แค่ที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาเท่านั้น ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีปัญหาใดๆ ตามมาเลยสักครั้ง

            “เอาอย่างนั้นก็ได้” แม็กซ์พยักหน้าเบาๆ “มีอะไรผิดปกติรีบโทร. หาผม”

            “ขอบใจแม็กซ์” เธอส่งแฟ้มรายงานให้เขา จากนั้นจึงเดินแยกออกมา และเดินทางกลับบ้าน

 

อนินทิตาแวะซูเปอร์มาร์เกตใกล้บ้านที่เดิมที่เคยไปกับราม จอดรถและเดินเข้าไปซื้อของสดด้านใน เธอทำอาหารไม่เก่งอย่างเขา พวกของสดที่รามเคยซื้อไปตุนไว้ก็ต้องโละทิ้งไปทั้งหมด เพราะมันเสียหรือไม่ก็หมดอายุไปหมดแล้ว จึงมาเลือกหาอาหารจำพวกกึ่งสำเร็จรูป เอาแบบที่เข้าไมโครเวฟแล้วกินได้ทันทีโดยไม่ต้องทำเอง ไม่อย่างนั้นเธออดตายแน่ๆ

            แต่น่าแปลก...เธอรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอีกแล้ว

            นักจิตวิทยาสาวหันไปรอบตัวอย่างแนบเนียน แสร้งทำเป็นเลือกของ แต่ความจริงเธอกำลังสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัว ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ซูเปอร์มาร์เกตแห่งนี้มีผู้คนเข้ามาซื้อของมากมาย ต่างคนต่างซื้อ ไม่เห็นมีใครมีท่าทีสนใจเธอสักคน

            สาวสวยส่ายหน้าเบาๆ แล้วเลือกซื้อของต่อ ที่นี่เป็นร้านนำเข้าทั้งผักผลไม้จากเอเชียมากมาย มีมะม่วงและทุเรียนจากประเทศไทย ซึ่งเธอจำได้ดีว่าอร่อยแค่ไหน รสชาติหวานมันตราตรึงทุกครั้งที่นึกถึงคราวกลับไปบ้านเก่าของยายที่ประเทศไทย ถึงแรกๆ จะกลัวกลิ่นมันมากก็เถอะ แต่พอได้กินเข้าไป...ให้ตาย เธอหยุดไม่ได้!

            อนินทิตาเลือกของต่อไปเรื่อยๆ มีทุเรียน มะม่วง นมสด และอาหารกึ่งสำเร็จรูปมากมายราวกับจะลี้ภัยสงคราม เมื่อพอใจแล้วหญิงสาวก็เดินไปจ่ายเงิน และกลับไปที่รถพร้อมๆ กับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

            “ไงแม็กซ์” เพิ่งแยกกันได้ไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ เขาจะเป็นคนระแวงมากเกินไปแล้ว

            “คุณอยู่ที่ไหนอนิน”

            “ซูเปอร์มาเกตใกล้ๆ บ้านน่ะ ทำไม มีอะไรหรือเปล่า”

            “ผมจะส่งคนไปคุ้มกันคุณ” ปลายสายบอกเครียดๆ น้ำเสียงเขาดูร้อนรนมาก และเหมือนกำลังจะไปที่ไหนสักแห่ง

            “เดี๋ยว ทำไมต้องคุ้มกันฉัน”

            “มีรายงานว่ามีคนร้ายไปจี้ในโรงพยาบาลที่หมอฮาเปอร์รักษาตัวอยู่ แต่เพราะผมจัดทีมคุ้มกันหมอฮาเปอร์ด้วย พวกนั้นเลยไปช่วย คนร้ายเลยหนีไปได้”

            “บ้าจริง” อนินทิตาอุทานด้วยความตระหนก นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว หมอฮาเปอร์ก็ถูกรถชน อยู่ๆ ก็มีโจรมาจี้โรงพยาบาลแล้วหนี

            “อาจจะต้องพับแผนเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาไปก่อน พรุ่งนี้เราจะประชุมกันอีกที”

            “ค่ะ”

            “ดูแลตัวเองด้วย” ปลายสายกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหนๆ

            “ขอบคุณค่ะแม็กซ์” นักจิตวิทยาชอาชญากรสาววางสายทั้งที่ในใจกระตุกวาบ ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ และรู้ได้อย่างไรว่ามีใครบ้างที่ทำคดีเดอะดาร์กแฟนทอม รู้กระทั่งความเคลื่อนไหวของทุกคน ทั้งที่แต่ละคนทำงานเกี่ยวกับความลับระดับสูงทั้งนั้น

            หวังว่าจะไม่เกี่ยวกับความรู้สึกที่เธอกำลังถูกตามหรอก...ใช่ไหม

            อนินทิตาหวั่นใจ เธอรีบขึ้นรถแล้วกลับบ้านทันที โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตกอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา

 

และแล้วแผนการเคลื่อนย้าย สตีเวน เรแกน พวกนักฆ่าเงาอย่างมิโรสลาฟและ เวส สไนเดอร์ และผู้ต้องหาพัวพันคดีเดอะดาร์กแฟนทอมทั้งหมดก็ถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด และเป็นครั้งแรกที่สตีเวนเป็นฝ่ายขอพบอนินทิตาก่อน

            “ฉันหรือคะ” เธอถามแม็กซ์อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

            “ใช่ เขาขอพบคุณ...ตามลำพัง”

            “ได้สิ” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวพยักหน้า

            “ไม่กลัวใช่ไหม”

            “ไม่ค่ะ...ไม่กลัว” เธอเคยพูดคุยกับสตีเวนและคนอื่นๆ บ้างแล้ว ต่อให้หมอฮาเปอร์จะเพิ่งถูกทำร้าย แต่เธอก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

            แม็กซ์พยักหน้าแล้วพาอนินทิตาไปยังหน้าห้องนิรภัยห้องเดิมที่เคยเข้ามาดูการสอบสวนคดีเดอะดาร์กแฟนทอม

            “สตีฟขอร้องให้การพูดคุยเป็นการส่วนตัว ดังนั้นผมจะรออยู่ข้างนอก ถ้ามีเรื่องร้ายแรงหรือเขาพยายามจะทำร้ายคุณก็กดปุ่มสัญญาณบนโต๊ะ ผมจะเข้ามาทันที”

            อนินทิตาพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้องสอบสวน

 

ภายในห้องสีขาวโล่งๆ ที่มีเพียงโต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัวในลักษณะตรงข้ามกัน ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งรออยู่แล้ว จากที่เจอกันครั้งล่าสุดจนถึงตอนนี้ก็ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่เขากลับแก่ลงอย่างเห็นได้ชัด

            “สวัสดีค่ะคุณเรแกน” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวเป็นฝ่ายทักทายก่อน เธอยิ้มหวานแล้วก้าวเดินเข้าไปหาอย่างมาดมั่น เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้องดังเป็นจังหวะจนกระทั่งเดินมาถึงอดีตผู้ก่อตั้งโพรเจกต์เดอะดาร์กแฟนทอม เธอวางแก้วกาแฟอเมริกาโนของตัวเองบนโต๊ะแล้วนั่งลงด้วยอิริยาบถสบายๆ

            “คุณสบายดีนะคะคุณเรแกน” คิ้วสวยได้รูปเหนือดวงตากลมโตหวานซึ้งเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

            “ติดคุกรอวันตายนี่ควรสบายหรือ” อดีตนักการเมืองย้อนถามเสียงเครียด

            อนินทิตาหรี่ตาลงเล็กน้อย ลอบสังเกตอากัปกิริยาของชายตรงหน้า ก็พบว่า สตีเวน เรแกน มีท่าทีทดท้อ ดวงตาไหวระริกเหมือนกำลังหวาดหวั่น

            “แต่คุณก็อยากคุยกับฉัน” อนินทิตาพูดเสียงหวานใสเป็นเชิงถาม “ทั้งที่คุณมีโอกาสได้พบญาติหรือใครก็ตามที่คุณอยากคุย แต่กลับอยากคุยกับนักจิตวิทยาอาชญากรแทนหรือคะ...น่าสนใจดี”

            “เพราะไม่มีใครเชื่อผมนอกจากคุณ”

            “ฉันหรือคะ” อนินทิตาเลิกคิ้วก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เลย ฉันก็ไม่เชื่อคุณ ในเมื่อหลักฐานชัดเจนมาก ทั้งภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว หลักฐานทางการเงินที่คุณจ้างวานกลุ่มนักฆ่าเงาให้ลอบสังหาร เชสก์ อะลอนโซ เพียงเพราะต้องการใช้เครื่องมือของเชสก์เข้าถึงเครือข่ายเมตาดาตาของทุกคนบนโลกเพื่ออำนวยความสะดวกให้เดอะดาร์กแฟนทอม ทั้งที่เชสก์ก็ให้ความร่วมมือกับซีไอเอในการเข้าถึงข้อมูลเพื่อคัดกรองภัยคุกคามเหมือนกับบริษัทอื่นๆ ในซิลิกอน วัลเลย์” ไม่แค่พูดอย่างเดียงเท่านั้น แต่อนินทิตาค่อยๆ เปิดแฟ้มหลักฐานทีละแฟ้มอย่างช้าๆ

            “มันแค่การจัดฉาก” สตีเวนบอก

            “เป็นการจัดฉากที่แนบเนียนมากค่ะคุณเรแกน” อนินทิตาเปิดแฟ้มต่อมา “แฟ้มภาพที่คนของคุณเจรจาซื้อขายอาวุธกับกลุ่มก่อความไม่สงบในตะวันออกกลาง”

            “ผมเคยบอกว่าไม่ใช่ผม”

            “ไม่เชื่อใจการสืบสวนของซีไอเอหรือคะ” หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าเบาๆ “หลักฐานการฟอกเงิน เส้นทางการเงินทั้งหมดชัดเจนมากค่ะ”

            “ผมไม่ปฏิเสธว่าผมเคยทำทั้งหมดนั่นจริง แต่มีอีกคนที่ยังเหลือรอดออกไป ยังมีแฟนทอมอยู่ข้างนอก”

            “คุณจะบอกว่า...ยังมีอีกคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดหรือคะ” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวถามด้วยเสียงเรียบเรื่อย แต่ไม่ละสายตาจากชายวัยกลางคนตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว เธอสังเกตอวจนภาษาทั้งหมดของ สตีเวน เรแกน ตั้งแต่น้ำเสียง สายตา ท่าทาง แววตา หรือแม้แต่จังหวะการหายใจเข้าออก และทุกอย่างก็บ่งบอกว่าสตีเวนพูดจริง หรือไม่...เขาก็โกหกเก่งมาก และกำลังเล่นเกมจิตวิทยากับเธอ

            “ผมบอกคุณไม่ได้มากกว่านี้หรอก แต่ใช่...มันคือความจริง”

            “คุณรู้ไหมคะว่าแฟนทอมคนที่เหลือชื่ออะไร ฉันจะได้หาตัวได้ง่ายขึ้น”

            หนุ่มใหญ่เอนหลังพิงพนักพิง สองแขนที่ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือยกขึ้นสอดประสาน สีหน้าเคร่งเครียดจริงจังอย่างที่ทำให้คนมองเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขา

            “แล้วทำไมคุณถึงรู้ว่ายังมีแฟนทอมอีกคนอยู่ข้างนอก”

            “เพราะผมเก็บคนที่รู้เรื่องหมดแล้วน่ะสิ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนอื่นรู้เรื่อง เว้นแต่ว่าคนคนนั้นอาจจะเป็น...สายลับ”

            “คุณจะพูดลอยๆ ไม่ได้นะคะคุณเรแกน” หญิงสาวส่ายหน้า เธอปิดแฟ้มทั้งหมดแล้วนั่งตัวตรง สองมือประสานไว้ข้างหน้าพร้อมกับมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจับผิด “ถ้ามีหลักฐานมากกว่านี้ค่อย...”

            “คุณก็รู้ดีคุณโรซาเลส เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้”

            “คุณรู้?” หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

            “หรือไม่จริง” อาการไหววูบในดวงตาคู่งามของสาวตรงหน้าทำให้ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างเป็นต่อ “คุณจะไม่เชื่อผมก็ได้ แต่ลองเก็บไปคิดดู”

            “คุณต้องการอะไรคะสตีฟ”

            อดีตนักการเมืองอาวุโสยิ้มเครียด “ผมเหนื่อยกับเรื่องพวกนี้มานานแล้ว ผมก็แค่ไม่อยากตาย ไม่อยากให้เรื่องมันเลวร้ายลงกว่านี้”

            สตีเวนไม่พูดอะไรอีกเลยจนกระทั่งถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมตัว ก่อนออกไปยังมิวายหันกลับมาสบตาอนินทิตา

            “เขาทำร้ายหรือว่าข่มขู่คุณหรือเปล่า” แม็กซ์ถามทันทีที่เธอเดินออกมา

            “ไม่” นักจิตวิทยาอาชญากรสาวส่ายหน้า แล้วพูดยืนยันอีกครั้ง “ไม่ได้ทำ”

            “เอาชาสักหน่อยไหม”

            “ขออเมริกาโน่อีกแก้วแล้วกันค่ะ” หญิงสาวตอบส่งๆ ไม่สนใจกาแฟแก้วใหม่สักเท่าไรเพราะในใจยังสงสัยคำพูดของ สตีเวน เรแกน มากกว่า

           

นักจิตวิทยาอาชญากรสาวส่งแบบรายงานการประเมินและรายงานการพูดคุยกับสตีเวน รวมทั้งเรื่องที่เขาบอกว่ายังมีแฟนทอมอยู่ข้างนอก ซึ่งแน่นอนว่าเขาเคยพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีใครเชื่อ ทุกคนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความกลัวว่าจะได้รับโทษสูงถึงประหารจึงพูดออกมาเพื่อถ่วงเวลายื้อชีวิตต่อไป แต่หลังจากถูกลอบฆ่าจนเกือบสำเร็จ ทุกคนจึงเริ่มเชื่อแล้วว่าสิ่งที่สตีเวนพูด...อาจเป็นความจริง

            ดังนั้นแผนการเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง

            ในทุกๆ วันอนินทิตาจะต้องเข้าไปประเมินสตีเวน อยู่ดูการฝึกซ้อมเคลื่อนย้ายผู้ต้องหากับทีมของแม็กซ์ และล่าสุด...เธอตามแม็กซ์ไปยิมสำหรับซ้อมมวยและการป้องกันตัว ชีวิตวนเวียนแค่นี้ ทำงาน ประชุมกับทีมของแม็กซ์จนกระทั่งดึกดื่นกว่าจะเลิกงาน โดยมีแม็กซ์ขับรถตามไปส่งจนถึงที่บ้าน จนแน่ใจว่าไม่มีเหตุร้ายใดๆ เขาจึงแยกตัวกลับ

            อนินทิตากลับเข้าบ้าน เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาอาจทำให้เหงาบ้าง แต่ก็เริ่มคุ้นชินเสียแล้ว เธอวางกระเป๋าสะพายและกระเป๋าแมคบุ๊กไว้ที่เดย์เบดข้างๆ กับตุ๊กตาคิตตี้ที่ตอนนี้กลายเป็นตุ๊กตาตัวโปรดของเธอเสียแล้ว จึงแวะทักทายด้วยการเดินไปตีหัวมันเบาๆ หนึ่งทีแล้วถามไปเรื่อย

            “เฝ้าบ้านดีใช่ไหมแก” ถามแล้วก็หัวเราะเสียเอง รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตุ๊กตามันตอบไม่ได้ แต่เธอก็ถามมันอย่างนี้ประจำเพราะไม่อยากให้บ้านเงียบเกินไปก็เท่านั้นเอง

            เมื่อไม่มีพ่อครัวส่วนตัวอีกแล้ว อนินทิตาก็ต้องพึ่งพาตัวเอง เธอเดินไปหยิบอาหารแช่แข็งมาอุ่นกินเหมือนเคย โทรศัพท์หาเมลิสสา คุยกันราวๆ สิบนาทีก็วางสาย ปล่อยให้เมลิสสาทำงานไป ส่วนเธอก็เดินไปนั่งดูซีรีส์พร้อมกับกินมื้อเย็นไปด้วย เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็หอบของขึ้นไปห้องนอนชั้นบน โดยไม่ลืมเอาตุ๊กตาน้องคิตตี้ของรามไปนอนกอด แต่เพราะยังไม่ง่วงเธอจึงเปิดแมคบุ๊กทำงานต่อ โดยไม่รู้เลยสักนิดว่ามีใครบางคน ‘จับตามอง’ เธอได้ตลอดเวลา...จากตุ๊กตาตัวนั้น!

 

ไกลออกไป...

            ภายในห้องเล็กแคบเท่ารูหนู แสงไฟสลัวจากหัวเตียงเผยให้เห็นภาพผู้ชายผมยาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เฝ้ามองภาพอนินทิตาจากดวงตาของน้องคิตตี้ที่หญิงสาวกำลังกอดไว้ และโชคดีเสียนี่กระไรที่เธอหันหน้าตุ๊กตาคิตตี้ออกระหว่างทำงาน เขาจึงเห็นทุกอย่างที่เธอกำลังทำ แต่ต่อให้เธอไม่กอดตุ๊กตาไว้ แค่เธอวางมันไว้ใกล้ๆ เขาก็ดึงข้อมูลทุกอย่างจากแลปทอปของเธอได้แล้ว

            รามยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อได้ทุกอย่างตามที่ต้องการแล้วเขาจึงรายงาน ‘ใครคนนั้น’ ทันที

 

            รุ่งเช้าอนินทิตาไปทำงานเหมือนอย่างทุกวัน จะต่างไปจากเดิมก็ที่วันนี้เธอออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพราะมีการเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาไปไว้ในที่ที่ปลอดภัยตามแผนที่วางไว้

            “ผมอยู่รถคันเดียวกับคุณ กับสตีเวน” แม็กซ์เดินมากำชับให้เธอมั่นใจแล้วเดินไปเตรียมตัว

            ชุดปฏิบัติการพิเศษเตรียมพร้อม มีเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการนั่งภายในรถคันเดียวกับสตีเวนเพื่อคุ้มกันผู้ต้องหา คันที่สองเป็นรถที่ใช้เคลื่อนย้ายมิโรสลาฟ และอีกคันใช้เคลื่อนย้าย เวส สไนเดอร์ มีรถของชุดปฏิบัติการพิเศษขนาบซ้ายขวา ปิดท้ายด้วยรถของชุดปฏิบัติการพิเศษอีกคันตามแผนที่วางไว้ หัวหน้าของแม็กซ์ไม่ไว้ใจให้ทั้งสองอยู่รถคันเดียวกัน เผื่อว่ามีการลอบสังหารเกิดขึ้น เสียแค่คนหนึ่งยังดีกว่าต้องเสียผู้ต้องหาทั้งคู่

            อนินทิตาสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมง แม็กซ์ยื่นเสื้อเกราะกันกระสุนให้ ทำเอานักจิตวิทยาอาชญากรสาวลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย เธอเคยทำงานคดีใหญ่ๆ ก็จริง แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่ต้องมานั่งอยู่ในภารกิจเสี่ยงตายแบบนี้ แล้วเธอจะรอดไปได้หรือ

            “คุณจะไม่เป็นไรหรอกอนิน”

            “ขอบคุณค่ะ” เธอรีบหยิบเสื้อเกราะมาแต่โดยดี ระหว่างเดินไปขึ้นรถเธอต้องผ่านรถของมิโรสลาฟและเวส ทั้งคู่ต่างก็ส่งยิ้มแปลกๆ ทั้งยังยักคิ้วให้อีกต่างหาก

            อนินทิตาจ้องตากลับ ลางสังหรณ์บอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ ทั้งที่ถูกลอบฆ่าเหมือนกัน แต่ทั้งมิโรสลาฟและเวสกลับไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนใดๆ เลย ผิดกับสตีเวนที่หวาดกลัวจนต้องพึ่งจิตแพทย์ หรือไม่ก็นักจิตวิทยาตลอดเวลา เธอมองทั้งสองด้วยสายตาพิจารณา จนกระทั่งแม็กซ์เดินมาหาและพาเธอขึ้นรถอีกคัน

            “มีอะไรหรือ” แม็กซ์กระซิบถามทันทีที่เดินขึ้นรถมาด้วยกัน

            “ฉันว่ามิโรสลาฟกับเวส...สองคนนั้นดูแปลกๆ”

            “คันนั้นมีทีมคุ้มกันมากกว่าสองทีม มีสไนเปอร์กระจายทุกจุดตั้งแต่ที่เราออกจากที่นี่จนถึงที่หมาย ไม่ต้องกลัว”

            “อือ” หญิงสาวพยักหน้า แต่ก่อนจะเริ่มเคลื่อนย้ายผู้ต้องหา เธอก็อดมองไปยังรถของมิโรสลาฟและเวสไม่ได้

            ขบวนรถเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาเริ่มเคลื่อนไปอย่างช้าๆ โดยที่แม็กซ์คอยติดต่อกับชุดปฏิบัติการที่ควบคุมอยู่บนรถคันอื่นที่ตามมาด้านหลัง ทุกอย่างก็เป็นปกติ ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่แม็กซ์วางแผนไว้ มีการวางพลซุ่มยิงไว้เป็นระยะๆ ตลอดเส้นทาง โดยเลือกจุดที่ทัศนวิสัยดีที่สุดเพื่อคุ้มกันจากทางด้านบน

            “เคลียร์” เสียงรายงานจากพลซุ่มยิงที่ตำแหน่งต่างๆ ดังขึ้นเป็นระยะๆ และแม็กซ์ก็พยักหน้ายืนยันกับอนินทิตาตลอด เธอจึงคลายความกังวลลงไปได้บ้าง

            “คุณดูไม่ค่อยสบายเลยนะ” สตีเวนเงยหน้าขึ้นสบตาอนินทิตา

            “เงียบเถอะ” แม็กซ์ตวาดใส่ทันที และนั่นก็ทำให้นักจิตวิทยาอาชญากรสาวนิ่วหน้า เพราะเธอไม่ชอบวิธีของแม็กซ์เอาเสียเลย

            “คุณน่ะ...” อนินทิตากำลังจะต่อว่าเจ้าหน้าที่หนุ่มอารมณ์ร้าย แต่ไม่ทันได้พูดอะไรทั้งนั้น อยู่ๆ รถก็เบรกกะทันหันเสียจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่าพร้อมๆ กับที่เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

            “เกิดอะไรขึ้น!” แม็กซ์ตะคอกถามทีมปฏิบัติการอื่นๆ ผ่านอุปกรณ์สื่อสาร แต่กลับไร้เสียงตอบกลับ จนชายหนุ่มสบถหัวเสีย “เวร!”

            “เกิดอะไรขึ้นคะ”

            “เรื่องที่เราไม่อยากให้เกิด” แม็กซ์ตอบเสียงเหี้ยม แล้วสั่งการกับทีมคุ้มกันที่อยู่บนรถขนาบทั้งซ้ายขวา

            อนินทิตามองเจ้าหน้าที่หนุ่มซึ่งกำลังปลดเซฟปืนและออกคำสั่งรับมือแผนการร้ายด้วยท่าทีตื่นตระหนก ต่อให้ซักซ้อมแผนรับมือต่างๆ มาอย่างดีแล้ว ทว่าเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ ก็อดกลัวไม่ได้ เพราะนี่ชีวิตจริง ตายจริง ไม่ใช่แค่การซ้อมอย่างที่แล้วมา

            ปัง! ปัง! ปัง!

            เสียงสาดกระสุนปืนที่ดังอย่างต่อเนื่องที่ด้านนอกทำเอาหัวใจของหญิงสาวเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น แต่ด้วยหน้าที่ เธอจึงฝืนยิ้มให้สตีเวนที่กำลังนั่งก้มหน้าจนมองไม่ออกว่าเขามีสีหน้าอย่างไร

            “แม็กซ์จัดการได้อยู่แล้ว”

            “คุณดูตื่นกลัวมากกว่าผมอีกนะคุณนักจิตวิทยา” อดีตนักการเมืองเฒ่าเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มมุมปาก ไม่มีความตื่นกลัวอยู่ในแววตาของเขาเลยแม้แต่น้อย

            อนินทิตาหรี่ตาลงด้วยความสงสัย น่าแปลก สตีเวนทำเหมือนว่าเขา...รู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้แน่นอน!

            “เราจะไม่เป็นไรหรอก” กลับเป็นสตีเวนเสียอีกที่เป็นฝ่ายปลอบหญิงสาวด้วยท่าทีเรียบๆ แววตาปลงตกของเขายิ่งทำให้อนินทิตาสงสัยมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก

            “แต่เสียงนั่น...”

            ปัง!

            เสียงปืนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และยังดังอย่างต่อเนื่อง เรียกความสนใจจากหญิงสาวได้ในที่สุด อนินทิตาหันออกไปมองด้านนอกทันที พลันดวงตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนชุดดำที่มีอาวุธพร้อม ฝีมือใกล้เคียงกับคนของแม็กซ์และชุดปฏิบัติการตรงมายังรถเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาได้อย่างง่ายดาย เธอจึงหันขวับไปทางคนขับ พยายามบอกผ่านกระจกกั้นให้เขาขับฝ่ารถที่จอดขวางไปเลย แต่ช้าไปแล้ว กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้ากลางศีรษะคนขับเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาเธอ

            นักจิตวิทยาอาชญากรสาวคุมสติไม่ให้กรีดร้องออกมาก็จริง แต่ก็ช็อกจนตัวแข็งเพราะคนขับออกรถแล้ว การถูกยิงตายกะทันหันทำให้ไม่มีคนควบคุมรถอีกต่อไปจนกระทั่งเสียหลักพลิกตะแคงไปข้างทาง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนอนินทิตาคุมสติไม่อยู่อีกต่อไป

            “กรี๊ด!”

            หญิงสาวกรีดร้องยาว สิ่งสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบไปที่รู้สึกได้คือเสียงปืนดังที่หลังประตูรถ ก่อนประตูจะถูกเปิดโดยฝีมือของใครบางคนที่คุ้นตาเหลือเกิน เธอพยายามฝืนลืมตาขึ้นมองให้ชัดว่าใคร แต่ทนไม่ไหว ความมืดมนเข้ามาแทนที่ แล้วสติสัมปชัญญะก็ดับวูบลง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น