คำที่ 2
หลังจากประโยคนั้น สองชั่วโมงให้หลังคนทั้งสามรวมถึงรถตู้อัลพาร์ดสีขาวของธันน์ที่มีคนขับรถพร้อมสรรพก็เดินทางมาถึง ‘วิมาน’ โดยสวัสดิภาพ มานเมตต์ตัดสินใจทิ้งรถของเขาไว้ที่ร้านรุ่นน้อง ฝากกุญแจไว้กับพนักงาน แล้วสั่งการให้ผู้ช่วยของเขาที่จะต้องตามมาที่เขาใหญ่ในอีกสองวันขับรถขึ้นมาให้ ส่วนขากลับเดี๋ยวก็จะฝากให้ลงไปพร้อมธันน์ เมื่อมาถึงแล้วชายหนุ่มเจ้าของอาณาบริเวณเป็นร้อยไร่ก็ยื่นกุญแจวิลลาขนาดสองห้องนอนให้อีกคน
“อะนี่”
“ขอบคุณพี่” ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนผงกหัวให้มานเมตต์ที่ยังคงอยู่ในชุดเดิม
ตั้งแต่ไปประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทที่บ้านมามานเมตต์ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ถามว่าทุกวันนี้หนุ่มหล่อที่มีวัยเกือบสี่สิบนั้นยังมีอำนาจบริหารในบริษัทของที่บ้านไหม ก็ไม่ แต่หุ้นที่ยังมีติดกระเป๋าตอนลาตำแหน่งมาเมื่อคราวน้องสาวเข้ามาจัดการดูแลงานทั้งหมดแทน กับที่พ่อกับแม่ยังโอนเพิ่มให้เป็นของขวัญปีละสองเปอร์เซ็นต์ก็ทำให้มานเมตต์มีสิทธิ์ที่จะโหวตออกความเห็นในเรื่องต่างๆ และเป็นเหตุให้ในแต่ละเดือนคนที่ชอบอยู่ไร่อยู่ป่าต้องเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปประชุมประจำเดือน เขาเลยจัดแจงให้บริษัทนำเข้าเครื่องดื่มของตัวเองเสนอรายงานอัปเดตต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน กลายเป็นกิจวัตรประจำชีวิตไปแล้วว่ามานเมตต์จะลงไปกรุงเทพฯ เดือนละประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อทำงานออฟฟิศ ส่วนเวลาที่เหลือจะอยู่ที่นี่เป็นหลัก
“นึกว่าจะนอนด้วยกัน”
ตอนที่มานเมตต์โทร. มาสั่งให้คนทางนี้เตรียมห้องหับไว้รับรอง ธันน์ก็สะกิดใหญ่เลยว่าขอแบบหลังเดียวกันก็ได้ แต่ต้องมีห้องนอนแยกกันเป็นสัดเป็นส่วน ร่วมบ้านได้ แต่ไม่ร่วมเตียง เจ้าของวิมานก็ได้แต่พยักหน้าแบบงงๆ ระหว่างพูดสายกับลูกน้อง แต่ยังไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เพราะไลลาลิณนั่งหลับอยู่ที่เบาะแถวสุดท้ายของรถ จนมาตอนนี้ที่ธันน์เดินตามลงมาเอากุญแจถึงได้โอกาสไขความข้องใจของตนเอง
“บ้าเหรอพี่ ไลลาเอาผมตายแน่”
อีกคนรีบปฏิเสธ แม้จะรู้ดีว่าคนมากมายคิดว่าเขากับไลลาลิณไม่ใช่เพื่อนสนิทกันจริงๆ แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดของใคร แต่กับมานเมตต์เพราะอะไรก็ไม่รู้ ธันน์รู้สึกว่าเขาต้องเคลียร์ให้ชัดเจน
“ก็แฟนกันไม่ใช่หรือไง” ถ้าไม่ใช่ทำไมถึงกล้ามาค้างอ้างแรมกันแบบนี้ ไหนจะความรู้ใจ เอาใจ ห่วงใยที่ธันน์แสดงออกต่อผู้หญิงคนนั้นก็โคตรจะชัดเจน เขาพูดได้ด้วยความมั่นใจเลยว่าเป็นมากกว่าเพื่อน แต่ทั้งที่มั่นใจนักหนาก็ลุ้นแปลกๆ ให้คำตอบไม่เป็นอย่างที่คิด
“ไม่มีทางเลย ไลลามันเพื่อนจริงๆ พี่ ผมรักมันเป็นน้อง” ธันน์เคยมีน้องสาวที่อายุห่างกันห้าปี แต่เสียชีวิตไปตั้งแต่อีกฝ่ายอายุเพียงสิบสามปี เพราะโดนลูกหลงที่เมียน้อยพ่อเอาปืนมาขู่ทำร้ายกันจนถึงบ้าน หลังจากนั้นไม่นานมารดาแท้ๆ ของธันน์ก็ตรอมใจจากไป
“แน่อะ แล้วถ้าไม่ใช่แฟน พ่อแม่เขาปล่อยมาได้ไง” ด้านคนแก่กว่าได้ยินประโยคนั้นก็หายใจเข้าลึกหลังจากกลั้นลมหายใจ ไม่ได้รู้เลยว่าในวินาทีนั้นมีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าคมเข้มทันทีที่ได้ยินคำอธิบายจากธันน์
“ผมสนิทกับบ้านมันพอควรแหละพี่ ที่บ้านมันเลยไว้ใจ อีกอย่างบ้านนั้นตามใจจะตายไป ไม่มีใครกล้าว่าคุณหนูไลลาลิณ นภดลหรอก” ธันน์พูดไปเรื่อยระหว่างเดินกลับมาที่รถของเขาซึ่งสตาร์ตไว้ให้ไลลาลิณหลับรอ
มานเมตต์ชะงักขา ‘นภดล’ ที่รุ่นน้องเพิ่งพูดออกมานั้นไม่มีใครหรอกที่จะไม่รู้จัก เพราะนอกจากราชสกุลจะเก่าแก่ สมาชิกสูงสุดที่่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือ หม่อมราชวงศ์ ศศินิภา นภดล หรือคุณหญิงศศิที่เป็นที่รู้จักกันดีทั้งในวงการธุรกิจและสังคม เป็นแม่เสือที่ใครๆ ก็เกรงใจและกลัวบารมี เพราะสตรีมีบรรดาศักดิ์ผู้นั้นสามารถรวบกิจการที่หล่อนก่อร่างสร้างมากับสามีจากปากเหยี่ยวปากแร้งผู้ซึ่งเป็นพี่น้องของเจ้าสัวอนันต์ในวันที่ท่านล่วงลับไว้ได้ ทำนองว่าตอนทำไม่คิดช่วย แต่พอพี่ชายตายจะมาขอแบ่งมรดก นอกจากจะฟาดฟันเอาคืนมาได้ ‘คุณหญิง’ ยังบริหารได้รุ่งเรืองเฟื่องฟู เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์อันดับหนึ่งตลอดมา มีลูกชายเป็นดารารุ่นใหญ่หล่อเหลา สมาร์ตมากๆ จนสาวๆ ยังตามกรี๊ดทั้งเมือง ขนาดมานเมตต์ไม่นิยมดูละครยังรู้จักเลย
“หืม? นภดล งั้นเหรอ”
“เออดิพี่ นั่นน่ะ...” ธันน์พยักพเยิดไปที่รถข้างหน้า “...หลานสาวสุดสวาทขาดใจของคุณหญิงย่าศศิเขาละ”
เมื่อได้รับการคอนเฟิร์มเช่นนั้น มานเมตต์ก็ตบบ่าธันน์ทันที กลัวแทนรุ่นน้องขึ้นมาเลยละว่าหากทำอะไรให้ฝ่ายนั้นผิดใจ เดี๋ยวได้มีเรื่องใหญ่โตแน่นอน เพราะอิทธิฤทธิ์ อิทธิพลของตระกูลนภดลใช่ธรรมดาที่ไหน ใครๆ ก็รู้ว่าคับฟ้าไม่น้อย
“ตายห่า ไอ้ธันน์ มึงไปเอาหลานเขามา ตายห่า นี่มานอนในโรงแรมพี่ด้วย คุณหญิงท่านจะไม่ส่งใครมาเอาเรื่องใช่ไหม”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไร ผมสนิทกับที่บ้านเขามากๆ พี่ จะว่าไปข้อดีอย่างเดียวของการที่เป็นลูกผู้ชายคนนั้น...” ธันน์หมายถึงพ่อบังเกิดเกล้าที่ตัดขาดกันเรียบร้อย คนที่เป็นสาเหตุของทุกอย่างที่ไม่ดีในชีวิตเขา “...ก็เพราะคุณย่าของไลลารู้จักเขา เลยไว้ใจผมมาก”
“เอ้าๆ เรื่องของมึงละกัน พากันไปนอนไป แล้วนี่ห้องของคนขับ” มานเมตต์ยื่นกุญแจที่พักของคนขับรถให้ ในใจโล่งแปลกๆ ที่รู้แน่ชัดว่าทั้งคู่ไม่มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน นอกจากความเป็นเพื่อนระหว่างบอกกล่าวแก่คนที่พากันมาถึงที่นี่ในเวลาเกือบเที่ยงคืน
“แล้วพี่จะนอนแล้วหรือไง ผมสร่างละ ดึกๆ แบบนี้มีไรทำบ้าง” ธันน์เอ่ยถาม พอได้นั่งรถมานิ่งๆ เว้นระยะเกือบสองชั่วโมง อาการมึนก่อนออกจากกรุงเทพฯ ก็หายไป
ในขณะที่มานเมตต์ก็คิดแบบธันน์ ติดก็แต่คนที่นอนหลับอยู่บนเบาะหลังของรถตู้ราคาสามล้านกว่าบาทนั่นละที่เจ้าของวิมานไม่รู้ว่าธันน์จะจัดการอย่างไร เพราะต่อให้ไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ความห่วงหาที่หนุ่มหล่อวัยยี่สิบหกมีต่อทายาทนภดลก็เป็นเรื่องจริง
“พูดแบบนี้แปลว่าจะกินต่อหรือไง”
เจ้าของพื้นที่หันมองขาเที่ยวที่เดินเคียงข้างกันมา ตัวเขาเองก็ยังดื่มต่อได้ ยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดที่กำหนดให้ตัวเอง แม้ต้องกำกับดูแลงานการ แต่ก็เบาบางมาก
“อือ เอาไหม ไวน์เบาๆ สักคนละขวด” ธันน์เสนอ แม้จะไม่ได้เตรียมตัวมาพักผ่อน แต่เมื่อจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่นี่แล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอะไร นอกจากปล่อยตัวปล่อยใจให้ผ่อนคลายตามสบาย ชิลให้สุด อีกอย่างอากาศที่นี่ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ก็ดีเหลือเกิน
“แล้วเพื่อนเราล่ะ จะปล่อยให้นอนคนเดียวหรือไง”
“ก็พี่ไปกินต่อที่วิลลาผมได้ มีห้องนั่งเล่นใช่ไหม เดี๋ยวให้ไลลามันเข้าไปนอนของมันไป”
เมื่อได้ยินแบบนั้นมานเมตต์ก็ไม่ติดขัดอะไร ได้แต่บอกให้ธันน์กลับไปที่พักในขณะที่เขาจะสั่งเครื่องดื่มไปให้ กะว่าในช่วงเวลานี้คงพอให้รุ่นน้องได้พาเพื่อนเข้าไปพักผ่อน ให้ความเป็นส่วนตัว
ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีมานเมตต์จึงไปกดกริ่งห้องพักแบบวิลลาขนาดสองห้องนอนที่เขายกให้ธันน์กับไลลาลิณพักผ่อน คิดว่ารุ่นน้องหนุ่มคงรออยู่เพียงคนเดียว แต่คนที่มาเปิดประตูให้กลับเป็นหญิงสาวที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องมาเป็นเสื้อยืดสีชมพูแขนกุดตัวโคร่งยาวครึ่งขาอ่อน จนไม่แน่ใจว่ามีกางเกงอีกชั้นซับไว้ด้านไหนหรือไม่
“อะมา ไลลาช่วย”
คนที่อาบน้ำล้างหน้าเรียบร้อยแล้วรีบยื่นมือไปรับกล่องแก้วไวน์ยี่ห้อดังที่มานเมตต์ถือไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายของเขามีกระเป๋าใส่ขวดไวน์อยู่ ซึ่งไลลาลิณคะเนแล้วว่าน่าจะหนักกว่ากัน เลยเลือกที่จะมีน้ำใจช่วยถือสิ่งที่เบากว่า
มานเมตต์ก็ไม่ขัดขืนให้อีกคนเก้อพลางเอ่ยปากพูดจาด้วย จะว่าไปนี่เป็นบทสนทนาแรกระหว่างหนุ่มวัยเกือบสี่สิบกับผู้หญิงที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะคนนี้ เพราะที่ผ่านมาทั้งคืนเป็นการคุยกันผ่านๆ เสียมากกว่า
“ขอบใจ ธันน์ล่ะ”
“โทรศัพท์อยู่ในห้อง คุณนั่งรอแป๊บ เดี๋ยวไลลาไปเรียกให้”
ไลลาลิณบุ้ยใบ้ไปทางประตูห้องฝั่งตรงข้ามกับที่หล่อนเพิ่งเดินออกมาหลังจากได้ยินเสียงกริ่งประตู พลางออกตัวว่าจะไปตามธันน์มาให้ เพราะรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้สองคน รีบวางของแล้วไปเคาะประตูเรียกเพื่อนรักที่อยู่ในห้องนอนของเขาออกมา ซึ่งก็พอดีกับที่ธันน์วางสายจากเด็กที่เขาคุยๆ อยู่ แล้วเปิดประตูออกมาพบกัน
“มีไร พี่หมากมาละเหรอ” คนหน้าเกาหลีก้มมองเพื่อน แล้วทอดสายตาผ่านหัวของไลลาลิณไป แต่ก็มองไม่เห็นเจ้าของวิมาน หรือจะอยู่ในห้องนั่งเล่นที่นัดแนะกันไว้
“อือ ธันน์รีบออกมาสิ” หญิงสาวดึงแขนเพื่อนให้เดินออกมา
ธันน์ก็ไม่อิดออด เคลื่อนตัวตามการจับจูงจองไลลาลิณ “ทำไม รับแขกให้นิดหน่อยทำเป็นอิดออดนะ”
ชายหนุ่มลงมะเหงกที่หน้าผากโหนกใสของเพื่อนที่ล้างหน้าล้างเครื่องสำอางออกหมดสิ้น หน้าเปล่าๆ แบบนี้ก็น่ารักดีอยู่แล้ว แต่พอแต่งเต็มขึ้นมาก็เรียกว่าสะกดตาทุกคน ดูอย่างมานเมตต์ก็ได้ แม้จะทำท่าทางเหมือนไม่สนใจไลลาลิณมากมาย ไม่ได้มีภาษากายที่ส่อเจตนาร้าย แต่ธันน์ก็มองแววตาของรุ่นพี่ออก เพราะนอกจากจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน เขายังรู้จักมานเมตต์ดีไม่น้อย
“ก็ไม่รู้จักกับเขานิ อีกอย่างหน้าดุจะตาย ไลลากลัวโดนกัด”
ด้านคนสวยก็ยู่ปากระหว่างเดินตามกันมาที่บริเวณรับแขก พร้อมใจกันมองทอดผ่านประตูกระจกบานเลื่อนซึ่งเปิดไปสู่สระน้ำและระเบียงกว้าง เห็นว่ามานเมตต์เตรียมตั้งวงที่ข้างนอก กำลังเปิดไวน์เทใส่แก้วทั้งสามใบรอพวกเขาอยู่ แต่สองเพื่อนรักก็ยังไม่ออกไปสมทบเพราะมัวแต่นินทาคนข้างนอกอยู่
“บ้าไปแล้ว คนอย่างคุณหนูไลลาเนี่ยนะกลัวใคร”
ธันน์ไม่ได้แซวเลย เพราะปกติหญิงสาวคนนี้ไม่เคยแคร์ ไม่แยแสอะไร จะมีก็แต่คนที่สนิทชิดใกล้อย่างเขานี่ละที่รู้ว่าอันที่จริงไลลาลิณนั้นแสนอ่อนไหวเพียงใด
“อย่ามาแซวกันนะ ไม่รู้ละ คนนี้ไลลาไม่ไฟต์ด้วยหรอก สยองแปลกๆ อึ๊ย”
ไลลาลิณทำท่าขนพองสยองเกล้า ลูบแขนเรียวในขณะที่ธันน์ก้มมองคนที่รักกันแบบบริสุทธิ์ใจ เพราะปมเรื่องความรัก เรื่องครอบครัวตัวเองในอดีตทำให้ชายหนุ่มเป็นห่วงหล่อน ไม่อยากให้ไลลาลิณต้องมาเจออะไรเจ็บช้ำแบบที่มารดาเขาเคยประสบมา แม้ว่ามานเมตต์จะเป็นรุ่นพี่ที่รักเคารพ แต่หากเกี่ยวกับ ‘ไอ้ตูด’ ของเขา เขาก็อดที่จะคิดมากไม่ได้
“ทำมาเป็นอึ๊ย ไม่ใช่ว่าแอบชอบเขาไปแล้วนะ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าเพิ่งมีแฟนรู้ไหม”
“เป็นไง”
มานเมตต์ถามความเห็นทั้งธันน์และไลลาลิณที่กำลังจิบไวน์ฉลากปะยี่ห้อ ‘วิน วิโน’ ที่ผลิตออกมาได้รสชาติที่เขาพอใจเป็นลอตแรก มั่นใจว่าแม้จะไม่เทียบขั้นห้าอรหันต์ แต่ก็ต้องดีกว่าไวน์โลกใหม่ปีใหม่ๆ แน่นอน
“ก็ดีนะ” ไลลาลิณยักไหล่ อาจจะไม่ได้มีความรู้แน่นเปรี๊ยะ แต่ก็บอกได้ละว่าขวดไหนอร่อยหรือไม่อร่อย รากเหง้าของไวน์เด่นๆ ดังๆ ก็จำได้พอตัว “แต่ไลลาว่าหากกินกับอาหารมันจะอ่อนไปหน่อยไหม”
เพราะเป็นไวน์ที่เพิ่งบ่มเสร็จไม่นาน ตามประสาคอไวน์จะเรียกว่าไวน์ใหม่ ยิ่งปลูกด้วยองุ่นพันธุ์ดีแบบที่ใช้ทำเครื่องดื่มชนิดนี้ในต่างแดน แต่ดันเติบโตในประเทศไทยที่มีข้อจำกัดเรื่องดิน เรื่องน้ำ เรื่องอากาศ ก็จะทำให้ทั้งรส กลิ่น และสัมผัสไม่อาจจะไม่เทียบชั้นไวน์จากประเทศที่มีปัจจัยพร้อมกว่าได้
“จริงๆ ต้องดีแคนต์หน่อยแหละ” เขาหมายถึงกระบวนการเปลี่ยนถ่ายไวน์จากขวดลงภาชนะอื่น ซึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุดควรจะเป็นแก้วคริสตัลใสเพื่อให้เห็นสีสันของไวน์ชัดที่สุด โดยการเปลี่ยนถ่ายไวน์ที่ว่านี้จะก่อให้เกิดผลกระทบขึ้นสองอย่าง อย่างแรก ถ้าเป็นไวน์อายุมาก ดีแคนเตอร์หรือภาชนะจะแยกตะกอนออกจากน้ำไวน์ ช่วยลดความขมได้มาก และอย่างที่สอง ระหว่างการเทย้ายถ่ายเครื่องดื่มนั้นไวน์จะสัมผัสถูกออกซิเจน ทำให้รสและกลิ่นเกิดพัฒนาการซึ่งเป็นเรื่องดีกับไวน์อายุน้อย อย่างเช่นวิน วิโนของเขาก็ควรจะเปิดให้หายใจสักครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ถ้าเป็นไวน์ซึ่งเก็บไว้นาน หากดีแคนต์แล้วควรดื่มทันที เพราะโดนออกซิเจนมากไป รสชาติจะเพี้ยนได้
“อืม ก็คงงั้น”
ไลลาลิณวางแก้วลง ตั้งใจว่าจะพอแค่แก้วนี้เพราะใกล้เที่ยงคืนเต็มที คนอื่นที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง เห็นว่าไลลาลิณติดสอยห้อยตามไปผับกับธันน์บ่อยๆ คงมองว่าหล่อนโต้รุ่งได้ไม่ยาก แต่หารู้ไม่ว่าหากไม่ใช่เทศกาลพิเศษจริงๆ ก่อนเที่ยงคืนหญิงสาวก็หนีขึ้นไปนอนดูซีรีส์ ดูหนังในห้องทำงานธันน์ หลับไปจนเมื่อเพื่อนทำงานเสร็จต้องมาปลุกให้แยกย้ายกันขับรถกลับบ้านบ้าง หรือไม่ก็แวะค้างที่คอนโดขนาดสองห้องนอนของธันน์ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในสองห้องนั้นไลลาลิณครอบครองปรปักษ์ มีข้าวของอยู่ราวกับเป็นเจ้าของห้องอีกคนหนึ่ง
ในขณะที่ธันน์ควงแก้วแล้วออกความเห็นบ้าง “แต่ผมว่าใช้ได้เลยอะ สั่งแบรนด์พี่ไปขายที่ ‘นัวร์’ ดีกว่า”
รสชาติแบบนี้ คนที่กินเอาเก๋ ไม่ได้มีความรู้น่าจะถูกใจ เพราะรสชาติเป็นกลาง ดื่มง่าย ฉลากสวย ต้นทุนดี อีกอย่าง ราคาต่อขวดก็น่าจะทำกำไรให้ร้านเที่ยวกลางคืนอีกร้านของธันน์ซึ่งตกแต่งธีมสีดำ ตั้งชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า นัวร์ แต่พ้องเสียงกับคำว่า นัว ของไทย เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นที่เงินไม่หนาเท่าพวกที่มานิชคลับ แต่ก็กอบโกยเงินต่อเดือนขึ้นหลักสิบล้าน
“เฮ้ย เอาดีๆ นี่ตื่นเต้นเลยนะเว้ย”
ตามประสาคนทำธุรกิจ แม้จะนั่งกอดคอกันกินเหล้าอยู่ แต่เมื่อมีช่องทางทำเงินได้ก็ไม่รั้งรอ ขนาดว่าจะเอาไปขายในผับด้วยแบบนี้ยิ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ขยายการผลิต และทำตลาดให้เป็นที่รู้จัก
“จริงพี่” หนุ่มวัยยี่สิบหกพยักหน้ารับ ก่อนจะวางแก้วไวน์ลงที่โต๊ะด้านหน้า “แต่ขอกลับไปคุยกับทีมก่อน อาจจะจัดให้เป็นเฮาส์ไวน์ ทำโปรไรงี้ไปก่อน นี่เคยไปวางขายที่ร้านไหนยัง”
มานเมตต์ส่ายหน้า เขาแค่วางขายที่หน้าร้านวินเนอรี่ซึ่งเป็นไวน์บาร์ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการวิมานเท่านั้น ไม่แม้แต่จะใส่เข้าไปในรายการเครื่องดื่มของบริษัทเขาให้ลูกค้าเลือก แม้เขาจะมั่นใจว่าของคุณภาพดี แต่ก็กลัวคนอื่นจะไม่ถูกใจ
“ยัง พี่วางขายแต่ที่นี่แหละ อยากทำให้ดีๆ ก่อนจะส่งออกไปตามร้าน เดี๋ยวเสียชื่อ”
“แต่เอามาให้แขกกินเนี่ยนะ สรุปไวน์นี่ดีหรือไม่ดีกันแน่” เสียงหวานดังแทรกขึ้นมาเพราะไม่เข้าใจตรรกะของคนแก่ตรงหน้า ก็ไหนว่าจะให้หล่อนมารีวิวให้ แต่ทำไมเอาของที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมาจากปากว่ายังไม่ดีพอที่จะไปวางขายที่ไหนมาให้หล่อนชิม ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ธันน์ก็ตีหน้าผากหล่อนดังป้าบ
“ไอ้ตูดนิ พี่เขาเปิดบ้าน เปิดไวน์ให้กินยังปากเสีย เดี๋ยวเขาก็ไล่ออกไปนอนในสนามหรอก”
“ก็ไลลาพูดจริงๆ นิ ทำไมต้องมาดุกันด้วย”
แม้ว่าธันน์จะพูดทำนองนี้บ่อยเพราะความตรงแบบไม่ไว้หน้าใครของหล่อน แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่ชายหนุ่มจะทำต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ มือบางคลำหน้าผากป้อยๆ นึกน้อยใจเพื่อนรักที่มาทำกันแบบนี้
“ดุที่ไหนวะ ขี้งอนชะมัดเลยเราอะ”
ธันน์โคลงหัวอย่างระอาท่าทีแสนเอาเรื่องของหญิงสาวทันที ทุกครั้งที่เขาออกปากเตือนอะไร เจ้าตัวจะต้องทำแบบนี้ แล้วก็จบแบบเดิมคือเขาจะไม่พูดอะไรต่อ เพราะไม่อยากให้บรรยากาศดีๆ เสียไป ทั้งที่ก็รู้หรอกว่าที่ทำอยู่จะทำให้ไลลาลิณเสียคน
“เออสิ ไลลามันไม่น่ารักหรอก เชิญธันน์แฮฟฟันกับพี่ชายสุดที่รักของธันน์ไป” หญิงสาวหันมาค้อนมานเมตต์เต็มแรง นอกจากกลัว ตอนนี้จะเกลียดแล้วที่ทำให้หล่อนโดนธันน์ว่า ทำให้ขายขี้หน้ากันแบบนี้ “ไลลาไปนอนแล้ว!”
ธันน์โดนทิ้งให้อยู่กับมานเมตต์ซึ่งกำลังงงกึ่งตกใจกับกิริยาของไลลาลิณไม่น้อย เดือดร้อนรุ่นน้องหน้าใสต้องอธิบายอาการผีเข้าผีออกของเพื่อนสนิท เพราะไม่อยากให้ผู้ใหญ่อย่างมานเมตต์เข้าใจอีกคนผิดว่าเป็นคนไม่ดีไม่มีมารยาท แม้ว่าจะออกไปทางนิสัยไม่ค่อยน่ารักสักหน่อย เขาเล่าให้อีกคนรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์แบบนั้น ไลลาลิณมีความน่าสงสารขนาดไหน กองเงินกองทองในชีวิตไม่อาจบรรเทาความอ้างว้างได้ ด้วยพ่อบังเกิดเกล้าอย่างดาราเจ้าบทบาทที่ชื่อสุริยัน และจันทร์เจ้า มารดาผู้ให้กำเนิดแยกย้ายกันตั้งแต่ไลลาลิณยังไม่รู้ความ จำความได้ขึ้นมาก็ต้องย้ายบ้านทุกสองสามวัน ซึ่งไม่มีใครในครอบครัวรู้เลยว่าการต้องย้ายไปโยกมาที่เกิดขึ้นกับชีวิตไลลาลิณนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการ ไม่เป็นที่รักของใคร ไม่ว่าคนไหนในบ้านต่างก็โยนหล่อนไปมา เกี่ยงความรับผิดชอบดูแล เจ้าตัวเลยเลือกที่จะอยู่ในจุดที่ตัวเองสบายใจมากที่สุด นั่นก็คืออยู่กับเขา
“อย่าถือสามันนะพี่ ผมขอ”
ธันน์บอกมานเมตต์ ทั้งแววตาและน้ำเสียงวอนขอให้อีกฝ่ายเอ็นดูเพื่อนของตัวเองเต็มที่ กลัวว่าผู้ใหญ่คนนี้จะไม่พอใจ เพราะเห็นทำหน้านิ่งไม่พูดไม่จา ไม่ได้รู้เลยว่าความรู้สึกยิ่งกว่าสงสารเกิดขึ้นในจิตใจของอีกคน เพราะในมุมลึกๆ หนุ่มใหญ่เองก็คิดว่าเขาก็ไม่เป็นที่ต้องการของครอบครัวเช่นกัน
“อืม น่าสงสารนะ”
หนุ่มใหญ่ทอดมองออกไปในอาณาเขตเกินร้อยไร่เบื้องหน้า ในขณะที่เขามี ‘วิมาน’ เป็นความฝันและที่พักใจ ไลลาลิณอาจจะมีแค่ธันน์ที่คอยช่วยประคับประคองอยู่ ซึ่งหากทั้งคู่ไม่ได้เป็นคู่รักและไม่มีทางพัฒนาความสัมพันธ์ วันหนึ่งรุ่นน้องเขาคนนี้ก็ต้องไปมีชีวิตของตัวเอง แล้ววันนั้นสาวน้อยวัยยี่สิบที่เพิ่งสะบัดตูดเข้าไปนอนจะเป็นอย่างไร
“ใช่ จะว่าไปที่ผมกับมันสนิทกันแบบนี้ เอาจริงๆ มันคือเด็กพังๆ สองคนดูแลกันเองชัดๆ ถึงแม้ที่พี่เห็นอาจจะเหมือนผมดูแลมันมากไปหน่อยก็เหอะ” ธันน์พูดกลั้วหัวเราะ เขาเองก็เสียน้องสาวและมารดาไปเพราะความเจ้าชู้หลายใจของบิดา ด้านไลลาลิณต้องกลายเป็นคนบ้านแตกตั้งแต่จำความไม่ได้ก็เพราะความแพรวพราวของสุริยัน ที่ทำให้จันทร์เจ้าทนไม่ไหวขอหย่าขึ้นมา
“เข้าใจๆ”
คนวัยเกือบสี่สิบรับคำ แม้ว่าครอบครัวเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขดี แต่การที่มานเมตต์ไม่ยอมสืบทอด ไม่ทำงานของครอบครัว ก็ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกอยู่ทุกวินาทีว่าเป็นแกะดำของบ้าน น้อยใจลึกๆ ก็หลายครั้งว่าที่พ่อแม่กับน้องสาวไม่เรียกร้องให้เป็นหัวเรือใหญ่ในการสานต่อธุรกิจครอบครัวเพราะอาจจะไม่ต้องการเขา สนับสนุนส่งเสริมให้ออกมาอยู่ป่า อยู่ไร่ ไม่ดึงดันเลยด้วยซ้ำ
“เตี้ยอุ้มค่อมกันอยู่สองคน” ธันน์ว่าต่อ ก้มลงเขี่ยขี้บุหรี่ในที่รองตรงหน้า
ในขณะที่มานเมตต์ยกเครื่องดื่มขึ้นจิบลดอารมณ์วูบโหวงในอก สะท้อนใจว่าหากคนนอกมองก็คงคิดว่าชีวิตพวกเขาทั้งสามคนสวยหรูดูดีไปหมด ซึ่งหากเขาไม่ได้ยินเรื่องของสาวสวยจากปากรุ่นน้องก็คงมองว่าทุกอย่างในชีวิตหล่อนสมบูรณ์พูนสุข จนคิดว่ากิริยาไม่น่าดูที่หล่อนแสดงออกมานั้นเพราะเป็นคนนิสัยเสีย แต่พอรู้พื้นเรื่องแบบนี้ ความคิดที่มีต่อไลลาลิณก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งโดยสิ้นเชิง...สงสาร คือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวใจ
“แล้วเขาไม่มีแฟนหรือไง หน้าตาก็น่ารัก” แม้นิสัยจะน่าตีไปหน่อยก็ตาม
“มีอะไรล่ะ ไลลาน่ะมันไม่พูดกับใครเลยด้วยซ้ำนะ คนทั้งคณะนี่จะว่าชอบก็คงชอบที่มันหน้าตาน่ารักกับรวยมาก ส่วนที่เกลียดก็คงเพราะมันหยิ่งไม่เห็นหัวใคร ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ มันไม่กล้าไปพูดกับใครต่างหาก”
เพราะกลัวจะถูกทิ้งขว้าง กลัวจะไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ ไลลาลิณเลยจำกัดพื้นที่ของตัวเองให้แคบที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แต่พวกผู้ชายถ้ามันจะจีบ มันก็ต้องเข้าไปคุยสิ”
“เรื่องนั้นมันคงฝังใจที่บ้านมันแตก ผมเองก็เพื่อนเหี้-ด้วยแหละ” หนุ่มหล่อวัยยี่สิบหกหัวเราะตัวเอง “พอคนจะมาจีบมันก็กันท่า ไม่อยากให้ไลลามีแฟนว่ะ”
ได้ยินแบบนั้นใจที่เคยสบายของมานเมตต์ตอนที่ธันน์ยืนยันว่าทั้งคู่เป็นแค่เพื่อนกันก็ชักแกว่ง หากคบกันแบบนั้นทำไมไอ้ธันน์มันจะต้องมาหวง พูดออกมาแบบนี้ทำใจเขาพานเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว
“หวงหรือไง”
“หวงพี่ ห่วงด้วย” ธันน์ยอมรับแบบไม่กั๊ก กับไลลาลิณเขาน่าจะเป็นพ่อหล่อนมากกว่าเพื่อนสนิทด้วยซ้ำ
“หึ แล้วมาพูดว่าเป็นเพื่อนกัน”
ในวินาทีนั้นมือหนาของมานเมตต์จับก้านแก้วไวน์แน่นโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้ตัว ตาดำขลับเคลือบไว้ด้วยไอความไม่พอใจ ดีที่ธันน์มัวแต่วุ่นวายกับการรินเครื่องดื่มเพิ่มให้ตัวเอง เลยไม่ได้เห็นท่าทางน่ากลัวนั้น
“เพื่อนจริงๆ หวงเพราะถ้ามันมีแฟน ผมก็เหงาคนเดียว ส่วนไอ้เรื่องห่วง ทำไมจะไม่ห่วงวะ เห็นแบบนั้นน่ะ ถ้าผู้ชายมาหลอกน่าจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”
“เออ ก็ให้มันพอดีๆ ต่อให้สนิทยังไง วันนึงก็ต้องแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเองนะ ยิ่งแกทำแบบนี้ ไลลาเขาจะอยู่เองไม่ได้ คิดดีๆ รู้ไหม”
มานเมตต์พูดให้อีกฝ่ายคิด ซึ่งก็ดูเหมือนจะกระตุกใจอีกคนได้ดี เพราะสิ้นเสียงเขา ธันน์ก็หันไปมองทางประตูห้องนอนของไลลาลิณทันที นั่นสิ ก็ไม่ได้เป็นแฟน ไม่ได้รักกันแบบนั้น ถ้าวันหนึ่งเขามีใคร แล้วไอ้หน้าไหนมันจะมาดูแลหล่อนแทน
ความคิดเห็น |
---|