1

จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

1

จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

 

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้

ในเย็นวันศุกร์แห่งชาติที่สุดแสนจะน่าเบื่อ เพราะรถยนต์ที่มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงหนาแน่นเป็นพิเศษ ทำให้หลายๆ คนยังติดอยู่บนท้องถนน โชคดีมากที่เมฆานรีหลุดจากถนนสายใหญ่ที่รถแน่นและเข้าสู่เขตหมู่บ้านแล้ว แม้รถราจะยังวุ่นวาย แต่ก็สงบกว่าถนนสายใหญ่มาก

เพราะชื่นชอบความเงียบสงบมากกว่าความวุ่นวายพลุกพล่าน หญิงสาวจึงเลือกพักที่หอใกล้มหาลัย เพื่อที่จะไม่ต้องเจอการจราจรที่จอแจทุกวัน ก่อนจะกลับมาเมื่อใกล้เรียนจบอย่างตอนนี้

ไม่นานพี่วินมอ’ไซค์ก็พาเธอมายังบ้านที่มีรั้วเหล็กดัดบานใหญ่สีขาว ช่องระหว่างเหล็กที่ดัดอย่างสวยงามเป็นรูปดอกไม้ต่างๆ คงทำให้มองลอดเข้าไปเห็นตัวบ้านได้อย่างสบาย หากไม่มีไม้ระแนงกั้นอยู่

ทันทีที่รถจอดสนิท หญิงสาวก็ลงจากรถก่อนยื่นแบงก์ยี่สิบให้ 

“โธ่น้อง บ้านก็ใหญ่ หรูก็หรู ทำไมไม่ให้คนในบ้านไปรับ” พี่วินปากซอยกวนโอ๊ยถามขณะที่หญิงสาวเดินไปกดกริ้งประตู 

“โธ่พี่ ถ้าหนูเป็นคุณหนูบ้านนี้ หนูจะนั่งซ้อนท้ายพี่มาทำไมล่ะ ถามแปลกๆ” หญิงสาวว่า ก่อนจะย้ายตัวไปใกล้ๆ คนขับวิน 

“หนูอะคนใช้บ้านนี้ต่างหาก” เธอว่ายิ้มๆ ก่อนจะชะโงกหน้าตรงประตูเล็กแล้วกดกริ่งซ้ำ

ไม่นานเด็กสาววัยสิบแปดปีก็วิ่งออกมาจากตัวบ้านมาที่ประตูเล็กแล้วเปิดออก

“มาหาใคร” เด็กสาวเอ่ยอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นหญิงสาวแปลกหน้ามากับวินมอ’ไซค์หนุ่มที่เธอหมายปอง

“มาหาเจ้าของบ้าน” เมฆานรีตอบอย่างงงๆ สงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นใคร นอกจากจะไม่รู้จักเธอแล้ว ยังจะมาทำหน้าเหวี่ยงๆ ใส่อีก

“คนไหน คุณผู้หญิง หรือคุณผู้ชาย” 

แน่นอนว่ายังคงโดนเหวี่ยง เมื่อเด็กสาวเห็นสายตาของพี่วินที่มองมายังเธอ

“คุณผู้ชาย” หญิงสาวตอบพลางมองหน้าเด็กสาว ทั้งที่พูดกับเธอแต่มองเลยไปยังวินมอ’ไซค์ ฝ่ายนั้นมองกลับเช่นกัน แต่ไม่ได้มองเด็กสาว เขามองมาที่เธอ 

เมฆานรีเข้าใจแล้วว่าทำไมคนตรงหน้าถึงทำหน้าไม่พอใจ จึงถามเสียงเบาว่า “แฟนเหรอ” 

“ถามทำไม” 

“จะได้เลี่ยงไม่นั่งเข้ามาอีกไง” หญิงสาวว่าขำๆ ก่อนจะถามเรื่องที่ค้างไว้ “ตกลงคุณผู้ชายล่ะ อยู่มั้ย”

“อยู่ แต่มีแขก คงไม่รับแขกแล้ว” เด็กสาวว่าด้วยน้ำเสียงเดิม

ปี๊นนน! 

เสียงแตรรถยนต์ดังขึ้น ก่อนเจ้าของรถยนต์จะเดินลงมา

“เมฆ ทำไมไม่เข้าบ้าน” เสียงนุ่มคุ้นหูทำให้สองสาวหน้าประตูและหนึ่งวินมอ’ไซค์หันหน้าไปมองพร้อมกัน

“พี่แสง!” หญิงสาวเรียกเสียงดังแล้ววิ่งเข้าไปกอดผู้ที่เปรียบเสมือนพี่ชายของเธอ

สาวใช้เบิกตากว้าง เพราะจำได้ว่าชายหนุ่มที่มาใหม่เป็นใคร และการกอดกันนั้นทำให้เธอสงสัยมาก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ได้แต่ยืนมองเงียบๆ

“ใส ทำไมไม่ให้คุณเมฆเข้าบ้าน” แสงฉานหันมาเอ่ยเสียงเข้มใส่สาวใช้คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาไม่ถึงสัปดาห์ เขาพอรู้มาบ้างว่าเด็กคนนี้เป็นหลานสาวของป้านวล ป้าแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของที่นี่

“คะ...คุณเมฆ” สาวใช้ทำเสียงแหบแห้งขาดช่วงพร้อมหน้าซีดตัวสั่น เธอทรุดลงพร้อมพนมมือไหว้ท่วมหัว ส่วนพี่วินมอ’ไซค์ตอนนี้ชิ่งหนีไปแล้ว

“เฮ้ย! ใสทำไร” เมฆานรีถลาตัวเข้าไปหาสาวใช้ “ไม่เป็นไรๆ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ฮ่าๆ” 

เสียงหัวเราะสดใสนั้นทำให้ใบหน้าซีดของเด็กสาวเริ่มมีเลือดฝาด

“เข้าบ้านกันเถอะ” แสงฉานเอ่ยแล้วคว้ากระเป๋าใบโตจากมือน้องสาวที่คราวนี้ดูใหญ่กว่าทุกครั้ง

“พี่แสงเอารถเข้าไปจอดเลยค่ะ เดี๋ยวเมฆเดินเข้าไป ว่าจะคุยกับเด็กใหม่สักหน่อย” เมฆานรีพูดพลางปรายตาไปมองที่สาวใช้คนใหม่ของบ้าน 

แสงฉานพยักหน้ารับ ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับเข้าไปในเขตบ้านหลังจากประตูใหญ่เปิดออก

...

“ชื่อใสใช่มั้ย” เมฆานรีเปิดประเด็นก่อน เพราะเห็นว่าระหว่างเดินเข้าบ้านเงียบเกินไป

“ค่ะ ใสค่ะ” สาวใช้ยังตอบเกรงๆ

“เป็นใครมาจากไหน แม่ไม่รับคนนอกอยู่แล้ว” นายสาวถามต่อ

“เป็นหลานย่านวลค่ะ” เด็กสาวตอบอ้อมแอ้ม

“ลูกพี่พัท หรือลูกพี่จันล่ะ” หญิงสาวถามต่อแล้วขมวดคิ้ว เพราะมีรถแปลกๆ มาจอดอยู่ที่บ้าน

“พ่อพัทค่ะ” เด็กสาวตอบ ทั้งที่สายตายังคงอยู่ที่แผ่นหลังนายสาว

“อ๋อ ใสใจ เด็กน้อยถักเปีย” เมฆานรีตอบด้วยแววตาสดใสขึ้น ก่อนจะหันกลับไปสนใจรถสีดำคันใหญ่สุดหรู

“นั่นรถใคร” หญิงสาวถามพร้อมชี้รถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ทันทีที่เธอสาวเท้าไปถึงรถก็ยืนขมวดคิ้ว ก่อนจะหันหน้าไปทางแสงฉานสลับกับใสใจ

“รถแขกของคุณท่านค่ะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร” ใสใจบอกก่อนจะเดินไปรับกระเป๋าใบโตจากแสงฉานแล้วเดินเอากระเป๋าไปเก็บที่ชั้นสองของบ้าน

“ใครอะแขกของคุณท่าน” หญิงสาวทวนคำกับตัวเอง ก่อนหันไปมองหน้าแสงฉานที่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

 

สองหนุ่มสาวต่างวัยจูงมือกันเดินไปทางห้องรับแขก คนเป็นน้องดึงพี่ชายมายืนแอบที่ข้างตู้ ก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่คนในห้องพูดกันพลางขมวดคิ้ว 

ในห้องนั้นมีพ่อ แม่ พี่สาวของเธอ และใครอีกสองคนที่เธอไม่รู้จัก คนที่ยืนอยู่สวมสูท รูปร่างหน้าตาดี แต่ดูจะแก่กว่าคนที่นั่งซึ่งมีรังสีบางอย่างแผ่ออกมา ใบหน้าของเขาหล่อคม แต่ดวงตาเข้มๆ ดุๆ นั้นทำให้เมฆานรีไม่อยากจะจ้องนาน กลัวเขารู้ตัวและหันมาดุเธอ แล้วยังความสูงของเขาที่ขนาดนั่งอยู่ยังสูงกว่าบิดาเธอเสียอีก 

‘มาดขรึมแบบนี้ นักธุรกิจใหญ่หรือเจ้าพ่อหรือเปล่า’ เมฆานรีคิด

                “อย่างที่ผมรับปากไปแล้วว่าผมตกลงจะช่วยบริษัทของคุณพายุตามจำนวนเงินที่คุณพายุเสนอมา แต่ผมมีข้อแม้...” ชายคนนั้นหยุดพูดราวกับดูปฏิกิริยาของคนในห้อง “ลูกสาวของคุณพายุจะต้องแต่งงานกับผม” 

คำพูดนั้นที่ดูเป็นการประกาศมากกว่าจะเป็นคำบอกกล่าว หรือคำขอทั่วไป ส่งผลให้คนในห้องทั้งสามคนและคนที่อยู่นอกห้องอีกสองคนถึงกับอึ้ง อ้าปากค้าง

“แต่งงานหรือคะ” นภาพราว ลูกสาวคนโตของบ้านท่องวัจนะเอ่ยขึ้นทันที หญิงสาวหน้าเสีย ใจสั่น กับคำพูดของเขา และพานจะเป็นลมเข้าไปอีกเมื่อเขายืนยันหนักแน่น

“ครับ แต่งงาน เป็นเหมือนสัญญากลายๆ ด้วยว่าคุณจะไม่มีทางหักหลังหรือทำให้ผมเสียผลประโยชน์ไม่ว่าทางใด แต่ผมขอย้ำให้ชัดเจนว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานเพื่อธุรกิจเท่านั้น จะไม่มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน” 

นภาพราวและสายธารผู้เป็นมารดาถึงกับหน้าซีด เช่นเดียวกับอีกสองคนที่ยืนฟังอย่างคนไม่มีแรง

“ผมให้เวลาคุณฟ้าทำใจสามเดือนนะครับ อย่าลืมคิดถึงครอบครัวและคนทั้งบริษัทให้มากกว่าตัวเอง” ชายคนนั้นว่าด้วยเสียงเข้มและหนักแน่น ก่อนจะลุกขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วเดินออกไป พร้อมด้วยคนติดตาม 

คนสองคนที่อยู่ด้านนอกถึงกับรีบทำตัวลีบ หลบอยู่ในซอกหลืบระหว่างตู้กับผนัง กระทั่งคนตัวใหญ่สองคนเดินจากไปแล้วและได้ยินเสียงรถห่างออกไป เมฆานรีจึงรีบดึงตัวเองและ ‘ว่าที่พี่เขย’ ออกจากข้างตู้ แล้วต้องตกใจกับสีหน้าซีดเผือดของชายหนุ่ม 

เมฆานรีพยายามเรียกสติชายตรงหน้า แต่ไม่เป็นผล แสงฉานหมุนตัวกลับไปยังรถของเขาและขับออกไปก่อนเธอจะได้เอ่ยปากใดๆ หญิงสาวได้แต่หันกลับไปทางห้องรับแขก เห็นพี่สาวนั่งปล่อยโฮอย่างกลั้นไม่อยู่ มีผู้เป็นแม่คอยประคองกอดอยู่ข้างๆ ส่วนผู้เป็นพ่อก็เอาแต่นั่งเครียดมองทั้งสองคนกอดกัน แววตาที่ปวดร้าวของพ่อทำให้เมฆานรีรับรู้ถึงความเจ็บปวด แต่เธอไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้ชายคนที่เดินออกไปจะต้องมาช่วยบริษัทของครอบครัวเธอด้วย และทำไมต้องแต่งงานทั้งที่ไม่ได้รักกัน

เมื่อความข้องใจทำงานหนัก สองเท้าของเธอจึงก้าวเข้าไปหาทั้งสามคนอย่างมั่นคง เพื่อที่เธอจะได้คำตอบตามต้องการ

“มีใครจะเล่าให้เมฆฟังได้มั้ยคะ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนคนเป็นพ่อ แม่ และพี่สาวต้องเงยหน้ามองพร้อมกัน

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เมฆ” พ่อถาม

“กลับมาตั้งแต่เห็นผู้ชายคนที่ออกไปพูดว่ายอมช่วยบริษัทของเรา แต่ต้องให้ลูกสาวแต่งงานกับเขาค่ะ” หญิงสาวเลียนเสียงพ่อแล้วจ้องหน้าผู้เป็นบิดาอย่างคาดคั้น ก่อนได้ยินเสียงถอนหายใจ

“ไม่เอาค่ะ เมฆไม่อยากรู้ว่าวันหนึ่งพ่อถอนหายใจกี่ครั้ง แต่เมฆอยากทราบว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทของเรา และทำไมเขาต้องมาช่วยด้วย” หญิงสาวย้ำชัดเจน จนต้องถอนหายใจยาวแล้วเล่าเสียงเครียด

“พ่อบริหารงานผิดพลาด ทำให้บริษัทเป็นหนี้เกือบร้อยล้าน” คนเป็นพ่อพูดออกมาก็อายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ไม่ได้เรื่อง

“พ่อขอโทษที่พ่อมันไม่ได้...” ยังไม่ทันจะพูดจบ คนเป็นลูกก็พูดแทรกว่า

“เมฆรู้ค่ะ แต่พ่ออย่าออกนอกประเด็น” 

“เฮ้อ คุณพิธานเขาเลยยื่นมือเข้ามาช่วย เขาเป็นทางออกเดียวของเราตอนนี้” คนเป็นพ่อว่าหลังจากที่ถอนหายใจยาวอีกหน

“ทำไมพ่อกับแม่และก็พี่ฟ้าไม่เล่าอะไรให้เมฆฟังเลย เพราะเมฆไม่ใช่คนในครอบครัวหรือคะ” เมฆานรีรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เวลาในบ้านมีปัญหาอะไร แต่ไม่เคยปรึกษาเธอเลย ดีแต่ปิดบังให้เธอรู้ทีหลังเสมอ

“ไม่ใช่อย่างนั้น พ่อกับแม่เห็นว่าแกกำลังจะเรียนจบ เลยไม่อยากให้มาสนใจเรื่องไร้สาระแบบนี้ พ่อแม่และพี่แกช่วยกันจัดการได้” พ่อพูดรัวเร็ว เพราะกลัวลูกคนเล็กจะเข้าใจผิดตามที่เธอกล่าวอ้าง

“จัดการโดยจะให้พี่ฟ้าแต่งงานกับเขา ทั้งที่การแต่งงานครั้งนี้ไม่มีเรื่องของความรักน่ะหรือคะ!” เสียงหญิงสาวเริ่มดังขึ้น เพราะห่วงทั้งพี่สาวและพี่เขยที่จะแต่งงานกันอีกไม่กี่เดือนนี้ แต่ดันต้องมีมารผจญเสียก่อน

“ความรักมันกินไม่ได้อย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละ ชีวิต ความเป็นอยู่ ปากท้องของคนทั้งบริษัทสำคัญกว่า พี่แกเขาเข้าใจ” คนเป็นพ่อพูดอย่างหงุดหงิด แน่นอนว่าคำพูดนั้นทำให้คนเป็นพี่ร้องไห้โฮอีกครั้ง

“คนเข้าใจ เขาร้องไห้เป็นเผาเต่าแบบนี้เหรอคะพ่อ! แล้วความรักของพี่แสงกับพี่ฟ้าล่ะ พ่อไม่เห็นใจพี่ๆ เขาบ้างเหรอ พี่แสงเขาผิดอะไร เขาถึงต้องมาโดนแย่งคนรักที่กำลังจะเป็นภรรยาในอีกไม่กี่เดือนแบบนี้” หญิงสาวตะโกน ส่งผลให้คนเป็นพ่ออารมณ์เดือด

“แล้วจะให้ทำอย่างไร! ในเมื่อคุณพิธานเป็นทางออกเดียว พนักงานตั้งกี่ร้อยชีวิตที่กำลังรอเงินก้อนนี้! แกยังจะมาห่วงคนสองคน ห่วงเรื่องความรัก แล้วเราจะอยู่จะกินยังไง!” คนเป็นพ่อกำมือแน่นเพื่อระงับความโกรธ

“อ๋อ พ่อเห็นเงินสำคัญกว่าความสุขของลูกนี่เอง พี่แสงเขาคงผิดที่เกิดมาไม่ได้มีเงินเยอะพอที่จะมาช่วยพ่อ เท่าที่คุณพิธานมี พ่อถึงเลือกคุณพิธานมากกว่าจะเลือกให้พี่ฟ้ามีความสุขกับพี่แสง” เมฆานรีพูดอย่างจำยอม สีหน้าสลดลงจนเหมือนจะร้องไห้

“ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ ฉันผิดเอง ผิดที่เป็นผู้บริหารที่แย่ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่แย่ และเป็นพ่อที่แย่ในสายตาลูกๆ” พูดจบ คนเป็นพ่อก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศขุ่นมัวที่ลอยอยู่ทั่วห้อง

เมฆานรีหันไปมองหน้าพี่สาว เธอปิดเปลือกตาเพื่อไล่ม่านน้ำที่บดบังทัศนีย์ภาพ ก่อนจะเปิดเปลือกตา เผยแววตาที่แสนเศร้าเมื่อคนเป็นแม่เอ่ยว่า

“พ่อเขาก็เสียใจ ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้หรอก” คนเป็นแม่ลุกขึ้นยืนลูบหัวลูกสาวคนเล็กก่อนจะเดินออกจากห้องไป คาดว่าคงจะเดินไปตามหาผู้เป็นสามี

ภายในห้องรับแขกก้องด้วยเสียงสะอื้นของลูกสาวคนโต ส่วนคนเป็นน้องที่กลั้นน้ำตาไม่อยู่ก็ทรุดตัวลงไปนั่งกอดพี่ ปล่อยให้น้ำตาไหลไปพร้อมกัน

เมฆานรีสงสารพี่จับใจ ตัวเธอไม่เคยมีความรักเชิงชู้สาว ตั้งแต่เด็กความรักเดียวที่เธอมั่นใจว่ารู้จักดีคือ ความรักที่หวังดีจากคนในครอบครัวจนกระทั่งได้รู้จักแสงฉาน ชายที่เข้ามาในฐานะเพื่อนสนิทของพี่สาว เมฆานรีเฝ้ามองความรักของคนทั้งสองที่แปรเปลี่ยนจากเพื่อนมาเป็นคนรัก ตอนนี้ก็กำลังจะมาเป็นคนในครอบครัว ความสัมพันธ์ของพวกเขาทำให้เธอรู้ดีว่า ความรักนั้นสวยงามแค่ไหน และคนทั้งสองรักกันมากเท่าใด 

แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องพังไม่เป็นท่า ทั้งที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วในอีกไม่กี่เดือน!

“หยุดร้องเถอะพี่ฟ้า” คนเป็นน้องที่กอดพี่สาวพร้อมปลอบใจ

“พี่จะทำยังไงดี พี่รักแสง แสงก็รักพี่ แต่คนนั้น ฮือ...” นภาพราวพูดยังไม่ทันจบ น้ำตาก็ร่วงอีกครั้ง

“ตอนนี้ พี่โทร. หาพี่แสงก่อนดีกว่า เมฆหวั่นใจ” 

พอได้ยินว่าน้องสาวพูดถึงคนรัก นภาพราวก็เบิกตาโพลง 

“แสงได้ยินเหรอ” เธอถาม เมื่อคนเป็นน้องพยักหน้าก็ถามต่อว่า 

“แล้วเขาว่าไงบ้าง” คนเป็นพี่ถามแล้วสูดหายใจลึกๆ เช็ดหน้าเช็ดตาควานหาโทรศัพท์

“ไม่ว่าอะไรเลย คาดว่าสติหลุดไปแล้ว” เมฆานรีบอกตามความจริง พลางเช็ดหน้าเช็ดตา

หลังจากรอโทรศัพท์เพียงนาที ปลายสายก็รับ นภาพราวรีบกรอกเสียทันที

“แสง แสงอยู่ไหนคะ” นภาพราวถามอย่างร้อนรนเมื่อคนปลายสายรับ

“แสง ฟังฟ้าก่อนนะ แสงอยู่ไหน แสง แสง!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ ความร้อนรนก็ยิ่งสุมอยู่ในใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร คนในสายก็ไม่ตอบ ก่อนสายจะตัดไป ทำให้นภาพราวถึงกับปล่อยโฮกับน้องสาวอีกครั้ง

ความทุกข์ของพี่สาวถาโถมสู่คนเป็นน้องที่รักและเทิดทูนความรักของพี่สาวยิ่งกว่าอะไร เมฆานรีพยายามคิดหาหนทางช่วย แต่ก็คิดไม่ออก ยิ่งน้ำตาของคนเป็นพี่ซึมสู่ชุดนักศึกษาเท่าไร คนเป็นน้องก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น 

ขณะที่เมฆานรีลูบหลังพี่สาวเบาๆ ก็พยายามใช้สมองอันน้อยนิดหาทางต่อไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีหนทางใดๆ ตอนนี้เธอคงทำได้เพียงปลอบพี่สาวต่อไปเท่านั้น

แน่นอนว่ามื้อเย็นของวันนี้คนร่วมโต๊ะอาหารมีเพียงประมุขของบ้านและภรรยาเท่านั้น ส่วนลูกสาวอีกสองคนเลือกที่จะนอนอยู่บนห้อง คนพี่ร้องไห้จนผล็อยหลับไป ส่วนคนน้องก็นอนรอจนกระทั่งพี่หลับสนิทจึงออกจากห้องไปห้องตัวเอง เมฆานรีตั้งใจว่าจะหลับ แต่ทันทีที่เธอล้มตัวลงนอน สมองก็ยังคงประมวลผลถึงสิ่งที่ทำให้พี่สาวร้องไห้ 

“แต่งงาน เพราะธุรกิจอย่างนั้นหรือ” หญิงสาวขมวดคิ้ว ทวนคำพูดของเขาคนนั้น

“แต่ง เพราะธุรกิจ ไม่เกี่ยวกับความรัก” เธอบอกตัวเองอีกครั้ง แล้วเด้งตัวขึ้นเมื่อคิดบางอย่างได้

“แต่งเพราะธุรกิจ ไม่เกี่ยวกับความรัก และ...” หญิงสาวดีดนิ้วพร้อมรอยยิ้มสดใส “ลูกสาวของคุณพายุ แต่ไม่ได้บอกว่าลูกสาวคนไหน!” 

เมฆานรีรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรกับปัญหานี้

“น้องคนนี้จะพิทักษ์ความรักของพี่ทั้งสองเอง” หญิงสาวหันไปยิ้มหวานกับกรอบรูปวันรับปริญญาของพี่สาวและผู้ชายที่เธอมั่นใจว่า จะทำให้เขามาเป็นพี่เขยให้ได้

 

เช้าวันต่อมาเมฆานรีปลุกพี่สาวแต่เช้าก่อนจะพากันออกไปข้างนอก บอกพ่อกับแม่ว่าจะพากันไปไหว้พระทำบุญ เผื่อว่าพี่สาวจะได้สบายใจ โดยไม่ลืมเข้าไปกราบขอโทษผู้เป็นบิดาในเรื่องที่เธอทำไว้เมื่อวาน ทั้งยังขอว่าอย่าเพิ่งเร่งเร้าหาความเรื่องการแต่งงานของพี่สาวกับคุณพิธาน แต่ก็ไม่ได้ให้เหตุผลอะไรแก่ผู้ใหญ่ทั้งสอง ซึ่งพวกท่านก็รับปาก

“จะไปไหนกันแน่” นภาพราวเอ่ย เธอจำได้แม่นว่าทางที่น้องสาวจะพาไปนั้นคือที่ใด

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้” คนเป็นน้องว่าก่อนจะจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งที่แม้จะไม่ใหญ่เท่าบ้านของสองพี่น้อง แต่ก็ถือว่าใหญ่ที่สุดในย่านนี้ แล้วรีบไปกดกริ่ง

“ปะ ไปกัน มีเรื่องที่ต้องคุยกับคนบ้านนี้ พี่แสง!” เมฆานรีตะโกนเรียกคนในบ้าน เมื่อกี้เธอมั่นใจว่าเห็นเงาตะคุ่มๆ ของเขาอยู่ที่ประตูบ้านแน่ๆ

“เมฆเห็นนะพี่แสง ออกมา ไม่งั้นเมฆพังรั้วเข้าไปจริงๆ ด้วย พี่แสงรู้ว่าเมฆพูดจริงทำจริง!” 

“โอเค ยอมแล้ว อย่าพัง!” 

ทันทีที่แสงฉานวิ่งมาเปิดประตูออก นภาพราวก็วิ่งเข้าไปสวมกอดคนรัก ก่อนจะปล่อยโฮจนชายหนุ่มต้องยอมแพ้แล้วกอดเธอตอบ เขากระชับแขนแกร่งเมื่อสาวในอ้อมกอดสะอึกสะอื้นตัวโยน ใช้เวลาสักพักกว่านภาพราวจะลดแรงสะอื้นลง แล้วทั้งสามคนก็พากันเข้าไปในบ้านเพื่อคุยปัญหาในตอนนี้

“พี่สองคนรักกันไหม” เป็นการเปิดประเด็นที่เมฆานรีก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ จึงสร้างความประหลาดใจให้คนเป็นพี่ทั้งสองอย่างมาก

“รักสิ” สองเสียงประสานกัน

คนเป็นน้องต้องยิ้มหวานให้ “รักกันมากพอที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อความรักไหม” 

“ใช่ พี่ทำได้” แสงฉานตอบ ส่วนนภาพราวพยักหน้า แต่ยังดูวิตกกังวล

“งั้นเลิกทำหน้าเศร้าใส่กันได้แล้ว” คนเป็นน้องว่าในขณะที่คนเป็นพี่ขมวดคิ้วใส่กัน แล้วยิ้มหวานตาพราว “เอาเถอะน่า เชื่อน้อง เชื่อเมฆานรี งานนี้ น้องจัดให้!” 

“แล้วเมฆจะช่วยพวกพี่ยังไง ไหนจะเรื่องบริษัทอีก” นภาพราวมีสีหน้ากังวล ตัวเธอเองยังหาทางออกไม่เจอเลย

“เชื่อใจเมฆเถอะ ขอแค่พี่สองคนสัญญาว่าจะรักกัน และจะไม่มีวันยอมปล่อยมือออกจากกัน เท่านั้นเมฆก็พอใจแล้ว ทำให้เมฆแค่นี้ได้ไหม” เมฆานรีถามด้วยแววตาจริงจัง 

คู่รักสองหนุ่มสาวมองหน้ากัน แม้จะสงสัยในคำพูดของน้องสาว แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไรนอกจากพยักหน้าพร้อมกัน

“พี่สัญญากับเมฆตรงนี้ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย พี่จะรักและไม่มีวันยอมปล่อยมือจากพี่สาวของเมฆ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ตาม พี่จะรักและดูแลพี่สาวของเมฆให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำเพื่อผู้หญิงที่เขารักได้” แสงฉานตอบด้วยแววตามั่นคง ทำให้เมฆานรีสบายใจ

“เมฆเชื่อพี่แสงมาตลอดสิบปี และเมฆหวังมากว่าพี่แสงจะไม่ทำให้เมฆผิดหวังนะคะ” คนเป็นน้องกล่าวราวกับตัวเองอายุมากแล้ว เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างมั่นใจว่าจะไม่ผิดสัญญาแก่กัน แล้วพากันไปไหว้พระทำบุญอย่างที่ตั้งใจไว้ 

หลังจากนั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ เมฆานรีก็อยู่กับโลกของตัวเองและโลกของพิธาน เธอพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเขา พยายามทำความรู้จักเขาผ่านทุกช่องทางและทุกข้อมูล ทั้งจากผู้เป็นบิดา คนใกล้ชิด เพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่พอจะรู้จักเขา รวมไปถึงตามสื่อต่างๆ จนมั่นใจแล้วว่าข้อมูลที่ได้ครบถ้วน จึงตัดสินใจมาพบกับเขาในวันนี้ 

แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคาดหวังไว้เลย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น