4
ข่าวคราวคบหากันถึงขั้นวางแผนแต่งงานแบบฟ้าผ่าระหว่างผู้อำนวยการสาวกับครูพละดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งโรงเรียนพราวปัญญาในเวลาอันรวดเร็ว และยิ่งตอกย้ำความจริงเมื่อบุญชูต้องไปกินข้าวกลางวันกับพราวนภาที่ห้องอาหารสำหรับผู้อำนวยการ แทนที่จะมากินรวมกับเพื่อนครูด้วยกันที่โรงอาหารเหมือนเช่นปกติ
“ฉันคิดว่า ผอ. ไม่ใช่ผู้หญิงเสียอีก” ผกากรอง ครูประจำชั้น ป. สี่เปิดประเด็นขณะที่นั่งกินของหวานหลังอาหารมื้อเที่ยงกับกลุ่มเพื่อนครูสาวๆ
“ฉันว่า ผอ. แต่งงานบังหน้า แล้วบุญชูก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะเห็นแก่คุณพ่อคุณแม่ของ ผอ. เฮ้อ คิดแล้วก็สงสารบุญชูเนอะ” บุษบา ครูประจำชั้น ป. สามเสนอความคิดเห็นบ้าง
“สงสารหรือเสียดาย เอาให้ดี”
ผกากรองแขวะเพื่อน เพราะรู้ดีว่าบุษบานั้นเหล่บุญชูมานานแล้ว ทำเอามะม่วงดองแทบติดคอบุษบา
“พวกเธอเนี่ย พูดอะไรกันก็ไม่รู้ ผอ. กับบุญชูจะเป็นยังไง พวกเราก็ควรจะยินดีกับเขานะ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ต่อให้แต่งงานกันด้วยเหตุผลอะไรก็เถอะ” นลิน ครูประจำชั้นอนุบาลสองพูดออกมาอย่างคนโลกสวย
“ย่ะ นี่ก็ฟอลอินเลิฟจนทุกอย่างเป็นสีพาสเทลไปหมดแล้ว”
ผกากรองทำลายโลกสีพาสเทลของนลินพร้อมกับแกล้งทำหน้าหมั่นไส้เนื่องจากครูสาวเพิ่งจะแต่งงานกับนักธุรกิจหนุ่มผู้เป็นคุณลุงของลูกศิษย์ที่นลินเป็นครูประจำชั้น ความรักอันแสนหวานทำให้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ดูสวยงามไปหมด
“ฉันพูดตามความเป็นจริงต่างหากล่ะ เมื่อก่อนตอนที่ฉันรู้จักคุณดาวแค่ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียน ฉันก็คิดเหมือนพวกเธอว่า ผอ. ต้องเป็นทอมแน่ๆ แต่พอได้มารู้จักกันในฐานะรุ่นน้องของสามีฉัน ก็รู้สึกว่า ผอ. ก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งนี่แหละ เพียงแค่ห้าวไปนิด มั่นใจในตัวเองไปหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้น บุญชูก็ถือว่าฟลุก ตกถังข้าวสารสินะ” ผกากรองตั้งข้อสันนิษฐาน
“ไม่จริงย่ะ ฉันไปแอบรู้มาว่าบุญชูน่ะ เค้าเนื้อหอมจะตาย มีแมวมองมาทาบทามให้ไปเป็นดาราตั้งหลายคนแล้ว ถ้ารับงานในวงการละก็ มีเงินเป็นกอบเป็นกำไม่ต่างจาก ผอ. หรอกนะ แล้วก็ไม่ต้องแต่งงานกับ ผอ. เพื่อหวังรวยทางลัดด้วย” บุษบาแก้ต่างให้ครูพละหนุ่มตามประสาแฟนคลับที่ดี
“นั่นสินะ ฉันแปลกใจตั้งแต่บุญชูสละสิทธิ์นักว่ายน้ำทีมชาติ เพื่อมาเป็นครูต๊อกต๋อยที่นี่แล้วละ” ผกากรองพูดเสริม
“แหม ต๊อกต๋อยอะไรกัน พูดแล้วไม่สะเทือนตัวเองกันบ้างเหรอ พวกเราก็เป็นครูอยู่ที่นี่นะ ยังมีเงินพอกินพอใช้เลย ฉันว่าเรารีบกลับไปสอนกันเถอะ หมดเวลาพักแล้ว เด็กๆ ที่น่ารักของพวกเรารออยู่” นลินมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะส่งสัญญาณให้แยกย้าย เพราะเหลือเวลาอีกไม่นาน เสียงสัญญาณเข้าชั้นเรียนช่วงบ่ายก็จะดังขึ้น
งานแต่งงานระหว่างพราวนภากับบุญชูจัดขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ไม่มีการถ่ายรูปพรีเวดดิง ไม่มีการเข้าคอร์สเจ้าบ่าวเจ้าสาว แขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่แล้วเป็นญาติฝ่ายเจ้าสาว เนื่องจากดนุพงษ์เป็นที่นับหน้าถือตาของหลายๆ คน ในขณะที่บุญชูมีเพียงภาวิน สามีของนลินมาเป็นญาติผู้ใหญ่ให้ ในฐานะที่เคยช่วยเหลือกันมาตอนที่ภาวินคบหากับนลินใหม่ๆ
“ไม่คิดจะบอกแม่เขาจริงๆ เหรอบุญชู” ดนุพงษ์ถามก่อนถึงวันงาน เพราะอย่างน้อยก็ถือเป็นวันสำคัญของชายหนุ่ม
“ไม่ดีกว่าครับ ตอนนี้ผมกับแม่ก็เหมือนคนแปลกหน้า อีกอย่าง แม่อาจจะมาหาผมลำบาก”
“อืม ไม่ต้องคิดมากนะบุญชู ลุงกับป้าจะเป็นพ่อกับแม่ของเธอเอง ต่อไปนี้ให้เรียกลุงกับป้าว่าคุณพ่อคุณแม่ เหมือนที่ยายดาวเรียก เข้าใจไหม”
ขบวนขันหมากเคลื่อนจากหน้าบ้านพักของบุญชูมาสู่หน้าบ้านของผู้อำนวยการสาว เจ้าบ่าวสวมชุดไทยประยุกต์ที่ท่อนบนเป็นเสื้อสูท ส่วนท่อนล่างเป็นโจงกระเบนสีเทา วันนี้หนึ่งในครูชายผู้สอนวิชานาฏศิลป์แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นนางรำเต็มยศ รำอ่อนช้อยรับกับวงกลองยาวที่ภาวินจัดหามาให้ด้วยสีหน้าแช่มชื่น
จะไม่ให้แช่มชื่นได้อย่างไร ก็ในเมื่อเพื่อนนักกีฬาว่ายน้ำของบุญชูต่างมาร่วมขบวนกันอย่างคับคั่ง ถือต้นกล้วยต้นอ้อย พร้อมทั้งโยกตัวตามจังหวะเร้าใจของวงกลองยาวกันอย่างครึกครื้น แต่ละคนทั้งหล่อทั้งล่ำสมกับเป็นนักกีฬา พาให้บรรดาคุณครูสาวๆ ที่วันนี้สวมชุดไทยมายืนกั้นประตูเงินประตูทองต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ฝ่ายเจ้าบ่าวผ่านประตูเงินประตูทองไปอย่างง่ายดายเนื่องจากทำพอเป็นพิธี อีกทั้งเจอลูกอ้อนของบรรดาหนุ่มๆ สาวๆ ก็ใจอ่อน ยอมให้ขบวนขันหมากผ่านเข้ามาโดยง่าย
พราวนภาปรากฏตัวในชุดสไบเฉียงกับผ้านุ่งจีบหน้านางสีทองอมชมพู ขับผิวขาวราวน้ำนมให้ยิ่งผุดผ่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลาดไหล่ด้านที่เปิดเปลือยจากสไบ รูปร่างของพราวนภาชะอ้อนชะแอ้น เอวของเธอยิ่งดูคอดกิ่วเมื่อมีเข็มขัดทองคาดประดับอยู่ สะโพกผายกลมกลึงเย้ายวนเหมาะเจาะกับชุดที่สวม ผมซอยสั้นของเธอถูกจัดแต่งทรงให้เข้ากับชุดไทยได้อย่างสวยงามอ่อนหวาน ใบหน้าที่วันนี้ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางดูสวยแปลกตากว่าทุกวันที่เคยเห็น ยามเธอแย้มยิ้ม ลักยิ้มจุดเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
บุญชูเห็นเจ้าสาวของเขาแล้วก็ได้แต่ตะลึงจนยืนทื่ออยู่อย่างทำอะไรไม่ถูก อย่าว่าแต่บุญชูเลย แม้กระทั่งบรรดาครูที่สอนอยู่ที่โรงเรียนพราวปัญญาซึ่งเห็นหน้าพราวนภาแทบทุกวันยังมองกันจนตาค้าง
“มองอะไร!” พราวนภานิ่วหน้าใส่เจ้าบ่าวของเธอ เมื่อเช้าตอนทำพิธีสงฆ์และทำบุญใส่บาตร บุญชูก็มองเธอแบบนี้
หญิงสาวคงไม่รู้ตัวว่าเธอสวยเกินจินตนาการของบุญชูไปมาก เนื่องจากวันนี้เธอดูเป็นผู้หญิงกว่าวันไหนๆ
พิธีมอบสินสอดทองหมั้นดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงตอนสวมแหวนแต่งงาน บุญชูหยิบแหวนเพชรเม็ดจ้อยเท่าผลึกน้ำตาลทรายออกมาด้วยความเก้อเขิน
“เพชรอาจจะเม็ดเล็กไปหน่อย แต่แหวนวงนี้ ผมตั้งใจให้ ผอ.จริงๆ นะครับ”
บุญชูพูดกับหญิงสาวด้วยความรู้สึกแท้จริงที่เขามีให้เธอ ถึงแม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการจัดฉากทั้งหมด นอกจากครอบครัวของพราวนภาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเงินสินสอดและการจัดงานทั้งหมดนั้นดนุพงษ์เป็นคนจัดหาให้ ทายาทเจ้าของโรงเรียนพราวปัญญาแต่งงานทั้งที ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งหากรอให้บุญชูค่อยๆ เก็บเงินก่อร่างสร้างตัวเอง ดนุพงษ์คงอยู่ไม่ทันอุ้มหลานแน่ๆ มีเพียงแหวนแต่งงานฝังเพชรเท่านั้นที่บุญชูยืนยันจะซื้อให้พราวนภาด้วยตัวเอง
ฝ่ามือบางยื่นไปวางบนมือของเจ้าบ่าว บุญชูได้แต่รำพึงรำพันในใจว่าเจ้าสาวของเขาจะรู้หรือไม่ว่าเขาตื่นเต้นแค่ไหน เหตุการณ์ในวันนี้เปรียบได้กับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงของชายหนุ่ม ฝันที่เขาได้สวมแหวนแต่งงานให้เธอ ฝันว่าพราวนภาขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วก้มลงกราบที่ตักของเขา บุญชูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทั้งหมดนี้มันจะเกิดขึ้นจริง
“เจ้าบ่าว หอมเจ้าสาวโชว์หน่อย” เสียงตะโกนจากแขกที่มาร่วมงานแต่งงานดังขึ้นซึ่งก็ไม่ใช่เสียงใคร นอกจากเสียงเพื่อนนักกีฬาของเจ้าบ่าว ทำให้บุญชูได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่ก จากนั้นก็กระซิบถามเจ้าสาวอย่างขอคำปรึกษา
“ผมหอม ผอ. ได้ใช่ไหมครับ ถ้าไม่หอมเดี๋ยวไม่เนียน”
คำถามของเจ้าบ่าวกำมะลอทำให้เจ้าสาวหันไปมองพ่อกับแม่ ที่ตอนนี้มองมายังเธอกับบุญชูด้วยแววตาปลาบปลื้มที่ได้เห็นลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา
“อืม” คำตอบสั้นๆ นั้นทำให้หัวใจครูพละหนุ่มสั่นระรัว ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวหรือความเขินอาย
“ผอ. จะไม่ชกหน้าผมแน่นะ" ชายหนุ่มถามย้ำ
“ก็เออสิวะ”
แม้จะเป็นเสียงกระซิบ แต่บุญชูก็รับรู้ถึงอารมณ์หงุดหงิดของผู้อำนวยการสาวได้
ว่าแล้วเขาก็บรรจงจูบแก้มเธอ ใช้โอกาสที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีอีกไหมให้คุ้มค่าที่สุดที่จะได้สัมผัสแก้มนวลเนียนขาวใส หัวใจของบุญชูสูบฉีดรุนแรงจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการสาวได้ยินเสียงหัวใจของเขาหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้ สองโหนกแก้มของเขาคงแดงระเรื่อไปหมดแล้ว
ตอนที่ปลายจมูกของเขาแตะลงผิวแก้ม บุญชูกลั้นหายใจ แต่เมื่อสัมผัสถึงความนุ่มละมุนของผิวเนื้อนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เผลอสูดความหอมเข้าอย่างเต็มปอด ก่อนจะจูบแก้มเธอด้วยอารมณ์เผลอไผล พราวนภาจึงผละตัวออกห่าง มองครูพละหนุ่มด้วยสีหน้าตื่นตะลึงเมื่อเขาทำมากกว่าที่บอกเธอ คิ้วได้รูปซึ่งผ่านการตกแต่งมาอย่างดีขมวดเข้าหากันมุ่น มือที่กำลังกำแน่นอยากจะชกเบ้าตาคนตรงหน้าสักหมัด แต่ติดตรงที่เสียงปรบมือและโห่ร้องของแขกที่มาร่วมงานดังกระหึ่ม พ่อแม่ของเธอที่มองมาด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม อีกทั้งท่าทางที่ยังนิ่งของเจ้าบ่าว ทำให้หญิงสาวคิดว่าเขาทำไปเพราะต้องการจะแสดงบทบาทให้สมจริงเท่านั้น
ห้องนอนของพราวนภาถูกตกแต่งเป็นห้องหอด้วยความรวดเร็วหลังจากที่เธอบอกกับผู้เป็นพ่อว่าจะแต่งงานกับบุญชู ข้าวของเครื่องใช้ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนมากนัก นอกจากเตียงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับนอนสองคนกับตู้เสื้อผ้าที่ใหญ่ขึ้น โดยบุญชูขนของย้ายเข้ามาอยู่ห้องของพราวนภาด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียวเท่านั้น หลังจากเสร็จพิธีเข้าหอ ญาติผู้ใหญ่ก็เปิดโอกาสให้บ่าวสาวอยู่ด้วยกันแค่สองคน
“โคตรเมื่อยเลย” หญิงสาวบ่นอุบพร้อมกับลุกขึ้นจากเตียงทันทีที่ผู้ใหญ่ออกจากห้องไปหมดแล้วและบิดขี้เกียจให้หายเมื่อยขบ
“เดี๋ยวคืนนี้ผมลงไปนอนที่พื้นนะครับ”
“เพื่อ?” หญิงสาวถามขณะที่เริ่มถอดเครื่องประดับของตัวเองออกทีละชิ้น
“ก็...ห้องนี้มีเตียงเดียว” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“นอนบนเตียงไปเถอะ ฉันไม่คิดมากหรอก อีกอย่าง นอนบนเตียงกับข้างล่างมันปลอดภัยต่างกันตรงไหน นายเองก็ไม่เคยคิดจะปล้ำฉันอยู่แล้วนี่ จริงมั้ย”
คำพูดที่เต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นทำให้บุญชูถึงกับสะอึก คำสั่งให้รวบหัวรวบหางหญิงสาวของดนุพงษ์ยังดังก้องอยู่ในหัว แล้วไหนจะความสวยผิดหูผิดตาของผู้อำนวยการสาวในตอนนี้อีกล่ะ เมื่อก่อนน่ะเขาอาจจะไม่กล้าคิด แต่ตอนนี้...
“โอ๊ย! อะไรเนี่ย” น้ำเสียงหงุดหงิดตามด้วยเสียงจึ้กจั้กทำให้บุญชูหลุดจากความคิดฟุ้งซ่าน เมื่อหันไปเห็นพราวนภาที่ตอนนี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือข้างหนึ่งของเธอยกค้างอยู่ตรงบ่าข้างที่มีสไบพาดเฉียง ส่วนมืออีกข้างก็พยายามแกะสิ่งที่เกี่ยวติดกันให้หลุดออก
“เป็นอะไรไปครับ ผอ.” ชายหนุ่มถาม เมื่อพราวนภาทำหน้าหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ
“สร้อยข้อมือฉันติดกับสไบน่ะ นายมาช่วยดูหน่อยสิ” พูดแล้วเธอก็หยุดความพยายามไว้เท่านั้น โดยปล่อยให้ชายหนุ่มเข้ามาช่วยแกะออกให้
บุญชูเดินเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าตะขอของสร้อยข้อมือที่พราวนภาสวมประดับอยู่นั้นเกี่ยวกับดิ้นทองที่ปักอยู่กับสไบ หากออกแรงกระชาก อาจจจะทำให้สไบเสียหายได้
“ผอ. อย่ากระชากนะครับ เดี๋ยวดิ้นทองจะขาด” บุญชูบอกพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับบ่าบอบบางและลำคอระหงที่เอียงอยู่เพื่อให้เขาแกะตะขอสร้อยข้อมือให้หลุดจากดิ้นทองได้ถนัดขึ้น ความขาวและหอมละมุนทำให้หัวใจครูพละหนุ่มเต้นตึ้กตั้ก การที่ต้องมาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง อีกทั้งตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเขาต้องนอนร่วมเตียงกับเธอทุกคืน ช่างเป็นอะไรที่ทรมานจิตใจชะมัด เพราะมันไม่ต่างอะไรกับหมาที่เห็นปลากระป๋อง มีของอร่อยอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่มีปัญญากินมันเข้าไปได้
“เสร็จแล้วครับ ผอ.”
“ขอบใจ” น้ำเสียงตอบรับเรียบๆ นั้นไม่ต่างจากเจ้านายคุยกับลูกน้อง แน่ละ พราวนภายังเป็นเจ้านายเขา ยังออกคำสั่งเขาได้ทุกเรื่อง แม้ว่าตอนนี้เขาและเธอจะอยู่ในฐานะสามีภรรยาแล้วก็ตาม
“นายมีแฟนรึเปล่าบุญชู” อยู่ๆ พราวนภาก็ถามขึ้น
“ถะ...ถามทำไมครับ ผอ.”
“ก็...ที่นายยอมมาแต่งงานกับฉันเนี่ย มันทำให้นายมีปัญหากับแฟนนายรึเปล่า”
“มาถามเอาตอนนี้เนี่ยนะครับ” คนถูกถามหันไปมองกระจกที่สะท้อนเงาคนสองคนซึ่งอยู่ด้วยกันในห้องหอในชุดแต่งงาน
“อื้อ ก็ฉันลืมนี่ ตกลงนายมีแฟนรึเปล่า ถ้ามี ช่วยนัดฉันให้ไปเคลียร์หน่อยสิ ฉันจะเล่าความจริงทั้งหมดให้แฟนนายฟังเอง เพื่อความบริสุทธิ์ใจ”
“ไม่ต้องครับ เพราะผมไม่มีแฟน”
“นายเนี่ยนะไม่มีแฟน!” พูดแล้วก็มองชายหนุ่มด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“ครับ” บุญชูตอบอย่างไม่รู้จะพูดอะไรได้มากกว่านี้
“แล้วมีคนที่แอบชอบรึเปล่า ฉันหมายถึง...คนที่นายคิดจะจีบอะนะ”
คำถามนี้ทำให้บุญชูสะบัดร้อนสะบัดหนาว เพราะคนที่พราวนภาพูดถึงกำลังเช็ดเครื่องสำอางออกจากใบหน้าอยู่นี่ไงล่ะ
“ไม่มีครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับหลบสายตาคนที่มองเขาผ่านกระจก
“นี่นายพูดจริงรึเปล่า อย่าตอบเพราะความเกรงใจเด็ดขาดเลยนะ การต้องทำอะไรที่ฝืนใจตัวเองมันทรมาน ฉันเข้าใจ”
“การที่ผมแต่งงานกับ ผอ. มันไม่ใช่เรื่องที่ฝืนใจอะไรมากมายหรอกนะครับ ที่ผมทำไปก็เพื่อความสบายใจของคุณลุงคุณป้าต่างหาก”
“แปลว่านายคงยังไม่เจอคนที่นายชอบจริงจังสินะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” บุญชูอึกอักอยู่นิดหนึ่งก่อนตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ถ้านายเจอคนที่นายชอบ นายต้องบอกฉันนะบุญชู ถึงตอนนั้น ฉันจะไม่รั้งนายเอาไว้เลย” พราวนภาพูดกับบุญชูอย่างคนใจกว้าง เธอเองก็ไม่ได้อยากจะเอาเปรียบบุญชูมากนัก เพราะแค่เขายอมช่วยเธอถึงขนาดแต่งงานด้วย หญิงสาวก็ไม่รู้จะขอบใจเขาอย่างไรแล้ว
บุญชูทำแค่เพียงพยักหน้ารับความมีน้ำใจของหญิงสาว เขาไม่รู้จะรู้สึกกับสิ่งที่หญิงสาวพูดอย่างไรดี ถ้าหากเขาเจอคนที่ใช่พราวนภาจะไม่ฉุดรั้งไว้อย่างนั้นหรือ...
ตกลงแล้ว...เขาคงไม่มีความสำคัญอะไรกับเธอเลยกระมัง...
ค่ำคืนแรกแห่งการเข้าหอไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากมีคนอีกคนมานอนร่วมห้อง พราวนภานั่งคร่ำเคร่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ตามปกติ ส่วนบุญชูนอนตัวเกร็งแข็งทื่ออยู่บนเตียงฝั่งหนึ่ง ที่กึ่งกลางเตียงมีหมอนข้างกั้น
“นายนอนกรนรึเปล่า” พราวนภาถามในขณะที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
“คิดว่าไม่นะครับ เพราะตอนที่ต้องไปเก็บตัวเป็นนักกีฬา เพื่อนๆ ผมไม่มีใครบ่นว่าผมนอนกรนสักคน แต่พอย้ายมาอยู่ที่นี่ ผมก็ไม่รู้แล้วละครับ เพราะตอนหลับผมจะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง แต่ถ้าผมเผลอกรน ผอ. ปลุกผมได้นะครับ” ชายหนุ่มรีบบอกเพราะเกรงใจเจ้าของห้อง
“แล้วนายหลับโดยที่ไม่ต้องปิดไฟได้ไหม คือว่า ฉันต้องเปิดไฟนอนน่ะ ฉัน...กลัวผี”
คำบอกเล่านั้นทำให้ครูพละหันไปมองแผ่นหลังบอบบางของสาวห้าวด้วยสายตาเหลือเชื่อ เขาเคยคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้พราวนภากลัวได้ แม้แต่จิ้งจก งู กิ้งกือ หรือแม้แต่สัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด ก็ไม่อาจสั่นประสาทผู้หญิงคนนี้ได้ แต่เธอดันกลัวผี
“ผมนอนได้ครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับอมยิ้ม นี่คงเป็นมุมอ่อนแอเพียงน้อยนิดของเธอ มุมที่ทำให้เธอยิ่งดูน่ารักในสายตาของเขา
“ถ้าง่วงนายก็หลับไปก่อนได้เลยนะ”
“แล้ว ผอ. ไม่ง่วงเหรอครับ เมื่อเช้าต้องตื่นแต่เช้ามืดมาแต่งตัวไม่ใช่เหรอ”
“ฉันขอทำงานต่ออีกหน่อย ใกล้เสร็จแล้ว อีกนิดเดียว...”
คำว่าอีกนิดเดียวของพราวนภานั้นปาเข้าไปเกือบตีหนึ่ง บุญชูเองที่นอนไม่หลับเพราะไม่คุ้นชินกับสถานที่ ประกอบกับตื่นเต้นที่ได้นอนร่วมห้องกับพราวนภาทำให้ครูพละหนุ่มนอนหลับตานิ่งๆ ทั้งที่สมองยังรับรู้ทุกอย่าง ตอนที่หญิงสาวล้มตัวลงนอน จากนั้นแค่ไม่กี่อึดใจ ลมหายใจของเธอก็เข้าออกสม่ำเสมอ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอหลับง่ายและหลับลึกทีเดียว เพราะขนาดบุญชูตะแคงตัว มองข้ามหมอนข้างที่มีไว้กั้นระหว่างเขากับเธอ อีกทั้งลองกระซิบเรียกเธอเบาๆ พราวนภาก็ยังไม่ตื่น
“น่ารักจัง” บุญชูเพิ่งจะรู้ก็ตอนนี้เองว่า การหักห้ามใจไม่แตะต้องคนที่แอบรักนั้นทรมานที่สุด ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีแค่หมอนข้างใบเดียวกั้นกลางระหว่างเธอกับเขา แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจกลับกลายเป็นกำแพงที่มองไม่เห็นด้วยตา กั้นชายหนุ่มเอาไว้ให้ยากที่จะทำอะไรพราวนภาตามที่ใจต้องการได้...
อาหารเช้ามื้อแรกในฐานะลูกเขยคือโจ๊กที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อสัตว์และไข่ลวกของบุญชู เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีไข่เจียวหอยนางรมที่ทั้งกรอบทั้งฟู พร้อมปรุงเป็นพิเศษสำหรับชายหนุ่มอีกด้วย
“เป็นไง เรียบร้อยไหม” ดนุพงษ์กระซิบถามขณะที่พราวนภายังไม่ลงจากห้องนอนมาสมทบที่โต๊ะอาหาร
“ระ...เรียบร้อยเรื่องอะไรครับ”
“เอ๊า ก็เรื่องที่พ่อให้บุญชูทำไง เมื่อคืนจัดการไปหรือยัง” ดนุพงษ์พูดกับลูกเขย จากนั้นก็เลื่อนอาหารบำรุงให้ชายหนุ่มด้วยสีหน้าคาดหวัง
“เอ่อ...ยังหรอกครับคุณลุง เอ๊ย! คุณพ่อ เมื่อคืนนี้เพิ่งจะคืนแรกเองนะครับ” บุญชูพูดด้วยท่าทีเขินอาย
“โธ่เอ๊ย พ่อเห็นท่าทางเพลียๆ ก็นึกว่าจัดการแล้ว”
“ที่ผมเพลียก็เพราะว่านอนดึกน่ะครับ คุณพ่อรู้ไหมครับว่าขนาดวันเข้าหอ ผอ. ยังต้องเคลียร์งานอยู่เลย ผมว่าอย่าไปกดดัน ผอ. เลยนะครับ”
“ก็เพราะว่าไม่คิดจริงจังกับการแต่งงานตั้งแต่แรกน่ะสิ ยายดาวถึงได้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูซิ มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วยังนอนตื่นสาย ป่านนี้ยังไม่ลงมากินข้าวอีก” ดนุพงษ์บ่นพลางมองไปทางห้องนอนของลูกสาวซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะลงมาร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วยกันเสียที
“ลูกไม่สบายรึเปล่าคะคุณ” พรนภาที่เพิ่งจะตามมาสมทบเอ่ยอย่างเป็นห่วงลูกสาว
“งั้นผมไปดู ผอ. หน่อยดีกว่าครับ” ครูพละหนุ่มวางช้อนโจ๊กลง และทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร
“เดี๋ยวนะบุญชู เมื่อกี้เรียกเมียตัวเองว่าอะไรนะ”
“ก็...ผอ. ไงครับ” บุญชูตอบอย่างไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด
“ทำไมไม่เรียกว่าดาวล่ะ บุญชูเป็นลูกเขยพ่อ เป็นสามียายดาว เอาแต่เรียกว่า ผอ. เดี๋ยวครูในโรงเรียนก็พากันหัวเราะเยาะเอาหรอก”
“ครับคุณพ่อ เดี๋ยวผมไปตามคุณดาวมากินข้าวนะครับ คุณพ่อกับคุณแม่กินกันก่อนเลยครับ ไม่ต้องรอผม” บุญชูบอกกับพ่อตาแม่ยายก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองของบ้าน เพื่อไปยังห้องนอนของเขากับพราวนภาที่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเธอตื่นนอนหรือยัง เมื่อคืนนี้เธอนอนดึก ดังนั้นตอนที่บุญชูตื่นเขาจึงไม่กล้าปลุกเธอ ไม่คิดว่าถึงเวลาอาหารเช้าแล้วพราวนภาก็ยังไม่ลงมาจากห้องนอน ทำให้บุญชูต้องตามขึ้นมาดูหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
“ผอ. ครับ ตื่นเถอะ ไปกินข้าวเช้าได้แล้ว”
“อื้อ!”
มีเพียงเสียงประท้วงเท่านั้นที่ตอบกลับมาพร้อมกับท่าพลิกตัวหนี หญิงสาวนอนตะแคงในท่าคุดคู้ มือทั้งสองประสานกันอยู่บริเวณท้องน้อย ใบหน้าของเธอซีดเซียวกว่าปกติ ริมฝีปากที่แห้งผากพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาที่พอจะจับใจความได้ว่า
“ลงไปไม่ไหว ปวดท้อง”
“ปวดท้องก็ต้องกินข้าวสิครับ เดี๋ยวผมจะเอาข้าวขึ้นมาให้ ผอ. ที่นี่ เสร็จแล้วจะได้กินยา” ชายหนุ่มบอกด้วยความเป็นห่วง
“ฉัน...ไม่ได้ปวดท้องแบบนั้น” น้ำเสียงที่ยังอ่อนระโหยบ่งบอกให้รู้ว่าเธออาการหนักเอาการทีเดียว
“แล้วมันปวดแบบไหนครับ”
“ฉันปวดท้องเมนส์”
“อ้อ” บุญชูทำเสียงรับรู้ก่อนจะพูดต่อ “งั้นรอสักครู่นะครับ”
แค่เพียงอึดใจ บุญชูก็กลับมาพร้อมกับอาหารเช้าซึ่งก็คือโจ๊กใส่ไข่ กระเป๋าน้ำร้อน และยาเม็ดแก้ปวดประจำเดือน
“ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนครับ จะได้กินยา” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับช่วยประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นนั่ง เขาขยับโต๊ะตรงหัวเตียงมาวางไว้ข้างเตียงเพื่อวางชามโจ๊ก หลังจากนั้นก็นั่งลงข้างๆ หญิงสาว จับจ้องด้วยสายตากดดันให้เธอตักอาหารเข้าปากเสียที
“กินไม่ไหวอะ อยากนอน”
“ถ้าไม่ยอมกินเองเดี๋ยวผมจะป้อนนะ”
“นี่!” พราวนภาตวัดเสียงพร้อมกับนิ่วหน้า เธอไม่เพียงแค่ปวดประจำเดือนเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ดูเหมือนจะมีไข้ร่วมด้วย
“เป็นอะไรครับ”
“ปวดหัว ฉันทั้งปวดท้องและปวดหัวเลย แย่ฉิบเป๋ง ฉันเกลียดตัวเองตอนมีเมนส์ที่สุดเลย”
“มีไข้ด้วยรึเปล่า” บุญชูไม่ถามเปล่า เขายื่นหลังมือไปแตะหน้าผากหญิงสาว พราวนภาเบี่ยงหน้าหนี อยากจะซัดหมัดเข้าเบ้าตาบุญชูสักทีที่อยู่ๆ ก็มาแตะต้องตัวเธอ แต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขน
“อย่ามายุ่งน่า ไหนล่ะข้าว ฉันจะได้กิน เสร็จแล้วจะได้กินยา”
บุญชูได้ยินอย่างนั้นก็ยกถาดอาหารเช้ามาวางไว้ตรงหน้าหญิงสาว พราวนภาฝืนตักโจ๊กเข้าปากไปได้ไม่ถึงครึ่งชามโดยมีบุรุษพยาบาลจำเป็นนั่งอยู่เคียงข้าง เมื่อหญิงสาววางช้อนพร้อมกับส่งสัญญาณว่าเธอกินต่อไม่ไหว ชายหนุ่มก็ยื่นแก้วน้ำให้ ตามด้วยยาเม็ดแก้ปวดประจำเดือน
“ผมชอบ ผอ.ตอนมีเมนส์ที่สุดเลย” บุญชูพูดพร้อมกับยื่นกระเป๋าน้ำร้อนให้พราวนภา
“ทำไมยะ!” ตอนนี้หญิงสาวทำได้แค่มองค้อน เพราะแค่จะขยับตัวก็ยังไม่ไหว แค่มีประจำเดือนก็จะแย่แล้ว ไหนจะมีไข้อีก ร่างกายของเธอแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียให้ได้
“ก็เพราะว่า ผอ. ดูไร้พิษสงดี บางทีสิ่งที่การันตีว่า ผอ. เป็นผู้หญิงก็คงจะเป็นมดลูกนี่แหละ ที่เหลือไม่มีความเป็นกุลสตรีเลยสักอย่าง”
“บุญชู! โอ๊ะ!” พราวนภาแค่เผลอตะเบ็งเสียง และทำท่าจะขยับไปเตะก้านคอครูพละสักป้าบ แต่พิษไข้ทำให้เธอปวดหัวตุบ อีกทั้งท้องน้อยที่ปวดหน่วงๆ จนต้องทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างทำอะไรไม่ได้
"เฮ้อ...ใจเย็นครับใจเย็น ผมรู้ว่า ผอ. ทำอะไรผมไม่ได้ไปอีกสามสี่วัน นอนพักนะครับ จะได้หายปวดท้อง" ครูพละหนุ่มขยับตัวไปใกล้คนป่วย จับไหล่และออกแรงประคองกึ่งบังคับให้เธอนอนลงบนเตียง
“อยากตัดมดลูกทิ้งชะมัด” พราวนภาบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสาของผู้หญิงปวดประจำเดือน
“ตัดไม่ได้นะครับ เราต้องมีหลานให้คุณลุงคุณป้าก่อน”
“เรา?”
“ครับ นี่ ผอ. จำไม่ได้เหรอครับ ว่าคุณพ่อบอกว่าอยากมีหลาน”
“แล้ว?”
“ผอ. ก็ต้องเก็บมดลูกไว้ท้องก่อนสิครับ”
“นายอย่าไปจริงจังนักเลยน่ะ พ่อฉันก็พูดไปอย่างนั้นเอง เดี๋ยวสักพักก็ลืม” พราวนภาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เธอนอนตะแคงหันหลังให้ชายหนุ่ม ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเพื่อบ่งบอกให้เขารู้ว่าห้ามรบกวนเธออีก
บุญชูได้แต่มองหญิงสาวอย่างทอดถอนใจ พราวนภาคงไม่รู้ว่าดนุพงษ์ไม่ลืมเรื่องอยากมีหลานไปง่ายๆ เพราะขณะนี้ไข่ลวก และไข่เจียวหอยนางรมรอให้เขากลับไปกินให้หมดจานเพื่อเป็นของบำรุงยามเช้า...
ความคิดเห็น |
---|