4
อชิระมาถึงวีพีกรุ๊ปในตอนบ่าย เขาตรงขึ้นไปหาพี่สาวที่ชั้นบนสุด ห้องทำงานของอชิรญาณ์กับเจ้าสัวอรุณอยู่ชั้นเดียวกันและไม่ไกลกันมาก เสียงประตูห้องทำงานของป๊าเปิดและพี่สาวของเขาเดินออกมา อชิระหยุดหันไปมองคิดว่าจะยืนรออชิรญาณ์อยู่ตรงนั้นแล้วค่อยเข้าห้องพร้อมกัน
ทันใดนั้นเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง ชายหนุ่มหันไปทางนั้นทั้งตัวเพื่อจะได้เพ่งให้ถนัด หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าที่ควรจะเป็น ผู้หญิงคนนั้นเดินสวนกับอชิรญาณ์ กำลังจะหายเข้าไปในห้องป๊า เขารู้ว่านั่นไม่ใช่เลขาฯ ป๊า ไม่ใช่แม่ใหญ่หรือแม่รอง ช่วงจังหวะก่อนประตูจะปิด เธอคนนั้นเอี้ยวตัวมาค้อมศีรษะให้พี่สาวเขา แต่แค่นั้นก็มากพอทำให้เขาผงะ
เฮ้ย! วสุวีโผล่มาที่นี่ได้ไง
อชิระนึกว่าถูกผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ ยังไม่ทันหายแปลกใจ พี่สาวสุดที่รักก็เดินมาถึง
“ไงเสือ หาแม่พันธุ์ทำลูกได้แล้วใช่ไหม”
นั่นคือคำพูดประโยคแรกที่พี่สาวของเขาเอ่ยทัก ช่างสมกับเป็นอชิรญาณ์จริงๆ
“ทวงลูกอย่างกับทวงหนี้เลยนะพี่ ทำไมเราไม่เริ่มกันแบบคนทั่วไปเขาเจอกัน เฮ้ย! เป็นไง ไปไหนมา อะไรแบบนี้” ชายหนุ่มกลอกตาทำหน้าเบ้ ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางห้องท่านเจ้าสัว “ป๊ามีแขกเหรอ”
“ถามทำไม แกก็เห็นแล้ว”
“ก็เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงนะสิถึงได้ถาม ใครเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก ไม่ต้องสนใจหรอก”
แต่ผมต้องสนใจ
อชิระตะโกนบอกพี่สาวในใจ พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำเป็นเฉไฉ ลองหยั่งเชิงถาม ทั้งที่ในใจกระสับกระส่ายเริ่มคิดไปในทางไม่ดีนัก
“ตลกน่ะพี่ ผมจะไปสนใจอะไร ก็แค่ถามเฉยๆ ว่าใคร เพราะเห็นเข้าไปคุยกับป๊า อีหนูคนใหม่เหรอ”
“ไอ้บ้า นั่นลูกสาวคุณวิรงรอง” อชิรญาณ์ตบต้นแขนน้องชาย “ได้ยินว่าเพิ่งจะโทร. มานัด โชคดีนะที่ป๊ายังอยู่ก็เลยให้เข้ามาคุย เพราะพรุ่งนี้ป๊าจะบินไปดูที่มั้ง”
สองเท้าอชิระหยุดชะงัก หันหน้ากลับไปจ้องประตูห้องท่านเจ้าสัวเขม็ง ท่าทางประหลาดของน้องชายทำให้อชิรญาณ์สงสัย
“เป็นอะไรของแก”
“พี่รู้ไหมว่าลูกสาวคุณวิมาคุยธุระอะไรกับป๊า”
“ถ้าให้เดาก็คงจะเอาโรงแรมมาขายให้ป๊ามั้ง แกมีหุ้นโรงแรมเขาอยู่แล้ว ทำไมไม่สนใจซื้อเก็บไว้ล่ะ เหมือนฉันจะได้ข่าวแว่วๆ มาว่าเขาก็เคยติดต่อจะขายให้นี่”
“ขี้เกียจ ไม่อยากได้ โรงแรมผมมีตั้งหลายที่แล้ว”
“งั้นก็ไม่ต้องสนใจ เข้าไปคุยกับฉันในห้องดีกว่า”
“พอดีเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระกับป๊าน่ะพี่ ผม...ขอตัวก่อนนะ” อชิระรีบชิ่ง ก่อนสิ่งที่คิดไว้จะเกิดขึ้น
“ไอ้เสือ นั่นแกจะไปไหนก็ป๊ายังมีแขกอยู่” เสียงอชิรญาณ์ท้วงมาจากด้านหลัง แต่อชิระไม่สนแล้ว อึดใจเดียวชายหนุ่มก็ถึงหน้าห้องทำงานของเจ้าสัวอรุณ
“อุ๊ย คุณเสือ มายังไงคะนี่” เลขาฯ สาวยิ้มกว้าง แววตาเป็นประกายวาวหวาน รีบลุกขึ้นยืนรับหน้าลูกชายเจ้านายอย่างไม่เก็บอาการ
“ผมจะเข้าไปคุยกับป๊า” อชิระบอกและเดินผ่านคุณเลขาฯ ไปเลย
“ดะ...เดี๋ยวค่ะคุณเสือ ท่านเจ้าสัวกำลังมีแขกนะคะ”
“ไม่เป็นไร ผมเคลียร์กับแขกของป๊าได้”
“ไม่ได้ค่ะคุณเสือ รอก่อนนะคะ คุณเสือ!”
เลขาฯ สาวของท่านเจ้าสัววิ่งตามมาขวางแต่ไม่ทัน ชายหนุ่มเปิดประตูผลัวะเข้าไป
“บ้าฉิบ! ขายให้ผมไม่ได้ กะจะมาแบขายให้ป๊าด้วยเหรอเนี่ย”
คำพูดเกรี้ยวกราดหัวเสียของอชิระดังขึ้น เจ้าสัวอรุณกับวสุวีหันมามองชายหนุ่มเป็นตาเดียว เลขาฯ ท่านเจ้าสัวก็วิ่งตามเข้ามาอีกคน เธอเหลือบมองหน้าเจ้านายแล้วยืนนิ่ง ก้มหน้างุด เอามือประสานเตรียมตัวรอรับคำตำหนิ
“ขอโทษค่ะ ดิฉันพยายามห้ามแล้ว แต่คุณเสือ...”
“ออกไปเถอะ เดี๋ยวฉันคุยกับมันเอง” ท่านเจ้าสัวโบกมือไล่ พอเลขาฯ ถอยออกไป ก็เลื่อนสายตาเหลือบมองมาที่ลูกชายคนเดียวอย่างสงสัย “นึกยังไงมาหาฉันได้ล่ะวันนี้”
“ก็...ได้ข่าวแว่วๆ ว่ามีคนจะมาขายของ ผมเลยแวะมาดูสักหน่อย” ชายหนุ่มปรายตามองวสุวี เห็นว่าเธอยังนั่งหลังตรงทำเฉย หน้าตึง ไม่ตื่นตะลึงอะไรกับการมาของเขา อ้อ...ไม่สิ เธอดูจะช็อกเหมือนกันตอนเห็นเขาผลักประตูบุกเข้ามา แต่หลังจากนั้นก็ไม่ชายตาแลอีกเลย
“แกรู้ได้ไง” ท่านเจ้าสัวหันไปสบตากับหญิงสาวราวกับจะสั่งให้เธอนั่งฟังเงียบๆ
“ผมรู้ก็แล้วกัน”
“ก็ถ้าแกรู้แล้วจะยังไงล่ะ” เจ้าสัวอรุณย้อนถามลูกชาย ขณะเอนกายพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ
ท่านรู้จักคุ้นเคยกับคุณวิรงรองเป็นอย่างดี การที่ลูกสาวของเพื่อนเก่ามาขอเข้าพบก็แน่ละว่าคงต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง บวกกับสถานการณ์ของโรงแรมที่ได้ข่าวมา ท่านก็เลยอนุญาตให้วสุวีเข้าพบได้ทันที ยังไม่ทันได้คุยกันเข้าเรื่อง อชิระก็บุกพรวดพราดเข้ามาหน้าตาพร้อมอาละวาด ไอ้ลูกคนนี้มันเป็นอะไร ท่านเจ้าสัวข้องใจนัก
“ทำไมแกเกิดนึกเปลี่ยนใจจะซื้อตัดหน้าฉันเหรอ”
“ก็ต้องดูก่อนว่าราคาแพงเกินไปไหม”
“ถ้าถูกใจไม่มีคำว่าแพงหรอกเสือ” ท่านเจ้าสัวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทว่าคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีคือลูกชายของท่าน
อชิระกำลังเดือดดาล ในการเผชิญหน้าแต่ละครั้งกับผู้หญิงที่เขาเพิ่งก้าวลงจากเตียงของพวกเธอ ไม่มีใครทำหน้าไร้อารมณ์ได้เท่าวสุวีอีกแล้ว เธอช่างไม่รู้ตัวเลยสินะว่ากำลังเล่นกับไฟ สายตาของป๊าทำให้เขาอยากจับเธอยัดใส่กระสอบแล้วโยนออกไปนอกห้อง ไอ้เรื่องรนหาที่นี่วสุวีเก่งเหลือเกิน เธอมันแน่ แน่มากจริงๆ อย่าบอกเชียวนะว่าคิดจะเปลี่ยนเป้าหมายจากเขาเป็นป๊าน่ะ อชิระเหวี่ยงดวงตาคมกริบมาที่หญิงสาวแล้วเน้นเสียงถามอย่างมีความหมายแอบแฝง
“คุณบอกราคาขายให้ป๊าผมเท่าไหร่ มีของแถมแบบที่เคยเสนอให้ผมหรือเปล่า”
“หนูวีไม่ได้บอกว่าจะขายโรงแรมให้ฉัน แกไม่ต้องมาเกรี้ยวกราด” คำเรียกขานที่แสนสนิทสนมเอ็นดูเติมเชื้อไฟในใจอชิระให้คุกรุ่นเข้าไปใหญ่ ท่านเจ้าสัวกวักมือเรียกลูกชายแล้วว่า
“ไหนๆ แกก็มาแล้ว มาทำความรู้จักอย่างเป็นทางการกับน้องหน่อย ฉันกับคุณวิน่ะเคยพึ่งพากันมาก่อน ส่วนแกก็ทำธุรกิจกับเขา จะว่าไปก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน แต่คุณวินี่ขึ้นชื่อจริงๆ เรื่องหวงลูกสาว เราเลยไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา นี่ถ้าหนูไม่มาหาก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันไหม”
“ถ้าป๊าสู้ราคาไหวก็คงได้เจอบ่อย”
“ไอ้คนปากเสียนั่นลูกชายลุงเอง ชื่ออชิระ”
“สวัสดีค่ะคุณอชิระ” วสุวียกมือไหว้ด้วยท่วงท่างดงาม ทำทุกอย่างไปตามมารยาท ไม่ได้ฝืนใจและก็ไม่ได้ตั้งใจให้ความสำคัญ
“เป็นทางการจังนะ เมื่อคืนไม่เห็นมากพิธีแบบนี้”
“ต่อหน้าผู้ใหญ่ อะไรควร อะไรไม่ควรก็ต้องรู้สิคะ ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว”
“บรรลุนิติภาวะ เรียนจบ รับปริญญาแล้วใช่ไหม”
เขาแกล้งเอาคำพูดเธอมายอกย้อน ทิ้งสายตาอ้อยอิ่งแถวๆ บริเวณหน้าอกของเธอ บ่ายนี้วสุวีแต่งกายมิดชิด แต่ทรวงอกกลมกลึงพอดีมือคู่นั้นพุ่งดันตัวเสื้อจนเห็นเป็นเค้าโครงเย้ายวนใจ เขายังจำรสชาติของมันได้ ตอนที่ปลายเม็ดยอดสีเข้มขยายผลิบานในปาก ตอนที่ลิ้นของเขาปาดเลียเล้าโลม
อา...เขาเริ่มฟุ้งซ่านอีกแล้วสินะ ชายหนุ่มกระแอมไล่น้ำลายที่จู่ๆ ก็ติดคอขึ้นมากะทันหัน
อชิระเลือกนั่งเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับหญิงสาว เขานั่งเอนหลังยกมือขึ้นกอดอก ขายกขึ้นไขว่ห้าง ท่าเดียวกับเมื่อเช้า ดวงตาคมวาวกวาดมองทั่วเรือนร่างสื่อความหมายลึกล้ำ ไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าท่านเจ้าสัวเห็นแล้วจะคิดยังไง
“คุณไม่เด็กแล้วจริงๆ นั่นแหละ”
“เสือ...อย่าเสียมารยาท หนูวีเป็นแขกของฉัน” เจ้าสัวอรุณปรามลูกชาย อุตส่าห์แนะนำหวังให้มันเกรงใจท่านกับคุณวิบ้าง ดูทรงแล้วคงไม่ได้ผล ถ้าเดาไม่ผิด ท่านว่าคู่นี้น่าจะเคยเจอกันมาก่อน แต่จะเจอกันในรูปแบบไหนท่านไม่รู้ รู้แต่วสุวีคนนี้รบกวนจิตใจอชิระไม่ใช่เล่น “แกมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้ถามให้รู้ๆ กันไป แกยังสนใจโรงแรมวิรงรองอยู่ไหม ถ้าแกไม่เอา ฉัน...”
“ก็ไหนบอกว่าไม่ได้มาเรื่องโรงแรม” ท่านเจ้าสัวยังพูดไม่จบ อชิระก็หันไปเล่นงานวสุวี
“ฉัน...”
หญิงสาวตาค้างมองท่านเจ้าสัว เธอยังไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่ได้จะขายโรงแรมด้วยซ้ำ เธอจะมาแบล็กเมลลูกชายท่านต่างหาก คลิปร่วมรักไม่มี แต่ภาพที่เขาหอบหิ้วเธอเข้าโรงแรมนั้นชัดเจน คำพูดของหญิงสาวมาจ่อรอที่ริมฝีปาก แต่ยังหาจังหวะแทรกไม่ได้
“ป๊าอยากได้นักหรือไง” แล้วที่อยากได้น่ะ คนหรือโรงแรม อชิระอยากจะถามแบบนี้มากกว่า วสุวีน่ะเด็กกว่าน้องสาวคนเล็กของเขาเสียอีก หวานกรุบแบบนี้ก็เข้าสเปกป๊าซะด้วย
“ฉันถามแกก็ตอบ ไม่ใช่มาย้อนถามฉันกลับ เมื่อไหร่จะคุยกันรู้เรื่อง”
“คุณอชิระปฏิเสธมาสองครั้งแล้วค่ะ” วสุวีอดจะพูดขึ้นมาไม่ได้ “คิดว่าคงไม่น่าจะต้องถามอะไรแล้ว ถ้าหากคุณลุงสนใจ วีก็ยินดีที่จะ...”
“เอา!” คำเดียวของอชิระ ทำสองคนในห้องเงียบกริบ “ใครว่าผมไม่เอา กิจการป๊าเยอะแยะ จะมาสนใจอะไรกับโรงแรมที่ใกล้เจ๊ง”
“สรุปว่าแกจะเอาแน่ใช่ไหม” ท่านเจ้าสัวมองลูกชายด้วยสายตารำคาญเต็มทน
“เรื่องนี้ผมขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวดีกว่า” อชิระลุกขึ้นมาพร้อมคว้ามือวสุวีให้เดินออกจากห้องพร้อมกัน
“คิดจะทำอะไรของคุณ” วสุวีขัดขืน ยืนถลึงตาใส่ พยายามดึงมือออก
“ก็ไปหาที่คุยกัน โรงแรมวิรงรองดีไหม เห็นแขกรีวิวว่าเตียงนุ่มมาก” เขาฉีกยิ้มใส่ตาเธอ ก่อนจะหันไปบอกท่านเจ้าสัว “ขอตัวก่อนนะป๊า ขอเคลียร์ปัญหากับว่าที่หุ้นส่วนแป๊บ”
ท่านเจ้าสัวจะอ้าปากห้ามลูกชายก็ไม่ทัน สองคนนั้นพากันฉุดกระชากลากแขนออกจากห้องไปแล้ว งานนี้ไอ้เสือทำเสียเรื่องแน่
วสุวีสะบัดมือ ขึงตาใส่ชายหนุ่ม ฝืนกายไม่ให้ไหลไปตามแรงดึง แต่เรี่ยวแรงเธอจะถึกทนสู้เขาได้ยังไง อชิระบ้าไปแล้ว เขาทำลายโอกาสเธอ ลากตัวเธอออกมาจากห้องท่านเจ้าสัวตรงไปเข้าลิฟต์โดยที่ยังบีบข้อมือเธอแน่น
“นี่คุณปล่อยมือฉันนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ ฉันเจ็บ บอกว่าเจ็บไงเล่า!”
หญิงสาวออกแรงกระชากมือให้หลุด แต่เขากลับเพิ่มแรงบีบแน่น เธอเจ็บจนน้ำตาร่วง เจ็บทั้งมือ เจ็บทั้งใจกับผู้ชายคนนี้ ความโกรธสะสมมากเข้าแถมเขายังไม่ยอมปล่อย วสุวีทนไม่ไหวก็เลยยกขาเตะหน้าแข้งเขาไปเต็มแรง นึกแช่งชักหักกระดูกให้เขาตกนรกหมกไหม้
“โอ๊ะ! ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย” อชิระหน้าเหย ยกขาข้างที่เพิ่งโดนเตะขึ้น ยืนเขยก
“คุณจะพาฉันไปไหน รถฉันจอดทางนั้น”
“ทิ้งไว้นั่นแล้วไปกับผม เดี๋ยวสั่งคนจัดการให้ รับรองส่งคืนครบทุกชิ้นส่วน”
ชายหนุ่มบอก มือเขายังไม่คลายออกจากมือเธอ วสุวีเดินตามเขามาถึงที่จอดรถหน้าตึก อชิระจับเธอยัดเข้าไปในรถ เตรียมจะปิดประตู แต่เธอเอามือยันไว้อย่างไม่ยอมจำนนง่ายๆ
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”
“แต่ฉันไม่อยากคุยกับคนเฮงซวยอย่างคุณแล้ว”
อชิระมองเธอราวกับจะค้อน “แหม...ทีเมื่อคืนยังเรียกคุณเสือขา พอมาตอนนี้เป็นคนเฮงซวยซะแล้ว นี่แหละนะเขาถึงว่าสามวันจากนารีเป็นอื่น ผัวกันเมียกันก็กลายเป็นคนอื่นคนไกล นี่ผมลงจากเตียงคุณยังไม่ครบสิบสองชั่วโมงเลยนะ ไม่ความจำสั้นไปหน่อยเหรอ”
“คุณพูดเองไม่ใช่หรือไงว่านับฉันเป็นเมียไม่ได้ แล้วจะมายืนฉอดอยู่ทำไม ไม่ใช่ผัวฉันก็หุบปากแล้วไสหัวไปซะ”
“แต่ในฐานะที่คุณเคยมีความสุขกับไอ้นั่นของผม เราสองคนน่าจะยังคุยกันได้”
“คุณอยากพูดอะไร ก็คุยตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องลากฉันไปไหนให้ลำบาก ฉันเหม็นขี้หน้าคุณและคงทนอยู่กับคุณนานเกินห้านาทีไม่ได้”
“แค่นั้นก็นานพอที่ผมจะทำให้คุณเสร็จคาปากได้แล้ว” เขาพึมพำ แต่วสุวีได้ยินชัดแจ๋ว เธอโกรธจนแทบไฟแลบออกตา
“โอเคๆ” อชิระยกมือยอมแพ้ พยักหน้าพลางกวาดตามองไปรอบๆ “เราจะคุยเรื่องบนเตียงให้คนที่เดินผ่านไปมาได้ยินด้วยก็ได้ แต่ผมจะไม่เซนเซอร์ฉาก 18+ หรอกนะบอกไว้ก่อน แล้วผมก็ไม่แคร์ด้วยว่าใครจะมองยังไง เพราะนี่มันถิ่นผม คุณต่างหากที่พวกนั้นจะเอาไปนินทากันสนุกปาก คุณคิดว่าไงล่ะ พอจะทนเหม็นขี้หน้านั่งรถไปคุยกับผมเงียบๆ ได้หรือยัง”
“ฉันเกลียดคุณ!”
“ผมก็ไม่ได้โหยหาความรักความเมตตาจากคุณนี่นา” เขาเลิกคิ้วแล้วยิ้มกวนประสาท “ยอมเปลี่ยนใจไปด้วยกันแล้วใช่ไหม”
วสุวีนั่งฮึดฮัด ออกแรงดึงประตูปิดจนรถสะเทือนทั้งคัน ดีว่าเจ้าของรถชักมือออกจากขอบประตูทัน ไม่งั้นคงถูกหนีบกระดูกข้อนิ้วแตกแน่
อชิระชูมือที่ปลอดภัยสบายดีของเขาขึ้นอวดหญิงสาว ริมฝีปากมีรอยยิ้มขบขัน เห็นแบบนี้ลูกสาวคุณวิก็ร้ายไม่ใช่เล่น อันที่จริงก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เขากับเธอน่าจะได้เจอกันไวกว่านี้จะได้ไม่มีอคติเล็กๆ เกิดขึ้น
“คุณอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษไหม” เขาถามอย่างมีน้ำใจ คิดแล้วก็ตลกดี เมื่อคืนเธอยั่วเขา บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย สุดท้ายก็เสียเวลาทำอย่างอื่น พอวันนี้เขานึกอยากคุยกับเธอบ้าง มันจะลงเอยเหมือนเมื่อคืนไหมนะ แค่คิดว่าจะได้ซุกหน้ากับเนื้อตัวนุ่มนิ่ม เขาก็ปากคอแห้งขึ้นมาเลย
“ไม่ ฉันจะไปแค่โรงแรมวิรงรองที่เดียวเท่านั้น”
นั่นละคำตอบของเธอ อชิระหยุดคิดลามกแล้วระบายยิ้มกว้างเห็นดีเห็นงามด้วย “นั่นแหละที่ที่ใช่สำหรับเรา โทร. จองห้องเดิมไว้เลยนะทูนหัว ผมชอบมาก เวลาขย่มไม่หนวกหูเสียงเตียง ได้ยินเสียงคุณครางชัดแจ๋ว”
วสุวีกัดปาก มือบนตักกำแน่น สองแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อทั้งโกรธและอาย เรื่องเมื่อคืนเป็นความผิดพลาดมหันต์ ถึงจะกลับตัวไม่ทัน แต่เธอจะไม่ยอมพลาดซ้ำสอง
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
“ไม่เป็นไรความจำผมยังดี ถึงรอยเล็บคุณจะจาง แต่เสียงครางยังชัดเจน”
“งั้นคุณก็จำไว้ให้แม่นๆ แล้วกัน เพราะมันจะไม่มีครั้งที่สองแน่”
“เด็ดเดี่ยวจริงน้า...”
ความอดทนของวสุวีลดระดับต่ำลงจนเกือบถึงจุดวิกฤติ “ฉันไม่เข้าใจ คุณมายุ่งวุ่นวายกับฉันทำไมในเมื่อเราแยกย้ายกันแล้ว”
“ไม่รู้สิ อยู่ดีๆ ก็นึกอยากคุยกับคุณละมั้ง” อชิระก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน เขาไม่ควรยุ่งกับเธอ แต่พอคิดว่าเธอจะไปเสนอขายให้ป๊าแบบที่ทำกับเขา ในใจมันร้อนราวกับถูกไฟลน เขารู้ว่าเธอต้องการเสาหลักเพื่อยึดเหนี่ยว แต่เสาหลักที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วงแบบป๊าย่อมเสื่อมสภาพผุพังตามกาลเวลา ต่างจากเขาที่ยังมั่นคงและแข็งแกร่ง และให้ตาย เธอไม่คิดจะง้อเขาสักนิดเลยหรือไง
“ฉันยุ่งเกินกว่าจะเสียเวลาเป็นเพื่อนคุยให้คุณ ฉันชวนคุณลงทุน คุณไม่สนก็โอเคจบแล้ว ฉันต้องเดินหน้าหาผู้ร่วมหุ้นคนใหม่ คุณไม่ช่วยฉันไม่เป็นไร แต่อย่าแกล้งให้ฉันเสียเวลาไปมากกว่านี้”
“แต่คนใหม่ที่ว่านั่นต้องไม่ใช่ป๊าผม บอกตรงๆ ด้วยวิธีการของคุณมันไม่เหมาะกับท่าน อายุท่านไม่น้อยแล้วนะ ใจคอคุณทำด้วยอะไร”
“คุณเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินล่ะ คุณไม่สนใจก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะคิดเหมือนคุณนี่” วสุวีสวนกลับทันควัน เธอไม่มีความคิดจะขายโรงแรมให้ท่านเจ้าสัวอยู่แล้ว และก็คิดว่าท่านคงไม่ต้องการด้วย งงอยู่เหมือนกันว่าอชิระกำลังคิดอะไร
“ผมตะขิดตะขวงใจที่ใช้ผู้หญิงคนเดียวกับพ่อตัวเอง”
ในที่สุดก็ได้รู้สักที ที่แท้เขาคิดว่าเธอจะมาจับท่านเจ้าสัวนั่นเอง โถๆๆ วสุวีหัวเราะขึ้นมาท่ามกลางอารมณ์เกรี้ยวกราดของชายหนุ่ม น้ำเสียงเธอยังขบขันตอนที่หันบอกกับเขา
“คุณเสือ...นี่คุณหวงฉันแล้วเหรอ ไหนว่าฉันสอบตกเรื่องบนเตียงไง” เธอยิ้มพร้อมกับวางมือไปบนต้นขาของเขา ลูบเบาๆ ช้าๆ สูงขึ้น...สูงขึ้น “บางทีความไร้เดียงสามันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ไม่งั้นคุณคงไม่ชอบให้เสียงเตียงดังกลบเสียงฉันหรอกจริงไหมคะ”
“อย่าท้าทายผมนะวสุวี” เขาคว้ามือเธอหมับก่อนที่มันจะเลื่อนถึงเป้า
“ฉันไม่เคยคิดเลยสักนิด คุณมันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันเดินผ่านมาแล้ว แฟร์ๆ กับฉันหน่อยสิคะ อย่าทำตัวเป็นหมาหวงก้าง คุณปฏิเสธฉันแล้วยังจะใจดำไม่ยอมให้ฉันดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองอีกเหรอ”
“แต่ด้วยวิธีการเดียวกัน ผมคงต้องคัดค้านหัวชนฝา ถ้าโชคดีป๊าอาจเลี้ยงดูคุณเป็นเมียเก็บ ขอย้ำว่าเมียเก็บเท่านั้น ไม่มีวันที่คุณจะได้ยืนตำแหน่งถัดจากแม่รอง และถ้าโชคร้ายเกิดป๊าหัวใจวายตายขึ้นมาขณะอยู่บนเตียงกับคุณละก็ แม่ใหญ่ของผมไม่เอาคุณไว้แน่ นี่ถือว่าผมเตือนด้วยความห่วงใยนะ”
“ไม่ช่วยแล้วจะมาทำเป็นห่วงทำไม” เธอสะบัดเสียง ดึงมือกลับ และเมินหน้าหนีไปทางอื่น
“คุณทำธุรกิจด้วยอารมณ์แบบนี้ โรงแรมจะเจ๊งก็ไม่แปลก” อชิระบอกราวกับวสุวีเป็นเด็กเล็ก “คุณต้องหัดจัดการอารมณ์ของตัวเองให้ดีกว่านี้ อย่ามัวยินดีกับชัยชนะที่ไม่มีความหมาย คุณต้องคุมให้ได้ ไม่ใช่เจออะไรไม่พอใจนิดหน่อยก็เอะอะปึงปัง คนอื่นเขาอ่านเกมออกหมดโดยเฉพาะพ่อเลี้ยงคุณ ป่านนี้ยิ้มรอแล้วมั้ง”
หญิงสาวปิดปากเงียบไม่ยอมโต้ตอบ นั่งลูบคลำข้อมือข้างที่ถูกเขาบีบ อชิระมองเห็นรอยแดงรอบข้อมือเล็กนั่น ผิวเธอขาวและบอบบาง ตอนนั้นเขาก็ลืมนึก คิดว่าจะเอาเธอออกมาให้พ้นสายตาป๊าก็เลยจับลากซะเต็มแรง มันอาจจะกลายเป็นรอยช้ำในวันพรุ่งนี้
ชายหนุ่มหงุดหงิดตัวเองนัก สอดส่ายสายตามองข้างทางไปเรื่อย จนกระทั่งใกล้ถึงโรงแรม เขาก็จอดรถหน้าร้านขายยาแห่งหนึ่ง
“จอดทำไม” เธอถามอย่างสงสัย
“คุณนั่งรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมมา” อชิระตอบพร้อมก้าวลงจากรถ
วสุวีถอนใจเฮือก อุตส่าห์ได้เจอตัวเจ้าสัวอรุณแล้วแท้ๆ ก็โดนลากออกมาเสียได้ เธอเชื่อว่าบางทีท่านเจ้าสัวทราบเรื่องทั้งหมดแล้วอาจจะกล่อมให้อชิระรับผิดชอบเธอ สายสัมพันธ์ของท่านเจ้าสัวกับแม่นับว่าดีมาก ดูจากการที่เธอขอนัดเจอท่าน เจ้าสัวอรุณตอบรับแทบจะทันทีทันใด แต่คนบ้านั่นทำเสียเรื่องหมด วสุวีจะบ้าตายกับผู้ชายคนนี้ ฟันแล้วทิ้งเธอยังเคืองไม่หาย ขอให้ช่วยออกหน้าซื้อโรงแรมก็ไร้น้ำใจไม่เอาด้วย ถ้าในมือเธอมีไม้เบสบอลสักอันก็คงดี แม่จะฟาดให้น่วม
หญิงสาวนั่งเข่นเขี้ยวอยู่คนเดียว อชิระหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมถุงยา เขาโยนมาบนตักของเธอด้วยสีหน้าที่เดาไม่ออกว่าให้เพราะสำนึกผิด หรือเพราะจู่ๆ ก็เกิดกลายเป็นคนมีน้ำใจขึ้นมากะทันหัน คนเฮงซวยแบบเขาจะคิดถึงใครนอกจากตัวเอง
“เดี๋ยวถึงโรงแรมจะทาให้ ข้อมือจะได้ไม่เป็นรอยช้ำ ขอโทษทีเมื่อกี้ลืมตัวบีบแรงไปหน่อย”
“ความจริงคุณไม่ต้องทำอะไรแบบนี้ก็ได้ มันไม่ได้ช่วยให้ดูดีขึ้นในสายตาฉันเลย”
“นั่นมันเป็นปัญหาของคุณ ไม่ใช่ของผม เอายาหยอดตาเพิ่มไหมล่ะเผื่อผมจะดูดีขึ้นบ้างในสายตาคุณ”
เขายักไหล่บอกง่ายๆ วสุวีค้อนขวับหมั่นไส้จนอยากเอาเล็บตะกุยหน้าหล่อนั้นเสียให้เป็นรอย
“อ่อ...แล้วก็ไม่ต้องทำหน้าเหมือนรักผมจนอยากจะเคี้ยวไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูกด้วย”
“ฉันเกลียดคุณจนกลืนไม่ลงต่างหาก คุณไม่ควรมายุ่งวุ่นวาย จะขวางทางทำมาหากินกันทำไม”
“จะให้อยู่เฉยๆ แล้วปล่อยคุณเสนอตัวกับป๊างั้นเหรอ ถามจริงเถอะ เอาอะไรคิด หมดมุกแล้วหรือไง ป๊าผมนะเรื่องอย่างว่าไม่ไหวแล้วนะ ไม่ตอบโจทย์คนวัยสาวที่เร่าร้อนอย่างคุณหรอก สงสารคนแก่เถอะ”
วสุวียกมือขึ้นนวดขมับ เริ่มปวดหัวตุบๆ เขาคิดว่าเธอจะจับท่านเจ้าสัวจริงๆ ตอนเขาบอกเมื่อกี้เธอยังนึกว่าเขาแกล้งขู่ บ้าเอ๊ย ไปเอาความคิดมาจากไหน เจ้าสัวอรุณยังเหลือเมียอีกตั้งสองคน จับอชิระที่เป็นลูกชายคนเดียวและยังโสด ยังจะเสี่ยงน้อยกว่า คู่ต่อสู้รุ่นราวคราวเดียวกับเธอน่าจะพอรับมือไหว แต่จะให้เธอไปสู้รบตบมือกับคนรุ่นแม่ที่มีอำนาจและบารมีล้นมือ เธอก็ไม่โง่เสี่ยงหรอกนะ
“คุณนี่มันใจบาปหยาบคาย คิดอะไรแต่ละอย่างน่ารังเกียจ”
“ก็ถูก เห็นหน้าคุณ ผมไม่เคยคิดดีด้วยเลย” อชิระวนรถเข้าไปจอดหน้าโรงแรม “อีกอย่างนะ นอกจากใจบาปแล้ว ผมยังใจง่ายอีกด้วย”
เขาหันมาขยิบตากวนประสาท เปิดประตูลงจากรถ วสุวีจะทำอะไรได้นอกจากเดินหน้าตึงตามเขาเข้าไป ชายหนุ่มหยุดรอตรงประตูทางเข้าแล้วผายมือให้เธอเดินนำหน้า ทั้งพนักงานที่หน้าประตู พนักงานต้อนรับเห็นกันหมดว่าเธอมากับเขา
เมื่อคืนเป็นสถานการณ์อย่างหนึ่ง เธอพาเขามาก็จริงแต่ก็เห็นกันเฉพาะคนที่ทำงานอยู่ช่วงเวลานั้น ซึ่งหูตาช่างสอดรู้สอดเห็นยังไม่มากเท่ากับตอนนี้ เชื่อเถอะไม่นานเรื่องของเธอกับอชิระจะต้องถึงหูภพธรแน่ และก่อนที่พ่อเลี้ยงของเธอจะไหวตัวทัน เธอคงต้องหาทางออกเรื่องโรงแรมให้ได้
ระยะทางตั้งแต่ทางเข้าจนถึงหน้าห้องพักของวสุวี อชิระไม่พูดอะไรเลย เขาเดินตามเธอเงียบๆ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง สายตากวาดมองไปทั่ว ทว่าเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาและได้อยู่กันตามลำพัง เขาก็เอ่ยถามทันที
“คุณไม่ได้อยู่ที่บ้านหรอกเหรอ” เมื่อคืนตอนที่เขาเดินหากล้องก็เห็นในตู้มีเสื้อผ้าอยู่หลายชุด ไหนจะโต๊ะเครื่องแป้งที่เต็มไปด้วยขวดครีมบำรุงผิวสารพัด มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของโรงแรมจะมีห้องพักเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเขาจำไม่ผิดคุณวิไม่เคยบอกว่าลูกสาวพักอยู่ที่นี่
“ตั้งแต่แม่เสีย ฉันก็ย้ายมาอยู่ที่โรงแรมค่ะ” วสุวีวางถุงยาบนโต๊ะแล้วเดินเลยไปที่ตู้เย็น “คุณอยากดื่มอะไรคะ”
“มีเบียร์เย็นๆ สักกระป๋องไหม”
เธอพยักหน้า หยิบเบียร์กระป๋องออกมาแล้วโยนให้เขา แทนที่อชิระจะโกรธที่เธอโยนของให้ แต่กลับรับไว้แล้วเปิดดื่มหน้าตาเฉย
“คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน”
“คุณนี่สอนไม่จำ บอกให้ใจเย็นๆ” อชิระวางกระป๋องเบียร์แล้วตบที่ว่างข้างๆ กาย “มานั่งนี่มา เดี๋ยวทายาเสร็จค่อยคุยกัน”
“ไม่ใช่ว่าคุณช่วยทายาให้ฉันแล้วจะไถ่บาปได้หรอกนะ” เธอยังไม่ยอมขยับเข้าหา
“อ๋อ...พูดแบบนี้จะให้ฉีดยาด้วยก็ได้ เข็มผมพร้อมอยู่แล้ว ปลุกแป๊บเดียวเดี๋ยวรู้เรื่องเลย”
คำพูดของเขาทำให้เธอหน้าร้อน ทั้งที่อยากจะลบความทรงจำ แต่พอเปิดประตูเข้ามาจนถึงตอนนี้วสุวีก็เห็นแต่ภาพเธอกับเขาโรมรันกันอยู่บนเตียง เขากอดจูบฟอนเฟ้นเรือนร่างเธอด้วยความเสน่หา ลมหายใจเขาเป่ารดผิวกายทำให้เธอร้อนวูบวาบ
หญิงสาวเป่าลมร้อนออกจากปาก เบือนหน้าหนีไปทางอื่น การอยู่ใกล้ชิดอชิระในที่ลับตาคนอย่างนี้ดูเป็นเรื่องล่อแหลมและอันตราย
“อ้าว...ทำไมมือสั่น หรือคุณกลัวเข็ม ผมพูดเล่น ไม่คิดอะไรลึกซึ้งแบบคุณหรอก หัดคิดให้มันง่ายๆ บ้าง ชีวิตจะได้ไม่เครียด” อชิระขี้เกียจรอจึงลุกขึ้นหยิบถุงยาแล้วคว้ามือเธอจูงไปนั่ง คราวนี้เหมือนเขาจะระวังไม่ให้ไปโดนตรงบริเวณที่ช้ำ “คิดถึงผมคนเมื่อคืนเหรอ หน้าแดงเชียว”
“หลงตัวเอง ใครจะไปคิดถึงคุณ”
“ก็คุณไงหน้าแดง หัวใจเต้นแรง แถมมือยังสั่นอีกด้วย”
“คุณนี่เก่งแต่คิดเข้าข้างตัวเองจริงนะ”
“ร่างกายคนเราน่ะไม่เคยโกหก เห็นอย่างนี้ผมก็มีทักษะทางการแพทย์อยู่นะ” อชิระยิ้มกรุ้มกริ่ม จับพลิกมือเธอให้หงายแล้วใช้นิ้วกดตรงจุดชีพจร
วสุวีรีบดึงมือออก มองเขาอย่างระแวดระวัง อชิระยอมปล่อยง่ายๆ แล้วเปิดถุงหยิบหลอดยาขึ้นมาบีบบนปลายนิ้วแล้วดึงมือเธอกลับไปทายาให้ นวดวนเบาๆ รอบข้อมือเล็ก ความเย็นของตัวยาซึมผ่านสู่ผิว แรงนวดและความลื่นทำให้เธอผ่อนคลาย อชิระค่อยๆ ทำอย่างใจเย็น ราวกับรู้ว่าร่างกายของเธอตอบสนองฉับไวต่อสัมผัสเขา วสุวีเริ่มปั่นป่วนในหัวใจ พยายามจะไม่คิด แต่ภาพเขาก็ยังตราตรึงราวกับมันถูกสลักลึกเอาไว้ ความร้อนจากเขาถ่ายเทสู่ผิวกายเธอ มือที่กำลังนวดอยู่นั่นเคยโอบอุ้มทรวงอกของเธอ
เมื่อคืนก็แบบนี้ แต่ไม่ใช่ตรงนี้ ตอนที่เขากรีดกรายปลายนิ้วหยอกเอินกับเนินสาว ทำให้เธอสั่นระริกไปด้วยความกระสันต้องการ แล้ววสุวีก็อุ่นวาบตอนที่อชิระก้มลงเป่าข้อมือให้เบาๆ ไอร้อนจากปากเขาทำให้ขนลุกซู่ หญิงสาวหายใจแรงขึ้น ยอดทรวงแข็งชันเสียดสีกับเนื้อผ้าจนซ่านสยิวไปทั้งกาย
“เหมือนเราจะคิดตรงกันในบางเรื่อง” อชิระช้อนตาขึ้นมองเธอ แววตาของเขาเต็มไปด้วยพลังแห่งการเรียกร้อง “ผมน่ะเป็นยอดชายในฝัน มาตรฐานสูงลิ่ว แล้วเมื่อคืนนั่นก็เปิดประสบการณ์ครั้งแรกของคุณ ถ้าหาใครเด็ดสู้ผมไม่ได้ ทำไมไม่ลองพยายามอีกสักครั้งล่ะ”
“ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด” วสุวีเพิ่งค้นหาเสียงตัวเองเจอหลังจากประสานสายตากับเขาในระยะใกล้ “คุณให้ฉันพยายามทำอะไร”
“เปลี่ยนใจผม”
หญิงสาวย่นคิ้วมองการกระทำอ่อนโยนแตกต่างจากท่าทางกวนประสาท นึกทบทวนคำพูดและการกระทำของเขา วสุวีไม่ได้ฉลาดล้ำ แต่เธอก็ไม่โง่จนไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ แล้วเธอก็หัวเราะออกมา ดวงตาเปล่งประกายสดใส การเอาชนะอชิระเป็นเรื่องยาก แต่ทำไมวสุวีถึงรู้สึกว่าเธอจะไม่แพ้ก็ไม่รู้สินะ
“ตอนแรกฉันก็ทำใจได้แล้วนะคะ คิดว่าเสียตัวให้คุณไปนับเป็นบทเรียนราคาแพง ทีหลังอย่าเล่นอะไรแผลงๆ แบบนั้นอีก แต่พอได้ยินคุณพูดอวดอ้างสรรพคุณ ขายตัวเองรัวๆ อย่างนี้ จากที่ไม่แน่ใจฉันก็แน่ใจแล้ว”
“แน่ใจว่า...”
“แน่ใจว่าคุณหลงเสน่ห์ฉันไงล่ะ” วสุวียิ้มหวาน ทาบมือข้างที่ไม่เจ็บแนบกับโหนกแก้ม เกลี่ยนิ้วโป้งไปมาบนผิวของเขา กระซิบยั่วเย้าเสียงหวาน “คุณเสือขา...บางทีสถานการณ์ของฉันก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปหรอกจริงไหม”
“ยังพอมีโอกาสพลิกกลับมาชนะ แต่...” อชิระลากเสียงพร้อมหลุบตาลงต่ำ นิ้วเขี่ยกระดุมเสื้อเธอเล่นก่อนแกะมันออกจากรังดุมได้สำเร็จ ผิวเนื้อขาวนวลที่โผล่พ้นเสื้อดึงดูดความสนใจเขาเอาไว้ บอกกับเธออย่างมีความหมาย “คุณอาจจะต้องลงทุนหนักหน่อย เพราะตอนนี้สติผมครบถ้วน ไม่ได้เมาเหมือนเมื่อคืน”
วสุวียิ้มกว้างทั้งปากทั้งตา ถอนมือออกช้าๆ แล้วขยับตัวออกห่าง
ให้ตาย! เธอกวนสมาธิเขา แค่ใกล้กัน สัมผัสแตะต้องกันเพียงนิดเดียว ร่างกายของเขาก็เหมือนถูกกระตุ้นด้วยกระแสไฟอ่อนๆ
“ฉันก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว แต่ถ้าต้องเสียซ้ำ ฉันอยากมั่นใจว่าจะไม่เสียฟรี พูดธุระของคุณมาสิคะ เห็นว่าอยากคุยกับฉัน”
“คุณนี่มันจริงๆ เลยนะ”
ยั่วเก่ง...อชิระคำรามในใจ ไฟรักในกายเขาเริ่มปะทุแล้ว หากไม่เกรงใจก็อยากจับกดซะตรงนี้ แต่เธอยังใหม่และเขายังซาบซ่านกับความสุขที่ได้รับไม่หาย บุ่มบ่ามใจร้อนเกินไปจะอดได้ ใจเย็นไว้ก่อนไอ้เสือ
“เรื่องโรงแรม ถ้าผมซื้อมันมา ผมจะได้อะไรเป็นค่าตอบแทน”
“ขอโทษนะคะ ฉันชักไม่อยากขายให้คุณแล้วสิ ดูเหมือนท่านเจ้าสัวจะคุยง่ายกว่า” เธอยึกยักแกล้งกวนประสาทจนเขาต้องเตือนด้วยน้ำเสียงต่ำพร่า
“วสุวีอย่าเล่นกับเสือ อย่ายั่วจนผมทนไม่ไหว ยิ่งผมอยู่ห้องคุณนานมากเท่าไร เราก็ขยับเข้าใกล้เตียงของคุณมากเท่านั้น และที่สำคัญคุณไม่มีทางรอดถ้าผมจะเอา”
“ฉันก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรจะเสีย ทำไมถึงคิดว่าฉันจะหนี คุณไม่ได้น่ากลัวสักหน่อย” วสุวีหัวเราะร่วน ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างให้ชายกระโปรงร่นอวดความขาวของขาเรียวยาว
อชิระเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมเขาจะต้องมาทนทรมานปวดประสาทกับเธอด้วย ลุกหนีไปเลยสิ ผละออกจากห้องเธอไปเลย จะนั่งเซ่อมองขาเธออยู่ทำไม แต่ร่างกายกับความคิดของเขาสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง สมองสั่งงาน แต่กายหยาบไม่เชื่อฟังแถมยังเรียกร้องหาเธอไม่หยุด
“เท่าไร”
“ค่าโรงแรมหรือคะ”
“ค่าตัวคุณ!”
“อ๋อ...เหมือนฉันจะบอกคุณไปแล้วนี่คะ มัวคิดแต่จะหาเรื่องขึ้นเตียงฉันจนลืมราคาหรือไง”
“วสุวี”
อชิระคว้ามือหญิงสาวแล้วออกแรงกระชากจนเธอเสียหลักทับลงไปบนกายแกร่ง มือของเขาลูบย้อนขึ้นมาจากเข่า ปลายนิ้วงอเกี่ยวชายกระโปรงของเธอขึ้นตามมาด้วย
“คุณเสือ!”
“ถ้ายังยั่วไม่เลิก ผม...จะทำให้คุณเสร็จตรงนี้” เขายืนยันคำพูดด้วยการเพิ่มแรงกดที่ฝ่ามือ แนบไอร้อนส่งผ่านมาถึงผิวนุ่มเตือนให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ขู่ อชิระสามารถทำได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและเวลาเลยด้วยซ้ำ ร่างกายของเธอตื่นตัวพร้อมตอบสนองสัมผัสเขาอย่างหน้าไม่อาย
วสุวีตัวสั่น มองขอบกระโปรงที่เลื่อนร่นขึ้นมาอย่างน่าหวาดเสียว มือเขาวางสงบอยู่ที่ต้นขา เธอรู้ว่าเขาแค่หยุดรอการตัดสินใจของเธอ และถ้าขืนเธอยังยั่วยวนเขาไม่เลิก เขาก็จะทำอย่างที่พูด
หญิงสาวหลับตานึกถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น แน่นอนมันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แววตามุ่งมั่นของอชิระบอกเธออย่างนั้น และให้ตาย เธอเฝ้าแต่คิดถึงมือไม้แสนร้ายกาจของเขาที่กรีดกรายตรงซอกหลืบซ่อนเร้นของตัวเอง บดขยี้ยั่วเย้าทำให้เธอสั่นสะเทือนด้วยแรงปรารถนา
โอย...นี่เธอกำลังเป็นอะไรกันแน่ ยอดทรวงใต้บราคัดแข็งเสียดสีกับเนื้อผ้าซ่านสยิวจนเธอต้องห่อไหล่น้อยๆ
“วสุวี...ถ้าผมบอกว่าอยากได้คุณอีก คุณคิดว่าไง”
“ไม่ค่ะ”
เธอปฏิเสธและแอบขัดใจตัวเองเล็กน้อยที่น้ำเสียงนั้นฟังดูไม่น่าเชื่อเอาซะเลย ก็ใครจะคิดว่าเขาจะขอกันตรงๆ อย่างนี้ วสุวีพร่ำเตือนสติตัวเองให้ทำใจแข็งๆ เอาไว้ ถึงแม้ร่างกายเธอจะวาบหวามกับคำขอนั้น แต่เธอจะปล่อยให้ความต้องการอยู่เหนือเหตุผลไม่ได้
“คะ...ความสุขของคุณมีราคา ถ้าคุณกล้าจ่าย คุณก็จะได้ทุกอย่างที่ต้องการ”
“คุณก็รู้ว่าผมไม่มีปัญหา ผมจ่ายให้คุณได้ไม่อั้น แต่ยังสงสัยบางอย่าง” อชิระเหยียดยิ้มเมื่อเห็นคิ้วเธอขมวด “คุณไม่เคยนอนกับใคร ทำไมถึงกล้าเสี่ยงนอนกับผม ไม่รู้หรอกเหรอว่าผมน่ะใช้ผู้หญิงเปลืองแค่ไหน”
“ฉันไม่อยากตอบคำถามนี้”
“ก็ดีเหมือนกัน”
รอยยิ้มของอชิระดูชั่วร้ายแต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล เขารู้วิธีวางกับดักล่อเหยื่อ เขาเหมือนคนบาปที่กำลังจะกระทำอะไรสักอย่างที่มันขัดแย้งกับทุกความดีงามบนโลก ฝ่ามือของเขาเลื่อนขึ้นมาจับปลายคางของเธอพลางดึงเข้ามาใกล้
“เพราะมันช่วยย่นเวลาให้ผมได้จูบคุณเร็วขึ้นอีกนิด”
“คุณเสือ อย่าเพิ่งค่ะ คุณยังไม่ได้รับปากว่าจะช่วยฉัน อย่าได้คิดฉวยโอกาสจากชั้นเชิงที่มากกว่าของคุณ”
“คุณเรียนรู้ชั้นเชิงพวกนั้นจากผมได้ทูนหัว ผมไม่หวงวิชาหรอก ผมจูบคุณได้แล้วยัง”
“ยัง” วสุวีกางมือกั้นไว้ เมื่อเขายื่นหน้าทำท่าจะจูบจริง ขืนลองให้เขาเข้าถึงตัวแล้วละก็เสียงานแน่ หญิงสาวรีบอธิบายเร็วปรื๋อ “ที่ฉันยอมเสี่ยงนอนกับคุณ เพราะ....เพราะ ฉัน...คิดว่าบางทีมันอาจจะทำให้คุณอยากได้โรงแรมมากขึ้น ผู้...ผู้ชายมักภูมิใจกับการได้เป็นคนแรก”
อชิระชะงักไปหนึ่งหรือสองวินาที เขามองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอยู่ใกล้จนเธอหายใจไม่สะดวก แต่ก็ยังข่มใจพูดต่อไปว่า
“ถ้าคุณช่วยฉันรักษาโรงแรมเอาไว้ได้ เรื่องอื่นฉันไม่สนใจ คุณจะเคยนอนกับใครไม่สำคัญ แต่ถ้าคุณนอนกับฉัน คุณต้องให้ในสิ่งที่ฉันต้องการ”
“ความคิดคุณทำเอาผมอึ้งไปเลยนะเนี่ย” อชิระแกล้งเกลี่ยหลังนิ้วเล่นตามกรอบหน้าเธอ “ได้เป็นคนแรกใครก็ภูมิใจทั้งนั้นแหละ แต่สันดานผู้ชายมันก็อยากได้ไปเรื่อยๆ เป็นคนแรกก็ดี ที่สอง สาม สี่ยิ่งไม่มีปัญหา ขอแค่อยากขึ้นมาก็เอาหมด แล้วคุณก็ไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรให้ผมเลย เป็นผมทั้งนั้น โอเค...การเป็นผู้ชายคนแรกมันทำให้ยืดได้นิดหน่อย แต่ยังไม่มากเกินกว่าจะเปลี่ยนใจผมหรอก”
“แล้วฉันต้องทำยังไง”
วสุวีเห็นรอยยิ้มพร่างพราว อชิระเป็นผู้ชายที่ยิ้มสวยมาก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายแวววาวชวนมอง เธอชักไม่แน่ใจเสียแล้วสิ คำถามของเธอเปิดทางให้เขามากเกินไปหรือเปล่า เขาเองก็รอคอยจังหวะเหมาะๆ อยู่เหมือนกัน
“นี่เป็นคำถามที่ดีที่สุดตั้งแต่เราเจอกันเลย”
“ฉัน...” เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
“ให้ผมสอนคุณนะครับ” เขากระซิบข้างหู
“อะไรนะ!”
คำอุทานนั้นไม่มีผลอะไร เพราะอชิระใช้ร่างสูงใหญ่ของเขาดันให้หญิงสาวหงายลงไป แผ่นหลังบอบบางของเธอถูกรองรับด้วยท่อนแขนแข็งแกร่งและโซฟาตัวยาว มันยุบยวบเพราะน้ำหนักตัวที่ทาบทับตามมา วสุวีเบิกตากว้าง รีบเอามือดันอกเขา มองดวงตาคมวาวที่จ้องเธอราวกับเสือกำลังจะตะครุบเหยื่อ
“ลองแก้มืออีกสักครั้งสิวสุวี ทำให้ผมติดกับคุณเหมือนเมื่อคืน คุณผ่านครั้งแรกมาแล้ว ไม่มีอะไรยากเย็น คุณไม่จำเป็นต้องอาย ทำตามใจปรารถนา เรียนรู้และสนุกกับมันให้เต็มที่ ทำให้ผม...ตกเป็นเบี้ยล่างของคุณ”
อชิระกระซิบปลุกเร้า ริมฝีปากปัดผ่านปากนุ่มแผ่วเบา หมายใจจะจูบเสียให้สมกับความอยาก แต่เธอกลับพลิกหน้าหนี
“สัญญามาก่อนว่าคุณจะช่วยฉัน”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำให้ผมพอใจมากแค่ไหน คุ้มค่ากับความวุ่นวายที่ผมต้องไปปล่อยพลังสู้กับพ่อเลี้ยงคุณหรือเปล่า”
เขาจูบสันกรามของเธอแผ่วๆ ราวกับอดใจไว้ไม่อยู่ แต่แค่นั้นดูไม่เพียงพอ ชายหนุ่มเริ่มซุกไซ้ใบหน้าที่ซอกคอหอมกรุ่น เลื่อนมือลูบไล้เนื้อตัวเธอ ปลดกระดุมที่เหลือจนสาบเสื้อแยกออกจากกัน
“เดี๋ยวสิคะ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย” วสุวีครางประท้วงเมื่อเขาขยำหน้าอกเธออย่างย่ามใจ
“เสือไม่คุยตอนหิว”
นะ...นะ...นี่เขาจะกินเธออีกแล้วจริงดิ อีตาเสือบ้านี่จะตะกละเกินไปแล้ว
“ที่คุณว่าจะคุยคงไม่ได้หมายถึงแบบนี้ใช่ไหมคะ”
“แบบไหนก็เหมือนกัน ผลลัพธ์สุดท้ายผมต้องได้คุณอยู่ดี หนีไม่พ้นหรอก” เขาสรุปอย่างเอาแต่ใจ มือใหญ่กอบกุมอกสาวแล้วบีบเคล้นเบาๆ ทำให้เธอครางออกมา
“คุณเสือเบาๆ ค่ะ ฉัน...”
“คุณพลาดตั้งแต่เลือกใช้วิธีพลีกายนอนกับผมแล้ววสุวี คุณจะจับเสือด้วยการเอาตัวเองเป็นเหยื่อก็มีแต่จะถูกเสือจับกินเท่านั้น แล้วใครกันสอนให้ล่ามเสือไว้ใกล้ตัว พอมันหิวขึ้นมาคุณก็จะถูกกินอีก ในเมื่อคุณตั้งใจใช้วิธีนี้ตั้งแต่แรก ก็จงอย่าให้เสียของเปล่า ไปกับผมจนสุดทางเถอะนะ เลี้ยงเสือตัวนี้ให้อิ่ม เปลี่ยนใจผม ทำให้ผม...เป็นของคุณ”
วสุวีมองชายหนุ่มอย่างลังเลไม่แน่ใจนัก รู้ว่าเขากำลังล่อหลอกให้เธอติดกับ ผลสุดท้ายเธอก็กลายเป็นเหยื่ออันโอชะ สละตัวเองเป็นอาหารให้แก่เสือที่หิวโหยกลืนกินทุกเมื่อเชื่อวัน เดิมพันของวสุวีสูงเหลือเกิน แต่เธอผ่านพ้นจุดยากลำบากที่สุดมาแล้ว เธอไม่มีอะไรจะเสีย ไม่สู้ลองเสี่ยงเชื่อใจเขาสักครั้ง เลี้ยงเสือให้อิ่มแล้วปล่อยเขาไปไล่ฟัดกับพวกไฮยีนา แบบนี้มันสะใจกว่าเยอะ
คิดได้ดังนั้นสองแขนของหญิงสาวที่ยันอกกว้างก็เปลี่ยนไปโอบรอบลำคอ มือของเธอประสานกันอยู่แถวๆ ท้ายทอยของชายหนุ่ม สองสายตาประสานกันราวกับเอ่ยคำมั่นสัญญา แม้จะยังขัดเขิน ไม่มั่นใจ แต่วสุวีก็ข่มความอายบอกเขาไปตามตรง
“ฉัน...ยังรู้สึกเจ็บๆ อยู่ คุณอย่ารุนแรงกับฉันนักนะคะ”
ความคิดเห็น |
---|