5
ปกติแล้วเช้าวันจันทร์ซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์ที่ต้องมาโรงเรียน เด็กๆ จะร้องไห้กระจองอแงกันเป็นพิเศษ แต่สำหรับเช้าวันนี้นักเรียนดูจะร่าเริงกว่าปกติ เมื่อดนุพงษ์ อดีตผู้อำนวยการที่เกษียณอายุและมอบตำแหน่งให้ลูกสาวไปแล้ว นำของเล่นมาแจกให้นักเรียนของโรงเรียนพราวปัญญาทุกคน ชิ้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง ตามวัยของนักเรียนแต่ละชั้น
“ขอบคุณค่ะคุณตา” เด็กน้อยชั้นอนุบาลหนึ่งยิ้มกว้างเมื่อได้รับของเล่นเป็นตุ๊กตาหมีแสนถูกใจ ส่วนเด็กผู้ชายได้หุ่นยนต์ที่งอแขนขาได้ เด็กคนไหนขี้อ้อนหน่อยก็วิ่งเข้ามากอด ‘คุณตา’ ตามคำที่ดนุพงษ์ใช้เรียกแทนตัว ทำให้อดีตผู้อำนวยการยิ้มด้วยสีหน้าที่มีความสุขที่สุด
“พ่อฉัน เล่นใหญ่เกินไปแล้ว” พราวนภาพึมพำพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนักๆ เนื่องจากรู้ว่าพ่อของเธอต้องการจะสื่ออะไร
“ก็ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคุณพ่อจริงจังกับการมีหลานมาก” บุญชูที่ยืนอยู่ด้วยกันพูดด้วยความหนักใจไม่แพ้กัน
“นี่ขนาดเป็นเจ้าของโรงเรียนอนุบาล มีเด็กๆ วิ่งเล่นไปมาให้เห็นทุกวันยังไม่พออีกเหรอ ฉันคิดว่าพ่อฉันอิ่มตัวกับเด็กเล็กๆ แล้วเสียอีก”
“ก็นั่นมันลูกหลานคนอื่นนี่ครับ ตกเย็นเดี๋ยวพ่อแม่ของเด็กๆ ก็มารับกลับไป ไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลาเสียหน่อย”
“งั้นฉันจะไปขอเด็กกำพร้ามาเลี้ยง”
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น เราคงไม่ต้องแต่งงานกันหรอกมั้งครับ คำว่าหลานที่คุณพ่อต้องการคือ เลือดเนื้อเชื้อไขที่เกิดจาก ผอ. นะครับ ไม่ใช่เด็กที่ไปขอมาเลี้ยง” บุญชูตอกย้ำในเรื่องที่พราวนภาเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว แต่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง”
“ก็ท้องสิครับ”
“จะบ้าเหรอ! อยู่ดีๆ ฉันจะท้องได้ไง”
“ก็...ไม่ได้ให้อยู่ดีๆ เสียหน่อย คนเราท้องได้ยังไง ผอ. ก็น่าจะรู้”
“นี่!” พูดแล้วก็ทำท่าง้างหมัดใส่คนที่พูดไม่เข้าหู
“ผมล้อเล่นน่ะครับ” บุญชูยิ้มทะเล้นกลบเกลื่อน ทว่าภายในใจยังคงกังวลกับเรื่องที่ต้องแบกภาระความต้องการซึ่งแตกต่างกันอย่างสุดขั้วของทั้งสองฝ่าย
“จะไปไหนก็ไปเลยไป๊ ล้อเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา” หญิงสาวเอ่ยปากไล่ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกให้รู้ว่าหงุดหงิดมากแล้ว
“ครับ ผอ. วันนี้ผมมีสอนทั้งวัน พักเที่ยงคงไม่ได้ไปกินข้าวด้วยนะครับ”
“เรื่องของนายสิ”
“จะคิดถึงผมจนกินข้าวไม่ลงไหมเนี่ย” ครูพละหนุ่มแกล้งแซว เพราะตั้งแต่เปิดตัวว่าคบกันจนกระทั่งแต่งงาน เขาก็กินข้าวกับพราวนภาทุกวันจนเป็นความเคยชินไปแล้ว
“แล้วอยากปากแตกจนกินข้าวไม่ได้ไหมล่ะ”
ผู้อำนวยการสาวง้างหมัดอีกรอบ บุญชูจึงต้องรีบถอยห่างก่อนจะยิ้มกว้างจนตาแทบปิดแบบที่เขาชอบยิ้มให้เธอ แล้วเดินแยกตัวไปที่อาคารพลศึกษาซึ่งเป็นสถานที่สอนของเขา
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” สาวห้าวพูดพลางอมยิ้ม เธอลดมือที่ง้างหมัดค้างไว้ลง ดวงตาจึงเหลือบไปเห็นแหวนเพชรบนนิ้วนางข้างซ้ายที่เธอสวมอยู่ตลอดเวลาหลังจากแต่งงาน
ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธอชอบแหวนวงนี้ อาจจะเป็นเพราะการออกแบบตัวเรือนที่เรียบง่าย ประกอบกับเพชรเม็ดเล็กจ้อยที่เวลาสวมใส่แล้วรู้สึกไม่โอเวอร์จนเกินไป และที่สำคัญ พราวนภาสวมแหวนวงนี้ได้อย่างพอดิบพอดีโดยที่บุญชูไม่เคยถามขนาดนิ้วของเธอมาก่อน แต่บุญชูก็คือบุญชู ผู้ชายคนนี้ทำให้คนรอบข้างเอ็นดูเขาได้เสมอ
พราวนภาค่อนข้างมั่นใจว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับบุญชูพิเศษไปกว่าหนึ่งในสมาชิกในบ้าน ไม่ได้รู้สึกพิเศษไปกว่าการที่เธอต้องการความช่วยเหลืออะไรก็จะนึกถึงเขาเป็นคนแรก และไม่ได้รู้สึกกับเขามากไปกว่าการที่แค่ได้เห็นเขาก็รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
“ไปทำงานดีกว่า” พราวนภาพูดกับตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัวว่ายังยิ้มอยู่ เธอมีความสุขที่ได้ทำงานที่เธอรัก ได้อยู่ดูแลครอบครัวของเธอเองอย่างใกล้ชิด ทั้งหมดนี้คือความสุขที่เธอมีและชีวิตนี้เธอไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ค่ำวันเดียวกัน พราวนภากลับเข้ามาในบ้านที่มีความเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย สวนหย่อมหน้าบ้านมีตุ๊กตาปูนปั้นรูปเด็กชายหญิงวางประดับ ภายในห้องโถงของบ้านมีกรอบรูปที่เป็นภาพวาดเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายยืนจับมือกันประดับอยู่บนผนัง
“น่ารักไหมคุณ” ดนุพงษ์พูดกับภรรยาขณะที่ชวนกันมาชื่นชมภาพวาดเด็กซึ่งเขาเพิ่งจะนำมาประดับบ้านเมื่อบ่ายวันนี้
“น่ารักค่ะ คุณอยากได้หลานสาวหรือหลานชายก่อนคะ” พรนภาถามสามี
“ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ทั้งนั้น”
ดนุพงษ์ตอบพร้อมกับยื่นแขนไปโอบไหล่ภรรยาที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน ช่างเป็นภาพที่สร้างความสะเทือนใจให้พราวนภาเป็นที่สุด
“อ้าวยายดาว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก” พรนภาหันมาถามลูกสาวที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ในขณะนี้
“เพิ่งมาฮะคุณพ่อคุณแม่”
“เหนื่อยไหมลูก แม่เพิ่งต้มรังนกเสร็จใหม่ๆ จะได้ให้แม่บ้านยกมาให้” ยังไม่ทันรอฟังคำตอบ พรนภาก็ชะเง้อมองไปทางครัว แล้วเรียกหาแม่บ้าน
“ให้เอาไปให้บนห้องของดาวก็แล้วกันฮะแม่ ดาวว่าจะทำงานสักพัก แล้วค่อยลงมากินข้าวเย็น” พูดจบก็เดินขึ้นไปยังห้องนอนของตน
เมื่อพราวนภาเข้าไปในห้องนอน เธอก็ได้พบว่าไม่ใช่แค่เพียงห้องโถงเท่านั้นที่มีสิ่งของชิ้นใหม่มาประดับ ที่ห้องนอนของเธอก็มีเช่นกัน
“...นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ภาพวาดเด็กแขวนเอาไว้บนผนังฝั่งปลายเตียง เธอยืนดูภาพวาดดังกล่าวด้วยอารมณ์ทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบุญชูก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยรังนกนมสดในถ้วยกระเบื้องใบเล็กสองชาม
“รังนกครับ ผอ. คุณแม่กำชับให้ ผอ. กินให้หมดด้วย”
“แล้วทำไมมีสองถ้วย”
“ของผมถ้วยนึงน่ะครับ” ทั้งคู่มองรังนกในชาม ก่อนจะหันมาสบตากัน จากนั้นก็มองไปยังรูปวาดเด็กบนผนังห้อง แล้วตีความหมายออกมาได้ไม่ต่างกัน
“นี่คุณพ่อกับคุณแม่กะจะทั้งบิลด์ ทั้งโดปกันเลยใช่ไหมเนี่ย” พราวนภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักใจ
“เอายังไงกันดีครับแบบนี้” บุญชูถามอย่างขอคำปรึกษา
“ก็ไม่ต้องเอายังไง อยู่ไปแบบนี้แหละ นานๆ เข้าถ้าฉันไม่ท้องเสียที เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ก็ทำใจได้เอง” พราวนภาพูดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็รับรังนกนมสดถ้วยหนึ่งจากมือบุญชูไปวางที่โต๊ะทำงาน
“กินให้หมดด้วยนะครับคุณดาว” บุญชูพูดย้ำเมื่อเห็นพราวนภาวางถ้วยรังนกเอาไว้ จากนั้นก็หันไปเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานต่อโดยที่ไม่หันมาตักกินสักคำ
“นายเรียกฉันว่าอะไรนะบุญชู”
“ก็เรียกว่าคุณดาวไงครับ วันก่อนผมถูกคุณพ่อดุเรื่องที่ยังเรียกคุณว่า ผอ. ทั้งที่ตอนนี้คุณเป็นเอ่อ...ภรรยาผมแล้ว”
“นี่!”
“ผมหมายถึง เราแต่งงานกันแล้วน่ะครับ” ชายหนุ่มยิ้มทะเล้นใส่คนที่กำลังมองเขาตาเขียว รู้สึกหัวใจพองโตเล็กน้อยตอนที่เห็นโหนกแก้มหญิงสาวระเรื่อขึ้น คงจะเป็นเพราะความโมโหกระมังที่ทำให้แก้มเธอแดงแบบนี้ เพราะตอนที่ตวาดแหว เธอขยำกระดาษปาใส่เขาแรงๆ พร้อมกับบ่นพึมพำ
“คนยิ่งกลุ้มใจอยู่ มาพูดล้อเล่นอยู่ได้”
ครูพละหนุ่มหัวเราะเสียงพลิ้ว ชายหนุ่มยังคงทำให้พราวนภาตายใจได้เสมอในเรื่องที่เขาดีใจแทบตายที่ได้เป็นสามีภรรยากับเธอ รู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นคนตรงหน้าสวมแหวนที่เขาซื้อให้ มันอาจจะแปลกประหลาดไปสักนิดตรงที่เขาต้องแกล้งทำเป็นไม่รักภรรยาของตัวเอง ทั้งที่ตอนนี้เขาอยากจะเข้าไปกอดคนที่เอาแต่ทำหน้ากลุ้ม เพื่อปลอบให้หายกังวลใจ
“ผมเข้าใจคุณดาวนะครับ แล้วก็เข้าใจคุณพ่อคุณแม่ด้วย เอาเป็นว่าช่วงนี้คุณดาวก็ตามใจคุณพ่อคุณแม่หน่อยก็แล้วกันนะครับ ท่านให้ทำอะไรก็ทำๆ ไปก่อน”
“มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละนะ” พราวนภาบอกพร้อมกับหยิบถ้วยรังนกมาตักกินจนหมดถ้วย
“ไม่ใช่แค่ตามใจอย่างเดียวนะครับ คุณดาวต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วย รู้ตัวรึเปล่าว่าใช้ร่างกายหักโหมมากเกินไปแล้ว ทำงานมาทั้งวันแล้วยังจะนอนดึกดื่นอีก”
คำพูดที่เหมือนบ่นของบุญชูทำให้คนที่กำลังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ถึงกับหันมานิ่วหน้าใส่ชายหนุ่ม
“ที่ฉันแต่งงานกับนายก็เพื่อให้พ่อแม่ฉันสบายใจและเลิกห่วงฉัน ไม่ใช่ให้นายมาบ่นฉันเพิ่มอีกคนนะบุญชู”
“ที่ผมบ่นก็เพราะผมเป็นห่วงคุณนะครับคุณดาว” บุญชูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าที่เคย
“รู้แล้วน่า” คนถูกบ่นยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป ชายหนุ่มจึงไม่กวนสมาธิเธออีก
อาหารมื้อค่ำล้วนแล้วแต่เป็นของบำรุงเสียส่วนใหญ่ ทั้งไก่ดำตุ๋นยาจีน ยำคอหมูย่างกระเทียมโทน และผัดหน่อไม้ฝรั่ง
“สองคนนี้วางแผนไปฮันนีมูนกันหรือยัง” ดนุพงษ์ถามลูกสาวกับลูกเขย ซึ่งทั้งคู่ก็เอาแต่นิ่งอึ้งอยู่โดยที่ไม่ตอบอะไร เพราะไม่เคยมีแผนฮันนีมูนอยู่ในหัวมาตั้งแต่แรก
“ยังไม่ได้วางแผนเลยครับคุณพ่อ”
“งั้นก็ดีเลย พอดีเพื่อนพ่อเพิ่งเปิดโฮมสเตย์อยู่ที่อัมพวาน่ะ พ่อเลยจะช่วยอุดหนุนด้วยการจองห้องพักให้เราสองคนไปฮันนีมูนกันที่นั่น”
พราวนภากำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่บุญชูพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ครับคุณพ่อ เราจะไปพักที่นั่นวันหยุดสุดสัปดาห์นี้เลยครับ”
หญิงสาวหันไปขมวดคิ้วใส่ชายหนุ่มที่รับปากพ่อของเธอโดยที่ไม่คิดจะปรึกษากันก่อน แต่เมื่อหันไปเห็นบุญชูขยิบตาให้ราวกับจะส่งสัญญาณว่าให้ตามใจดนุพงษ์กับพรนภาเข้าไว้ พราวนภาก็ไม่พูดคัดค้านอะไรอีก
“สมัยหนุ่มๆ พ่อก็เคยพาแม่ไปเที่ยงพักผ่อนแบบนี้ พอกลับมาเท่านั้นแหละ แม่เราก็ท้องเลย”
เมื่อได้ยินเรื่องเล่าสมัยหนุ่มสาวของพ่อแม่ พราวนภาก็แทบจะสำลักน้ำซุปไก่ดำตุ๋นยาจีนที่กำลังซดอยู่
“เรื่องมีลูก พวกเรากำลังพยายามกันอยู่ครับ”
บุญชูตอบรับพ่อตาแม่ยาย พราวนภาจึงใช้เท้าเตะขาคนที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ อยู่ดีไม่ว่าดี แทนที่จะทำลืมๆ ไป กลับพูดให้ความหวังกันเสียอย่างนั้น
“ดีแล้ว รีบๆ มีเข้า ยายดาวก็อายุมากแล้ว เดี๋ยวจะยิ่งมีลูกยาก”
“แต่ว่าดาวยังไม่พร้อมจะมีลูกตอนนี้ฮะพ่อ” พราวนภาโพล่งออกมา ทำให้แววตามีเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังของดนุพงษ์กับพรนภาวูบแสงลงอย่างน่าใจหาย
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ตามด้วยการรวบช้อนของพ่อและแม่ พราวนภาเลยพลอยกินอะไรไม่ลงไปด้วยอีกคน หญิงสาวหันไปมองผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเธอ รายนั้นยิ่งทำหน้าไม่ถูกเมื่อต้องแบกความหวังของทุกคนเอาไว้ ความหวังของดนุพงษ์ที่อยากจะมีหลาน กับความหวังของพราวนภาที่ต้องการจะมีชีวิตอิสระไปอีกนานแสนนาน
“ผมว่าปล่อยมันไปตามธรรมชาติก็แล้วกันนะครับ ของอย่างนี้ ถ้ามันจะมาเดี๋ยวก็มาเอง เหมือนฟ้าประทานไงครับ”
สุดท้ายบุญชูก็โยนความหวังไปให้โชคชะตา เช่นเดียวกับชีวิตของเขา ที่ไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไปเช่นกัน
ความอึดอัดใจทำให้พราวนภาไม่มีกะจิตกะใจทำงาน เธอเข้านอนเร็วกว่าทุกวัน แต่ก็ยังข่มตาให้หลับลงไม่ได้
“นายว่าฉันควรจะทำยังไงดีเรื่องมีลูก”
พอได้ยินคำถามจากหญิงสาวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง แก้มบุญชูก็ขึ้นสีระเรื่อ แสงสลัวจากโคมไฟที่เปิดเอาไว้ตลอดทั้งคืนทำให้พราวนภาไม่รู้เลยว่า ชายหนุ่มที่นอนร่วมเตียงกับเธอโดยมีเพียงหมอนข้างใบเดียวกั้นนั้นรู้สึกตื่นเต้นกับคำถามของเธอแค่ไหน
“ก็...ถ้าคุณดาวจะตามใจคุณพ่อคุณแม่ ผมก็จะ...” ยิ่งพูด ชายหนุ่มก็ยิ่งเคลิ้ม ถ้าหากพราวนภาพูดว่าโอเคแค่คำเดียว เขาจะเหวี่ยงหมอนข้างใบนี้ไปให้ไกลๆ เลย
“ผสมเทียมดีไหม แบบว่า...ท้องโดยที่ไม่ต้องมีอะไรกับใคร ได้รึเปล่า” หญิงสาวคิดหาวิธีไปเรื่อยเปื่อย สิ่งที่เอ่ยออกมานั้นทำให้หัวใจที่พองโตอยู่ดีๆ ก็แฟบเหี่ยวลงราวกับลูกโป่งที่เกิดรูรั่วขนาดใหญ่
“ผมว่าไม่น่าจะได้นะครับ คงไม่มีหมอที่ไหนรับทำให้”
“หรือว่าจะอุ้มบุญดี”
“กฎหมายบ้านเรายังไม่ยอมรับนะครับ อีกอย่าง คุณดาวจะไปหาญาติสนิทมารับอุ้มบุญได้จากที่ไหน”
ยิ่งคิด พราวนภาก็ยิ่งหาทางออกไม่เจอ ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวลูกคนเดียวมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ครั้นจะไปขอให้ลูกพี่ลูกน้องอุ้มบุญให้ ก็เป็นเรื่องใหญ่โตเกินไปที่ใครจะยอมช่วยเหลือกันง่ายๆ
“ใช้วิธีธรรมชาติเถอะครับ” ชายหนุ่มแนะนำโดยที่ควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้แหบพร่าตามอารมณ์หวั่นไหวด้วยความยากลำบาก
“ไม่อะ ฉันเกรงใจนาย”
“กะ...เกรงใจทำไมครับ” เป็นอีกครั้งที่หัวใจของชายหนุ่มแฟบแล้วแฟบอีก
“ก็แค่นายยอมแต่งงานกับฉันก็ฝืนความรู้สึกจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังจะต้องมาช่วยทำให้ฉันท้องอีก ฉันไม่อยากบังคับจิตใจนายมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
บุญชูอยากจะตะโกนออกไปดังๆ ว่าไม่ได้ฝืนใจเลยสักนิด ที่เขาแต่งงานกับพราวนภาก็เพราะว่าเขารักเธอ และการที่เขาจะทำให้เธอท้องนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะมาเกรงใจกัน เขาเต็มใจ บุญชูอยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่าเขาเต็มใจ แต่ถ้าหากเขาพูดออกไป ก็คงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพราวนภาแบบนี้อีกแล้ว
“นอนเถอะครับคุณดาว อย่าคิดมากเลย ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาตามที่ผมพูดกับคุณพ่อคุณแม่เถอะนะครับ” บุญชูพูดเหมือนปลอบใจตัวเองไปด้วย เขาได้ยินเสียงตอบรับรู้เพียงสั้นๆ จากคนที่อยู่อีกฝั่งของหมอนข้าง ตามด้วยเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอหลับสนิทแล้ว ปล่อยให้คนที่พร่ำบอกคนอื่นว่าอย่าคิดมากนอนไม่หลับเพราะคิดมากอยู่คนเดียว...
บ้านพักโฮมสเตย์ที่บุญชูกับพราวนภามาพักเป็นบ้านไม้ที่ตกแต่งสไตล์บ้านแถบชนบทแบบย้อนยุค เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งเป็นของโบราณ ทั้งตะเกียงเจ้าพายุ เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ และวิทยุทรานซิสเตอร์
“บ้านนี้มีสองห้อง คุณดาวนอนห้องใหญ่ก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมนอนห้องเล็กเอง” บุญชูบอกกับผู้อำนวยการสาว หลังจากช่วยเธอหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้านพักแล้ว
“ไม่เอาอะ นอนห้องเดียวกันเถอะ คือว่าฉัน...กลัวผี” หญิงสาวพูดแล้วมองไปรอบๆ บ้านพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเองให้หายขนลุก
“อ้าว ไหนเคยบอกว่าถ้าเปิดไฟนอนแล้วจะไม่กลัวผีไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็นั่นมันที่บ้านของฉันเอง แล้วที่นี่บรรยากาศมันชวนให้จินตนาการมากเลยนี่นา เอาเป็นว่า นายช่วยมานอนเป็นเพื่อนฉันหน่อย ตกลงไหม”
บุญชูยิ้มพร้อมกับพยักหน้าแทนคำตอบ ต่อให้พราวนภาไม่เอ่ยปากขอร้อง เขาก็เต็มใจนอนเป็นเพื่อนเธอเสมอ
ห้องนอนห้องใหญ่มีประตูที่สามารถเปิดออกไปยังระเบียงที่ยื่นออกสู่แม่น้ำแม่กลองได้ รอบด้านของห้องประกอบไปด้วยหน้าต่างทรงสูงจากพื้นจดเพดาน ด้วยความตั้งใจให้แขกที่มาพักภายในบ้านได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติริมฝั่งแม่น้ำได้อย่างเต็มที่ เตียงขนาดใหญ่ซึ่งตั้งเอาไว้กลางห้องมีมุ้งทรงกลมที่ผูกและตลบชายเอาไว้เหนือเตียง
“สวยและเงียบสงบดีจังเลยนะครับ” บุญชูเอ่ยขึ้นขณะสำรวจห้องพักที่ดูเหมือนจะถูกใจเขามาก
“มันก็สวยดี แต่เงียบสงบเข้าขั้นวังเวงเกินไปหน่อย ดีนะที่ให้นายมานอนเป็นเพื่อน ไม่อย่างนั้นคงนอนไม่ได้ทั้งคืนแน่ๆ”
“กลัวผีขนาดนี้ แล้วจะไปดูหิ่งห้อยได้เหรอครับ” บุญชูถาม เมื่อรู้สึกว่าพราวนภาจะกลัวผีมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
“มาถึงอัมพวาก็ต้องไปดูหิ่งห้อยสิ แล้วอีกอย่าง หิ่งห้อยไม่ใช่ผี ฉันจะไปกลัวทำไม”
“นั่นสินะครับ แหม ผมก็นึกว่าคุณดาวจะเป็นเหมือนผม ที่ตอนเด็กๆ ที่คิดว่าหิ่งห้อยเป็นผีกระสือ”
พราวนภาได้ยินอย่างนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาด้วยเสียงกังวานใส พร้อมกับรอยยิ้มผ่อนคลายที่นานๆ จะได้เห็นสักทีนั้น สะกดสายตาครูพละหนุ่มให้หยุดอยู่ที่เธอ ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่มีลักยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากทำให้ชายหนุ่มเคลิบเคลิ้มจนเผลอยิ้มตาม เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอมองหญิงสาวด้วยสายตาพราวระยับนานเกินไปหน่อย ก็ตอนที่พราวนภาหยุดหัวเราะเอาเสียดื้อๆ ยกมือขึ้นมาเสยผมสั้นอย่างทำอะไรไม่ถูกพร้อมกับหันไปทางอื่น ทำให้บุญชูต้องแสร้งหันไปมองเรือหางยาวที่แล่นผ่านบ้านพักของเขาและเธอไปพอดี
“กินข้าวเย็นเสร็จ เราไปดูหิ่งห้อยกันเลยก็แล้วกันนะบุญชู จะได้ไม่ต้องกลับมาดึกมาก”
หญิงสาวพูดแล้วก็เดินออกไปนั่งเล่นที่ริมระเบียง ส่วนบุญชูนั้นแยกตัวออกไปดินสำรวจบริเวณบ้านพัก โดยเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับพราวนภาสักครู่ การที่ได้ใกล้ชิดกับเธอทำให้เขาเสียการควบคุมไปมาก จากที่เคยยับยั้งชั่งใจได้ ต่อให้รักพราวนภาแค่ไหน สุดท้ายเขาก็จะแสดงออกมาในรูปแบบของการกวนประสาทมากกว่าเผลอมองเธอด้วยแววตาหวานเชื่อมเหมือนเมื่อสักครู่นี้...
เนื่องจากความสนิทสนมของดนุพงษ์และเจ้าของโฮมสเตย์ บุญชูกับพราวนภาจึงได้นั่งเรือชมหิ่งห้อยกันเพียงสองคนโดยที่ไม่มีแขกคนอื่นอยู่บนเรือด้วย ในขณะที่ฝีพายพาคนทั้งสองชมแสงระยิบระยับของแมลงตัวน้อยอยู่นั้น บุญชูแทบจะไม่ได้มองพวกมันเลย เพราะเขาเอาแต่มองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาที่ขณะนี้ทำเสียงตื่นเต้น เมื่อเห็นแสงกะพริบสีเหลืองอมเขียวค่อนข้างหนาแน่นอยู่บนต้นไม้บริเวณริมตลิ่ง ในความมืดสลัว ครูพละหนุ่มจินตนาการได้ถึงรอยยิ้มใสกระจ่างของพราวนภา ว่าคงจะงดงามไม่ต่างจากเมื่อตอนหัวค่ำที่เขาได้เห็น แม้ในเวลานี้จะมองเห็นหญิงสาวได้เพียงเลือนราง แต่ชายหนุ่มก็มองเธอได้นานขึ้นเนื่องจากพราวนภาไม่ได้สนใจเขา ทว่าเธอเอาแต่สนใจฝูงหิ่งห้อยที่กะพริบแสงระยิบระยับอยู่มากกว่า
“คุณดาวครับ มีหิ่งห้อยเกาะที่ผมคุณดาวด้วย”
ชายหนุ่มสะกิดบอก ทำให้พราวนภาขยับตัวหันมาเผชิญหน้ากับบุญชู เธอรู้สึกเหมือนจะมีอะไรไต่อยู่บนเส้นผมจริงๆ ซึ่งก็คงจะเป็นหิ่งห้อยอย่างที่บุญชูว่า จึงยกมือขึ้นมาหวังจะจับมันมาดูเล่น แต่ถูกมือหนารั้งเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวผมจับให้” พูดจบก็ยื่นฝ่ามือไปประกบกันบนศีรษะของผู้อำนวยการสาว ขยับขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนำมาแบออกตรงหน้าเธอ
“ตัวเป็นแบบนี้นี่เอง เคยเห็นแต่ในรูป” พราวนภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น สายตาเธอยังคงจับจ้องที่ตัวหิ่งห้อยโดยที่ไม่ได้สนใจว่ามีดวงตาคู่หนึ่งที่ระยิบระยับไม่ต่างจากแมลงตัวเล็กๆ ที่มีแสงในตัวเองตรงหน้าเธอตอนนี้เลย
“น่ารักจัง”
“หิ่งห้อยเหรอ”
“เอ่อ...ครับ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะพูดเรื่องอื่นกลบเกลื่อน “ผมว่าเรากลับกันดีไหมครับ คืนนี้น้ำค้างแรง ผมคุณดาวเปียกหมดแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายนะครับ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับอาการคัดจมูกที่เริ่มกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่เป็นอะไรแน่ครับ ถ้ากลับไปอาบน้ำสระผมใหม่ แล้วก็กินยาแก้ภูมิแพ้ซะ” ชายหนุ่มพูดกับหญิงสาว จากนั้นก็บอกฝีพายให้พากลับบ้านพัก
ในขณะที่หญิงสาวจัดการกับผมของตัวเองที่เพิ่งสระใหม่ๆ ด้วยไดร์เป่าผม บุญชูก็คลี่มุ้งลงมาครอบเตียง เพื่อเตรียมพร้อมให้ผู้อำนวยการสาวเข้านอน และไม่ลืมที่จะหยิบยาแก้แพ้มารอไว้ให้
“นายห้ามหลับก่อนฉันเด็ดขาดเลยนะบุญชู” พราวนภากำชับ หลังจากล้มตัวลงนอนโดยมีบุญชูนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน
ห้องพักสำหรับคู่รักไม่มีหมอนข้าง คืนนี้บุญชูจึงได้ใกล้ชิดกับพราวนภามากกว่าที่เคย ทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าแม้จะนอนตะแคงไปทางเธอ เพราะกลัวว่าหักห้ามใจตัวเองไม่ได้
“ไม่หลับหรอกครับ” ชายหนุ่มยืนยัน จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเป็นระยะๆ จากคนที่นอนอยู่ข้างๆ
“เป็นอะไรไปครับคุณดาว คิดมากเรื่องอะไร ระบายให้ผมฟังได้นะ” บุญชูถามเพราะอยากจะหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้วังเวงจนเกินไป
“ก็...กลุ้มใจเรื่องมีหลานให้คุณพ่อน่ะ ฉันลองมาคิดๆ ดู บางทีฉันอาจจะยอม...นั่นนายจะทำอะไรน่ะ!”
พราวนภาถามพร้อมกับนิ่วหน้าใส่บุญชูที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาถอดเสื้อออก
“เอ่อ...ก็คุณดาวพูดว่า...เอ่อ...” บุญชูพูดตะกุกตะกัก เพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าตีความหมายจากคำพูดของพราวนภาผิดถนัด ตอนที่เธอพูดว่าเธอจะยอม บุญชูก็คิดว่าเธอจะยอมท้อง และเขาก็จะเต็มใจช่วยทำให้เธอท้องอย่างสุดความสามารถ
“ฉันพูดว่าอะไร แล้วทำไมนายต้องถอดเสื้อ”
“ผมร้อนน่ะครับ”
“ร้อนก็ไปปรับแอร์สิ อยู่ๆ มาถอดเสื้อแบบนี้ฉันใจหายหมด”
พราวนภาต่อว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด บุญชูจึงรีบสวมเสื้อแล้วลงจากเตียงเพื่อไปปรับอุณหภูมิแอร์ให้เย็นลงกว่าเดิมนิดหน่อย จากนั้นกลับมานอนที่เดิม
“ที่คุณดาวบอกว่าจะยอมเรื่องท้องนี่หมายความว่ายังไงเหรอครับ” ครูพละหนุ่มถามต่ออย่างแอบมีความหวัง
“ฉันอาจจะยอมพูดความจริงกับคุณพ่อไปว่าเราแกล้งรักกัน”
บุญชูได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งกลุ้มใจเข้าไปใหญ่ เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่าดนุพงษ์รู้เรื่องนี้ดี และคงจะไม่ยอมรามือเรื่องที่อยากจะอุ้มหลานง่ายๆ ก็ในเมื่อพราวนภาประกาศกร้าวว่าจะไม่มีสามีเสียขนาดนี้
“ถึงคุณจะเล่าความจริง คุณพ่อก็ยังอยากมีหลานมากอยู่ดีนั่นแหละครับ ถ้าคุณดาวบอกคุณพ่อเรื่องที่เราแกล้งรักกัน สุดท้ายคุณดาวก็ถูกกดดันให้แต่งงานกันใครสักคนอยู่ดี”
“โอ๊ย! ถ้าจะเป็นอย่างนั้นฉันเลือกให้นายเป็นสามีดีกว่า อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย”
ได้ยินอย่างนั้น บุญชูก็เผลอพลิกตัวหันมาตะแคงมองสบตาหญิงสาวพร้อมกับยิ้มกว้าง ทำให้พราวนภานิ่วหน้าใส่เขาอีกครั้ง
“เป็นอะไรของนาย ยิ้มทำไม นี่นายอย่าบอกนะว่าอิน”
“เปล่าครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับพลิกตัวกลับไปนอนหงายตามเดิม
“เปล่าก็ดีแล้ว ฉันจะได้อยู่กับนาย ใช้ชีวิตกับนายได้อย่างสบายใจหน่อย”
“ผมไม่กล้าหรอกครับคุณดาว”
“ฉันรู้ว่านายไม่กล้าคิดอะไรกับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันไม่เลือกนายตั้งแต่แรกหรอกนะบุญชู” พราวนภาพูดปนหาว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะยาแก้แพ้ที่เธอกินไปเริ่มออกฤทธิ์ และไม่กี่นาทีหลังจากนั้นหญิงสาวก็หลับสนิท บุญชูจึงกล้าที่จะพลิกตัวมาตะแคงมองหญิงสาวที่หลับสนิทอย่างไม่รู้เนื้อรู้ได้อย่างเต็มตาอีกครั้ง
ขณะนี้สมองฝ่ายดีและฝ่ายร้ายมีความคิดตีกันวุ่นวายไปหมด พราวนภาเป็นสาวห้าวก็จริง แต่ด้วยสรีระแล้วเธอเป็นผู้หญิงบอบบางที่หากเขาจะใช้กำลังข่มเหงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เรื่องนี้ได้รับไฟเขียวมาจากดนุพงษ์ด้วยซ้ำ และตอนนี้ชายหนุ่มคือสามีของเธอ การที่จะครอบครองร่างกายของเธอมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร คิดแล้วก็ยื่นฝ่ามืออันสั่นระริกไปแตะที่ข้างแก้มของหญิงสาว ไล้ปลายนิ้วไปบนพวงแก้มที่นุ่มนิ่มอ่อนใสด้วยความหลงใหล
ไม่ไหวแล้ว...
ความยับยั้งชั่งใจของบุญชูสวนทางกับอารมณ์ปรารถนาที่แทบจะหยุดไม่อยู่ เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ จับจ้องริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้เผยอเล็กน้อยด้วยอาการมันเขี้ยวเต็มที ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากแดงระเรื่อ ก็เกิดเสียงฮึ่ม! ขึ้นในลำคอจากอาการละเมอของหญิงสาว วินาทีนั้นบุญชูต้องรีบกลับมานอนท่าเดิม พร้อมกับก่นด่าตัวเองในใจว่าอย่าได้คิดจะทำอะไรแบบนี้อีก
เพราะแค่รักพราวนภาข้างเดียวก็เจ็บช้ำพออยู่แล้ว ถ้าหากจะโดนเธอเกลียดเพราะการกระทำที่ทำร้ายจิตใจเธอ เขาคงจะรับตัวเองไม่ได้ คิดได้อย่างนั้นก็พลิกตัวนอนหันหลังให้หญิงสาว สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองให้หมดแล้วข่มตาให้หลับลงไปในที่สุด
ความคิดเห็น |
---|