15

ตอนที่ 15


หอมนวลขยับตัวเมื่อแสงสว่างยามเช้าปลุกเธอจากนิทรา แต่แขนแข็งแรงของผู้ชายที่ยกให้เธอเป็นศัตรูกักกอดเธอไว้แน่น ใบหน้าคล้ามคมซุกอยู่บริเวณซอกคอจนลมหายใจอุ่นทำให้เธอขนลุกไปทั้งตัว หอมนวลยกแขนที่พาดเธอออกแล้วลุกขึ้นนั่งสะลึมสะลือ

                “หกโมงครึ่ง” เธอดูนาฬิกาแล้วล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง เพิ่งนอนได้แค่สามชั่วโมง และนั่นทำให้หนังตาไม่ยอมทำตามคำสั่งของสมอง เธอมีเรียนเก้าโมงและต้องตื่นเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นเธอคงพลาดการเรียนในคลาสเช้าเป็นแน่

                คิดได้ดังนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งสติอยู่ร่วมนาทีร่างก็เอนไหวไปมา พยายามทรงตัวเท่าไรก็ไม่เป็นผล ร่างโงนเงนล้มลงบนที่นอนอีกครั้ง และครั้งที่สองนี้เองที่ปลุกคนตัวโตให้ตื่นด้วยความรำคาญ

                “เธอจะตื่นหรือว่าจะนอนต่อก็เลือกเอาได้ไหม รบกวนคนจะนอน”

                “หอมมีเรียนเช้าน่ะค่ะ แต่หอมยังง่วงอยู่เลย” เธอพูดทั้งที่ตาปิดสนิท

                เขมราชนอนมองคนขี้เซา แม้จะเห็นใจแต่ก็ขบขัน

                “ถึงเธอจะอยากไปเรียนก็ไปไม่ได้หรอกนะ ฝายแตกเมื่อคืนทำน้ำท่วมถนนขาด หรือเธอจะว่ายน้ำข้ามไปก็ได้ ตามสบายเลย”

                ‘ฝายแตก’

                คำคำนี้ทำให้หอมนวลลืมตาโพลง ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เธอควรรีบไปดูไร่จอมนรีและหมู่บ้านด้านล่างว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้าง ที่สำคัญไร่ข้าวโพดของเขมราชได้รับความเสียหายเท่าไรไม่ทราบ

                “คุณเขม” หอมนวลลุกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เธอตื่นตัวจนเขมราชตกใจ

                “อะไร” เขาถามสั้นๆ ไม่ได้ร้อนรนตามไปด้วย

                “เราไปดูสถานการณ์กันเถอะค่ะ หอมเป็นห่วงไร่จอมนรี ห่วงป้ามณีด้วย” หอมนวลร้อนใจ แต่นึกขึ้นได้ว่าเขมราชคงยังไม่หายเหนื่อย “หอมลืมไปว่าคุณเขมคงเหนื่อยมาก นอนพักก่อนก็ได้ค่ะเดี๋ยวหอมไปเอง”

                ไม่ทันรอคำตอบ หอมนวลก็รีบลุกเข้าห้องน้ำไปเลย ส่วนเขมราชนั้นได้แต่นอนนิ่ง เพราะรู้สึกว่าตัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้

                ไม่ถึงสิบห้านาที หญิงสาวก็อยู่ในชุดทะมัดทะแมง หอมนวลชะโงกหน้ามองคนที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงขนาดคิงไซซ์ ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนระโหยโรยแรง ใจหนึ่งอยากเข้าไปดูว่าเขาเป็นอะไรหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเธอ และอาจถูกเขาต่อว่าเอาได้หากทะเล่อทะล่าเข้าไป

                “คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง”

                เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงละทิ้งความสนใจ รีบคว้ากระเป๋าและเดินออกจากห้องไปทันที

 

                ไร่จอมนรีเป็นจุดที่น้ำท่วมไม่ถึงเพราะอยู่สูงกว่าฝั่งตรงข้าม แต่พายุฝนเมื่อคืนก็สร้างความเสียหายอยู่ไม่น้อย พืชจำพวกไม้ดอกล้มระเนระนาด แถมบางส่วนยังถูกกิ่งไม้ใหญ่หักลงมาทับอีก

                “ประเมินความเสียหายแล้วน่าจะประมาณเท่าไหร่จ๊ะ” หอมนวลถามผู้เป็นป้าด้วยน้ำเสียงเศร้าและเสียดาย เพราะต้นไม้กว่าจะเติบโตออกดอกได้ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันภายในวันสองวัน

                “เกือบสองแสน แต่ช่างมันเถอะ ฝนฟ้าพายุ ภัยธรรมชาติ เป็นเรื่องที่คนทำสวนทำไร่ต้องเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น”

                หอมนวลพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่เลี้ยงผู้มากประสบการณ์ชีวิต เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดกับไร่จอมนรีเป็นครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย

                “คุณเขมเธอใจกว้างจริงๆ”

                แม่เลี้ยงมณีแดงกล่าวจากใจ ในสังคมสมัยนี้จะหาใครมีน้ำใจแบบนี้คงยาก กล้าปล่อยให้น้ำเข้าท่วมไร่ของตัวเองทั้งที่คาดการณ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าน้ำมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน หวังเพียงได้ช่วยชาวบ้านที่ตัวเองแทบไม่รู้จัก เธอนับถือน้ำใจพ่อเลี้ยงหนุ่มจากใจจริง เขมราชเป็นคนดีเช่นนี้ ก็หวังแต่เพียงว่าหากเขารู้ความจริงว่าตนลวงเขาให้เป็นเกราะคุ้มภัยให้หลานสาว เขาคงจะเข้าใจและไม่ถือโทษ

                ‘จะเสียผู้ใหญ่ก็งานนี้กระมัง’

                “แล้วนี่...พี่ลูกจันทร์ไปไหนจ๊ะ ตั้งแต่มายังไม่เห็นเลย” หอมนวลทำใจอยู่นานระหว่างปั่นจักรยานมาที่ไร่ เพราะคิดว่าต้องเผชิญหน้ากับจันทร์นรี เธอคาดเดาสถานการณ์ไปต่างๆ นานาถึงปฏิกิริยาของพี่สาวพร้อมวางแผนเพื่อรับมือไว้เสร็จสรรพ แต่ดูเหมือนความวิตกกังวลของเธอดูจะมากเกินเหตุ เพราะจนป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

                “เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ฟ้าถล่มมันก็ไม่ออกมาให้อายผู้คนหรอก” น้ำเสียงสั่นเจือปนความเจ็บช้ำใจ หญิงสูงวัยเลี้ยงหลานมาอย่างดี เอาใจใส่ประหนึ่งลูกในไส้ หวังให้ได้เป็นที่พึ่งยามแก่เฒ่า นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล แต่ก็อย่างว่า...เอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอม สุดท้ายก็ต้องพบแต่ความช้ำใจ

                “ป้ามณีน่าจะหาโอกาสคุยดีๆ กับพี่ลูกจันทร์นะจ๊ะ ถึงอย่างไรลูกในท้องก็เป็นหลานของป้า แล้วก็หลานของหอมด้วย เก็บตัวอยู่คนเดียวแบบนั้นก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ลูกจะพานไม่แข็งแรงเอานะจ๊ะ”

                แม่เลี้ยงมณีแดงคิดตามก็เห็นจริง แต่คร้านที่จะกล่าวถึงอีกให้ปวดหัว ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ปล่อยให้ลูกหลานลำบากแน่นอน แต่จันทร์นรีจะต้องทำตามความต้องการของตน มิเช่นนั้นคงได้รู้ซึ้งว่าหากคนอย่างเธอใจแข็งแล้ว ยากที่จะอ่อนลงได้โดยง่าย

                “เรื่องพี่สาวแกน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงตัวเองดีกว่า ช่วงนี้ต้องระวังตัวให้มาก”

                หอมนวลหลุดหัวเราะกับคำเตือนของผู้เป็นป้า “หอมอยู่แค่บ้านกับมหา’ลัย ต้องระวังอะไรกันเหรอจ๊ะป้ามณี”

                “ใกล้วันเกิดอีกไม่กี่เดือน ทนายคงกำลังเตรียมเอกสารเรื่องสิทธิ์ครอบครองโรงแรม คนที่เสียผลประโยชน์อาจกำลังจ้องเล่นงานแกอยู่”

                “โธ่..ป้ามณี ไม่คิดบ้างเหรอจ๊ะ ว่าคุณลุงนิสัยเสียของหอม เขาอาจจะยินยอมยกตำแหน่งให้หอมโดยไม่ได้วางแผนการอะไรเลยก็ได้ เรื่องที่เรากลัวๆ อยู่ อาจไม่เกิดขึ้น”

                หอมนวลนึกไปถึงไปหน้าถมึงทึงกับคิ้วที่ขมวดอยู่เสมอของชายสูงวัยที่อยู่ในฐานะลุง พร้อมควบตำแหน่งผู้ดูแลมรดกอีกหนึ่ง และดูเหมือนว่าคุณลุงของเธอจะจดจำเพียงสถานะเดียวคือการดูแลทรัพย์สมบัติของเธออย่างดี ดีจนใครก็แตะไม่ได้...แม้แต่ตัวเธอ เพราะส่วนแบ่งจากกำไรที่โรงแรมทำได้ในแต่ละปี มันถูกส่งถึงเธอเพียงปีละไม่ถึงสองแสน ซึ่งมันน้อยมากถ้าเทียบกับกำไรทั้งหมด

                ‘กำไรเยอะก็จริง แต่บางครั้งเราก็ต้องเอากำไรมาหมุนเป็นทุน จะได้เต็มๆ เลยคงเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างหนูหอมเป็นเด็ก ยังไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้เคนโนซ่าเลย ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว คนทำงานเขาได้น้อยกว่านี้เสียอีก’

                หญิงสาวเคยได้ยินประโยคสนทนาระหว่างแม้เลี้ยงมณีแดงกับภพธรเมื่อสิบปีก่อน เธอรับฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ เพราะเป็นเด็ก เงินมากหรือน้อยเธอไม่อาจวัดมูลค่าได้ แต่ผู้เป็นป้าบอกระหว่างเดินทางออกจากโรงแรมซึ่งเป็นของเธอว่า

                ‘ลุงแกน่ะ สันดานขี้โกง’

                แม้แม่เลี้ยงมณีแดงจะบอกอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากผู้เป็นลุงอีกเลย จนหอมนวลลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเธอเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โรงแรมหรูนั่น

                “กันไว้ดีกว่าแก้ จนกว่าจะถึงวันเปิดพินัยกรรม” 

                เธอพยักหน้าน้อยๆ แต่เสมองไปยังหลังคาเรือนอันเป็นที่พำนักของพี่สาว หวังว่าหากเรื่องร้ายผ่านไป เธอกับจันทร์นรีจะกลับมาเข้าใจกันได้อีกครั้ง

 

                หอมนวลหยิบโทรศัพท์มาบันทึกภาพหมู่บ้านนับร้อยหลังคาเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เธอเดินเท้าเกือบหนึ่งกิโลเมตรไปตามถนนที่ยังมีน้ำท่วมขังถึงข้อเท้าเพื่อสำรวจความเสียหาย บ้านบางหลังน้ำท่วมใต้ถุนจนเจ้าของบ้านต้องนำห่วงยางมาต่อเป็นแพเพื่อใช้เป็นพาหนะ บางหลังก็พอเดินเท้าได้เพราะน้ำท่วมถึงแค่ระดับหัวเข่า

                เธอพูดคุยกับแม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งเคยมาใช้บริการบ่อยครั้งในวันหยุด ว่าร้านได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือน้ำได้พัดเอาซากต้นไม้ที่หักโค่นและดินโคลนลงมาทำให้ต้องเก็บกู้กันอีกนานกว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

                แต่ที่น่ายินดีคือไม่มีใครเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ชาวบ้านต่างฝากไปขอบใจพ่อเลี้ยงเขมราชที่ยอมเสียสละไร่ข้าวโพดเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาไว้

                “นายหญิงครับ นายหญิง”

                หอมนวลหันโดยอัตโนมัติ ยังนึกค่อนขอดตัวเองว่า ‘สำคัญตัว’ เจ้าของเขาไม่ได้อยากให้เธอเป็นนายหญิงของฟาร์มเสียหน่อย

                “มีอะไรเหรอจ๊ะ ทำไมถึงได้วิ่งมาหน้าตาตื่น”

                ซอมพอกับฟ้าฮ่ามหยุดหอบหายใจเพราะความเหนื่อย จนหอมนวลแทบอดใจรอฟังคำตอบไม่ไหว

                “พอดีเมื่อเช้าพวกเราแวะไปหานายที่เรือนแสงอรุณ เห็นป้าจันเป็งบอกว่านายไม่สบาย เลยจะถามนายหญิงว่าอาการของนายเป็นยังไงบ้างครับ” ซอมพอถาม ส่วนฟ้าฮ่ามนั้นพยักหน้าหงึกๆ รอฟังใจจดใจจ่อ แต่แทนที่จะได้รับความกระจ่างจากหญิงตรงหน้า กลับได้รับสีหน้าแววตาตื่นตระหนกแทน

                “คุณเขมไม่สบายเหรอ ฉันไม่รู้เลย”

                “อะ...อ่าว”

                “งั้น เดี๋ยวฉันกลับไปดูคุณเขมก่อนนะ”

                “เอ่อ...ครับ”

                ซอมพอตอบแค่นั้น นายหญิงของเขาก็วิ่งฝ่าน้ำไปโดยไม่ฟังอะไรอีก เขาได้แต่เกาหัวแกรกๆ ด้วยความสับสน ความรักของพวกคนรวยนี่มันซับซ้อนจริงโว้ย...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น