5

บทที่ 5 การสอนงานในแบบของท่านรอง


5

การสอนงานในแบบของท่านรอง

หลังจากประชุมคณะกรรมการบริษัทเสร็จตอนเที่ยงตรง ภานุรุจก็ขับรถพาเพลงขวัญมายังร้านเรือนเลิศรส ร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นบนถนนวิทยุ ภายในร้านอาหารหรูมีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มารับประทานอาหารเที่ยงกันอย่างเนืองแน่น เมื่อพนักงานเห็นภานุรุจก็เข้ามาต้อนรับทันที

“สวัสดีค่ะคุณเนส เชิญทางนี้เลยค่ะ” พนักงานสาวนำไปยังโต๊ะโซนด้านในโดยที่ชายหนุ่มไม่ต้องเอ่ยอะไรสักคำ จากนั้นก็นำเมนูมาให้สองเล่ม “อีกประมาณห้านาที หนูจะกลับมารับออร์เดอร์นะคะ”

ภานุรุจพยักหน้าเบาๆ

“ท่านรองมาที่นี่บ่อยเหรอคะ” เพลงขวัญดูจากการที่พนักงานรู้จักเขาเป็นอย่างดี

            “ใช่ครับ ปกติผมจะมากินอาหารเที่ยงที่นี่ทุกวัน แต่ถ้าวันไหนไม่มีเวลา ผมก็จะกินที่ห้องทำงาน และคุณต้องเป็นคนโทร. สั่งอาหารให้ผม เพราะฉะนั้นคุณควรจะรู้ไว้ว่าผมชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไร จะได้ไม่ต้องคอยถามตลอดเวลา” นี่คือเหตุผลที่เขาพาเลขาฯ สาวมากินอาหารเที่ยงด้วยกัน

            “รับทราบค่ะ” เพลงขวัญหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋าสะพายสีครีม และถ่ายรูปปกเมนูที่มีข้อมูลติดต่อของทางร้านเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“ท่านรองแพ้อาหารอะไรไหมคะ” สาวหน้าหวานถามพร้อมหยิบสมุดโน้ตกับดินสอออกมาจากกระเป๋าใบเดิม

            “ผมกินได้ทุกอย่าง ยกเว้นอาหารที่มีผักชีกับถั่วงอก และต้องไม่เผ็ดเกินไป” ภานุรุจบอก ในขณะที่เลขาฯ ของเขาก็จดยิกๆ

            “ท่านรองแพ้ผักชีกับถั่วงอกเหรอคะ”

            “เปล่าครับ แค่ไม่ชอบ”

            “โอเคค่ะ สรุปว่าท่านรองไม่แพ้อาหารอะไรนะคะ”

            “ครับ”

            “แล้วท่านรองชอบกินเมนูอะไรของที่นี่บ้างคะ” เพลงขวัญสอบถามต่อ

            “คุณคิดว่าผมชอบอะไรก็สั่งอันนั้นแหละ” ดวงตาเรียวยาวเป็นประกายวิบวับ อยากลองทดสอบอีกฝ่ายดูว่าจะรู้ใจเขามากแค่ไหน

            “ถ้าสั่งไม่ถูกใจ จะมีผลกับการผ่านโปรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามด้วยสีหน้ากังวล เพราะถึงแม้ว่าทางเดอะ ซันกรุ๊ปจะรับเธอเข้าทำงานแล้ว แต่ก็ต้องทดลองงานเป็นเวลาสามเดือน จากนั้นจะมีการประเมินอีกครั้งว่าจะได้ทำงานที่นี่ต่อหรือไม่

            “จริงจังไปไหมครับ” ภานุรุจอมยิ้ม

            “ก็...ไม่รู้สิคะ ท่านรองบอกว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานนี่นา”

            “ผมดูเป็นเจ้านายที่เข้มงวดมากสินะ”

            คำถามนั้นทำให้เลขาฯ สาวทำหน้าเลิ่กลั่ก “เอ่อ...”

            “ว่าไงครับ” ใบหน้าคมคายเคร่งขรึมขึ้น

            “อ่า...”

            “ถ้าไม่ตอบ ผมจะถือว่าใช่”

            “คือ...ท่านรองดูขรึมๆ ไงคะ แล้วก็ท่าทางจริงจังด้วย ดิฉันเลยแอบคิดว่าถ้าทำอะไรผิดพลาดนิดเดียวต้องไม่ผ่านโปรแน่” หญิงสาวตัดสินใจตอบไปตามที่คิด

            ภานุรุจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และยกมือขึ้นมากอดอก “ใช่ ถ้าคุณสั่งอาหารมาไม่ถูกใจผมละก็ บ่ายนี้ก็เก็บของกลับบ้านได้เลย!”

            เพลงขวัญใจหายวูบ “คะ?”

            “ผมยังพูดไม่ชัดอีกเหรอ” ดวงตาคมกริบฉายแววดุ

            “ชัดแล้วค่ะ” หญิงสาวก้มหน้างุด ใจฝ่อไปหมดเพราะกลัวว่าจะตกงาน “ถ้างั้นดิฉันสั่งอาหารเลยนะคะ”

            “เดี๋ยว” เจ้านายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นเยียบ

            “คะ?” เพลงขวัญเงยหน้าขึ้นสบตาคนนั่งตรงข้ามอย่างหวาดๆ

            “นี่คุณกลัวผมขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาทำหน้าซีเรียส

            “...” สาวร่างเล็กอึกอัก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

            “เมื่อกี้ผมล้อเล่น” ราวกับมีรอยยิ้มผุดขึ้นในดวงตาคู่คม

            “คะ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน

            “ผมล้อเล่น”

            “...”

            “ผมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คุณคิดหรอกนะ” เขายิ้มกว้าง ตาเป็นประกาย

            ท่านรองยิ้ม! เพลงขวัญไม่อยากเชื่อสายตาว่าเขาจะยิ้มกว้างได้ขนาดนี้

            “เลิกกลัวผมได้แล้ว” ภานุรุจบอกน้ำเสียงนุ่มนวล

            ท่านรองนะท่านรอง แกล้งกันได้ลงคอ อยากจะเอื้อมมือไปดึงแก้มเขาให้หายมันเขี้ยวจริงๆ

            “ก็ปกติท่านรองไม่ค่อยยิ้มนี่คะ ใครก็ต้องกลัวแหละค่ะ”

            “ผมไม่ชอบยิ้มโดยไม่มีเหตุผล”

            “แล้วถ้าสมมุติว่าพรุ่งนี้เปิดตลาดหุ้นมา หุ้นของเดอะ ซันกรุ๊ปพุ่งพรวดขึ้นทันทีสิบจุด ท่านรองจะยิ้มไหมคะ” เพลงขวัญหายเกร็งเป็นปลิดทิ้งเมื่อรู้ว่าเจ้านายหนุ่มไม่ได้น่ากลัวเหมือนภาพลักษณ์

            “ถ้ามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับบริษัท ผมก็ต้องดีใจอยู่แล้ว” รอยยิ้มมีเสน่ห์ยังคงระบายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน

            “ขออนุญาตรับออร์เดอร์นะคะ” ขณะนั้นพนักงานเสิร์ฟของร้านก็เดินเข้ามาพอดี

            “ให้ดิฉันสั่งให้เลยใช่ไหมคะ” เพลงขวัญถามเจ้านายหนุ่มเพื่อความแน่ใจ

            “ครับ”

            “งั้นเอา...แกงเขียวหวานเนื้อตุ๋น แกงจืดลูกรอก” หญิงสาวก้มหน้าอ่านเมนู และเปิดหน้าถัดไป “แล้วก็ส้มตำไทย ใส่พริกสองเม็ดพอนะคะ”

            ภานุรุจวางสายตาไว้ที่เธอ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเมื่อได้ยินชื่อเมนูถัดมา

“เอาปีกไก่น้ำแดงกับซี่โครงหมูทอดกระเทียมด้วยค่ะ ทุกอย่างไม่ใส่ผักชีนะคะ แล้วก็ขอข้าวสวยสองที่ค่ะ” เธอพยายามสั่งอาหารรสชาติกลางๆ ไว้ก่อน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถูกใจเจ้านายหรือเปล่า

            “เครื่องดื่มรับอะไรดีคะ” พนักงานเสิร์ฟถามต่อ

            “สั่งเครื่องดื่มให้ผมด้วยนะครับ” รองประธานหนุ่มบอกเลขาฯ สาว เพราะรู้ว่าเธอจะถามอีก

            ริมฝีปากอิ่มสีชมพูที่กำลังจะขยับถามชะงัก เปลี่ยนเป็นรับคำสั่งแทน “ได้ค่ะ” ตอนสั่งอาหารเขามีคำใบ้ให้ แต่เครื่องดื่มนี่คงต้องใช้ทักษะการเดาล้วนๆ “ขอน้ำมะพร้าวปั่น แล้วก็...แตงโมปั่นค่ะ”

            “ค่ะ ขออนุญาตทวนออร์เดอร์นะคะ มีแกงเขียวหวานเนื้อตุ๋น...” พนักงานสาวไล่เรียงรายการอาหารจนครบ

            “อืม...ขอน้ำเปล่าสองแก้วด้วยค่ะ” ถ้าเกิดเขาไม่ชอบน้ำผลไม้ปั่นขึ้นมา ยังไงก็ยังมีน้ำเปล่าไว้ให้ดื่ม เพลงขวัญคิดอย่างรอบคอบ

            “ได้ค่ะ รออาหารประมาณยี่สิบนาทีนะคะ”

            “ค่า ขอบคุณค่ะ”

            เมื่อพนักงานเสิร์ฟออกไปแล้ว เพลงขวัญก็หันกลับมามองเจ้านายหนุ่ม “หวังว่าท่านรองจะชอบอาหารและเครื่องดื่มที่ดิฉันสั่งไปนะคะ”

            ภานุรุจตอบเสียงขรึม “ลองสังเกตดูเองครับว่าชอบหรือเปล่า คุณอาจจะต้องมากินข้าวเที่ยงกับผมทั้งอาทิตย์นี้เพื่อเก็บข้อมูลเรื่องอาหาร”

            “ทั้งอาทิตย์เลยเหรอคะ” หญิงสาวเบิกตาโต

            “ใช่ครับ เพราะแค่วันเดียว คุณคงยังสรุปไม่ได้”

            “ก็จริงค่ะ” เพลงขวัญพยักหน้าไวๆ เมื่อเห็นว่าเขาพูดถูก

“ผมไม่ได้แกล้งคุณนะครับ แต่นี่เป็นวิธีการสอนงานของผม ผมอยากให้คุณเรียนรู้ด้วยตัวเอง มากกว่าให้คอยบอกทุกอย่าง”

            “ดิฉันก็ไม่ได้คิดว่าท่านรองแกล้งเลยนะคะ” เธอส่ายหน้าหวือ

            “ดีแล้ว ที่ผมเลือกคุณ ก็เพราะว่าเชื่อใจคุณ และผมก็หวังว่าคุณจะเชื่อใจผมเหมือนกัน”

ดวงตาสีดำขลับที่มองมาฉายแววจริงใจ ประกายสว่างไสวในดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะทันที

“ค่ะ” แกจะใจเต้นทำไมเนี่ย เขาพูดเรื่องงานไหม ไม่ได้สารภาพรักสักหน่อย

“ถ้าเราไม่เชื่อใจกัน ก็คงทำงานด้วยกันไม่ได้ และอย่าลืมที่ผมบอก ถ้าคุณมีปัญหาในการทำงาน หรือมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ให้ถามได้เลย ผมยินดีให้คำแนะนำเสมอ”

“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” เพลงขวัญยิ้มซาบซึ้ง “ถ้างั้น...ดิฉันขอปรึกษาท่านรองเรื่องงานเลยนะคะ”

“ได้ครับ” ภานุรุจรอฟังอย่างตั้งใจ

เมื่อเจ้านายเปิดโอกาส หญิงสาวก็ซักถามสิ่งที่ยังสงสัยเต็มที่ จนมาถึงเรื่องการจัดงานเลี้ยงผู้ถือหุ้น ซึ่งถือเป็นงานใหญ่งานแรกที่เธอต้องรับผิดชอบ ถ้างานนี้ออกมาดี ก็การันตีได้เลยว่าเธอจะผ่านการทดลองงานแน่นอน

สำหรับเพลงขวัญ เมื่อได้ลงมือทำงานอะไรสักอย่างแล้ว เธอจะตั้งใจทำให้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ถนัดหรือเกินกำลัง หญิงสาวก็ไม่เคยอายที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะเธอถือคติว่าคนเราไม่ได้เก่งไปหมดทุกอย่าง บางอย่างก็ต้องอาศัยผู้ที่เก่งกว่าคอยชี้แนะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดตรงไหนเลย ดีกว่ามัวทะนงตัวกลัวจะเสียหน้าจนงานออกมาเละเทะ

“หลังจากส่งแผนการจัดงานให้ท่านรองดูแล้ว ถ้าท่านรองอนุมัติ ดิฉันก็จะดำเนินการตามแผนทันที และจะไปประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดงานลุล่วงตามแผนที่วางเอาไว้นะคะ”

การได้ไปแนะนำตัวกับแผนกต่างๆ ทำให้เธอได้รู้จักพนักงานและโครงสร้างขององค์กรทั้งหมดแล้ว

“แล้วจะส่งแผนให้ผมได้เมื่อไหร่ครับ ภายในอาทิตย์หน้าได้ไหม” ท่านรองเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่คนฟังแอบกดดัน

“ได้ค่ะ” เมื่อเจ้านายต้องการอย่างนั้น ไม่ได้ก็ต้องได้ละ!

“ขอบคุณครับ”

จากนั้นหญิงสาวก็สอบถามเรื่องอื่นๆ ต่อ จนกระทั่งพนักงานนำอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ

“แก้วไหนของผมครับ” ภานุรุจมองแก้วน้ำมะพร้าวปั่นและแก้วน้ำแตงโมปั่น ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าใสของเลขาฯ สาว

“มะพร้าวปั่นค่ะ” เพลงขวัญเลื่อนแก้วให้เขาอย่างสุภาพ

“ขอบคุณครับ” ภานุรุจเริ่มรับประทานอาหารโดยตักปีกไก่น้ำแดงมาใส่จานเป็นอันดับแรก

ด้านเพลงขวัญก็กินไปสังเกตเจ้านายไป เธอพบว่ามีความถี่ในการตักปีกไก่น้ำแดงมากที่สุดในบรรดาอาหารทั้งหมด รองลงมาคือแกงจืดลูกรอกและแกงเขียวหวานเนื้อตุ๋นตามลำดับ ส่วนซี่โครงหมูทอดกระเทียมเขาตักไปแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น

ตลอดการรับประทานอาหาร ภานุรุจดื่มน้ำมะพร้าวไปไม่ถึงครึ่งแก้ว แสดงว่าเขาไม่ชอบแน่ๆ พรุ่งนี้เธอคงต้องลองสั่งอย่างอื่นให้

 

รองประธานหนุ่มและเลขาฯ สาวออกจากร้านอาหารในเวลาบ่ายโมงสิบห้านาที และมุ่งหน้ากลับออฟฟิศเพื่อประชุมกับฝ่ายการตลาดตอนบ่ายสอง

ระหว่างทางเพลงขวัญเริ่มร่างแผนการจัดงานเลี้ยงคร่าวๆ ลงในสมุดโน้ตว่าต้องทำอะไรบ้าง ที่แน่ๆ เลยก็คือหาสถานที่ที่สามารถรองรับคนได้หนึ่งพันคน เลือกวันเวลาที่เหมาะสม เขียนกำหนดการภายในงาน ส่งหนังสือเชิญผู้ถือหุ้น เตรียมข้อมูลและเอกสารต่างๆ ที่จะใช้ นอกจากนั้นยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย

“ทำงานกับผมเหนื่อยหน่อยนะ” เสียงทุ้มลึกที่ดังขึ้นทำให้สาวหน้าหวานหลุดจากความคิด

เพลงขวัญหันไปมองเขาและยิ้มกว้าง “ดิฉันไม่กลัวเหนื่อยหรอกค่ะ กลัวไม่มีเงินมากกว่า” แววตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ริมฝีปากรูปกระจับสีระเรื่อระบายยิ้มน้อยๆ “คุณนาถบอกว่า คุณทำงานหาเงินช่วยครอบครัวมาตั้งแต่เด็กแล้วเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงฉะฉาน

ภานุรุจมองเธอด้วยสายตาชื่นชม การสัมภาษณ์รอบแรกกับนาถลดาเป็นการพูดคุยเพื่อดูบุคลิกภาพ ทัศนคติ และความสามารถทั่วไปของผู้สมัคร ส่วนการสัมภาษณ์รอบสองกับเขาจะเป็นคำถามเจาะจงเกี่ยวกับงานที่ต้องทำมากขึ้น รวมถึงทดสอบไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วย

เขาบอกนาถลดาว่าต้องการเลขาฯ ที่ขยัน ทัศนคติดี และพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องเก่งมาก เพราะเรื่องนี้ฝึกฝนกันได้ ฝ่ายนั้นจึงคัดเลือกมาให้สองคน และหนึ่งในนั้นก็คือเพลงขวัญ

ตอนแรกที่เห็นรูปเธอในแฟ้มประวัติ ภานุรุจไม่อยากเชื่อว่าโลกจะกลมได้ขนาดนี้ และวินาทีต่อมา ชายหนุ่มก็นึกสงสัยว่า ผู้หญิงที่เคยอาเจียนใส่หัวเขาคนนี้เหรอที่มีคุณสมบัติตรงตามที่เขาบอกนาถลดา ต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ เพราะนาถลดาเป็นคนที่มีสายตาเฉียบแหลมมาก เวลาสัมภาษณ์งานใครพูดจริง ใครพูดไม่จริง เธอดูออกหมด ดังนั้นถ้าเพลงขวัญโกหกคงไม่ผ่านการสัมภาษณ์มาถึงรอบสุดท้าย นั่นทำให้ภานุรุจอยากรู้ว่าหญิงสาวเป็นคนยังไงกันแน่

หลังจากชี้แจงเรื่องที่เพลงขวัญเข้าใจเขาผิดแล้ว ชายหนุ่มจึงสัมภาษณ์เธออย่างละเอียด แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายมีความสามารถและไหวพริบยอดเยี่ยม สมกับที่ผ่านเข้ามาในรอบชอร์ตลิสต์ แต่เขาก็ยังลังเลว่าจะเลือกเธอดีหรือไม่

ภานุรุจไปคุยกับนาถลดาเพื่อสอบถามข้อมูลของผู้สมัครทั้งสองคนเพิ่มเติมแล้วนำมาประกอบการตัดสินใจ เธอเล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันเพลงขวัญอาศัยอยู่กับยายซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อ ส่วนพ่อแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ

ด้วยความที่ไม่ได้ร่ำรวย หญิงสาวและครอบครัวจึงต้องดิ้นรน เพลงขวัญช่วยครอบครัวทำงานหาเงินมาตั้งแต่อายุเพียงหกขวบ หลังเลิกเรียนเธอจะออกไปรับจ้างล้างจานตามร้านอาหารกับแม่ ส่วนวันหยุดก็จะพากันไปรับจ้างทำความสะอาดบ้าน ขณะที่พ่อรับจ๊อบส่งเอกสารทั่วกรุงเทพฯ และทำงานรับจ้างทั่วไปตามแต่จะมีคนจ้าง เวลามีงานเทศกาล พ่อกับแม่จะไปขายของกินและน้ำหวาน เพลงขวัญก็ตามไปช่วยพวกท่านด้วยอีกแรง

ความลำบากทำให้เธอตั้งใจเรียน และมุ่งมั่นจะหางานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ ทำ เพื่อเลี้ยงดูคนในครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

หลังจากเรียนจบ หญิงสาวเข้าทำงานเป็นเลขาฯ ของผู้บริหารในบริษัทชิปปิงขนาดกลางแห่งหนึ่ง เธอทำงานอยู่ที่นั่นสามปี ก่อนจะลาออกมาสมัครงานที่เดอะ ซันกรุ๊ปเพื่อความก้าวหน้า

จากที่ได้ใช้เวลาด้วยกันมาตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงตอนนี้ ภานุรุจมั่นใจแล้วว่าพื้นฐานของเพลงขวัญเป็นเด็กดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นในคืนนั้นคงเป็นเพราะอารมณ์อ่อนไหวที่ทำให้หญิงสาวทำอะไรลงไปโดยขาดสติ

“ตอนนี้ยายของคุณคงไม่ต้องทำงานหนักแล้ว”

“ยายยังรับตัดเสื้ออยู่เหมือนเดิมค่ะ ดิฉันอยากให้พัก ท่านก็ไม่ยอม บอกว่าไม่อยากอยู่ว่างๆ แต่ก็รับงานน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้วค่ะ” เพลงขวัญพูดไปยิ้มไป

“นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ พวกท่านก็คงจะไม่ยอมหยุดทำงานเหมือนกัน” ตั้งแต่จำความได้ เธอก็เห็นพ่อกับแม่ทำงานตลอด โดยแทบไม่มีวันหยุดเลย

...

‘ถ้าอยากสบาย เราก็ต้องขยันนะรู้ไหม’ พ่อสอนเธออย่างนั้นเสมอ

‘ใช่ ถ้าขี้เกียจ ก็มีแต่จะอดตาย’ แม่เสริม

‘แล้วขวัญก็ต้องตั้งใจเรียนด้วยนะลูก โตขึ้นจะได้มีงานดีๆ ทำ’

‘ค่ะ หนูจะขยัน จะตั้งใจเรียนให้ได้เกรดสูงๆ โตขึ้นหนูจะดูแลพ่อแม่กับยายเองนะคะ’ เพลงขวัญบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

...

“ผมเสียใจด้วยนะครับ เรื่องพ่อแม่ของคุณ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างจริงใจ

“ขอบคุณค่ะ” ถ้าสามารถขอพรได้สักข้อ เธอก็อยากจะขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาเป็นลูกของพวกท่านอีกครั้ง

“ผมเชื่อนะครับว่าตอนนี้พวกท่านยังมองดูคุณจากบนฟ้า และภูมิใจที่เห็นคุณประสบความสำเร็จ”

ประโยคนั้นทำให้เพลงขวัญคิดถึงคนบนฟ้าจับใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ร่วงเผาะลงมาและเอ่ยเสียงเครือ “ขอโทษค่ะ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ อยากร้องก็ร้องเลย ผมอนุญาต” ภานุรุจเอ่ยปลอบพร้อมทั้งยื่นอะไรบางอย่างให้เธอ

เพลงขวัญมองผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดที่อยู่ในมือเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกอย่างเกรงใจ “ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไรดีกว่า”

“ผมยังไม่ได้ใช้”

แม้เขาจะบอกอย่างนั้น แต่เธอก็ยังไม่กล้ารับมา

“หรือจะให้ผมเช็ดให้”

“เอ่อ มะ...ไม่ค่ะ” เพลงขวัญบอกละล่ำละลัก และรับผ้าเช็ดหน้ามาจากมือหนาแต่โดยดี

หญิงสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมอ่อนๆ ซับน้ำตา และพยายามตั้งสติ เพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้เจ้านายเห็น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเวลาพูดถึงพ่อแม่ทีไร เธอก็ห้ามน้ำตาไม่ได้ทุกที

“เดี๋ยวดิฉันเอากลับไปซักให้แล้วจะเอามาคืนท่านรองพรุ่งนี้นะคะ”

“ครับ” ภานุรุจตอบรับสั้นๆ แล้วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมเป็นกำลังใจให้นะ” ประโยคนั้นทำให้หัวใจของคนฟังอุ่นซ่านไปทั้งดวง

            “ขอบคุณมากค่ะ” เพลงขวัญยิ้มอย่างตื้นตัน การมากินข้าวด้วยกันวันนี้ทำให้เธอรู้ว่า ถึงแม้ภายนอกเจ้านายหนุ่มจะดูเคร่งขรึมและเย็นชา แต่จริงๆ แล้วเขาอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างคาดไม่ถึงเลยละ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น