Performance Evaluation๒
๒
The Three of Swords: สามดาบ ภาวะอารมณ์พลุ่งพล่านอันเกิดจากความสัมพันธ์ หรือมีการหักหลัง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหา |
คนตรงหน้าคือชายร่างชะลูดในเชิ้ตนุ่มอุ่นสีฟ้า กางเกงผ้าเดนิมแต่งรอยถาก หุ่นขี้ก้างดูแกร่งขึ้นอย่างผู้ออกกำลังกาย อกดันเสื้อขึ้นไรๆ ให้ตราปักอะไรบางอย่างดูนูนเด่น ชายแขนที่พับขึ้นก็คับคาไบเซ็ปส์ ต้นคอหนา ขณะคิ้วคางคมคายขึ้นด้วยวัย
แต่นั่นละ ถึงจะเปลี่ยนไปในด้าน...ดี...มากเพียงไหน โชคบ่ดีก็ยังเป็นไอ้โชคบ่ดี! สังหรณ์บางอย่างกระตุกหนังตาขวาของน้องกี้เต้นเป็นจังหวะเพลง “คิดฮอด” ของบอดี้สแลมปะทะศิริพร ท่อน
...และยังคิดถึงเธอ นะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ!...
สายตาคมพิลึกใต้แว่นกรอบเหลี่ยมจ้องมาอย่างไร้ความแปลกใจที่เห็นเธอ มันสลับเป็นขำและแวววามดุจมันเขี้ยวด้วยแผนการร้าย
คำพี่หมูยิ่งกระพือไฟ “พี่รู้มาว่าคุณโชคบดีเคยรู้จักกับน้องกี้มาก่อน”
โลกนี้ช่างดูโหดร้าย อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ!
“พี่หมูพูดอย่างนี้ เดี๋ยวกี้ก็หาว่าผมพูดมาก” หนุ่มตรงหน้าเม้มปากกึ่งยิ้ม ริมปากและลูกคางมีเคราชวนระคาย เจ้าตัวยืดกายทิ้งน้ำหนักพิงพนักอย่างจะเย้าว่าสบายใจเสียจริง!
หญิงสาวชันคอขึ้นโดยไม่ตั้งใจ “น้องกี้รู้จักค่ะ เรียกว่าเคยรู้จักดีกว่า แบบว่าเคยรู้จักชื่อ!”
โชคบ่ดีหรี่ตานิดหน่อย หมุนเก้าอี้กลับไปเผชิญหน้าพี่หมูโดยไม่พูดอะไร ฝ่ายน้องกี้ขยับนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวข้างๆ พยายามวางท่าไม่มีอะไร แต่คราวนี้หัวใจแทบหยุดกึกเพราะความรู้สึกตรงฆานประสาท
โปโลสปอร์ต!
หมอนี่ใช้น้ำหอมกลิ่นโปรดของน้องกี้ แปลกที่มันผสมอายสรีระของไอ้โชคบ่ดีออกมาได้เซ็กซี่สุดๆ!
อย่างหมายสำรวมใจ มือของเธอเผลอยกลูบจี้นำโชคเหนืออกอีกครั้ง พี่หมูคงเข้าใจว่าลูกน้องปลุกเรียกของขลัง เจ้าตัวจึงแสร้งขยับสร้อยองค์จตุคามรามเทพมาประจันหน้านัยว่าหาพรั่นไม่ พริ้มตาเป็นประกาย
“ง่า...งานคงราบรื่นนะ รู้จักชื่อกันมาก่อนก็ดี”
มันจะไม่ดีก็ตรงที่พี่หมูมีสีหน้าไม่ไว้ใจ แกมมาดหมายจะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรเป็นยังไงนี่แหละ น้องกี้สบคมตา แค่ปราดเดียวก็รู้ว่าหล่อนมีแผน เป็นได้ว่าทันทีที่ออกจากห้อง พี่หมูจะต้องปลอมตัวเป็นคุณป้าเทอะทะแบบ เมลิสสา แมคคาร์ธี ในหนังเรื่องสปาย พกปืนสั้น ยันสกูตเตอร์ ไล่ล่าหาความจริงแบบกัดไม่ปล่อย
เหมือนรู้ว่าน้องกี้เท่าทัน พี่หมูซ่อนอาการโดยยกมือเต่งแต่งผมตัวเองด้วยแท่งปากกาแลนเซอร์ หัวเหอกะรุงกะรังสะพรั่งด้วยสีขาวราวเจ้าของไม่เคยรู้จักจาเป่า ออด๊าซ หรือบีเง็นมาชั่วชีวิต ดีกรีความไม่รักสวยไม่รักงามยังแสดงเป็นจำนวนนับได้ตามรอยกระบนหน้าเหี่ยว
“พี่กำลังเล่าโพรเจกต์ใหม่ของแผนกเราให้คุณโชคฟัง” สายตาลอดแว่นหันไปยังเจ้าของชื่อ “เนี่ยนะคะ อย่างที่บอกว่าบริษัทของเรากำลังขยายตัว ตอนนี้จะใช้แต่ระบบแมนนวลแล้วเก็บเอกสารใส่แฟ้มแบบเดิมก็คงไม่ได้...”
ตลอดเวลานั้นความสนใจของน้องกี้ลุกลี้ประดุจลิง มันคอยแต่จะวิ่งไปยังคนที่นั่งแหวกเข่ามาแตะข้างขาของเธอเบาๆ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าหมอนี่โตขึ้นแล้วจะดูดี ขนาดผมสั้นเกือบเกรียนยังไม่อาจทำร้าย มีแนวขากรรไกรแข็งแรง ผสมกับเคราเขียวๆ แล้วดูจั๊กจี้ นี่ไม่รู้ว่าไปทำอะไรหรืออาบแดดที่ไหน น้องกี้ไม่เคยเห็นชายไทยผิวแทนแล้วจะดูดีอย่างนี้ ส่วนมากถ้าไม่กระดำกระด่างก็มักดำเป็นเหนี่ยง แต่ไอ้โชคบ่ดีกลับผิวแทนสุขภาพดี ดีถึงขั้นเปล่งประกายเชียวละ
ระหว่างฟังเจ้าตัวคอยพยักหน้า ทำปากจู๋เหมือนกำลังให้ความสนใจ แต่ที่จริงน้องกี้แอบเห็นหรอกว่าข้างใต้ มือใหญ่กำลังหมุนปากกาเล่นติ้วๆ คงรำคาญการพล่ามน้ำมันมวยตรงหน้าเหมือนกัน...
ความสนใจของหญิงสาวสะดุดเพราะพี่หมูประสานมือ โน้มตัวมาข้างหน้า “ไหนๆ ตอนนี้ก็มีรักเร่มาช่วยงานเอกสารทั่วไปแล้ว พี่เลยอยากให้น้องกี้มาโฟกัสที่โพรเจกต์นี้แทน...”
อารามเพลินทำให้เกือบพยักหน้า ยังดีที่น้องกี้นึกได้ “ดะ...เดี๋ยวนะคะ โฟกัสโพรเจกต์นี้ หมายความว่ายังไง”
พี่หมูถอนหน้ากลับไปพร้อมถอนหายใจนิดหนึ่ง จงใจส่งสัญญาณว่าเธอรู้ดีว่าน้องกี้มัวแต่ใจลอย
โชคบ่ดีเสริมแทนว่า “ช่วงต้นก่อนการเขียนระบบ ผมคงต้องขอสัมภาษณ์ถึงกระบวนการทำงานทั้งหมดอย่างละเอียดก่อน ระหว่างนั้นก็อาจเอางานมาให้เช็กและคอนเฟิร์มเป็นระยะ เสร็จแล้วถึงจะขอให้ช่วยเทสต์ไปด้วยกันว่ามีบั๊กมีเออเรอร์ตรงไหนอีกมั้ย จะได้แก้ไขให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนลอนช์จริง...”
“แต่ว่าพี่หมูคะ...” น้องกี้แทรกโดยไม่รอให้คนข้างกายอธิบายจบ สำเหนียกว่าเรื่องนี้ยุ่งยากเหมือนเพิ่มงานให้ตัวเองชัดๆ คนฉลาดจึงต้องหาทางเลี่ยง “ปกติน้องกี้ถนัดงานสร้างสรรค์นโยบาย งานเน้นรายละเอียดแบบนี้น่าจะเหมาะกับคุณฐิตามากกว่า อีกอย่างตอนนี้คุณฐิตาก็น่าจะใกล้ว่างเพราะกำลังจะเรียนโทจบแล้ว”
“แต่ฐิตาเขาก็อาสาทำอีกโพรเจกต์หนึ่งแล้วเหมือนกัน”
โพรเจกต์เล็กกระจิ๋วสิคะ!
ต่อสายตาตั้งคำถามของน้องกี้ พี่หมูเล่าว่า “ตอนนี้ เฟม เมทัล เวิร์ก บริษัทคู่แข่งของแอ๊กซ์น่ะค่ะ” เธออธิบายให้คุณโชค “เขาเพิ่งได้รางวัลรักษาสิ่งแวดล้อมมาหมาดๆ ท่านประธานบริษัท เลยอยากให้เรากับทางโรงงานโพรโมตเรื่องซีเอสอาร์ขึ้นมาสู้...”
เนื่องจากคุณสมบัติประการหนึ่งของ ‘นักเอาหน้า’ คือต้องมีสายตากว้างไกล คอยหาเรื่องมาพูดโยงเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นได้ น้องกี้จึงไม่พลาดการเซิร์ชอ่านคร่าวๆ จนรู้มาบ้างว่าหลักการซีเอสอาร์๑ หรือธรรมาภิบาลนั้นไม่ใช่งานเฉพาะของการตลาดหรือประชาสัมพันธ์ ทว่าต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่หน่วยย่อยสุดอย่างพนักงานแต่ละรายเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ อีกผู้ที่มีบทบาทสำคัญในองค์กรย่อมคือนักทรัพยากรมนุษย์
แต่...อย่างแอ๊กซ์เนี่ยนะ!
พนักงานระดับล่างยังขโมยของกินคนอื่นในตู้เย็นบ่อยๆ ผู้บริหารก็อนุมัติเงินเดือนลูกน้องขึ้นทีละน้อยๆ ทั้งที่โบ้ยงานลงมาเป็นคันรถ ซึ่งคนรับมาก็จะขนไปโบ้ยต่อกันไปอีกที...
ทุกคนที่นี่ถูกหลอมด้วยสังคมที่ไม่เคยคิดถึงใครนอกจากตัวเอง!
อย่างไรก็ดี น้องกี้ตระหนักว่าคนพูดตรงคือคนคิดสั้น การบิดเรื่องพอประมาณจะให้ผลดีมากกว่า
“พี่หมูขา ความรับผิดชอบต่อสังคมมีหลายอย่าง ทางเฟมเขาจับกระแส ‘กรีน’ ไปแล้ว ถ้าเราจะทำก็ควรเลี่ยงไม่ให้ดูเหมือนเลียนแบบ แถมคนทำทีหลัง ยังไงลูกค้าก็ไม่จำเท่ารายแรกนะคะ” หญิงสาวเว้นจังหวะ นิ้วชี้ตีคางวางท่าคิด ซึ่งไอ้โชคบ่ดีดูจะรู้ว่าเป็นการแสดง แต่น้องกี้ไม่สน
“อันที่จริงสำหรับการเริ่มต้นน่าจะยังหวังผลเต็มร้อยไม่ได้ แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ด้านพีอาร์ก่อนดูจะเหมาะกว่า น้องกี้ว่าเอชอาร์อย่างเราคงต้องค่อยๆ ก้าวตามไป หนแรกๆ แค่พาพนักงานไปถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กกับเด็กกำพร้า หรือบริจาคเงินให้มูลนิธิออกข่าวแล้วเอามาหักภาษีก็น่าจะพอ อย่างคุณตันไงคะ บริจาคทีก็กระพือกระแสดรามา ถ้าเมืองไทยเป็นกอธแธมแกก็กลายเป็นซูเปอร์แมนแล้ว”
“แบทแมน” โชคบ่ดีแก้ให้ทั้งหน้านิ่ง
“มันก็จริง” พี่หมูพยักหน้า
น้องกี้เริ่มวางท่าเป็นต่อ “เห็นมั้ยคะ”
“พี่หมายถึงแบทแมน”
พี่คะ!
โชคบ่ดีฉวยจังหวะแทรก “จากที่ฟังมา ซีเอสอาร์น่าจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าระบบของเรามากเลยนะครับ บางทีคุณกี้อาจจะอยากแสดงฝีมือทางนั้นมากกว่า...”
หางเสียงลากยาว และราวกับปรารภนั่นเป็นคำเตือน น้องกี้รู้สึกเหมือนไฟสว่างกลางหัว
จริงสิ! ถ้าเทียบระหว่างสองโพรเจกต์นี้ ระบบไอทีเอชอาร์ก็กลายเป็นเรื่องเล็กในพลัน อย่างมากน้องกี้จะมีหน้าที่แค่ประสานงานกับไอ้โชคบ่ดี มิใช่ระดมความคิดยิ่งใหญ่ แถมต้องหาทางลากพนักงานมากเรื่องทั้งหลายให้มีส่วนร่วมอีกด้วย
ถ้าผละงานนี้ มีหวังพี่หมูคงยัดซีเอสอาร์มาให้น้องกี้แทนแหง
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” คนคิดจงใจลงเสียงใส่ชายข้างๆ ประหนึ่งขัดใจที่ถูกสบประมาท “งานไหนๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันทำให้แผนกและบริษัทขับเคลื่อนไปได้”
“งั้นหมายความว่าเธอจะรับทำคลาวด์แมเนจเมนต์”
“ใช่ค่ะ น้องกี้จะรับทำคลาวด์แ...อะไรนะคะ!”
นอกจากคำพูดสะดุดใจ ท่านั่งของคนข้างกายที่หันมาประจันหน้า ยังทำให้สายตาของน้องกี้ปะทะอกนูนของเขา...หมายถึง ปะทะลายปักบนอกนูนของเขาซึ่งเป็นรูปเลข ๖ เหนือชื่อบริษัท ซิกซ์ คอมพ์ ได้ชัดแจ้ง
“คลาวด์แมเนจเมนต์” โชคบ่ดีพูดใหม่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น้องกี้ได้ยิน
‘เลข ๖’ และ ‘มากับเมฆ’!
...ในสองสามวันนี้จะมีทูตสวรรค์ผ่านเข้ามา เขาจะให้คำแนะนำ หกข้อ!...
ปากไหว ใจเต้นถี่ น้องกี้แทบทะเทิ้มตาถลนขณะละล่ำละลัก “คะ...คุณโชคช่วยแนะนำหน่อยสิคะว่า เดี๋ยวเราจะต้องทำอะ...อะไรกันบ้าง”
โชคบ่ดีมีสีหน้าฉงน แต่ก็ยอมตอบโดยดี “งานซอฟต์แวร์ดีเวลลอปเมนต์ก็เริ่มจากวิเคราะห์ ดีไซน์ระบบ จากนั้นเขียนโปรแกรม เทสติ้ง ต่อด้วยคอนเวอร์ชัน แล้วก็เมนทีแนนซ์”
จบประโยคนั้นน้องกี้ตัวสั่นเหมือนถูกสลาตันโถม
หรือนี่จะเป็นประสงค์สวรรค์! น้องกี้นับกระบวนของหมอนั่นได้หกข้อพอดีเป๊ะ
“ถ้าน้องกี้ตกลงใจแล้วก็โอเค” พี่หมูตัดบท ถอดแว่นกรอบกระจกออก สายสร้อยที่คล้องคอดังกรุ๋งกริ๋ง ลุกยืน “พี่ขอให้เราปรึกษากันดูนะว่าจะต้องดำเนินการยังไงบ้าง คุณโชคมีอะไรอยากให้ทางเราซัปพอร์ตก็บอกน้องกี้เขาได้เลย...”
หัวหน้างานสาธยายอะไรต่ออีกครู่ ทว่าระหว่างนั้นหญิงสาวแทบไม่รู้สึกตัวใดๆ ในอกพล่านฟ่องด้วยพรายฟองแห่งความหวัง หลากใจ ตื่นใจ ขณะเดียวกันก็กังวลใจ เพราะคนที่ถูกส่งให้มาเป็น ‘ตัวช่วย’ ดูไม่น่าจะเอาใจช่วยเธอเสียเลย!
เสียงประตูกระจกฝ้าปิดลงตามหลังพี่หมูในนาทีถัดไป คำใหม่ของชายข้างกายก็ดังขึ้น “ดูเธอจะเป็นลูกน้องที่มีอำนาจต่อรอง...”
หญิงสาวยังครองสติได้ หมุนตัวมายกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เงียบก่อน
โชคบ่ดีก็ยอมนิ่งทั้งที่หัวคิ้วยังมุ่น สายตาคมกริบใต้แว่นกรอบเหลี่ยมหันตามเธอไปยังบานประตูห้องประชุม นอกจากกระจกซึ่งเป็นฝ้า หน้าห้องที่ปิดไฟสลัวยังทำให้มองไม่เห็นเงาอะไร
น้องกี้ฉวยโทรศัพท์มือถือขึ้น พรมนิ้วส่งข้อความในแอปพลิเคชันไลน์
รักเร่ พี่วานเปิดไฟหน้าห้องประชุมทีค่ะ
สายตาของเธอยังจ้องประตู ปากพูดโดยไม่หันมาดูคนข้าง “ใช่ค่ะคุณโชค สโคปงานที่เราจะทำก็น่าจะเป็นเรื่องการลงเวลาเข้า-ออกงาน เรื่องการแจ้งลา แล้วก็เบิกค่าสวัสดิการต่างๆ คุณโชคคิดว่าเราควรเริ่มจากวิเคราะห์ส่วนไหนก่อนคะ”
โชคบ่ดีหรี่ตา ยังไม่ทันถามอะไรแสงไฟหน้าห้องก็สว่างโพลง ทีนี้เห็นชัดว่ามีเงาคนทะมึนแอบยืนฟังอยู่ไม่ไกลออกไป
“แหก!” เสียงอุทานของพี่หมู ก่อนเงานั้นจะรีบซอยเท้าหนีหาย
น้องกี้ถอนใจ ลูบจี้นำโชคประจำกายอย่างหมายเป็นที่พึ่งที่ระลึก ส่ายหน้าพึมพำ “เป็นไปตามคาด”
“ทำไมต้องลูบสร้อยนั่นบ่อยๆ” อีกฝ่ายสนใจที่อีกอย่าง
“สร้อยประจำวันเดือนปีเกิดของน้องกี้ นำโชคดีมาให้ค่ะ”
รอจนมั่นใจว่าคนหน้าห้องก้าวไปไกลจนไม่มีทางได้ยินแล้ว โชคบ่ดีจึงหวนกลับมาถาม “พี่หมูสงสัยเรื่องเธอกับฉัน?”
“หัวหน้าของน้องกี้ร้ายกว่าที่คุณโชคเห็นนะคะ”
เขาลุกยืน ยกแขนยืดกายอย่างจะขจัดความเมื่อยขบ ใบหน้าอมยิ้ม “แต่จากอำนาจการต่อรองเท่าที่เห็น ก็แสดงว่าเขายังไม่น่าจะร้ายไปกว่าเธอ”
“แต่จากอำนาจการต่อรองเท่าที่เห็น ก็แสดงว่าน้องกี้หาวิธีบริหารหัวหน้างานได้ดีต่างหากล่ะคะ” น้องกี้แก้ให้ใหม่โดยใช้จังหวะพูดเลียนแบบเขา
“ยังไง” คนถามลดกายนั่งบนโต๊ะ ถอดแว่นออกมาก้มเช็ดอกเสื้อ
“พี่หมูทั้งโบ้ยงาน หลอกใช้...”
“ฉันหมายถึงเธอสร้างฐานอำนาจมาต่อรองยังไง” เขาไม่ได้เงยหน้ามามอง
น้องกี้ทำเสียงจึ๊กจั๊ก ยังคงเล่าต่อตามที่เปิดหัวเรื่องไว้แล้ว...
สองปีก่อน หลังจากน้องกี้เริ่มทำงานที่ แอ๊กซ์ อิเล็กทรอนิกส์ มาได้เจียนครบปีที่สาม...
มันเป็นเช้าต้นฤดูหนาวที่พร่างพราวด้วยม่านฝน น้องกี้กระหืดกระหอบตัวโยนมาถึงโต๊ะทำงาน สมัยนั้นยังไม่มีรักเร่ และที่แผนกก็ไร้เงาคุณฐิตวรรณ ทว่าที่ทะมึนหยัดอยู่ข้างเก้าอี้ของน้องกี้คือพี่หมู มุททา
แทนการรับสวัสดีจากน้องกี้ เจ้าของร่างท้วมตันกะพริบตาช้าๆ ทิ้งมืออวบทั้งสองข้างลงในกระเป๋าเสื้อสูทข้างหน้าท้อง สูดลมหายใจยาวเหมือนวัวกระทิง อันเป็นสัญญาณของการกล่าวโทษ พร้อมๆ กับปรายตาไปยังหน้าปัดนาฬิกาบนฝาห้อง
แปดโมงยี่สิบเก้า เหลืออีกหนึ่งนาทีจะเข้างาน ยังไม่สาย
น้องกี้ยิ้มกริ่มอย่างผู้กุมชัยชนะ ‘วันนี้ฝนตกรถติดมากเลย ตอนแรกน้องกี้นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้วค่ะ’
หัวหน้ากระเถิบร่างให้ลูกน้องนั่งลง น้องกี้วางกระเป๋ากับถุงข้าวแกงมื้อเช้าบนโต๊ะ ซึ่งนับว่าค่อนข้างหาที่ว่างลำบากเนื่องจากทั้งโต๊ะคับคั่งไปด้วยเครื่องรางนานาชนิด ตั้งแต่รูปถ่ายเกจิ เหรียญกษาปณ์ ตุ๊กตานางกวัก หินมงคล ไผ่กวนอิม รูปหล่อมังกร โมเดลสำเภา ฯลฯ
‘จริงๆ เวลาแปดโมงครึ่งตามกฎบริษัทน่ะ...’ พี่หมูเริ่มพูด วางน้ำหนักมือลงบนข้อมือของน้องกี้ ก่อนเลื่อนมันไปหยุดเคาะโต๊ะข้างถุงข้าว ‘หมายถึงทุกคนต้องจัดการตัวเองเรียบร้อยและพร้อมเริ่มงานแล้วจ้ะ’
‘น้องกี้จะรีบกิน...’
‘พี่มีเรื่องสงสัย’ หัวหน้าไม่ให้โอกาส มือหนาคว้าพนักเก้าอี้ของคุณฐิตามานั่งลงข้างๆ น้องกี้จึงจำวางกระดาษทิชชูที่หมายจะเช็ดผมชื้น ขยับตัวตรงเป็นการเป็นงานหันไป หากเสียงท้องร้องกลับดังครืด...
หญิงสาวรักษาสีหน้า ขณะที่พี่หมูทำเป็นไม่ได้ยิน นิ้วใหญ่ลากไปเขี่ยแฟ้มพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะแต่ต้นให้เคลื่อนมาในสายตา ข้างในมีเอกสารกระดาษสามแผ่น
‘ทำไมน้องกี้เลือกพรินต์ใบสมัครของคนพวกนี้ให้พี่ด้วย’
น้องกี้ดึงกระดาษออกมา สองในสามเขียนขึ้นด้วยภาษาไทย ขณะที่แผ่นสุดท้ายใช้รูปถ่ายติดมุมในลักษณะไม่เป็นทางการ
‘คนนี้ส่งมาสมัครทางอีเมลของบริษัท ส่วนสองคนนั้นผ่านเว็บไซต์ที่เราฝากตำแหน่งงานไว้ค่ะ’
พี่หมูเลิกคิ้วนิ่งแทนคำบอก...พี่ไม่อยากจะเชื่อ! แต่เป็นขั้นเหนือของการแสดง คือเป็นการแสดงที่ผสานวิธีสะกดจิตให้คนดูรู้สึกผิดไปในคราวเดียว
‘หมายความว่าน้องกี้ไม่ได้กรองก่อน’
‘พี่หมูไม่ได้บอกให้น้องกี้กรองก่อน’ ฝีมือแสดงละครของน้องกี้ย่อมดีกว่า ถ้าไม่ได้ทำงานร่วมกันมาเกือบสามปี พี่หมูต้องเชื่อว่าเธอซื่อใส ไม่ได้ตั้งใจย้อน
แต่เพราะไม่ใช่ พี่หมูจึงเข้าใจนัยของคำ ทว่ายังทำไม่รู้ไม่ชี้
คนเป็นหัวหน้ายังคงทำไม่รู้ไม่ชี้แม้ตอนที่เสียงครืด...ดังจากท้องของน้องกี้อีกรอบ ‘รูปพวกนี้เหมือนถ่ายมาจากตู้สติกเกอร์’ เธอเคาะนิ้วลงกึกๆ ‘แล้วพวกที่เขียนภาษาไทยมา เราก็ควรจัดเป็นไพรออริตีท้ายๆ’
แม้ได้รับการอบรมให้หัวอ่อนมาตลอดวัยเด็ก กระนั้นน้องกี้ก็เริ่มกรุ่นๆ เพราะแรงปุดในท้อง หญิงสาวเพียรสูดลมรำงับโทสะ ทว่าไม่วายแสร้งเมินไปกดเปิดคอมพิวเตอร์แทน ตอบโดยพยายามไม่ให้เสียงแข็ง
‘แต่ว่าคุณสมบัติกับงานที่พวกนี้เขียนบรรยายมาดูมีอะไรมากกว่าบางคนที่ใช้ภาษาอังกฤษแล้วก็รูปเป็นทางการนะคะ อีกอย่างบริษัทเราไม่มีคนต่างชาติ...’
‘สักวันเราอาจติดต่อลูกค้าต่างชาติ’ พี่หมูยิ้มจองเวร ‘ต้องคิดและมองไกลๆ หน่อยจ้ะ’
‘ค่ะ’
คงสัมผัสได้ในอารมณ์ของคู่สนทนา หัวหน้าพยายามเย็นลง วางมือลงบนต้นแขนน้องกี้
‘น้องกี้ น้องกี้อยู่ตรงนี้ยังมีอนาคตอีกไกล แผนกเราก็ไม่มีใคร ฐิตาตอนนี้โฟกัสเขาก็เริ่มหายเพราะไปสมัครเรียนโท จบโทก็อาจจะออกไปอยู่ที่อื่น อีกอย่าง เขาไม่เหมาะจะเป็นระดับหัวหน้าในแผนก เราปกครองดูแลคน น้องกี้ว่าคนเห็นฐิตาแล้วจะรู้สึกว่านั่นคือตัวอย่างที่ดีรึเปล่า’ เธอวรรค ยักคอไปยังทางเดินอีกฝั่ง
ฐิตวรรณกำลังวุ่นวายตามขอลายเซ็นจากท่านประธาน ที่นานๆ จะเข้ามาที่สำนักงานขาย และไม่ต่างจากทุกวัน เพื่อนสาวรายนั้นนุ่งสั้นเสมอหูทั้งที่หนูไม่ใช่ใบเตย
น้องกี้กลอกตาอย่างลืมตัว
พี่หมูรู้จังหวะ ‘กับน้องกี้พี่พูดตรงๆ เพราะอยากให้เราเข้าใจกันนะ งานหลายชิ้นเป็นเรื่องของการเช็กความสามารถและการพัฒนา’
‘ค่ะ’ ลูกน้องเสียงอ่อนลง
‘คัดเอกสารพวกนี้กับที่แคนดิเดตส่งมาใหม่ เอาให้พี่ตอนเก้าโมงนะจ๊ะ แต่ก่อนทำอันนี้ น้องกี้ร่างประกาศให้พี่ฉบับหนึ่งก่อน’
น้องกี้กระวีกระวาดหยิบเศษกระดาษรียูสและปากกาขึ้นมาเตรียมจด
ประตูห้องน้ำเสีย
เสียงพี่หมูหยุดลง น้องกี้จึงเงยหน้ารอ แต่หัวหน้าก็กลับเอียงคอฉงน
‘แค่นี้เหรอคะ’
‘พี่ก็ยังว่าทำไมน้องกี้ไม่พิมพ์ซะเลย’
เกิดความเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง
ในที่สุดพี่หมูลุกจากไป ไม่ลืมทิ้งท้าย ‘ฝากพรินต์งานในอีเมลที่พี่เพิ่งส่งให้ด้วยนะจ๊ะ เอาไปให้พี่พร้อมกันเลย’
น้องกี้เบนสายตาไปยังเครื่องพิมพ์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน้าประตูห้องเจ้าของคำสั่งเอง และแน่นอน มันอยู่ห่างจากโต๊ะน้องกี้เสียยิ่งกว่า
จะว่าไป ในห้องทำงานพี่หมูก็มีเครื่องพิมพ์ส่วนตัวอยู่แล้ว แต่เธอมักออกมาใช้รวมกับลูกน้องเพื่อลดจำนวนพิมพ์ในเครื่องของตัวเองให้เหลือตามโควตา
น้องกี้สูดลมลึก กดคำสั่งพิมพ์งานแล้วเดินหยิบไปส่งในห้องเจ้านาย
‘ขอบใจจ้ะ’ หัวหน้าตอบ แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ มือใหญ่รีบตะครุบเมาส์ กดย่อหน้าต่างโปรแกรมเอกซ์เซลในหน้าจอคอมพิวเตอร์ลดลงแค่แถบเมนู
ด้วยตำแหน่งหน้าจอที่ตั้งเฉียงๆ ก่อนน้องกี้จะปั้นยิ้มหมุนตัวจากมา เธอจึงยังทันเห็นชื่อไฟล์นั้นว่า
ความคิดเห็น |
---|