6
แสนกล้ากับลำดวน
ในคืนพระจันทร์เต็มดวงช่างสว่างไสว ชาวบ้านหลายกลุ่มต่างอาศัยแสงจันทร์ควบคู่กับแสงตะเกียง ทยอยเดินทางลัดเลาะผ่านป่า ผ่านทุ่งนามายังวัดประจำตำบล ซึ่งในค่ำคืนนี้มีการจัดมหรสพให้ชมในงานวัด อันมีคณะลิเกชื่อดังเป็นหลัก ทั้งหนุ่มสาว คนเฒ่าคนแก่ ลูกเล็กเด็กแดงหอบเสื่อผืนหมอนใบเพื่อไปปูนั่งชมกันหน้าโรงลิเก
สองหนุ่มเพื่อนเกลอ แสนกล้าและบุญยืนแต่งกายด้วยกางเกงขาก๊วยกับเสื้อคอกลมสีขาวผูกผ้าขาวม้าไว้ที่เอว ยืนชะเง้อมองหาอะไรบางอย่างอยู่หน้าประตูทางเข้าวัด
“ไหนว่าเอ็งชวนนังนวลมันมาด้วยไง ข้าไม่ยักเห็นมัน” บุญยืนว่าพลางขมวดคิ้ว
“อีกเดี๋ยวคงมาแล้วกระมัง นวลบอกข้าว่าคืนนี้จะมากับแม่ สายบัว แล้วก็ ผกา”
สองคนหลังที่แสนกล้าเอ่ยถึงคือเพื่อนสนิทของสาวคนรัก ใจจริงเขาอยากจะมาเที่ยวงานวัดกับนวลตาเพียงสองคน แต่เพราะขนบธรรมเนียมปฏิบัติของคนโบร่ำโบราณ ชายหญิงไม่สมควรไปไหนด้วยกันสองต่อสอง เขาจึงทำได้แค่แอบนัดแนะกับเธอให้มาเจอกันในงานเท่านั้น
“เข้าไปในงานก่อนได้ไหมวะ ข้าขี้เกียจรอแล้วนาไอ้แสน หิวจะตายห่าอยู่แล้วโว้ย” บุญยืนเท้าสะเอว ชักรำคาญเต็มทน
“เออน่า รออีกเดี๋ยวนึงไม่ได้หรือไง” หนุ่มรูปงามพูด ตายังคงมองสอดส่ายหาสาวคนรัก
“เดี๋ยวเอ็งก็ได้ไปเจอนังนวลมันในงานอยู่ดี ทำอย่างกับว่าถ้าเอ็งเจอมันตอนนี้ เอ็งจะเข้าไปหามันได้อย่างงั้นแหละ ยิ่งแม่มันมาด้วยแล้วเอ็งอย่าหวัง หนุ่มจนๆ คนธรรมดาไม่มีทางได้เฉียดเข้าใกล้หรอก”
“เออข้ารู้ แต่ขอข้าเห็นหน้านวลให้ชื่นใจ ฉิบหาย...”
“อ้าวๆ ไอ้นี่ ข้าพูดแค่นี้เอ็งต้องด่าฉิบหายเลยรึ”
“ไม่ใช่เอ็งที่ฉิบหายไอ้ยืน ข้าน่ะสิฉิบหาย!”
แสนกล้าสบถอย่างร้อนรน เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นลำดวนที่กำลังเดินมากับกลุ่มคนงานชายหญิงในบ้านของตัวเอง เจ้าหล่อนดูโดดเด่นเกินใครด้วยอาภรณ์ที่สวมอยู่สวยงามหรูหรา ใบหน้างามคมขำมีรอยยิ้มร่าเริงประดับอยู่เป็นนิตย์
“ฉิบหายอะไรของเอ็ง อ้าว! สวัสดีจ้ะน้องลำดวนคนสวย”
บุญยืนตะโกนทักทายหญิงสาวซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดีด้วยคำว่า ‘สวัสดี’ ซึ่งจอมพล ป.พิบูลสงครามประกาศให้เริ่มใช้คำนี้ทักทายเป็นทางการเมื่อสี่ปีก่อน
“ไอ้ยืน! เอ็งจะตะโกนเรียกทำไมวะ เดี๋ยวลำดวนมันก็เห็นข้าพอดี”
แสนกล้าถลาเข้าไปใช้มือตะครุบปากเพื่อนไว้ ทว่าไม่ทันเสียแล้ว
“สวัสดีจ้ะพี่ยืน พี่แสนจ๋า”
ลำดวนเรียกชายหนุ่มที่ตนเองรักเสียงอ่อนเสียงหวาน พลางสืบเท้าเดินตรงดิ่งเข้าไปหาเป้าหมายของการมาเที่ยวงานวัดในค่ำคืนนี้
ไม่มีเวลาให้แสนกล้าได้หลบหนี เขาจำใจส่งยิ้มนิดๆ ให้น้องสาวข้างบ้าน ซึ่งมีฐานะต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว เธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องห้าคนของเศรษฐีน้อมกับนางปาน เศรษฐีประจำตำบลผู้ร่ำรวย
“เอ็งมาเที่ยวงานวัดกับเขาด้วยหรือ” แสนกล้าถามเสียงเย็นชา
“ใช่จ้ะ ฉันเห็นพวกพี่ๆ เขามาก็เลยขอพ่อกับแม่ตามมาด้วย”
หญิงสาวชี้ไปทางบรรดาคนงานชายหญิงในบ้านของตนประมาณสี่ห้าคนที่ยืนรออยู่ข้างหลัง ก่อนจะหันไปบอกทุกคนว่า
“พี่ๆ จ๋า เข้าไปปูเสื่อรอลิเกในงานก่อนได้เลยนะจ๊ะ ฉันมีธุระจะคุยกับพี่แสน เดี๋ยวฉันตามไปทีหลังจ้ะ”
ทั้งหมดรับคำของคุณหนูแข็งขัน หอบเสื่อหอบหมอนเดินผ่านประตูวัดเข้าไปข้างในงาน เหลือเพียงวรรณา พี่เลี้ยงของลำดวนที่ยังยืนรออยู่
“เอ็งมีธุระอะไรก็พูดมา” แสนกล้าเอ่ยตรงไปตรงมา
“อืม... ตายจริง ฉันลืมธุระเสียสนิทเลย ถ้าได้กินก๋วยเตี๋ยวสักชามคงนึกขึ้นได้ พี่แสนไปกินก๋วยเตี๋ยวกับฉันหน่อยนะจ๊ะ” เธอออดอ้อนพร้อมกับเขย่าแขนของเขา
“ไม่ได้ มันไม่เหมาะไม่ควรที่เอ็งจะไปกับพี่สองคน ใครเห็นเข้าเขาจะเอาไปนินทา” ชายหนุ่มดันร่างของน้องสาวข้างบ้านออกห่าง
“เราไปกันแค่สองคนที่ไหน มีพี่วรรณกับพี่ยืนไปด้วย ใช่ไหมจ๊ะ” ลำดวนหันไปพยักพเยิดกับพี่เลี้ยงของตนและเพื่อนสนิทของเขา
“ใช่ๆ ข้ากับพี่วรรณก็จะไปด้วยเหมือนกัน ไปหมดสี่คนนี่สนุกดีออก”
“เนอะๆ พ่อยืน ปะ เราไปกันเถอะ พี่หิวจะแย่อยู่แล้ว”
บุญยืนกับวรรณาพร้อมใจทำหน้าที่พ่อสื่อแม่สื่อเต็มที่ ทำเอาลูกคนสุดท้องของครอบครัวทองประเสริฐศรียิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ คืนนี้เธอจะได้เดินเที่ยวงานวัดกับพี่แสนสุดหล่อของเธอ สาวๆ ในงานทุกคนที่หมายตาเขาต้องกินแห้วแน่
“ไปเถอะจ้ะพี่แสน เดี๋ยวค่าก๋วยเตี๋ยวฉันจ่ายให้เองนะจ๊ะ”
ในที่สุดแสนกล้าก็ถูกลากตัวเข้าไปข้างในงานอย่างมิอาจขัดขืนได้ เขาถูกทั้งเพื่อนตัวแสบกึ่งลากกึ่งจูงยึดแขนเอาไว้ ไหนจะมีแม่ตัวดีคอยประกบอีก กระทั่งมาถึงร้านขายก๋วยเตี๋ยวและสั่งกินกันคนละชาม
“พี่แสนทำไมกินแค่นั้นล่ะจ๊ะ ไม่อร่อยหรือ”
ลำดวนถามด้วยสีหน้าห่วงใย เมื่อเห็นก๋วยเตี๋ยวในชามของพี่แสนพร่องลงไม่มาก เขาก็ทำท่าจะอิ่มเสียแล้ว
“กินไม่ลง” หนุ่มรูปงามประจำตำบลตอบห้วนสั้น ไม่เกรงใจเพื่อนรักที่กำลังก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวในชามอย่างเอร็ดอร่อย
“ถ้าพี่แสนไม่อยากกินก๋วยเตี๋ยว งั้นเราไปหาอย่างอื่นกินกันเถอะจ้ะ”
“พี่ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น”
“โอ๊ยพ่อคุณ เล่นตัวเสียจริ๊ง!” วรรณานั่งเงียบกินก๋วยเตี๋ยวอยู่นานได้ฟังก็ว่าเข้าให้ รู้สึกหมั่นไส้แสนกล้าเหลือเกิน แม่ลำดวนของเธอหลงรักปักใจผู้ชายคนนี้ไปได้อย่างไรนะ
“ตอนเดินมาวัดเอ็งยังบอกกับข้าอยู่เลยนี่นาว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยวกับขนมตาล”
บุญยืนแย้งบ้าง ทำเอาคนหัวเดียวกระเทียมลีบบนโต๊ะถึงกับถอนหายใจ อยากจะตายให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น
“แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากกินแล้วเอ็งเข้าใจไหม เอ้านี่ ค่าก๋วยเตี๋ยว ฝากจ่ายด้วย” แสนกล้ายื่นเงินจำนวน 5 สตางค์ให้แก่เพื่อนรัก
“ไม่ต้องจ่ายหรอกจ้ะพี่แสน ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพวกพี่เอง”
“พี่รู้ว่าเอ็งรวย แต่เก็บเงินของเอ็งไว้เถอะพี่ไม่ต้องการ ใช่ว่ามีเงินแล้วจะเอามาฟาดหัวใครก็ได้”
ลำดวนอ้าปากค้างกับวาจาอันเผ็ดร้อนของแสนกล้า ท่าทางเขาจะโกรธเธอจริงๆ พี่แสนไม่ใช่คนพูดมาก แต่หากเขาได้พูด คำพูดนั้นจะซื่อตรงและคมบาดหัวจิตหัวใจคนฟังเป็นที่สุด โดยเฉพาะกับเธอ
“พี่ไปละ เอ็งไม่ต้องมาตามพี่อีก รำคาญ”
นั่นปะไร เป็นอย่างที่เธอว่าไว้ไหม เขาสะบัดก้นเดินจากไปแล้ว ทิ้งให้เธอกับบุญยืนนั่งอึ้ง ส่วนวรรณาพี่เลี้ยงของเธอทนไม่ไหว ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะดังลั่น
“ชักจะมากไปแล้วนะโว้ย! แม่ลำดวนลดตัวลงมารักมาชอบก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังจะมาทำปากดีอีก”
“อย่าไปว่าพี่แสนเลยพี่วรรณ เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ ฉันไม่ถือสาหาความหรอก จริงๆ ฉันก็มีส่วนผิด”
“ปกป้องเข้าไป พี่ทนไม่ไหวแล้วนะแม่ลำดวน ตัดใจจากพ่อแสนแล้วมองหาหนุ่มอื่นเถอะ พี่จะเป็นแม่สื่อให้เอง”
“เฮ้ยๆๆๆ อย่าเพิ่งรีบให้น้องลำดวนตัดใจสิพี่วรรณ ลองพยายามอีกนิดน่า ฉันก็เห็นแววมันจะใจอ่อนนิดนึงแล้วนา” บุญยืนรีบห้ามปราม เขายังอยากจะเห็นเพื่อนรักได้ลงเอยกับลำดวน ผู้ซึ่งทำดีมีน้ำใจกับเขามาโดยตลอด
“ใจอ่อนอาไร้พ่อยืน นี่มันจวบปีแล้วนะพ่อ...อ้าวเฮ้ย แม่ลำดวน!”
พี่เลี้ยงสาวใหญ่เรียกไว้ไม่ทัน แม่ตัวยุ่งของเธอก็วางเงินค่าก๋วยเตี๋ยวจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะ แล้ววิ่งแจ้นตามแสนกล้าออกไปทันที
‘นี่ล่ะหนาที่เขาว่าความรักเปรียบดั่งโคถึกคึกพิโรธ ต่อให้ล้อมคอกไว้ดีแค่ไหน โคตัวนั้นก็แหกคอกออกไปอยู่ดี’วรรณาคิดอย่างปลงๆ
ร่างสูงใหญ่สาวเท้าเดินเลี่ยงออกมาได้สักพัก เหลียวซ้ายแลขวา หันหลังไปมองไม่เห็นมีใครตามมา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก จังหวะนั้นเอง ดวงตาคมก็สบประสานเข้ากับดวงตากลมโตคู่หวานซึ้งของใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านประตูทางเข้าวัดมา
เธอผู้นั้นมีผิวขาวดุจไข่ปอก ผมดำยาวสลวยจนถึงกลางแผ่นหลัง รอยยิ้มทรงเสน่ห์รับกับดวงตาและรูปทรงคิ้วอันงดงาม เธอคือ ‘นวลตา’ คนรักของเขานั่นเอง
หัวใจชายหนุ่มเต้นแรง อยากเดินเข้าไปหาเหลือเกินแต่เธอไม่ได้มาคนเดียว เธอมากับแม่และเพื่อนของเธออีกสองคน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขากับเธอลอบคบหากันแบบลับๆ
นวลตาเห็นเขาแล้วก็ส่งยิ้มหวานให้ ไม่นานเธอก็หลบสายตากลับไปคุยกับแม่และเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันตามปกติ ทว่าเขาคิดผิด เมื่อคนที่มากับเธอไม่ได้มีแค่นั้น แต่กลับมีผู้ชายแต่งตัวดีใส่ทองเส้นใหญ่เดินตามหลังมาคนหนึ่ง พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่ดูท่าทางจะเป็นลูกน้อง
“ต๊ายตาย! นั่นพ่อเฉลิมพลหรือเปล่านะ”
“ใช่จริงๆ ด้วย ฉันเคยเห็นเขา พ่อเจ้าประคุณใส่ทองเส้นเบ้อเริ่ม สมแล้วที่เขาว่ารวยที่สุดของตำบลนู้นเลย”
“มาจีบแม่นวลตาละสิท่า เห็นมาเทียวไล้เทียวขื่อเข้านอกออกในบ้านแม่นวลตาแทบทุกวัน”
“อิจฉาแม่นวลตาเนอะ เกิดมาสวยเลือกได้ ถ้าแต่งกับคนนี้คงสบายไปทั้งชาติ”
เสียงพูดคุยซุบซิบของสาวๆ กลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล ช่างเป็นดั่งหนามทิ่มแทงใจแสนกล้านัก ผู้ชายคนนั้นได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพ่อแม่ของนวลตา ในขณะที่เขาเหมือนเป็นเพียงคนรักในเงาที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงของเธอ
คนทั้งหมดเดินผ่านเขาไปแล้ว เหลือเขาที่ยังยืนเคว้งคว้างอยู่ผู้เดียว จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง พร้อมกับร่างของคนที่เขาบอกว่ารำคาญนักหนาปรากฏตัวขึ้นข้างๆ และยื่นขนมสีเหลืองโรยมะพร้าวในกระทงใบตองให้
“พี่แสน...ขนมตาลจ้ะ ฉันขอโทษเรื่องก๋วยเตี๋ยวนะจ๊ะ ฉันไม่ได้มีเจตนาจะเอาเงินฟาดหัวอย่างที่พี่ว่าเลย ฉันแค่อยากทำดีกับพี่ก็เท่านั้น”
คนฟังไม่พูดอะไร หยิบชิ้นขนมตาลในกระทงใบตองมากินแต่โดยดี เพียงเท่านี้ลำดวนก็ยิ้มกว้าง รับรู้แล้วว่าพี่แสนของเธอหายโกรธ
ก็เขาน่ารักน่าเอ็นดูปานนี้ ไม่ให้เธอหลงรักเขาได้อย่างไรเล่า ต่อให้เขาใจร้ายกับเธอสักแค่ไหน แต่ในความใจร้ายนั้นมักมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่เสมอ แม้เธอจะยังดูไม่ออกว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขาคืออะไรกันแน่
เวลาห้าโมงเย็น ณ ร้านทองพริ้มพรรณในย่านชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน หลังเสร็จจากงานวาดฟ้าก็เดินทางมาหาเพื่อนรักอย่างลดาซึ่งเป็นลูกสาวเจ้าของร้านทองแห่งนี้ เพื่อปรับทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน
“ฮ่าๆๆๆ โอ้ย ฉันละสงสารแกชะมัดเลยไอ้วิว” ร่างอวบอิ่มบนเก้าอี้ทรงสูงข้างเคาน์เตอร์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
“เหรอ แต่ไอ้ที่แกหัวเราะฉันอยู่ก๊ากๆ เนี่ยมันห่างไกลจากคำว่าสงสารมากเลยว่ะ” วาดฟ้าเบ้ปากพลางสั่นศีรษะน้อยๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์เฉยเมยไร้อารมณ์
“สงสารมันก็สงสารแหละ แต่มันอดขำไม่ได้จริงๆ”
ลดาพยายามที่จะกลั้นหัวเราะ แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อสมองจินตนาการภาพตามถึงเรื่องเล่าของเพื่อนซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
“เฮ้อ ฉันละเซ็ง”
“เอาน่า อย่างน้อยพี่ภีมเขาก็ยังเป็นห่วงกลัวว่าแกจะโดนผีหลอกนะ เลยให้แม่บ้านไปนอนเป็นเพื่อนอะ”
“พี่ภีมเขาตั้งใจกวนประสาทฉันมากกว่าอะสิ คนอะไร ร้ายได้โล่”
วาดฟ้าพึมพำตัดพ้อเสียงต่ำ นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนนั้น เขาหอบเธอมาทิ้งไว้ในห้องให้เธอดิ้นตะเกียกตะกายออกจากผ้าห่มที่พันแน่นหนายิ่งกว่ามัมมี่ ไม่ทันได้หายเหนื่อย พี่ดวงพรก็มาเคาะประตูบอกว่าภาวัฒน์ให้มานอนเป็นเพื่อนเธอ เช้าวันต่อมาพี่ดวงพรยังอุตส่าห์มีน้ำใจนำพระพุทธรูปองค์เล็กๆ มาตั้งไว้ในห้องนอนเธออีกด้วย
“แล้วนี่แกหลบหน้าพี่ภีมมาสามวันแล้ว เขาไม่พูดอะไรบ้างเลยเหรอ”
“จะพูดอะไร เขาคงสบายใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องเห็นหน้า ไม่ต้องพูดกับฉัน”
“แปลกนะ แกทนได้ไงตั้งสามวัน ฉันไม่ได้เห็นหน้าพี่ไอซ์แค่วันเดียวก็ใจจะขาดรอนๆ แล้ว”
ลดายิ้มหวาน ทำหน้าเคลิ้มฝันถึงชายหนุ่มที่ตนรักข้างเดียวมานานอย่าง ‘พี่ไอซ์ อธิวัฒน์’ พี่ชายของอลิน
“ฉันไม่ได้หลบหน้าพี่ภีมเพราะโกรธ แต่เพราะว่าฉันอับอายขายขี้หน้ามากจนไม่กล้าสู้หน้าเขาต่างหาก”
“คิดมากนะแกเนี่ย พี่ภีมเขาก็อยู่กับแกมาตั้งแต่เด็ก เขาคงเห็นแกทำเรื่องเปิ่นๆ เด๋อๆมานับครั้งไม่ถ้วนจนชินแล้ว”
แต่ไอ้เรื่องเปิ่นๆ ที่ว่านั่นก็ยังไม่เทียบเท่ากับการพยายามยั่วยวนแล้วเขาไม่พิศวาสเธอเลยสักนิด หรือหากพูดตามภาษาชาวบ้านก็คือ ‘ยั่วไม่ขึ้น’ นั่นแหละ
‘นี่ความเป็นพี่น้องมันซึมซับเข้าเส้นเลือดเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ...’
หญิงสาวเกิดความสงสัย เขาตีตัวออกหากเธอไปตั้งห้าปีหลังจากเธอสารภาพรัก ถึงแม้จะมีเรื่องพบปะพูดคุยกันบ้างยามมีธุระสำคัญ เขาก็ไม่ได้วางตัวเป็นพี่ชายที่สนิทสนมกับเธอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็น่าจะเลิกมองเธอเป็นเหมือนน้องสาวได้ตั้งนานแล้วสิ
“ช่างมันๆ ฉันไม่อยากพูดถึงแล้ว คืนนี้ไปกินเหล้ากันมั้ยไอ้ดา ไอ้อิงค์มันเลิกกองประมาณทุ่มนึง เราก็ไปกันสามคน”
“เอาดิ ไม่ได้ไปนานแล้วนี่นา เดี๋ยวฉันไปบอกป๊ากับม้าก่อนนะ”
ลดาพูดยิ้มๆ ท่าทางตื่นเต้น ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปบอกบิดากับมารดาซึ่งนั่งรับประทานข้าวกันอยู่หลังร้าน ส่วนวาดฟ้าตัดสินใจไม่บอกคนที่บ้าน เพราะคิดว่าเขาคงไม่สนใจว่าเธอจะไปไหนหรือทำอะไรทั้งสิ้น
ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะทำงานภายใต้แสงไฟในระดับพอเหมาะจากโคมไฟ เขากลับจากบริษัทมาถึงคอนโดก็ได้รับรายงานจากดวงพรว่ายายจอมแสบยังไม่กลับมา ทั้งที่ปกติแล้วเธอกลับก่อนเขาเสมอ
แล้วใครสนกัน...สามวันมานี้เธอหลบหน้าหลบตาไม่ให้เขาเห็นตัวอยู่แล้วนี่ คงอายกับเรื่องนั้นอยู่มากโข ป่านนี้เจ้าตัวคงกำลังนอนหลับสบายอุ่นใจในบ้านของบิดามารดาอยู่ก็เป็นได้
ภาวัฒน์ก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนหรูผ่านเลนส์แว่นกรองแสง เวลาสี่ทุ่มสี่สิบสามนาที ไม่มีเสียงแจ้งเตือนข้อความใดจากสมาร์ตโฟนจนเขาต้องหยิบมันมาดูอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
ถ้าจะนอนค้างที่บ้านจริงๆ ก็ควรไลน์มาบอกเขาสักนิดสิ ไม่ใช่หายไปเลยแบบนี้
ชายหนุ่มเริ่มคิดหนัก นิ้วโป้งค้างอยู่เหนือปุ่มโทร. ออก ไม่แน่ใจว่าเขาควรโทร. หายายจอมแสบดีหรือไม่ ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะกดโทร. หาประไพผู้เป็นป้าแทน
ปลายสายไม่ทันได้กดรับ เสียงปลดล็อกประตูโดยคีย์การ์ดด้านนอกดังเสียก่อน เขารีบกดวางสาย ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องนอนไปยังห้องรับแขก เห็นร่างเล็กในชุดเสื้อครอปปาดไหล่สีขาวกับกางเกงยีนเอวสูง เดินสะพายกระเป๋าเข้ามาด้วยท่าทางเนือยๆ ใบหน้าสวยหวานแดงก่ำ
“ไปไหนมา” เจ้าของเสียงเข้มเอ่ยถาม พยายามรักษาท่าทีให้เป็นปกติ
“ไปดื่มเหล้ากับเพื่อนมาค่ะ”
วาดฟ้าตอบตรงๆ เธอดื่มไปเยอะก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นเมาหัวราน้ำ สติสัมปชัญญะของเธอยังมีเหลืออยู่บ้าง
“แล้วทำไมถึงไม่บอกพี่ก่อน” เขาเข้ามาขวาง ในระหว่างที่หญิงสาวตั้งท่าจะเดินเลี่ยงออกไป
“บอกหรือไม่บอกมันก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ พี่ภีมไม่ได้สนใจวิวอยู่แล้วนี่”
“ไม่ต้องมายอกย้อนเลยนะวิว พี่ไม่ได้ห้าม แต่ควรบอกให้พี่รับรู้หน่อย เพราะยังไงพี่ก็รับปากคุณลุงไว้แล้วว่าจะดูแลวิวให้ดีที่สุดในระหว่างสามเดือนนี้ เกิดเหตุฉุกเฉินเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
คนเมาหัวเราะเสียงผะแผ่ว ไม่ใช่เพราะตลก ทว่าเพราะสมเพชตัวเอง เธอเงยหน้ามองผู้ชายที่เธอเฝ้าหลงรักมาเนิ่นนานข้ามภพข้ามชาติ ดวงตาคู่กลมโตฉ่ำคลอน้ำตา ริมฝีปากสีพีชเผยอเอ่ยถ้อยคำตัดพ้อต่อว่าเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“พี่ภีมทำก็เพราะหน้าที่ กลัวว่าถ้าวิวเป็นอะไรไปผู้ใหญ่คงจะมาด่าว่าตัวเองใช่ไหมล่ะ พี่ภีมไม่เคยเป็นห่วงวิวจากใจจริงสักครั้งเลย!”
“...”
“ทำไมคะ แค่วิวรักพี่ภีมมันผิดมากเลยเหรอ พี่ภีมถึงได้เย็นชาใส่วิวไม่เลิก”
“พอแล้วน่ะวิว หยุดพูด เมาแล้วก็ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเข้านอนซะ”
ภาวัฒน์รีบกล่าวตัดบท หลีกทางเพื่อให้ยายจอมแสบเดินกลับห้องนอนไป ในใจเขาสับสนว้าวุ่น ที่ผ่านมาเธอมักยิ้มได้เสมอ ไม่เคยตัดพ้อต่อว่าแสดงความเสียใจอะไรออกมาให้เขาเห็นสักครั้ง ดูเหมือนว่าครั้งนี้แอลกอฮอล์คงแผลงฤทธิ์ใส่ต่อมเก็บกดของเธอให้ระเบิดตูม
“รู้อะไรไหม วิวน่ะอยากจะเกลียดพี่ภีมแทบตาย อยากจะใจร้าย อยากจะทำตัวเย็นชาใส่พี่ภีมเหมือนกับที่พี่ภีมทำกับวิวบ้าง แต่วิวแม่งไม่เคยทำได้เลยค่ะ”
พอพูดจบ จู่ๆ วาดฟ้าก็รู้สึกแข้งขาอ่อน เธอทรุดตัวลงนั่งบนพื้นพรมราคาแพง น้ำตาไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้าง เธอยังมีสติรับรู้ เพียงแค่เธอไม่อยากควบคุมอะไร อยากทำทุกอย่างตามที่ใจต้องการมากกว่า
“ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ไปอาบน้ำเข้านอน”
“พี่ภีมไม่ต้องสนใจวิวหรอกค่ะ วิวเหนื่อย ขออยู่ตรงนี้เงียบๆ คนเดียวสักพัก...”
ภาวัฒน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางสั่นศีรษะ จนปัญญาที่จะกำราบคนดื้อ ร่างสูงใหญ่ตัดสินใจหมุนตัวหันหลังเดินกลับมาที่ห้องนอน เขานั่งลงบนโต๊ะทำงาน สะสางงานที่คั่งค้างไว้ต่อกระทั่งถึงเวลาห้าทุ่ม เขาจึงเดินออกมาดูที่ห้องรับแขกอีกครั้ง
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อเห็นร่างเล็กในคลองสายตานั่งอยู่บนพื้นพรมเอาหลังพิงโซฟา มีหมอนอิงรองศีรษะในท่ากอดอกแหงนหน้า ช่างเป็นท่านอนที่ผิดมนุษย์มนาที่สุดเท่าที่ชายหนุ่มเคยเห็น
เขาสืบเท้าเข้าไปใกล้ โน้มตัวลงเขย่าไหล่ของหญิงสาวพร้อมกับส่งเสียงเรียกให้ตื่น
“ตื่นได้แล้ววิว ไปนอนที่ห้องดีๆ”
“ไม่เอา ขี้เกียจ วิวนอนนี่แหละ” คนเมาลากเสียงยานคาง นอนหลับตาทำหน้ายุ่ง
“วิว พี่ไม่พูดดีด้วยแล้วนะ”
ภาวัฒน์ช้อนร่างเล็กบางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะลุกขึ้นเดินดุ่มๆ ไปที่ห้องนอนของเธอ โดยที่เธอยังคงนอนหลับตา ไม่ได้ร้องโวยวายตามประสาคนเมาแต่อย่างใด เขาจัดแจงวางเธอลงบนเตียง เปิดเครื่องปรับอากาศภายในห้อง แล้วกลับมาห่มผ้าให้
“พี่ภีมนี่สมกับเป็นพี่แสนกล้าเลยนะคะ ใจร้ายเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนนังลำดวนคนนี้ก็รักพี่เสมอต้นเสมอปลาย”
วาดฟ้าพึมพำเสียงอ้อแอ้คล้ายคนละเมอ ภาวัฒน์ซึ่งกำลังจะเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียงถึงกับต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจ
‘แสนกล้า’ ไม่ผิดแน่ เมื่อกี้เขาได้ยินยายจอมแสบพูด แถมยังมีชื่อ ‘ลำดวน’ อีก เขาจะไม่เอะใจเลยหากสองชื่อนี้มันไม่ได้วนเวียนอยู่ในความฝันของเขามาสักพักแล้ว และที่น่าแปลกคือเขารู้สึกคุ้นเคยกับชื่อเหล่านี้อย่างบอกไม่ถูก
สองคนนี้เป็นใครกัน ทำไมเขาถึงฝันถึง แล้ววาดฟ้าเกี่ยวข้องรู้จักกับสองคนนี้อย่างไร
ภาวัฒน์ชักอยากรู้คำตอบ
ความคิดเห็น |
---|