8

น้ำหนักความห่วงใย

น้ำหนักความห่วงใย

 

‘ถึงแล้ว ลงไปสิ’ 

เกล้าเศียรเอ่ยเสียงเย็นขณะปล่อยเท้าจากเบรก ผลักประตูฝั่งคนขับเปิดออกไปและปิดกลับไม่เบามืออย่างจงใจไร้มารยาท เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องให้เกียรติผู้ที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย

ศัตรู...ยิ่งกว่านั้น เธอคือคนที่เขาจงเกลียดจงชังและรังเกียจที่สุดในโลก ยิ่งกว่าศัตรูร้อยเท่าพันเท่า ตามคำกล่าวที่ว่า...ทำฉันยังไม่เจ็บเท่าทำคนที่ฉันรัก ทำร้ายฉันยังไม่อาฆาตเท่าทำร้ายผู้เป็นหัวใจ

‘ถึงจะอยู่ในนั้นตลอดไปก็ไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาหรอก ออกมา’ ฝ่ามือหนักๆ ตบลงบนหลังคารถแบบไม่ห่วงว่ารถราคาเป็นล้านจะบุบหรือเป็นรอยด่างพร้อย

‘ฉันไม่ได้หูหนวก พูดดีๆ ก็ได้’ 

กานมณีผลักประตู ค่อยๆ ก้าวออกมาเพราะบาดแผลบนตัวยังใหม่ เธอรู้ซึ้งถึงกระดูกดำว่าเขาเกลียดชังเธอยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกตลอดเวลาอย่างนั้นก็ได้ ถึงเขาลดความหยาบคายลงสักนิด ก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกถึงความรังเกียจนั้นลดลงหรอก!

เด็กเอ๋ยเด็กแสนดีคลินิก

คลินิกเขางั้นหรือ

กานมณีอ่านอักษรตัวใหญ่หน้าตึกสามชั้นที่ตกแต่งอย่างน่ารักราวกับโรงเรียนอนุบาลย่านอโศก ย่านที่ราคาที่ดินแต่ละตารางวาแพงหูฉี่ และไม่ง่ายที่จะสามารถเปิดกิจการได้ เพราะพื้นที่ส่วนมากกลายเป็นห้างสรรพสินค้าไปหมดแล้ว

‘ให้มันเร็วๆ หน่อย ชักช้ายืดยาด’ 

เกล้าเศียรยื่นมือเข้าไปคว้าแขนของคนชักช้าไม่ทันใจให้ออกมาพ้นๆ รถด้วยตัวเองและกระแทกประตูปิด จนเธอสะดุ้งโหยง

‘ฉันเจ็บ!’ 

กานมณีประท้วงเสียงหลง ทั้งตกใจและเหมือนร่างจะฉีกจากการกระตุกไม่ออมแรงนั้น 

‘สำออย’ นอกจากไม่เห็นใจยังตอกกลับเสียงกระด้าง และดันทุรังลากเธอก้าวเข้าไปด้านในอย่างไม่แยแสบาดแผลบนตัวเธอ ก่อนจะสะบัดเธอลงกับโซฟา ‘นับจากนี้เป็นต้นไป คุณคือคนงานของที่นี่ ความสะอาดทุกซอกทุกมุมเป็นหน้าที่ของคุณ และสามร้อยหกสิบห้าวันนับจากนี้ คุณต้องเขียนหนังสือขอโทษแก้วกินรีจากใจทุกวัน วันละหนึ่งฉบับ โดยผมจะตรวจมันทุกตัวอักษร หากมีประโยคไหนไม่ได้มาจากใจ ผมจะให้คุณเขียนใหม่อีกร้อยฉบับ หรือเขียนจนกว่ามือของคุณจะจับปากกาไม่ได้อีกตลอดชีวิต’

‘...’ 

‘ทำไมไม่ตอบ’

สะบัดเธอราวกับขยะ ส่งความเจ็บให้เธอเองกับมือ ยังมีหน้ามาถาม...

กานมณีเม้มปากแน่น เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ถึงจะเกลียดกันเข้าไส้ แต่เขาไม่ควรลืมว่าเธอเพิ่งออกจากโรงพยาบาล หากตั้งใจจะฆ่าจะแกงกันก็ควรทำเสียให้จบๆ ไม่ใช่เลี้ยงไข้เธอแบบนี้ จะหายก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

‘ตอบฉัน กานมณี!’

‘ฉัน...’ พูดไม่ไหวแล้ว และทนฟังเขาเอาแต่พูดไม่ไหวเช่นกัน 

‘นี่...’

เกล้าเศียรตกใจจนขวัญกระเจิง นิ่งเป็นรูปปั้นเมื่อถูกคนที่จงเกลียดจงชังลุกขึ้นมาคล้องลำคอโน้มลงมาบดจูบอย่างรุนแรง จูบที่ทำเอาริมฝีปากเขาแสบร้อนและเรียวลิ้นด้านชา

ยายบ้านี่!

อดทนไว้กานมณี ถ้าไม่อยากมีชีวิตเสมือนคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง...

ถึงจะรังเกียจการสัมผัสเช่นนี้จนอยากจะอาเจียน แต่เธอต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด มันเป็นสัญชาตญาณมาตั้งแต่เด็ก 

‘อื้อ...’ เกล้าเศียรต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะจับหัวไหล่เล็ก แล้วผลักเธอออก “เป็นบ้าไปแล้วรึไง!”

‘...’ กานมณีเม้มปากแน่น เธอไม่ได้บ้า แต่เจ็บจนจะขาดใจ

‘เธอนี่มัน... ไร้ยางอาย!’ เกล้าเศียรสะบัดเธอลงกับโซฟาตัวเดิม ถ่ายทอดความเกลียดชังออกมาด้วยสายตาดุดัน แล้วก้าวฉับๆ ออกจากคลินิกไปแบบไม่เหลียวหลัง

 

ตอนนั้นเขาไม่เหลียวหลัง แต่ตอนนี้... 

เกล้าเศียรจ้องมองใบหน้างดงามของหญิงสาวที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ราวกับว่าความงดงามนั้นเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถสัมผัสได้ มือหนาเคลื่อนขึ้นไปวางบนแก้มนวลเนียน ไล้นิ้วหัวแม่มือวนเป็นวงกลมแผ่วเบาซ้ำไปซ้ำมาบนความอ่อนนุ่ม พาให้หัวใจดวงโตเต้นตุ้บๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้

เขาเป็นอะไรกันนะ

ทำไมถึงรู้สึกพอใจกับการมีเธออยู่ใกล้ๆ พอใจกับการได้เห็นเธอ ได้แตะต้อง ได้จ้องมองเธอแบบนี้เหลือเกิน 

เกล้าเศียรไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดไม่รู้ถึงความหมายของความรู้สึกเหล่านั้นของตัวเอง แต่เขาแค่กลัวเกินไปที่จะยอมรับคำตอบที่ได้ กลัวเกินไปที่จะเผชิญกับความจริงที่จะเป็นเหมือนหอกแหลมที่ขว้างออกไปสุดแรงหวังปลิดชีพศัตรู แต่มันกลับพุ่งตรงมาเสียบแทงตัวเขาเองให้แดดิ้น จึงได้แต่ตั้งคำถามวนไปวนมาและบ่ายเบี่ยงการหาคำตอบที่แน่ชัด

แต่ตอนนี้ เขาคงบ่ายเบี่ยงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...

‘ยอมรับเถอะเกล้าเศียร นายคิดถึงเธอแทบบ้า คิดถึงยายแม่มดผู้โดดเดี่ยวคนนี้แทบไม่เป็นผู้เป็นคน!’

และจากนี้ เพื่อไม่ให้เธอเที่ยวไปทำร้ายใครอีก เขาจะเสียสละตัวเองกักขังหน่วงเหนี่ยวแม่มดร้ายอย่างเธอไว้เอง เสียสละตัวเองอยู่ข้างๆ คอยควบคุมความประพฤติ ทุกๆ อย่าง รวมถึงภาพลักษณ์จากสายตาคนอื่นด้วย

แพทย์หนุ่มยิ้ม แววตาอ่อนโยน ผละมือออกช้าๆ ค่อยๆ ลุกจากเตียงอ้อมไปฝั่งตรงข้าม ก้มลงช้อนร่างบอบบางบนเตียงพาไปนอนยังแคร่ไม้ที่ตั้งไว้ริมกระโจม แคร่ที่ถูกจัดเอาไว้เป็นที่พักผ่อนของผู้คอยดูแลผู้สืบทอดโดยเฉพาะ เพราะบนนั้นมีหมอน ผ้าห่มพับไว้เป็นระเบียบ เขาค่อยๆ วางเธอลงอย่างเบามือที่สุด เพื่อไม่ให้ห้วงนิทราของเธอถูกทำลาย แล้วคลี่ผ้าห่มคลุมให้จนถึงอก 

จะว่าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจหรือฉวยโอกาสก็ช่าง...

เกล้าเศียรประทับจุมพิตบนริมฝีปากนุ่มนิ่มนั้น ต่อด้วยหน้าผากเนิ่นนาน

“ฝันดีครับ”

เขาเลื่อนริมฝีปากร้อนรุ่มมากระซิบบอกข้างหู ก่อนจะตัดใจย้อนกลับไปคลี่ผ้าห่มคลุมผู้รับบทเป็นลูกชายที่หลับไปอย่างเบามือเช่นกัน เหตุที่เขาไม่ปล่อยให้สถานการณ์ดีๆ บทบาทพ่อแม่ลูกยืดยาวต่อไปจนถึงเช้า ทั้งๆ ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะอาจทำให้ภาพลักษณ์ของผู้สืบทอดและกานมณีเสียหายได้ หากมีคนอื่นมาพบเห็นเข้า เขาไม่อยากให้พวกเขาต้องพบเจอสายตาหยามเหยียดจากผู้อื่น

ลูก ภรรยา เขาจะรับบทสามีจริงๆ หรือไร

เกล้าเศียรหัวเราะความคิดตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความคิดนั้น และทำหน้าที่บิดากับสามีจนครบถ้วนด้วยการเดินไปดับตะเกียงบนโต๊ะข้างเตียงเพื่อให้บุคคลที่หลับไปแล้วได้พักผ่อนอย่างเต็มที่...

“ให้ผมเดินไปส่งไหมครับคุณหมอ”

ปุคารีบอาสาเมื่อเห็นแพทย์หนุ่มคนสำคัญของนายเหนือหัวก้าวออกมาจากกระโจม

“ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ” ระยะจากตรงนี้กลับกระโจมไม่ไกลเท่าไร แถมระหว่างทางก็มีทหารเฝ้าเป็นระยะๆ ไม่จำเป็นต้องกลัวอันตราย “นายก็ควรสลับเวรไปพักผ่อนบ้างนะ”

“กระผมไม่เป็นไรครับ” ปุคายืดตัวตรงขอบคุณความเป็นห่วงของแพทย์หนุ่ม

“งั้นฉันไปก่อนละ” 

เกล้าเศียรตบบ่าผู้ติดตามเบาๆ ให้กำลังใจและผละไปทางกระโจมตัวเอง

เสียงจิ้งหรีดเรไรยังดังระงมเป็นเพื่อนตลอดทาง รอบนี้เขาไม่รู้สึกโหวงเหวงในใจ กลับรู้สึกว่าเสียงเหล่านั้นไพเราะ เหมือนท่วงทำนองบทเพลงโอเปราที่มีทั้งความเศร้า ความสุข และความสนุกเบิกบานรวมอยู่ในบทเพลงเพลงเดียวกัน มันปลุกใจมากกว่าจะทำให้หดหู่

หรือเพราะความรู้สึกเขาเปลี่ยน?

ก็อาจจะมีส่วน เขาคิดด้วยรอยยิ้มและก้าวเข้าไปในกระโจม ทิ้งกายลงนั่งบนเตียง น้ำหนักตัวที่ไม่น้อยทำให้เตียงไม้ไผ่ขยับไหว ผ้าชิ้นน้อยที่เขายัดไว้ใต้หมอนก็โผล่พ้นออกมาประจานความบ้าระห่ำ 

“เจ้าของแกเห็นฉันเป็นโรคจิตไปแล้ว”

เกล้าเศียรหยิบผ้าชิ้นน้อยขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าขยายกว้างยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อหวนนึกถึงใบหน้าของเธอตอนที่เขายืนยันให้เธอพิสูจน์ และปล่อยขำออกมาลั่นกระโจม เมื่อจินตนาการถึงใบหน้าเธอตอนเห็นผ้าชิ้นน้อยนี่อยู่ใต้หมอนเขา

“ฉันคงจะถูกสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นแน่ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหา...” 

แพทย์หนุ่มลุกขึ้นนำผ้าชิ้นน้อยไปใส่ไว้ในกระเป๋า แล้วจึงกลับมาทิ้งกายเหยียดยาวนอนลงบนเตียง ปิดตาลงพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงค้างบนริมฝีปาก คืนนี้จะเป็นคืนแรกในรอบหลายปีที่เขาจะนอนหลับฝันดี

 

ตู้ม!!!

พระอาทิตย์ยังไม่ทันพ้นขอบฟ้าเสียงกัมปนาทของระเบิดก็ดังขึ้นจากแนวชายแดนตามการคาดการณ์ของผู้สืบทอด ปลุกทุกชีวิตจากฝันดีและร้ายเพื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า ทุกฝ่ายต่างผลุนผลันลุกจากที่นอนเพื่อเตรียมความพร้อมและวิ่งออกไปรวมตัวกันยังกระโจมแพทย์เคลื่อนที่ ไม่มีเวลาเอ้อระเหยลอยชายหรือโอ้เอ้กับฝันหวานในค่ำคืนที่ผ่านมาแม้สักนาทีเดียว

เกล้าเศียรก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาสะดุ้งจากฝันที่หากเลือกได้จะขอต่อเวลาให้ยาวไปอีกสักสองสามชั่วโมง แพทย์หนุ่มลุกขึ้นจากที่นอนที่ไม่ได้ช่วยคลายหนาวเท่าไร เพราะสถานการณ์ที่ไม่เอื้อจึงไม่มีเครื่องนอนดีๆ หนาๆ ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศที่หนาวจัด ที่นี่อากาศเลวร้ายมาก เขาสั่นไปทั้งร่างจนต้องรีบค้นหาเสื้อแขนยาวจากในกระเป๋า

แกจะตามมาด้วยทำไม!

ผ้าชิ้นน้อยตามติดเสื้อแขนยาวขึ้นมาราวกับเป็นของตกแต่งบนตัวเสื้อ 

เกล้าเศียรแยกเขี้ยวใส่เจ้าผ้าชิ้นน้อยที่โผล่มาไม่ดูเวล่ำเวลา กะจะยัดมันกลับลงไปหลังตวัดเสื้อขึ้นสวม กระโจมกลับถูกกระชากเปิดจากมือของคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี

“หมอเกล้า!” พัฒนพงษ์พุ่งเข้ามาอย่างร้อนรน

เกล้าเศียรตวัดผ้าชิ้นน้อยใส่กระเป๋าเสื้อแขนยาว...

“พี่พงษ์” เขาตกใจแพทย์รุ่นพี่มากกว่าเสียงระเบิดก่อนหน้าเสียอีก แต่ก็รีบปรับสีหน้าเพื่อไม่ให้ฝ่ายที่มาใหม่เข้าใจผิดว่าเขากำลังหวาดกลัวกับสถานการณ์เลวร้ายจนขวัญหนีดีฝ่อ

“ผมพร้อมแล้วครับ ต้องทำอะไรยังไงบ้าง แนะนำผมหน่อย” 

“อีกไม่เกินชั่วโมงจะมีผู้บาดเจ็บถูกลำเลียงมาที่นี่ เราต้องไปรวมตัวกันที่กระโจมแพทย์ด้านหน้า นายโอเคใช่ไหม” 

พัฒนพงษ์แสดงความห่วงใยแพทย์หนุ่มรุ่นน้องทั้งสีหน้าและน้ำเสียง เขาค่อนข้างกังวลว่าสถานการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นรวดเร็วเช่นนี้อาจทำให้อีกฝ่ายปรับตัวไม่ทัน

“โอเคครับ ผมโอเค พี่ทำหน้าที่ตัวเองให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงผม” 

เกล้าเศียรเองก็มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะช่วยคนเจ็บไม่ว่าจะในสถานการณ์วิกฤติเสี่ยงตายยังไงก็ตาม ถึงอุดมการณ์หลายๆ อย่างจะแตกต่างจากทีมแพทย์อยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขาเลย

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ผู้เป็นรุ่นพี่ตบบ่าแพทย์รุ่นน้องและวิ่งนำออกไป

เกล้าเศียรไม่ชักช้า คว้าเสื้อกาวน์วิ่งตามไปทันที...

หน้ากระโจมแพทย์เคลื่อนที่อลหม่านไปด้วยทีมแพทย์ พยาบาลที่ต่างวิ่งวุ่นเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ที่ผู้บาดเจ็บจะทะลักเข้ามาไม่ต่างจากสายน้ำหลาก เขาตวัดเสื้อกาวน์ขึ้นสวมทับเสื้อแขนยาวที่ไม่หนามาก วิ่งเข้าไปรวมกับทีมแพทย์และพยาบาลสองสามคนด้านหน้ากระโจมเพื่อรอรับผู้บาดเจ็บ

และเพียงไม่นานผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะก็ถูกรถกระบะลำเลียงมาถึง เสียงเบรกดังกึกก้อง เสียงฝีเท้าทหารกระโดดลงจากรถ ดังผสานกับเสียงท้ายรถกระบะที่ถูกกระชากเปิดโดยแพทย์หนุ่มคนหนึ่ง 

เกล้าเศียรนั่นเอง เขาพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก ผู้บาดเจ็บบนกระบะนองไปด้วยเลือดสด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทว่าแพทย์หนุ่มกลับโยนตัวขึ้นไปบนรถและตรวจดูอาการชายคนหนึ่งที่หน้าอกด้านซ้ายมีโลหิตไหลออกมาไม่หยุด

“ผู้ป่วยสีแดง คลำไม่พบชีพจร แต่ยังหายใจ!” เกล้าเศียรตะโกนขณะผละมือจากลำคอผู้บาดเจ็บ

สิ่งที่แพทย์ควรทำเป็นอันดับแรกในอุบัติภัยหมู่คือการคัดแยกผู้บาดเจ็บ จัดกลุ่มผู้บาดเจ็บเพื่อส่งต่อการรักษาที่เหมาะสม ทันเวลา ซึ่งสีแดง หมายถึง ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนโดยทันที สีเหลือง หมายถึง ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาภายใน ๔-๖ ชั่วโมง มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายถึงชีวิต สีเขียว หมายถึง ผู้ป่วยที่รอได้นานกว่า ๔ ชั่วโมง โดยไม่เกิดอันตรายใดๆ และสีน้ำเงิน หมายถึง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก โอกาสรอดชีวิตน้อย ถึงจะให้การดูแลรักษาอย่างเต็มที่โดยบุคลากรจำนวนมาก แต่ก็อาจเสียชีวิตได้ ทำให้ผู้ที่มีโอกาสรอดชีวิตรายอื่นเสียโอกาสได้รับการรักษา เพราะในภาวะสงครามแพทย์ไม่อาจช่วยได้ทุกชีวิต แม้จะอยากทำเช่นนั้นแทบขาดใจก็ตาม นั่นคือสิ่งที่แพทย์ต้องเรียนรู้และจดจำให้ขึ้นใจ

อึกๆๆๆ

ผู้บาดเจ็บชายคนนั้นดิ้นพราดๆ ตาเหลือกลาน มีเลือดทะลักออกจากปากตามแรงชักกระตุกขณะเคลื่อนย้ายเข้ามาภายในกระโจมผ่าตัด

“คุณหมอคะ คนไข้ชัก...!” 

พยาบาลสาวผู้ช่วยผ่าตัดร้องบอกก่อนจะช็อกไปเช่นกัน ทันทีที่เห็นใบหน้าแพทย์หนุ่มชัดๆ จามิกรถึงกับมือไม้อ่อนปล่อยสิ่งที่กำลังจะนำมาสวมบนใบหน้าผู้บาดเจ็บหลุดไปแนบตัว แล้วอุทานชื่ออีกฝ่ายออกมา...

“หมอเกล้า!” 

คุณจ๋า!

เกล้าเศียรเองก็ตกใจไม่แตกต่างจากอีกฝ่ายเท่าไรนัก แต่ชั่วพริบตาเท่านั้นก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ

“ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ แต่เมื่อมาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ จะปล่อยให้คนไข้เกิดอันตรายเพราะความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้” เขาจับมือที่ปล่อยเครื่องช่วยหายใจของจามิกรกลับมาคืนที่เดิม และกระโดดขึ้นไปคร่อมร่างของผู้บาดเจ็บเพื่อป้องกันไม่ให้แรงกระตุกจากอาการชักทำให้ร่างคนไข้หล่นลงพื้น

“หมอคะ มีคนไข้เด็กค่ะ”

เกล้าเศียรยังไม่ทันสั่งการใดๆ พยาบาลอีกคนก็ทะเล่อทะล่าเข้ามาแจ้งข่าว 

“อาการ” แพทย์หนุ่มถามโดยที่ยังไม่ปล่อยมือจากผู้บาดเจ็บซึ่งเริ่มสงบลงบ้างเล็กน้อย เขาต้องการข้อมูลว่าควรจะไปทันที หรือรอได้อีกนิด

“ถูกยิงที่หน้าอกด้านขวา ไม่สามารถห้ามเลือดได้ ตอนนี้คลำไม่พบชีพจร กำลังซีพีอาร์ค่ะ” 

รอไม่ได้!

“ไดอะซีแพม6 ห้ามิลลิกรัมเข้าเส้นเลือดดำ ให้น้ำเกลือกับเลือดคนไข้ด่วนที่สุด ตามหมอพงษ์มาดูเคสนี้ต่อด่วน บอกหมอว่าคนไข้สีแดง!” 

เกล้าเศียรตะโกนสั่ง เขาห่วงชีวิตเด็ก แต่ก็ไม่ได้ดูดายผู้ป่วยวิกฤติรายนี้ แพทย์หนุ่มรอจนพยาบาลฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำเรียบร้อยและอาการชักหยุดลงแล้ว จึงกระโดดลงจากเตียงและวิ่งออกจากกระโจมผ่าตัดไปยังจุดที่พยาบาลวิ่งนำไป...

 

กว่าสามชั่วโมงทีเดียวที่เกล้าเศียรใช้กระโจมผ่าตัดสองไปกับการผ่าตัดเด็กหญิงวัยห้าขวบตัวเล็กๆ ที่ขนาดตัวและน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์พอสมควร ซึ่งกระสุนทะลุหน้าอกฝังอยู่ในปอด ต้องผ่าตัดเอากระสุนออกพร้อมกับซ่อมแซมเส้นเลือดที่ฉีกขาดให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมให้มากที่สุด

มันยากมาก... 

เนื่องจากอุปกรณ์การแพทย์จำกัดเหลือเกิน เขาไม่มีเครื่องเอ็มอาร์ไอ ไม่มีเครื่องซีที ไม่มีแม้แต่เครื่องเอกซเรย์ ใช้เพียงสัญชาตญาณล้วนๆ ในการนำทางผ่าตัด แถมยังต้องทำเวลาอย่างสุดความสามารถ เพราะเด็กหญิงตัวเล็กเกินกว่าจะอดทนต่อการผ่าตัดยาวนานได้ 

งานหิน งานยาก งานลำบากใจอย่างแท้จริง!

แต่เขาดีใจที่เด็กหญิงคนนั้นรอด!

แพทย์หนุ่มเดินออกมานอกกระโจม บิดตัวไล่ความเมื่อยล้าซ้ายทีขวาที เพราะต้องยืนผ่าตัดติดต่อกันเป็นเวลานานเกือบสามชั่วโมง พลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...

ทำไมเขาไม่เห็นกานมณีเลย

กระโจมผ่าตัดก็มีแค่นี้ บุคลากรทางการแพทย์ก็เท่านี้ กวาดสายตาไปโดยรอบก็เห็นคนอื่นๆ ครบ ต่อให้เธอจะพยายามหลบก็ต้องเห็นผ่านตาบ้าง

“คุณหมอไปรับประทานอาหารเช้าก่อนก็ได้นะคะ ถ้ามีเคสมาอีก ปาจะไปตามค่ะ” 

ปาริกา พยาบาลผู้ช่วยผ่าตัดตลอดสามชั่วโมงอันมหาโหด ยื่นขวดน้ำที่ถือมาหนึ่งในสองขวดให้แพทย์หนุ่ม ในสถานการณ์เช่นนี้โอกาสพักถือว่าหายากยิ่ง ต้องฉวยให้เต็มที่เมื่อมีโอกาส

“ขอบคุณครับ” เขายิ้มให้และรับมากระดกอึกๆ ไปเกือบหมดขวด แล้วจึงมองไปยังกระโจมผ่าตัดหลังติดกัน “กระโจมผ่าตัดหนึ่งยังไม่จบเคสอีกเหรอ”

“เคสแรกจบไปแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังผ่าตัดเคสสอง แต่เห็นว่าไม่สาหัสเท่าไหร่ คุณหมอไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ ตอนนี้หมอพงษ์ก็กำลังรับประทานอาหารเช้าแล้วเช่นเดียวกัน” เมื่อเช้าเธอเห็นอยู่ว่าแพทย์หนุ่มวิ่งมาพร้อมแพทย์พัฒนพงษ์ จึงจงใจยกบุคคลที่อาจมีผลมาจูงใจ 

มีการเปลี่ยนทีมผ่าตัด แสดงว่าคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่อาจจะอยู่ในนั้น?

“แล้วใครผ่าตัดอยู่” เกล้าเศียรเผลอใช้กระแสเสียงร้อนรน

“อาจารย์กิตติ์ค่ะ” 

“ใครเป็นพยาบาลผู้ช่วย เอ่อ...ผมหมายถึงตอนนี้มีใครช่วยบ้าง”  

“เห็นว่าน้องปอนด์กับพี่กิ่งนะคะ” 

“แล้วกาน...”

“คุณหมอกำลังหมายถึงพี่กานใช่ไหมคะ” เธอเองก็ไม่เห็นพยาบาลรุ่นพี่เช่นเดียวกัน “ปาก็ไม่เห็นพี่กานเลย ปกติคนที่จะเห็นก่อนใครมักจะเป็นพี่กานตลอด ไม่รู้ว่าหายไปไหน”

“ฝากทิ้งหน่อยนะครับ ผมจะแวะไปหาตาเนซาสักหน่อย” เกล้าเศียรยื่นขวดน้ำกลับไปและบอกจุดหมายที่กำลังจะมุ่งไป เพราะเกรงว่าหากมีเคสด่วนแล้วจะตามหาตัวเขาไม่พบ 

พอพยาบาลรับขวดน้ำไปแบบงงๆ เขาก็ผละจากไปทางกระโจมของผู้สืบทอดในทันที

เขาบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรหรอก คงไม่เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นหรอก อย่าคิดมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็เหมือนจะทำไม่ได้เลย ยิ่งเข้าใกล้กระโจมผู้สืบทอดมากเท่าไร ความกังวลใจ ความห่วงใยที่ถาโถมเข้าสู่หัวใจได้กลายเป็นสิ่งของน้ำหนักมหาศาลที่สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ด้วยตัวของมันเอง มีแต่เพิ่ม ไม่มีลด หยุดคิดไม่ได้เลยว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น...

ไม่ทันการณ์แล้ว!

เกล้าเศียรเปลี่ยนจากก้าวยาวๆ เป็นวิ่ง ไม่นานเขาก็หอบหายใจอยู่หน้ากระโจม และเสียงจากข้างในก็ทำให้เขาหุนหันแหวกปากกระโจมเข้าไปโดยไม่ขออนุญาต

“กาน...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น