9

ตอนที่ 9


หลังจากเรียนคลาสสุดท้ายเสร็จในเวลาบ่ายสามโมง หอมนวลเดินกอดหนังสือวิชาควบคุมศัตรูพืชและสารพิษตกค้างไปตามทางเดินอย่างคนไร้วิญญาณ เมื่อตอนกลางวันเธอเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เพื่อนรักทั้งสองคนฟัง แม้กระทั่งเรื่องที่ป้าเธอขอร้องให้ชะลอการหย่าออกไปจนกว่าจะเรียนจบ ซึ่งเขมราชยอมทำตามแลกกับการได้แต่งงานกับพี่สาวของเธอ เพราะเขาคงรู้ดีว่าป้าของเธอไม่พอใจแน่ หากหลานสาวสองคนต้องใช้สามีร่วมกัน

                แต่เพราะเหตุใดผู้เป็นป้าจึงยอมอย่างง่ายดายเพียงขอให้เขาเลื่อนการหย่าออกไป ทั้งที่จริงเธอคิดว่าคำขอของเขมราชอาจทำให้ป้าฉุนจนต้องรีบให้เขากับเธอหย่ากันทันที และไม่ยอมให้เขมราชมายุ่งเกี่ยวกับหลานคนไหนอีกเด็ดขาด ทว่าหญิงสูงวัยที่เธอคิดว่ารู้จักดีกลับยอมรับข้อเสนออย่างง่ายดาย เธอพยายามคิดหาเหตุผลในการกระทำดังกล่าว แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

                “หอม แกจะกลับเลยไหม” ปารณีย์ถามขึ้นเพราะกลัวว่าเพื่อนจะเหม่อลอยจนเดินตกบันไดไปเสียก่อน

                หอมนวลชะลอฝีเท้า ครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ส่ายหน้า

                “งั้นก็ไปอยู่หอฉันก่อนก็แล้วกัน ไอ้ชาติมันจะไปคลินิกผิวหนัง เดี๋ยวมันคงตามไป” ปารณีย์เสนอ

                หอมนวลแค่พยักหน้า ทำตัวหงอยเหงาเหมือนคนไร้วิญญาณจนปารณีย์ต้องยกมือกุมขมับ เรียนด้วยกันมาสามปีไม่เคยนึกฝันเลยว่าจะเกิดเรื่องดรามาแบบนี้กับกลุ่มของพวกเธอ กลุ่มคนไม่ปกติที่มารวมตัวกันได้อย่างลงตัว และดูเหมือนว่าชาตินี้แต่ละคนจะไม่เคยมีปัญหาเรื่องความรักมาทำให้ต้องนั่งปรับทุกข์เหมือนเพื่อนร่วมคณะกลุ่มอื่นๆ ที่เห็นเมื่อไรต้องส่ายหน้าระอาใจ พร้อมกับลงความเห็นว่า ‘ไร้สาระ’  

                หอมนวลเดินตามเพื่อนเงียบๆ รู้สึกว่าร่างกายอ่อนล้าไปหมดทั้งที่ยังไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลยสักนิด หรือเป็นเพราะยังไม่มีอาหารตกถึงท้องในวันนี้ เมื่อเช้าเธอกินข้าวต้มไปสองคำก็รู้สึกฝืดคอ และพลอยทำให้ตอนบ่ายไม่อยากกินไปด้วย หัวใจก็เต้นช้าสลับเร็วเหมือนสัญญาณชีพสามารถดับลงได้ทุกเมื่อ

                นี่เธอเป็นอะไรกันแน่

                “จะเหม่ออีกนานมั้ยหอม” ปารณีย์เรียกเพื่อนที่บัดนี้เดินเลยประตูห้องพักเธอไปแล้ว

                หอมนวลได้สติ หันมองซ้ายขวาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบกายไม่ใช่ตึกคณะ แต่เป็นหน้าห้องพักของเพื่อน

                “นี่เราเดินมาถึงตรงนี้ได้ยังไง”

                “โอ๊ย! ไอ้หอม ไปใหญ่แล้วแก สติหลุดไปถึงไหนแล้วเนี่ย”

                คนสติหลุดเริ่มตาแดงเหมือนจะร้องไห้ ปารณีย์รวดเร็วพอที่จะดึงเพื่อนเข้ามาในห้องก่อนที่น้ำตาจะทะลักออกมาให้อับอายแก่หมู่สมาชิกร่วมหอพัก

                ทันทีที่ประตูห้องปิดลง หอมนวลก็โผเข้ากอดเพื่อนและร้องไห้ออกมาอย่างหมดความอดทนกับทุกสิ่ง เธอกอดปารณีย์ไว้ราวกับว่าร่างบอบบางของเพื่อนคือที่พึ่งสุดท้ายในชีวิต มิหนำซ้ำความเจ็บปวดที่พยายามกดไว้ก็เปิดเผยออกมา ซ้ำเติมให้หัวใจเจ็บปวดยิ่งกว่ามีเชื้อโรคร้ายบนบาดแผลฉกรรจ์

                เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังจนปารณีย์กลัวว่าข้างห้องจะพังประตูเข้ามาด้วยเข้าใจผิดคิดว่าบุคคลภายในห้องกำลังได้รับอันตราย แต่ในเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ยุส่งเลยแล้วกัน

                “ร้องออกมาเลยหอม ฉันรู้ว่าแกอดทนมามากแล้ว”

                “ไอ้ปา” หอมนวลผละออกจากเพื่อน “ฉันเป็นอะไรไม่รู้อะแก ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเศร้าแบบนี้ ฉันเสียใจและอยากร้องไห้อยู่ตลอดเวลาเลย ฉันกำลังคิดว่าตัวเองมีอาการทางจิตแน่ๆ อาจจะเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้นะ เพราะในอินเทอร์เน็ตบอกว่าคนที่ขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ บางทีฉันคงต้องไปพบจิตแพทย์” หอมนวลพูดไปก็ร้องไห้ไป หวาดกลัวกับอาการผิดปกติของตัวเอง ทั้งที่ไม่มีบาดแผลที่ตรงไหนแต่กลับรู้สึกเจ็บได้อย่างชัดเจน

                “ไอ้หอม ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าให้ออกมาเจอโลกภายนอกบ้าง แกไม่ได้มีอาการทางจิต แกก็แค่อกหัก”

                “อกหักเหรอ”

                คำว่าอกหักช่างเป็นคำที่แปลกใหม่สำหรับเธอเหลือเกิน เธอไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยผิดหวังจากใคร แต่นับจากนี้ไป เธอจะคุ้นเคยกับมันเหมือนเพื่อนสนิทเลยก็ว่าได้

                “ฉันอกหัก ฉันก็ต้องเมาสิ จะได้ครบสูตร” คนอกหักพูดน้ำตานองหน้า

                “ไอ้หอม จะเมามายให้มันได้อะไรขึ้นมา มันยิ่งทำให้แกเป็นคนขี้แพ้ ถึงใครไม่เห็นคุณค่าในตัวแก แกก็ควรเห็นคุณค่าของตัวเอง ”

                “ต้องเมา วันนี้ฉันจะกินเหล้าให้เมาตายไปเลย ฮือ” เสียงร้องไห้โวยวายนั้นไม่ใช่เสียงของหอมนวล ทว่าเป็นเสียงของเพื่อนกะเทย ผู้ไม่เคยเสียน้ำตาให้ใคร แต่เวลานี้สมญานามดังกล่าวคงต้องถูกยกเลิกไปถาวร

                สุชาติมักจะมาในเวลาที่เหมาะสมเสมอๆ ปารณีย์คิดก่อนเดินไปปิดประตูที่เพื่อนเพิ่งเปิด (พัง) เข้ามา

                “แกเป็นอะไรวะไอ้ชาติ” หอมนวลลืมความเสียใจของตัวเองไปเลย เมื่อเห็นสุชาติร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด

                “ฉันโดนเท” สุชาติปาดน้ำตาด้วยแขนอันกำยำของตัวเอง พลอยทำให้ลิปสติกสีชมพูหวานแหววติดออกมาเป็นปื้น คราบมาสคาราก็เลอะเปรอะเปื้อนไปหมด สารรูปแทบดูไม่ได้ “ผู้ทิ้งฉันไปหากะเทยคนใหม่ นางเป็นเศรษฐีเจ้าของร้านพรีเวดดิงอะแก”

                หอมนวลทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดีที่เพื่อนแอบไปมีผู้โดยไม่บอกกล่าว ปล่อยให้เธอเข้าใจว่าการมีแฟนเป็นเรื่องที่ไร้สาระอยู่ตั้งหลายปี

                “ไหนแกบอกว่าเราสามคนจะไม่มีแฟนจนกว่าจะเรียนหนังสือจบไงไอ้ชาติ” หอมนวลถาม

                สุชาติทำท่าอึกอักไม่กล้าตอบ มองปารณีย์อย่างขอความช่วยเหลือ เพราะปารณีย์เป็นเพื่อนคนเดียวที่ไม่เชื่อคำพูดของเขา ในขณะที่หอมนวลเชื่ออย่างสนิทใจ แต่นอกจากจะไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ แล้ว เพื่อนสาวยังยักไหล่ไม่ยี่หระกับความทุกข์ร้อนของหญิงเทียมผู้ช้ำรักแม้แต่น้อย

                “ก็...พวกแกเป็นชะนี ถึงจะไม่ค่อยสวยแต่ก็น่าจะหาผู้ง่ายกว่าฉันแน่ๆ ฉันกลัวว่าพวกแกจะหนีไปมีแฟนกันหมดแล้วทิ้งฉันให้หงอยอยู่คนเดียว” สุชาติพูดอย่างน่าสงสาร

                “ก็เพราะไอ้หอมมันเชื่อแก มันเลยทิ้งแกไปมีผัวเลยนี่ไง” ปารณีย์เย้ยหยันกฎห้ามมีแฟนที่หอมนวลยึดถืออยู่คนเดียวตั้งสามปี แต่พอจะก้าวเข้าปีที่สี่ คนหัวอ่อนกลับจดทะเบียนสมรสหน้าตาเฉย เรียกได้ว่าแซงทุกทางโค้ง ลัดทุกขั้นตอน ขนาดยังไม่ทันดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ฝ่ายสามีกลับขอหย่าสายฟ้าแลบเสียแล้ว  

                “ไอ้ปา แกไม่ได้เชื่อไอ้ชาติหรอกเหรอ” หอมนวลถามเสียงอ่อย

                “เชื่อก็บ้าแล้ว มีแต่แกนั่นแหละที่เชื่ออะไรแบบนี้”

                ถ้าเป็นเวลาอื่น หอมนวลคงวิ่งไปข่วนหน้าสุชาติให้เสียโฉมไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรทั้งนั้น เพราะเธอกำลังอกหัก และซึมซับความรู้สึกเหมือนคนโรคจิตที่ชอบความเจ็บปวดทรมาน แต่ความจริงแล้วเธอก็แค่ต้องการตอกย้ำตัวเองไม่ให้ถลำลึกมากไปกว่านี้ ให้จำขึ้นใจว่าสถานะของตัวเองไม่เหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างชายผู้เพียบพร้อมทุกกระเบียดอย่างเขมราช 

                “ช่างเถอะ” หอมนวลพูดขณะที่ดวงตาเหม่อลอย “ไอ้ชาติ ไปกินเหล้าให้ลืมผู้กันดีกว่า”

 

                เสียงกระแทกเท้าปึงปังทำให้ร่างท้วมต้องลุกจากเตียงกลางดึกทั้งที่เพิ่งเอนหลังได้ไม่ถึงสิบนาที เมื่อเห็นว่าผู้ก่อเสียงรบกวนยามวิกาลเป็นใคร หญิงสูงวัยจึงหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินเข้าไปหาทันที

                “แกไม่ควรไปกับพ่อเลี้ยงเขมอีก”

                จันทร์นรีหันมามองต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นแม่เลี้ยงมณีแดงเธอก็รีบเมินทันที อารมณ์หงุดหงิดที่มีอยู่เป็นทุนเดิมยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นไปอีก

                เธอรับรู้จากเขมราชเรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับป้าของเธอ มันโง่สิ้นดีที่มีข้อตกลงแบบนี้เกิดขึ้น

                ‘ช่วงนี้ผมอยากให้ลูกจันทร์ใจเย็น หากว่าผมไม่ได้มาพบคุณ ก็ขอให้รู้ว่าผมทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับแม่เลี้ยงมณีแดง’

                นาทีนั้นจันทร์นรีอยากกรีดร้องให้หายคั่งแค้น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขมราชจึงยอมตกปากรับคำง่ายดายนัก แม้ว่าข้อต่อรองจะดูสมเหตุสมผล แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องยอมขังตัวเองไว้กับหอมนวลทั้งที่ยืนยันหนักแน่นว่ารักเธอ

                แม่เลี้ยงมณีแดงมองหลานสาวคนโปรดเหมือนมองคนแปลกหน้า เธอเลี้ยงหญิงสาวมากับมือแต่กลับเหมือนไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ภายในหัวใจที่ซับซ้อนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายซึ่งหลายครั้งไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้เธอจำต้องใจแข็งกับหลานสาวที่รักประหนึ่งลูกในไส้เพื่อรักษาชีวิตของหลานสาวอีกคนให้คงอยู่

                “เวลานี้แกต้องคิดถึงครอบครัว อย่าทำอะไรตามใจตัวเองจนไม่รู้ถูกผิด”

                สาวร่างบอบบางในชุดเดรสรัดรูปสีดำลุกยืนขึ้น มองผู้อุปการะก้าวร้าว “อย่างเช่นการพยายามยัดเยียดยายหอมให้เป็นเมียคุณเขมน่ะเหรอคะ”

                “ยายหอมเป็นเมียพ่อเลี้ยงเขม ไม่ได้มีใครยัดเยียดทั้งนั้น เขาได้ยายหอมเป็นเมียเอง”

                เหมือนถูกไม้ตีแสกหน้า หลายปีที่คบหากันมา เขมราชเป็นสุภาพบุรุษเสมอ เมื่ออยู่กับเธอเขาห้ามใจได้ทุกครั้งไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด อันที่จริงเขาไม่เคยต้องห้ามใจเลยมากกว่า เพราะชายหนุ่มไม่เคยมีท่าทีใดๆ ที่แสดงออกถึงอารมณ์ทางเพศเลย เขาเป็นสุภาพบุรุษมาก แต่กับหอมนวลดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

                “ป้ามณีใจร้าย ลูกจันทร์รักกับคุณเขมมาก่อนแต่ป้ากลับเห็นดีเห็นงามที่มันแย่งคนรักของลูกจันทร์ไป”

                “คนรักที่แกไม่เอาแล้ว พอคนอื่นได้ไปคิดจะมาเอาคืน แกต่างหากที่ใจร้าย” ผู้เป็นใหญ่แห่งไร่จอมนรีตวาดลั่น ต่อให้เป็นหลานรักที่เคยถูกเอาใจประหนึ่งเจ้าหญิงก็ยังต้องหวาดผวา “ยายหอมต้องการเขามากกว่าแก ถ้าแกไม่ถอย ฉันจะถือว่าแกไม่ใช่หลานฉัน”

                คำประกาศของผู้เป็นป้าทำให้ใบหน้าสวยจัดซีดจนขาว ไม่ต้องถามก็รู้ว่าความจำเป็นของน้องสาวจอมทรยศคืออะไร ป้าของเธอคงหวังให้เขมราชเป็นเกราะคุ้มภัยให้หอมนวล แต่ใครจะรู้ ว่าตัวเธอก็ต้องการเกราะคุ้มภัยเช่นเดียวกัน

                ภายในใจจันทร์นรีเวลานั้นประสงค์ให้หอมนวลมอดไหม้ลงตรงหน้า แต่คำขู่ของแม่เลี้ยงมณีแดงได้ทำลายความกล้าหาญที่มีไปจนหมดสิ้น มือข้างหนึ่งสัมผัสลงบนหน้าท้องที่ยังแบนราบเพื่อสัมผัสกับหัวใจอีกดวงที่เต้นอยู่

 

                เขมราชเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง มือข้างหนึ่งบังคับพวงมาลัย แต่อีกข้างกดโทรศัพท์นิ้วแทบพันกัน

                ‘แว่น’

                เขาบันทึกเบอร์โทรศัพท์หอมนวลไว้เมื่อครั้งพบกันเป็นหนที่สอง และเป็นเบอร์ที่เขาโทร. หานับครั้งได้ ครั้งสุดท้ายคงเป็นเรื่องเรือนไม้ริมธารที่หอมนวลช่วยเขาตกแต่งเพื่อใช้เป็นเรือนหอของเขากับจันทร์นรี

                คิดแล้วก็โมโห หญิงสาวช่วยเขาสร้างเรือนหอจนเสร็จ หลอกลวงได้แนบเนียน ทำให้เขาตายใจว่าเธอเป็นน้องสาวของว่าที่ภรรยาที่คบหาได้ด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่เคยคิดเลยว่านั่นเป็นเพียงหนึ่งในแผนการล่อลวงของแม่มดใจร้ายผู้ขายแอปเปิลมีพิษ

                “โธ่โว้ย!” เขมราชสบถอย่างหัวเสียเมื่อสัญญาณถูกตัดเนื่องจากไม่มีคนรับสาย แต่ความพยายามก็หาได้ลดน้อยลงไม่ ทั้งที่จริงเขาไม่ต้องสนใจเธอแล้วด้วยซ้ำ

                “เขม น้องยังไม่กลับเลยลูก ไม่รู้อยู่ที่ไร่โน้นหรือเปล่า” ทันทีที่เหยียบบันไดบ้าน มารดาก็รีบปรี่มาหาเขาด้วยอาการร้อนรน

                “ไม่ครับ ผมเพิ่งมาจากจอมนรี” เขามั่นใจเพราะหลังจากล่ำลากับจันทร์นรีเรียบร้อยแล้ว แสงระวียังวิ่งมาถามถึงเจ้านายสาวอย่างคนที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน ไม่มีทางที่หอมนวลจะอยู่ในบ้านโดยที่เด็กรับใช้ไม่รู้

                “ถ้าเป็นแบบนั้นแม่ก็ยิ่งเป็นห่วงไปใหญ่เลยนะเขม หนูหอมไม่เคยกลับบ้านผิดเวลา ที่สำคัญไม่เคยไม่รับโทรศัพท์ด้วย แม่เป็นห่วงจะแย่แล้วลูก”

                “ผมจะออกไปตามเธอ แม่นอนเลยครับ ไม่ต้องห่วง”  

                เขาเกลียดตัวเองที่รับฟังคำบอกเล่าของมารดาด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น ชายหนุ่มมั่นใจว่าไม่ได้ห่วงคนหาย แต่ไม่ว่าจะห้ามความรู้สึกอย่างไรสมองก็สั่งการให้เขากระโดดขึ้นรถกระบะคู่ใจแล้วรีบออกไปตามหาเธอทั้งที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง แม้ขณะที่ขับรถอยู่นี้ ใจเขายังลังเลว่าควรเลี้ยวรถกลับดีหรือไม่ ทว่าถึงจะคิดเช่นนั้น นิ้วเรียวกลับยังกดโทรศัพท์ไม่ยอมวาง

                “ซาหวาดดีค่ะ คุณโคเผือก” 

                เสียงปลายสายอ้อแอ้เหมือนคนเมา เขมราชมั่นใจว่านั่นไม่ใช่เสียงของหอมนวลอย่างแน่นอน แถมคนรับโทรศัพท์ยังเรียกเขาว่า  ‘โคเผือก’ อีก

                “นั่นเบอร์หอมนวลหรือเปล่าครับ” เมื่อไม่รู้ว่าเป็นใคร เขมราชจึงถามไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ

                “ช่ายค่ะ แต่ไอ้มันหอมคงรับโทรศัพท์ม่ายด้าย เพราะทั้งโต๊ะนี้ มีช้านโคนเดียวที่สติดีที่ซู้ด เอิ้ก!”

                คำบอกเล่าแทบฟังไม่รู้เรื่องทำให้เขมราชถึงกับเลือดขึ้นหน้า เขารู้สึกเหมือนมีไฟมาเผาผลาญหัวใจ จนส่งผลให้ปลายเท้าเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นไปอีก

                มารดาเขาเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ แต่ยายตัวดีกลับร่าเริงบันเทิงใจอยู่ที่ไหนไม่ทราบ ทำตัวเป็นสาวไวไฟ กินเหล้า มั่วผู้ชาย แค่คิดก็ปวดหัวแทบระเบิดเมื่อรู้ซึ้งว่าที่ผ่านมาหอมนวลหลอกลวงเขาทุกอย่างจนไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นความจริงบ้าง

                เขาระงับอารมณ์แล้วกรอกเสียงเย็นเฉียบกลับไป

                “พวกคุณอยู่ที่ไหน”              

 

             “อกหักมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เจ็บจนพูดม่ายออก”

             หอมนวลฟุบหน้ากับโต๊ะทรงกลม มือข้างหนึ่งยังถือแก้วเหล้าไม่ยอมปล่อย ใช่ว่าเธออยากฟุบหน้าลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนองและเศษอาหารรสชาติห่วยที่หกเลอะเทอะ แต่เพราะมันหนักจนไม่สามารถตั้งอยู่บนบ่าได้อีกต่อไปต่างหาก

             “ช่าย เจ็บมาก ทามมายนะทามมาย เขาถึงทิ้งคนสวยอย่างช้านปายมีคนอื่นด้ายลงคอ ผู้ชายมันชั่วเหมือนกานโหมดทู้กคน” สุชาติเสริมพร้อมเติมข้อความเข้าไปอีก

             วันนี้สาวประเภทสองสุดแซ่บแปลงกายเป็นชายหนุ่มหน้าใส ไม่ใช่ประชดรักแต่อย่างใด เพียงแต่เพื่อนสาวทั้งสองลงมติกันห้ามสุชาติแต่งหญิงเด็ดขาด เพื่อสาวสวยอย่างพวกเธอจะได้ปลอดภัยจากการถูกแทะโลมจากชายแปลกหน้า

             ซึ่งแม้สุชาติจะมั่นใจว่าเพื่อนสาวทั้งสองไม่มีวันเจอเรื่องแบบนั้นในผับที่มีผู้หญิงสวยนับร้อยพร้อมอ่อยให้ผู้ชายแทะโลมอยู่แล้ว แต่ก็จำต้องทำตาม ไม่เช่นนั้นสองสาวที่หวงแหนพรหมจรรย์ยิ่งกว่าชีวิต แม้จะเสียไปแล้วหนึ่งคน จะไม่ยอมไปปาร์ตีคนอกหักด้วยเด็ดขาด

             “ม่ายเหมือน คูณเขมม่ายด้ายชั่ว แกอย่ามาว่าคูณเขมของช้าน” หอมนวลผงกศีรษะขึ้นมาได้ก็ต่อว่าเพื่อนทันที พร้อมกับมือไม้ปัดป่ายไปที่ร่างยักษ์เพื่อลงทัณฑ์

             ปารณีย์ซึ่งเป็นคนกลางได้แต่ยืนมองไม่คิดห้าม เพราะเรี่ยวแรงและสติสัมปชัญญะเหลือน้อยเต็มที ขณะที่กำลังเดาว่าใครจะชนะเธอ ก็เห็นร่างของหอมนวลลอยละลิ่วขึ้นจากพื้นไปอยู่ในวงแขนกำยำของผู้ชายหล่อล่ำที่เธอคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร

             “ใครวะ”

             ปารณีย์เดินโซเซไปเกาะสุชาติซึ่งสูงกว่าตนเกือบยี่สิบเซนติเมตร พร้อมกับเพ่งมองชายที่อุ้มเพื่อนไว้อย่างงุนงง

             “แกนี่มาวจนเลอะเทอะ นี่ก็ผัวนังหอมไงล่ะ หล่อแบบนี้เป็นครายปายม่ายด้าย เอื้อก” สุชาติรีบปิดปากเมื่อลมในท้องกำลังตีขึ้นมาอีกระลอก

             ใบหน้าถมึงทึงในตอนแรกค่อยคลายลงหลังจากได้ยินน้ำเสียงของชายที่หอมนวลนัวเนียอยู่เมื่อครู่ ภาพก่อนหน้านี้ทำเอาเขาโมโหจนหน้ามืด เผลอคว้าตัวภรรยาออกห่างจากบุรุษแปลกหน้า ซึ่งแท้ที่จริงคงไม่ใช่บุรุษทั้งแท่ง

                “เป็นปายม่ายด้าย เขาขอหย่ากับมานแล้ว แม้แต่หน้าเขายางไม่อยากมองเลย จามายืนทึ่มอยู่แบบนี้ด้ายงาย แกน่านแหละที่เมาจนตาลาย” คนที่คิดว่าตัวเองสติดีที่สุดกล่าวอย่างหงุดหงิด เหตุเพราะลิ้นแข็งจนพูดไม่เป็นภาษา ร่างบอบบางโงนเงนไปมาอันเนื่องมาจากความพยายามในการพยุงตัวอย่างแสนยากเย็น

                เขมราชอึ้งไปเลยเมื่อได้ยินบทวิพากษ์วิจารณ์ตนเองจากนักศึกษาผู้อายุน้อยกว่าเขาถึงเก้าปี ชายหนุ่มมองภาพเบื้องหน้าและคนในอ้อมแขนอย่างสำรวจตรวจตรา มาเที่ยวผับทั้งทีกลับสวมเสื้อกีฬาสี

                เสื้อโปโลสีเขียวอ่อนกับกางเกงผ้าร่มขาสั้นสีดำทำให้เขาหาพวกเธอพบท่ามกลางคนนับร้อยที่เบียดเสียดกันได้ในทันที เด็กพวกนี้เป็นคนประเภทไหนกันแน่ คิดว่าจะตั้งทีมเมรีขี้เมาไปแข่งขันชิงแชมป์โลกหรืออย่างไร

                “เพื่อนคุณเข้าใจถูกแล้ว ผมเขมราช สามีของหอมนวล” เขมราชอธิบายแม้ไม่รู้ว่าคนเมาทั้งสองจะเข้าใจหรือไม่

                ผลที่ตอบกลับมาคือความนิ่งงัน ทั้งสุชาติและปารณีย์ทบทวนคำพูดของชายตรงหน้าอยู่นาน เพราะทุกส่วนของร่างกายรวมถึงสมองทำงานเฉื่อยเป็นเต่า

                “ผมขอพาเธอกลับนะครับ” เมื่อไม่ได้รับคำตอบอะไร เขาจึงไม่คิดจะสนทนาต่อไปอีก เพราะรู้สึกประหม่ากับเด็กหนุ่มสาวสองคนตรงหน้า

                เขมราชหมุนตัวเตรียมกลับ ทว่าสัญชาตญาณบอกเขาว่าจะกลับไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มหันมาสบตาสองคู่อีกครั้ง ทำเหมือนร่างบางในอ้อมแขนของเขาไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการหมุนตัวกลับไปกลับมาเลย

                “พวกคุณก็ควรจะกลับด้วย ผมจะไปส่ง”

                ดวงตาของคนเมาเบิกกว้างขึ้น สติที่คล้ายจะหลุดลอยกลับคืนมาอีกครั้ง แม้ไม่เต็มร้อย แต่คนทั้งคู่ก็พยักหน้าพร้อมกันทันทีราวกับถูกสะกดจิต

 

                คนเมาไหวตัวเล็กน้อยเมื่อถูกไอเย็นจากช่องปรับอากาศรถยนต์ปะทะผิวกาย เธอลืมตาขึ้นมองโดยรอบก็พบกับบรรยากาศที่แปลกไป คอนโซลรถขนาดใหญ่ไม่ใช่คอนโซลรถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นรุ่นอายุสิบเอ็ดปีของสุชาติ และคนขับก็ดูสูงใหญ่บึกบึนผิดไปจากร่างอ้อนแอ้นอรชรของเพื่อนเธอ

                หรือว่า...

                “ไอ้ปา ไอ้ชาติ ฉันถูกผู้ชายบ้ากามพาขึ้นรถ เขากำลังจะพาฉันเข้าม่านรูด ทำยังไงดี ทำยังไงดี ต้องรีบแจ้งความ” หอมนวลโวยวาย ตกใจสุดขีดถึงขั้นสร่างเมา ลนลานหยิบโทรศัพท์กดหมายเลขที่ท่องจำขึ้นใจตั้งแต่เด็ก

                191

                แต่ยังไม่ทันที่นิ้วเรียวจะกดลงบนแป้นตัวเลข เธอกลับถูกผู้ชายบ้ากามกระชากอุปกรณ์สื่อสารอันเป็นเสมือนเครื่องช่วยชีวิตออกจากมือไปหน้าตาเฉย หญิงสาวรีบไขว่คว้าเอาคืน ทว่าประโยคต่อมาจากปากของคนแปลกหน้าก็ทำเอาดวงตาพร่าเลือนสว่างไสวในทันที

                “จำผัวไม่ได้เหรอ”

                “คุณเขม”

                “ก็ใช่น่ะสิ ยายเมรีขี้เมา” เขมราชส่งสายตาดุให้แก่คนข้างกาย

                หอมนวลหันไปมองด้านหลังเบาะก็พบเพื่อนทั้งสองหลับตาพริ้มหัวชนกันไม่รู้เรื่องรู้ราว หญิงสาวหันหน้ากลับมาตามเดิมก่อนพ่นลมหายใจ โล่งอก...และหนักใจในคราเดียวกัน เธอรอดพ้นจากน้ำมือผู้ชายบ้ากาม แต่พ่อเลี้ยงจอมโหดเอาเธอตายแน่ๆ ดูจากสีหน้านั่นปะไร ทำราวกับว่าจะประหารชีวิตเธอให้ปลิดปลิว

                “ขอบคุณนะคะที่มารับ”

                “ฉันไม่ได้มารับ” น้ำเสียงห้วนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “แต่เพราะแม่ฉันเป็นห่วงมากที่เธอไม่กลับบ้าน ไม่รับโทรศัพท์ ไม่บอกว่าหายไปไหน กลัวว่าเธอจะได้รับอันตราย ที่ไหนได้...เธอกลับมามีความสุขอยู่ในสถานที่แบบนี้ ในขณะที่แม่ฉันนอนไม่หลับเพราะรอเธอ”

                หอมนวลสลด ก้มหน้าจนคางแทบชิดอก เธอรู้สึกผิดกับคำต่อว่าของเขา แต่หัวใจที่บอบช้ำทำให้สมองอื้ออึงเกินกว่าจะไตร่ตรองอะไรให้ถ้วนถี่

                “หอมไม่คิดว่าจะมีใครเป็นห่วงหอมนี่คะ”

                คนฟังใจอ่อนยวบเมื่อได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อของเธอ แต่เขาก็เตือนตัวเองว่าห้ามใจอ่อน นั่นเป็นแค่มารยาของผู้หญิงที่เคยหลอกลวงเขาจนชีวิตต้องพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ

                “ใช่! เธอเข้าใจไปแบบนั้นก็ดีแล้ว เพราะคนที่แสงอรุณจะไม่มีใครเป็นห่วงเธออีก”

                หอมนวลเป็นคนเมาที่รู้ว่าตัวเองเมา ร่างกายเธอโคลงเคลงประหนึ่งนั่งอยู่บนเรือกลางทะเลในฤดูมรสุม แต่เหตุไฉนคนเมากลับได้ยินวาจาร้ายๆ ของเขาทุกคำ แถมเข้าใจความหมายชัดแจ้ง ส่งผลให้ดวงตากลมโตร้อนผ่าว ใบหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ซีดลงถนัดตา

                เขมราชแทบหมดความอดทนกับท่าทีไร้เดียงสาน่าสงสารนั่น และเขาจะไม่ทนอีกต่อไป

                “เลิกทำตัวใสซื่อแล้วแสดงตัวตนออกมาดีกว่า เพราะฉันจะอ้วกเต็มทีกับท่าทางไม่รู้อีโหน่อีเหน่ของเธอ โลกนี้ไม่มีใครใสซื่อจนบื้อแบบเธอหรอกนะฉันจะบอกให้เอาบุญ เผื่อเธอไม่รู้ว่าที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันไม่เนียน”

                “ผัวแกด่าได้เจ็บแสบมากเลยว่ะ” ปารณีย์ชะโงกหน้าเข้ามาแสดงความคิดเห็น ดวงตาเยิ้มมองหอมนวลสลับกลับเขมราชไปมา ยังไม่สร่างเมา

                “ช่าย รูปหล่อ ปากร้าย น่าตื่นเต้นสุดๆ” สุชาติเสริมด้วยน้ำเสียงยานคาง

                สองเพื่อนรักชะโงกหน้ามาจากส่วนของเบาะหลัง เบียดกันอยู่ช่องตรงกลางระหว่างเบาะนั่งของเขมราชกับหอมนวล

                ชายหนุ่มทั้งแท่งคนเดียวบนรถต้องถอนหายใจให้แก่คำวิจารณ์แบบไม่อ้อมค้อมนั่น เขาไม่อยากถือสาคนเมา ถ้าเป็นเวลาปกติเด็กพวกนี้คงไม่พ้นเจ็บตัวแน่

                หอมนวลผลักศีรษะสุชาติกับปารณีย์จนทั้งคู่ตัวติดกับเบาะหนังสีน้ำตาลเข้ม เธอใช้นิ้วชี้ปาดไปที่คอแทนคำพูดว่า ‘ฉันจะฆ่าพวกแก’ ก่อนหันกลับมานั่งสลดตามเดิม

                “ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ”

                “บอกทางมา ฉันจะไปส่งเพื่อนเธอก่อน เพราะเรามีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกยาว”

                หอมนวลอยากจะหายตัวหรือไม่ก็สลบไปเลย จะได้ไม่ต้องมาฟังวาจาเชือดเฉือนของเขา แต่สายตาของราชสีห์ก็ทำให้เธอกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเป็นลม ชี้บอกทางไปหอพักของปารณีย์ รู้สึกได้ถึงความสั่นตั้งแต่ข้อมือไปยังปลายนิ้ว บรรยากาศเหมือนฉากหนังฆาตกรรมไม่มีผิด

 

                สุชาติยืนกอดคอกับปารณีย์อยู่หน้าตึกหอพักนักศึกษา หวังให้อีกฝ่ายพยุงร่างตนไม่ให้ล้มพับลงไปกองกับพื้น แต่ดูเหมือนว่ายิ่งจะพากันล้มหัวคะมำมากกว่า มือข้างที่ว่างโบกอำลาเพื่อนรักที่ตอนนี้ไม่ต่างจากเดินเข้าสู่ลานประหาร มิหนำซ้ำเพชฌฆาตยังเป็นยอดชายอันเป็นที่รักอีกเสียด้วย

                “โชคดีนะเพื่อน ช้านกับไอ้ชาติจะทำบุญปายให้” ปารณีย์ตอกย้ำความกลัวของเพื่อนที่มีอยู่เป็นทุนเดิม ก่อนรถจะแล่นออกไปในวินาทีต่อมาโดยที่หอมนวลไม่ได้กล่าวตอบอะไรสักคำ

                หอมนวลไม่ได้คิดว่าเธอจะตายเพราะน้ำมือเขมราช แต่ก็คงสาหัสไม่น้อย แค่เขาดุเธอคำเดียวก็สะเทือนไปทั้งหัวใจแล้ว หนนี้เขาคงเตรียมคำถากถางที่เจ็บแสบมาเป็นชุดเพื่อหวังให้เธอกระอักตายโดยไม่ต้องออกแรงบีบคอเธอให้เหนื่อย

                “อันที่จริงฉันก็ไม่อยากวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเธอหรอกนะ เพราะว่าฉันไม่คิดสนใจอะไรในตัวเธออยู่แล้ว แต่ถ้าเธอคิดจะเที่ยวเล่นสนุกสนานเป็นเด็กใจแตก เธอก็หย่ากับฉันซะ ฉันเป็นห่วงภาพลักษณ์ของครอบครัวที่สั่งสมมาหลายสิบปี กลัวว่ามันจะพังเพราะลูกชายคนเดียวอย่างฉันได้ผู้หญิงเหลวแหลกมาเป็นเมีย”

                นั่นปะไร เขาลงดาบครั้งแรกเธอก็ราวร้านไปทั้งร่าง หอมนวลยกมือทาบที่อกข้างซ้าย ปลุกปลอบตัวเองให้คลายความเจ็บปวด เธอเพิ่งรู้ว่าเหล้าไม่ได้ช่วยให้เธอหายเจ็บ ทว่ามันทำให้เจ็บมากขึ้นต่างหาก

                “ไม่ต้องพูดกับป้ามณีหรอกค่ะคุณเขม หอมหย่าให้ได้โดยไม่ต้องบอกป้ามณีเลย ถึงเวลานั้นหากว่าป้าไม่พอใจ อย่างมากก็แค่โวยวายไปตามเรื่อง ป้ามณีทำอะไรคุณเขมไม่ได้อยู่แล้ว” หอมนวลพูดไปตามที่คิด

                “อย่าดีแต่ปาก”

                “คุณเขม” หอมนวลขึ้นเสียง เธออยากสวนกลับไปแรงๆ บ้าง แต่วุฒิภาวะเธอต่ำเกินกว่าจะเอ่ยคำพูดอะไรที่แทงใจเขาได้ สุดท้ายจึงได้แต่โวยวายเหมือนเด็กๆ “ทำไมต้องทำตัวร้ายขนาดนี้ด้วย หอมจะหย่าให้ หย่าแล้วจะไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลย”

                “ฉันไม่ได้อยากเห็นหน้าเธอหรอกนะ แต่ฉันไม่ใช่คนปลิ้นปล้อนแบบเธอ ฉันรักษาสัญญาเสมอแม้ว่ามันจะห่วยแค่ไหน ไม่เหมือนเธอ คิดหักหลังทุกคนแม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าพี่สาว”

                หอมนวลหายใจช้าๆ สงบอารมณ์ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยอยากหยิบมีดมากรีดปากใครเท่านี้มาก่อนเลย เธออยากให้เขาเป็นใบ้ หรือไม่เธอก็หูหนวก ไม่ต้องได้ยินคำพูดร้ายๆ ของเขาได้ยิ่งดี

                “ถ้าคุณเขมเกลียดหอมไปแล้ว ไม่ว่าหอมจะพูดอะไรไปมันก็คงผิดหมดทุกอย่าง หอมคงไม่พูดอะไรอีกแล้วละค่ะ”

                เธอสร่างเมาแล้วจริงๆ เพราะเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนทั้งที่เป็นเวลากลางคืน แม้กระทั่งดวงตาที่เคยสื่อความหมาย เธอก็ยังเห็นว่าตอนนี้มันไร้เยื่อใยอย่างชัดเจน

                หอมนวลก้มหน้าไม่อยากรับรู้แววตาเกลียดชังของเขา โกรธตัวเองที่เคยคิดว่าเขมราชอาจรักเธอได้ในวันหนึ่ง ทั้งที่ผ่านมาหลายปีก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดใฝ่สูงเลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าเธอต่ำต้อยกว่าเขาอย่างคนรวยกับคนจน แต่เธอต่ำต้อยทางรูปลักษณ์ เธอรู้ดีแก่ใจว่าผู้หญิงที่สามารถยืนเคียงข้างเขาได้ต้องสวย สง่างาม และฉลาดปราดเปรื่อง สามารถเป็นกำลังสำคัญในการควบคุมคนงานนับพันได้แม้เป็นหญิง

                แต่หอมนวลไม่ใช่แบบนั้น เธออ่อนปวกเปียก อยู่กับความเพ้อฝัน เรียนคณะเกษตรเพราะหวังว่าจะช่วยงานในไร่ของผู้เป็นป้า แม้จะได้ชื่อว่าเป็นทายาทโรงแรมห้าดาวมูลค่ากว่าห้าร้อยล้าน แต่เธอก็คิดเสมอว่านั่นไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ เพราะรู้ว่ามันไม่เหมาะกับตัวเอง นับประสาอะไรกับผู้ชายที่ชื่อเขมราช เธอไม่เคยหวังในตัวเขาเลยสักวินาที

                เว้นสิบนาทีแรกก่อนที่จันทร์นรีจะกลับมา หัวใจที่ถูกกักขังไว้ไม่ให้เผลอหวั่นไหวได้ถูกปลดพันธนาการ โบยบินไปตามความถวิล แต่ตั้งแต่ตอนนั้นจนกระทั่งเวลานี้...หัวใจของเธอก็ยังไม่กลับมาเลย

                “ไม่พูดก็ดี รำคาญ” ริมฝีปากหยักยังมิวายเอ่ยกระทบให้เธอได้เจ็บอีกระลอก

                หอมนวลเมินหน้าหนีไปอีกทาง เขาไม่อยากมองหน้าเธอ ไม่อยากได้ยินเสียงเธอ เธอก็ไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่อยากได้ยินเสียงเขาเหมือนกัน

                ทว่าเงียบอยู่ได้ไม่ถึงนาที เขมราชก็เอื้อมมาแย่งโทรศัพท์ในมือของคนเหม่อลอยเป็นหนที่สอง

                “คุณเขม ทำอะไรคะ”

                “เอารหัสมา” เขมราชถามรหัสปลดล็อกโทรศัพท์

                “คุณเขมจะทำอะไรกับโทรศัพท์หอม นั่นมันของส่วนตัวนะคะ” หอมนวลมองโทรศัพท์ในมือพ่อเลี้ยงหนุ่มตาเขม็ง แต่ไม่กล้ายื้อแย่งกลับคืนมา

                “เร็วๆ หรือจะให้ฉันทิ้งมันไป”

                “อย่านะ ในนั้นมีข้อมูลวิจัยของหอม ห้ามทิ้งเด็ดขาดเลยนะคะ”

                “ก็รีบบอกมา”

                “อยากรู้อะไรล่ะคะ”

                เขมราชไม่พูด แต่ยื่นโทรศัพท์ออกไปนอกตัวรถ

                หอมนวลเบิกตากว้าง กลัวว่าแรงลมจะปะทะทำให้โทรศัพท์ร่วงหลุดจากมือเขาได้

                “บอกแล้วค่ะบอก” ในนั้นไม่มีอะไรเป็นความลับอยู่แล้ว ถึงมีเขาก็ไม่มีทางหาเจอในขณะที่ขับรถอยู่แบบนี้ “เจ็ดสามหนึ่งห้า”

                เขมราชจัดการปลดล็อกโทรศัพท์ก่อนกดตัวเลขเร็วๆ ครู่เดียวเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น        ‘โคเผือก’

                สายตาแข็งกร้าวจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนที่จะตวัดตามองเจ้าของเครื่องจนถึงกับสะดุ้ง แบบนี้นี่เองเพื่อนเมรีถึงได้เรียกเขาว่า ‘โคเผือก’

                “หมายความว่าไง”

                “คือว่า...” หอมนวลอยากกัดลิ้นตัวเองตาย มันน่ากลัวกว่าตอนที่เธอถูกจับได้ว่าโกหกเรื่องจันทร์นรีเสียอีก เพราะอย่างน้อยครั้งนั้นเธอก็มีเหตุผลหรือข้อแก้ตัว แต่ครั้งนี้ไม่...

                “ตอบมา” เขมราชกดเสียงต่ำ สะกดกลั้นอารมณ์เดือด เขาไม่เคยถูกใครหยามขนาดนี้มาก่อน

                “หอมไม่ได้ตั้งใจบันทึกเบอร์คุณเขมด้วยชื่อนี้หรอกนะคะ” คนทำผิดกลอกตาไปมา เวลานี้เธอรู้แล้วว่าทำไมนางวันทองถึงตายเพราะตอบคำถามง่ายๆ ของพระพันวษา เธอก็คงต้องตายเช่นเดียวกัน

                “แล้วยังไง”

                “ก็คุณเขมเลี้ยงโคนี่คะ ทั้งโคนม โคเนื้อ ก็เลย...”

                “แล้วทำไมต้องโคเผือก ฉันเคยได้ยินแต่ควายเผือก”

                “ก็...ชะ ชะ ใช่ค่ะ”

                เอี๊ยดดด!

                รถเบรกกะทันหันจนหอมนวลหัวคะมำ คำตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ ทำเอาคนตัวโตนิ่งงัน เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวจะสามารถซ่อนมุมมืดได้มากมายถึงเพียงนี้ ไม่มีใครกล้าเรียกเขาด้วยชื่อที่มีที่มาแบบนี้อย่างแน่นอน คนตัวโตรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวที่เปล่งประกายจากร่างอ้อนแอ้นในชุดกีฬาสี

                เขาเริ่มกลัวเธอเข้าแล้วจริงๆ

                “นี่เธอเปรียบเทียบฉันกับควายเลยเหรอ”

                “ก็ตอนนั้นคุณเขมจำหอมไม่ได้นี่คะ เหมือนกับเจ้าทุยที่มันสมองไม่ค่อยดี แต่จริงๆ แล้วควายน่ารักมากนะคะ คุณเขมคงคิดว่ามันเป็นสัตว์ชั้นต่ำ โง่เขลาเบาปัญญาใช่มั้ย คุณถึงได้รังเกียจไม่ยอมใช้ชื่อมันแทนชื่อตัวเอง”

                “เธอกล้าใช้มั้ยเล่า” เขมราชอยากกลายร่างเป็นยักษ์เขียวแล้วบีบลำคอขาวๆ ของคนช่างเปรียบเทียบให้ตายคามือ “เธอหมิ่นประมาทฉันนะ ฉันจะทำยังไงกับเธอดี”   

                “หอมขอโทษ หอมยอมให้คุณเขมเรียกหอมว่าควายคืนก็ได้ค่ะ เรียกกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะพอใจ”

                “ปัญญาอ่อน”

                คำตอบของเขมราชทำเอาหอมนวลหุบปากฉับ เธอว่าเขาแค่ควายคำเดียวทำมาเป็นทุกข์ร้อน ทีเขาว่าคนอื่นแรงกว่านี้ตั้งหลายเท่า สารเลวบ้างละ ชั่วบ้างละ ปัญญาอ่อน ดีแต่ปาก เด็กเลี้ยงแกะ สารพัดที่จะสรรหามาพูด เธอยังไม่โวยวายสักคำ

                “หอมขอโทษค่ะ หอมจะลบ พอใจมั้ยคะ”

                “ไม่ แต่ฉันจะคิดบัญชีกับเธอทีเดียว ทบต้นทบดอก เอาให้กระอักตายไปเลย”

                หอมนวลหมดคำพูด เธอไม่ได้คิดกล่าวถ้อยคำหยาบคายแบบนั้นกับเขาจริงๆ เธอถึงได้เปลี่ยนเป็น ‘โคเผือก’ ถามใครใครก็ว่าน่ารัก ถ้าเขาไม่ต้องการให้เธอลบเธอก็จะไม่ลบ ปล่อยคาโทรศัพท์ไว้แบบนี้ละ

 

                รถแล่นมาจอดหน้าเรือนแสงอรุณในเวลาเกือบเที่ยงคืน หอมนวลก้าวลงจากรถได้ก็รีบวิ่งไม่คิดชีวิต แต่ขณะที่กำลังจะถึงบันไดบ้าน กลับถูกมือแข็งแรงกระชากจนตัวลอยหวือไปอยู่ในวงแขนกำยำ ไหล่ข้างหนึ่งของเธอแนบชิดกับแผงอกกว้างจนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ

                เขมราชหายใจไม่ทั่วท้อง กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากลมหายใจของคนในอ้อมกอดดึงดูดอารมณ์กำหนัดแทนที่จะเป็นอารมณ์โกรธ ความโมโหที่มีอยู่ก่อนหน้ามลายหายไปสิ้น ไม่รู้เพราะอะไรเขาจึงอยากลงทัณฑ์เด็กหนีเที่ยวด้วยการจับโยนขึ้นเตียงมากกว่าการเฆี่ยนตีด้วยไม้เรียว

                “คุณเขมจะทำอะไรคะ”

                “ฉันจะลงโทษเธอไง”

                จมูกโด่งยื่นเข้าไปจนชิดแก้มใส เขาใช้แขนข้างเดียวยกร่างเล็กขึ้นก่อนประทับจูบลงบนเรียวปากอิ่มสีแดงระเรื่อ หอมนวลดันร่างหนาออกจากตัว แต่ดูเหมือนว่ายากเย็นราวกับว่ากายที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อของชายหนุ่มคือภูเขาลูกใหญ่ ไม่สะเทือนไหวสักนิดเดียว

                คนถูกคุกคามสะท้านในอก จูบแรกจากความเกลียดชังของเขมราชเรียกน้ำตาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่รู้ทำไมหอมนวลจึงรู้สึกเจ็บมากกว่าตอนฟังคำต่อว่าแรงๆ ของเขา เธอคงเจ็บเพราะรู้ว่าเจ้าของจูบนี้จะฝากรอยแผลไว้ในหัวใจเธอไปอีกเนิ่นนาน แผลที่ตอกย้ำให้รู้ว่าเขมราชกับเธอไม่มีวันได้เดินเคียงข้างกัน

                ไม่มีวัน...

                “กลับมานานแล้วทำไมถึงยังไม่ขึ้นบ้าน”

                เสียงจากคนที่ยืนอยู่บนชานเรือนทำให้เขมราชคลายจูบนั้นอย่างเสียดาย

                กรองแก้วจ้องเขม็งบ่งบอกว่าเธอเห็นทุกการกระทำของลูกชาย แต่เขมราชกลับตีสีหน้าเรียบเฉยไม่รู้สึกรู้สม เดินขึ้นบ้านมาโอบเอวมารดา แล้วรั้งร่างผอมบางที่สั่นเทาเพราะความชราไปนั่งบนม้านั่งตัวยาว ทำราวกับว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

                ในขณะที่กรองแก้วมองลูกชายอย่างรู้สึกทึ่งที่สามารถทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้อย่างดีเยี่ยม

                “ทำไมแม่ยังไม่นอนอีกครับ” เขมราชนั่งลงบนพื้นไม้ “ป้าจันเป็งทำไมไม่พาแม่นอนล่ะครับ นี่มันดึกแล้ว”

                “ข้าเจ้าบอกแล้วเจ้า แต่นายแม่ก็บ่ยอมฟัง บอกว่าจะรอแม่เลี้ยงกลับก่อนท่าเดียว” ป้าจันเป็งหาวหวอดๆ บอกตามความจริง

                “แม่เป็นห่วงหนูหอม เป็นผู้หญิงกลับบ้านผิดเวลา จะให้แม่นอนหลับลงไปได้ยังไง”

                หอมนวลได้ยินก็ยิ่งรู้สึกผิด เธอเดินช้าๆ มานั่งลงที่พื้นตามเขมราช แล้วเกาะขาข้างหนึ่งของหญิงสูงวัยแล้วเอ่ยขอโทษจากใจจริง

                “หอมขอโทษค่ะคุณป้า หอมไม่คิดว่าคุณป้าจะรอ”

                “แม่เลิกห่วงเธอไปได้เลยนะครับ ยายเด็กนี่ไม่ได้ใสซื่ออย่างที่พวกเราเข้าใจ เธอเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์แหละครับ แม่รู้มั้ยครับว่าผมพบเธอที่ไหน...” เขมราชรายงานทุกเหตุการณ์ หวังให้มารดาคลายความรักต่อหอมนวล จะเรียกว่าเด็กขี้ฟ้องก็คงไม่ผิดนัก

                “ทำไมหนูไปอยู่ในที่แบบนั้นล่ะลูก บอกป้าได้มั้ย ป้ารู้นะว่าหอมไม่ใช่เด็กสำมะเลเทเมา”

                หอมนวลซาบซึ้งใจที่กรองแก้วยังเชื่อเธอ ไม่ตัดสินเธอง่ายๆ แบบใครบางคน หญิงสาวยืดตัวขึ้นกระซิบข้อความบางอย่างข้างหูของหญิงสูงวัย เธอไม่อยากให้เขมราชรู้สาเหตุที่แท้จริงของการหนีเที่ยวครั้งนี้ของเธอ

                “หอมกับไอ้ชาติอกหัก เลยคิดว่าเหล้าจะช่วยให้หายเจ็บได้ค่ะ”

                กรองแก้วได้ฟังแล้วถึงกับยิ้มออกมา ต่างจากเขมราชที่มองดูท่าทีมารดาอย่างไม่เข้าใจ อันที่จริงเขาหัวเสียเลยต่างหากเมื่อเห็นว่ามารดาไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวหอมนวลอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้อีก

                “โถ…น่าสงสาร จำไว้นะลูก เหล้ามันไม่เคยช่วยใครได้ เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาอย่างเดียว”

                “เธอพูดอะไรกับแม่” เขมราชกระชากต้นแขนเล็กจนแทบหัวคะมำ

                “ตาเขม” กรองแก้วตีมือเขมราชให้ปล่อยแขนลูกสะใภ้ เธอถลึงตาใส่ลูกชายก่อนดึงสาวร่างบางมากอดปลอบใจ “อย่าทำตัวแบบนี้ เราเป็นผู้ชาย”

                “แต่แม่ครับ เธอกำลังโกหกแม่อยู่”

                “หนูหอมพูดความจริง แม่เชื่อ”

                “แม่เชื่อว่ายังไงครับ ถ้าเธอบริสุทธิ์ใจ ทำไมต้องกระซิบกระซาบ ทำไมไม่พูดตรงๆ ต่อหน้า” เขมราชไม่ยอม เขาอยากจะลงไปนอนแดดิ้นเป็นเด็กถูกขัดใจ ยิ่งเห็นแววตาใสของผู้หญิงเจ้ามารยา พ่อเลี้ยงหนุ่มวัยสามสิบก็แทบเสียศูนย์ ควบคุมอารมณ์เดือดของตัวเองไม่ได้

                “แม่เชื่อ แม่มีทักษะการคิดวิเคราะห์ เชื่อโดยไตร่ตรองดีแล้ว” กรองแก้วยืนยันแน่นหนักก่อนหันไปหาคนรับใช้ที่ยืนหาวแล้วหาวอีกอยู่ใกล้ๆ “จันเป็งมาพาหนูหอมไปนอน”

                จันเป็งทำตามในทันทีเพราะง่วงถึงขีดสุด หอมนวลเกาะแขนอวบอ้วนไว้ราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวอันสามารถปกป้องคุ้มครองเธอได้ แม้จะรู้ว่าแค่ชั่วคราวก็ตามที

                เขมราชมองตามสาวในชุดกีฬาสีอย่างเดือดดาล หอมนวลมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมากกว่าที่เขาคิด ไม่รู้เธอพูดอะไรถึงรอดจากความผิดครั้งนี้ไปได้ทั้งที่ไม่น่ารอด

                แต่ไม่เป็นไร...พ้นจากตรงนี้ไปก็ห้องนอน ยายเด็กแสบจะหนีเขาไปไหนได้ ในเมื่อมารดาเขาไม่คิดจัดการคนทำผิด เดี๋ยวราชสีห์เจ้าป่าจะลงทัณฑ์ลูกแกะนิสัยไม่ดีด้วยตัวเอง บนลานประหารที่เรียกว่าเตียงนอน



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น