6

ตอนที่ 6


6

 

เสียงนกร้องดังเซ็งแซ่ปลุกอาหลานให้ตื่นจากฝันดี กฤตพจน์กลิ้งตัวหยอกล้อหลานสาวและหลานชายอยู่บนเตียง เสียงงัวเงียในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะชอบใจ เด็กหญิงบุศย์น้ำเพชรกลิ้งตัวไปทับแขนคุณอาจากทางด้านซ้าย ส่วนเด็กชายบุญรักษากลิ้งไปทับแขนข้างขวาของผู้เป็นอาเอาไว้ คุณอาเล็กของเด็กๆ ยกศีรษะขึ้นแล้วระดมหอมแก้มยุ้ยทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า จั๊กจี้ค่า” เด็กหญิงตัวน้อยกรีดร้องเสียงสดใส

“ยอมกันหรือยัง” เสียงทุ้มร้องถาม

“ยอมค้าบ” เจ้าเสือน้อยตอบเสียงหอบ ทว่าจังหวะที่ผู้เป็นอาชะล่าใจ เจ้าตัวเล็กก็พลิกเกมขึ้นไปนั่งซ้อนทับอกกว้างเอาไว้แล้วโยกตัวคล้ายกำลังนั่งอยู่ในเรือ

“โอ๊ย ยอม ยอมแล้วครับ” กฤตพจน์ร้อง

“ห้ามขี้โกงนะคะ” หลานสาวตัวน้อยดักทางอย่างรู้ทัน

“ไม่โกงแล้วครับเจ้าหญิง ไปอาบน้ำกันดีกว่า จะได้ลงไปทานข้าวเช้า แล้วก็...ไปเรียนดนตรีกัน”

“เย้ เรียนดนตรี เรียนดนตรี” สองเสียงร้องประสานพลางชูมือป้อมขึ้นเหนือศีรษะแล้วโยกตัวไปมา

กฤตพจน์อุ้มเด็กหญิงแล้วจูงมือเด็กชายเข้าไปในห้องน้ำ ซึ่งหากเป็นวันธรรมดาชายหนุ่มจะตื่นก่อนเพื่อไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องของตน แล้วบัวบูชาจะเป็นผู้มาดูแลเรื่องการอาบน้ำแต่งตัวของเด็กๆ เอง ทว่าในช่วงวันพักผ่อน ไม่มีตารางงานรีบเร่งเช่นนี้ จึงเป็นช่วงเวลาคุณภาพที่อาหลานจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน

 

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว กฤตพจน์จึงแยกตัวขึ้นไปเคลียร์เอกสารที่ห้องทำงานส่วนตัว เหตุที่ต้องขนงานกลับมาตรวจต่อในวันหยุดเช่นนี้ เป็นเพราะคำสั่งเลื่อนประชุมและงดรับนัดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าผลที่ตามมาของการปรับตารางงานในวันดังกล่าวต้องแลกกับเวลาในวันพักผ่อนเช่นวันนี้ แต่เขาก็เลือกที่จะทำ โดยให้เหตุผลสนับสนุนการกระทำทั้งหมดว่า เรียนรู้นิสัยเพื่อเพิ่มความมั่นใจในศักยภาพครูสอนดนตรีของหลานๆ

“เก้าโมงครึ่งแล้วหรือเนี่ย” กฤตพจน์เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนผนังห้อง ก่อนจะวางเอกสารและปากกาในมือลง “คืนนี้ค่อยมาลุยต่อ” ว่าพลางขยับตัวลุกขึ้น แล้วเดินฮัมเพลงลงไปสมทบกับสมาชิกครอบครัวที่รวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น

 

“อาเข็มครับ เมื่อไหร่น้องจะออกมา” เสียงเจ้าเสือน้อยร้องถามอาสะใภ้ และเสียงนั่นเองก็ทำให้คนที่เพิ่งเดินมาถึงประหลาดใจ

เก้าโมงครึ่งแล้วเหตุใดหลานๆ จึงยังไม่เข้าห้องเรียนดนตรี กฤตพจน์สาวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วพร้อมความเคลือบแคลงใจ

“วันนี้ใบบุญกับน้ำบุศย์ไม่เรียนดนตรีหรือครับน้องบัว” คนมาทีหลังเอ่ยถาม

“วันนี้น้องตามติดธุระค่ะ” บัวบูชาตอบในขณะที่อุ้มหนูน้อยน้ำมนต์ขึ้นพาดบ่า

“สรุปว่าตามฝันไปตามนัดจริงๆ หรือครับน้องบัว” คุณใหญ่แสร้งเลิกคิ้วถามภรรยา ทั้งๆ ที่รู้รายละเอียดทุกอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนอยู่ก่อนแล้ว

“ค่ะพี่ใหญ่ บัวก็อยากให้น้องตามลองเปิดโอกาสให้ตัวเองดู”

และคำตอบนี้ของบัวบูชาก็ทำให้ใครบางคนหูผึ่งยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังคงวางฟอร์มจัดไม่ซักถามอะไรต่อ ถึงแม้นจะอยากรู้รายละเอียดมากเพียงใดก็ตาม

“เปิดโอกาสเรื่องอะไรหรือครับน้องบัว” ขอบคุณสวรรค์ที่พี่ชายฝาแฝดก็มีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเดียวกัน คุณเล็กเดินอ้อยอิ่งไปนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะข้างๆ เด็กหญิงบุศย์น้ำเพชร คล้ายกับไม่สนใจใคร่รู้สิ่งใดเหมือนเช่นคนอื่น ทั้งที่ตอนนี้ระบบต่างๆ ในร่างกายกำลังตื่นตัวด้วยความกระหายรู้อย่างสูงสุด

“หนุ่มที่ขายขนมจีบน้องตามตั้งแต่สมัยน้องยังถักผมเปียเปิดร้านอาหารค่ะ วันนี้สบโอกาสเลยชวนน้องไปลองชิมเมนูใหม่” บัวบูชาตอบพร้อมยิ้ม

“ร้านใหม่ตรงสี่แยกก่อนขึ้นทางด่วนมาบ้านเราใช่ไหมคะ” เขมิกาถาม ด้วยจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าบัวบูชาเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อหลายวันก่อน

“ใช่จ้ะน้องเข็ม” สะใภ้ใหญ่ตอบ

“ร้านนั้นสวยมากเลยนะคะ วันก่อนนั่งรถผ่านยังอยากแวะเลยค่ะ” มินตราว่า

“ไว้หาเวลาไปลองกัน เห็นว่าเป็นเมนูพิเศษทั้งนั้น น่าสนใจดี” สะใภ้ใหญ่ชวน

ในขณะที่สามสะใภ้กำลังสนทนากันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา

“แล้วน้องบัวก็อนุญาตให้เธอไปหรือครับ” คนที่เพิ่งทรุดตัวลงนั่งกับเบาะผุดลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟาอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ...ค่ะพี่เล็ก” บัวบูชาเอียงใบหน้าสบตาน้องสาวบุญธรรมที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก่อนตอบเสียงตะกุกตะกัก

“ทำไมต้องเสียงดังขนาดนั้นด้วยเจ้าเล็ก” คุณรองส่ายหน้า

“กะ...ก็” คนเสียงดังอย่างไร้เหตุผลจนด้วยคำพูด ก่อนที่จะเดินกลับไปหาเด็กหญิงบุศย์น้ำเพชรอีกครั้ง ตวัดวงแขนอุ้มร่างกลมป้อมขึ้นพาดบ่า จากนั้นเดินไปจับมือเด็กชายบุญรักษาให้ลุกขึ้นยืน

“หลานผมไม่ควรต้องหยุดเรียนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ เดี๋ยวผมมานะครับ ขอพาหลานๆ ออกไปข้างนอกสักครู่” เอ่ยทิ้งท้ายแล้วจึงหมุนตัวอุ้มหลานสาวจูงหลานชายเดินออกไป

“อ้าว จะไปไหนล่ะเจ้าเล็ก” คุณหมอกลางร้องถามตามหลังเสียงระรื่น

“มีธุระด่วนอีกแล้วสินะ” คุณใหญ่ระบายยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

“ถึงเวลาออกสนามรบ” คุณรองยิ้มกริ่ม

สามเสือกดริมฝีปากหัวเราะในลำคอ โดยมีสายตาของภรรยาทั้งสามมองตามด้วยความงุนงง

 

“หน้าตาน่าทานทุกอย่างเลยค่ะพี่คิน” มาติกาถือช้อนส้อมในท่าพร้อมรับประทาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง

“งั้น...ก็ลงมือเลยครับ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ทอดสายตาอ่อนโยนมองใบหน้าจิ้มลิ้มด้วยความเอ็นดู

ภาคินคือนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ไฟแรง บุตรชายเจ้าของบริษัทนำเข้ารถยนต์รายใหญ่ ผู้ที่มีใจรักในการทำอาหารและใฝ่ฝันว่าอยากจะมีร้านอาหารเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เมื่องานบริหารธุรกิจของครอบครัวเริ่มเข้าที่ เขาจึงสานฝันของตัวเองด้วยการลงทุนทำร้านอาหารแห่งนี้ขึ้นมา ซึ่งถึงแม้นจะเพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน แต่ด้วยรสชาติอาหารที่โดดเด่น กอปรกับรูปแบบร้านที่อิงแอบธรรมชาติจึงทำให้ร้านแห่งนี้ขึ้นอันดับร้านอาหารขายดีที่มีลูกค้าจองคิวล่วงหน้านานนับเดือน

“ลองอันไหนก่อนดีน้า” ใบหน้าจิ้มลิ้มโน้มลงแทบชิดขอบจานเพื่อสูดกลิ่นหอมกรุ่นของอาหารทีละเมนู

ภาคินยิ้มกริ่ม ไม่ว่าจะผ่านมาสักกี่ปีหญิงสาวตรงหน้าก็ยังคงน่ารักไม่เคยเปลี่ยน เขายังจำครั้งแรกที่เจอเธอได้ดี วันนั้นเขาไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่บ้าน หลังจากที่แยกย้ายกันไปเรียนหลังจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ระหว่างที่กำลังสนทนาระลึกความหลังกันอย่างออกรสออกชาติ อยู่ๆ ก็มีเด็กหญิงตัวน้อยถักผมเปียสองข้างวิ่งเข้ามากอดเพื่อนสนิทของตน แล้วปักหลักร่วมวงสนทนาด้วยเสียอย่างนั้น ความออดอ้อนและช่างจำนรรจาของเธอทำให้คนพูดน้อยอย่างเขาเพลิดเพลินกับบทสนทนาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

จากนั้นทุกๆ การปิดภาคเรียน เขามักจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนเพื่อนสนิทคนนี้เสมอ ความใกล้ชิดและคุ้นเคยทำให้ความเอ็นดูในคราแรกค่อยๆ พัฒนาไปเป็นความรู้สึกพิเศษ หลายปีที่เขาเทียวไล้เทียวขื่อ พยายามสานความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ แต่เธอก็ยังไม่ยอมเปิดใจยอมรับ ทั้งยังย้ำเตือนเสมอว่าเธอโชคดีที่มีพี่ชายสองคน คนหนึ่งก็คือพี่ชายสายเลือดเดียวกันนั่นก็คือเพื่อนสนิทของเขา และอีกหนึ่งก็คือตัวเขานั่นเอง

“ล็อบสเตอร์ราดซอสมะขาม น้องตามน่าจะชอบ เปรี้ยวหวานกำลังดี” ภาคินว่าพลางยื่นมือออกไปตักเมนูแรกไปวางบนจาน

มาติกายิ้มหวานแล้วตักเมนูแรกขึ้นมาเคี้ยวอย่างช้าๆ ก่อนที่จะวางช้อนในมือลงแล้วยกนิ้วโป้งให้ “อร่อยมากเลยค่ะพี่คิน”

“อร่อยก็ต้องทานเยอะๆ” ชายหนุ่มตอบ จังหวะที่กำลังยื่นแขนหมายจะตักเมนูถัดไปให้มาติกาได้ลองชิม จู่ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญเคลื่อนขบวนมายืนอยู่ข้างโต๊ะอย่างรวดเร็วชนิดที่พนักงานในร้านยังเข้าไปขวางไว้ไม่ทัน

“คุณครูน้าตามขา/คุณครูน้าตามค้าบ” เสียงใสของสองหนูน้อยร้องทัก สองมือของมาติกาที่กำลังถือช้อนส้อมชะงักอยู่กลางอากาศ

หญิงสาวเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ แล้วไหนจะคนหน้ายักษ์ที่หอบหลานสาวจูงหลานชายนั่นอีก ไม่รู้ว่าไปกินรังแตนมาจากไหน หน้าตาจึงได้บึ้งตึงถึงเพียงนี้

“มะ...มาได้ยังไงกันคะเด็กๆ” หญิงสาวร้องทัก

“คุณอาพามาค้าบ” เด็กชายร่างกลมตอบพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองคนพามาไปด้วย

“อาเล็กขา...” เด็กหญิงเอียงคอมองใบหน้าบึ้งตึงของผู้เป็นอาก่อนจะเอ่ยถามต่อ “เรามาทานข้าวนอกบ้านกันหรือคะ”

“เอ่อ...” กฤตพจน์อึกอัก ด้วยไม่มั่นใจมากนักว่าตนหอบหลานรักทั้งสองมาถึงที่นี่ด้วยเหตุผลใด จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนสั่งให้คนสนิทเตรียมรถออกจากบ้านนั้นคิดแค่เพียงว่าเด็กๆ ไม่ควรต้องหยุดเรียนด้วยเหตุผลแค่ว่าครูสาวเห็นผู้ชายดีกว่างานสอน แต่เมื่อมาถึงจุดหมายและเจอคำถามนี้ของหลานสาวเข้าไป คนพามาถึงกับค้นหาคำพูดไม่เจอ ใบหน้าหล่อร้ายคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมเพื่อส่งยิ้มให้เด็กช่างถาม ก่อนจะเบนสายตาไปเอ่ยกับคนต้นเรื่อง

“น้องบัวเตรียมอาหารรอเธออยู่ที่บ้าน นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ทำไมยังมานั่งอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่อีก” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อ้างพี่สะใภ้สักหน่อยจะเป็นไรไป

กฤตพจน์เลิกคิ้วมองเป็นเชิงตำหนิอยู่กลายๆ ก่อนที่จะวางหลานสาวลงบนตักของคนที่กำลังอ้าปากค้าง จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งเดียวกันกับเธอ แล้วอุ้มร่างกลมของหลานชายขึ้นมานั่งบนตัก

ภาพชุลมุนที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เจ้าของร้านถึงกับหัวหมุน แต่ก็ยังคงควบคุมอารมณ์ตนเองได้เป็นอย่างดี

“ขอเก้าอี้เด็กด้วย” ภาคินสั่งการ

เมื่อพนักงานนำเก้าอี้เด็กมาวางเรียบร้อยแล้ว ผู้มาใหม่จึงพยักหน้าเรียกคนสนิทให้ช่วยจัดแจงที่นั่งสำหรับเด็กๆ อีกรอบ

“เดี๋ยวค่ะคุณกฤตพจน์ นี่อะไรกันคะฉันงงไปหมดแล้ว” มาติกาถามหลังจากตั้งสติได้แล้ว

“บังเอิญผมเห็นรถคุณจอดอยู่ แล้วก็บังเอิญจำได้อีกว่าน้องบัวเคยบอกว่าวันนี้คุณจะไปทานข้าวที่บ้าน ก็เลยลองแวะเข้ามาดู” ตอบไปไขว้นิ้วไป ถึงจะกะล่อนแค่ไหน แต่เสือเล็กก็ไม่สันทัดเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้มากนัก

“ฮึ ฮึ่ม” เสียงทุ้มกระแอมกระไอจากฝั่งตรงข้ามดังขัดจังหวะการสนทนาได้ชะงัด

มาติกาหันกลับไปมองเจ้าของร้านด้วยสีหน้าลุแก่โทษ

“ขอโทษค่ะพี่คิน ตามงงนิดหน่อยเลยเสียงดัง” หญิงสาวค้อมศีรษะลง ก่อนจะแนะนำผู้มาใหม่ตามมารยาท “นี่คุณกฤตพจน์ น้องชายของสามีพี่บัวค่ะ ส่วนเด็กๆ สองคนก็คือลูกชายลูกสาวของพี่บัว”

“สวัสดีครับ” กฤตพจน์ยืดตัวขึ้นก่อนเอ่ยทักทาย

“สวัสดีครับคุณกฤตพจน์ ได้ยินชื่อเสียงมานานเพิ่งจะมีโอกาสได้เจอตัวจริงวันนี้” ภาคินกล่าวก่อนจะหันไปมองร่างอ้วนกลมบนเก้าอี้เด็กด้านข้าง “สวัสดีครับเด็กๆ”

“ซาหวัดดีค่าคุณลุง”

“สวัสดีครับคุณลุง”

“แล้วคุณพาเด็กๆ ไปไหนมาคะ” หญิงสาวหันกลับมาให้ความสนใจคนที่นั่งข้างกายอีกรอบ

“ก็...” เอาแล้วไง เสือเล็กปากคอแห้งผาก เจรจาธุรกิจมานับครั้งไม่ถ้วน ยังไม่เคยมีครั้งใดที่จะค้นหาคำตอบไม่เจอเช่นครั้งนี้ เหตุใดแค่เพียงคำถามง่ายๆ ของแม่มดสาวข้างๆ จึงทำให้เสือร้ายที่ทุกคนขนานนามว่าพลิ้วไหวดุจสายน้ำกลอกตามองเพดานถึงสามรอบสี่รอบ

ใช่แล้วแม่มด มาติกาต้องมีเวทมนตร์เป็นแม่มดสาวแน่ๆ เพราะแค่รู้จักกันไม่ถึงเดือน แต่เธอกลับมีอิทธิพลทำให้ชีวิตเขาวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้ “พาเด็กๆ มาขับรถชมวิวเล่น”

“ขับรถชมวิว!” มาติกาเบิกตาโพลง ชมวิวรถติดใจกลางเมืองเนี่ยนะ ตรรกะการขับรถชมวิวของผู้ชายคนนี้เรียกได้ว่าป่วยเข้าขั้นโคม่า

“ใช่” กฤตพจน์พยักหน้ารับหนักแน่น ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คุณเถอะ ทำไมยังมาเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่นี่ รู้หรือเปล่าว่าการผิดเวลานัดของคุณจะทำให้ครอบครัวผมอีกหลายชีวิตหิ้วท้องรอ”

หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ พยายามคิดย้อนกลับว่าตนมีนัดรับประทานอาหารกลางวันกับบ้านโภคินอภิวัฒน์ในวันนี้หรือ แต่ไม่ว่าจะตีลังกาคิดกี่ตลบ คำตอบที่ได้ก็คือ ‘ไม่’ แน่นอน และเธอเองก็ไม่ได้เลอะเลือนถึงขนาดมีนัดซ้อน ในเมื่อเธอเองก็แจ้งบัวบูชาล่วงหน้า และบัวบูชาก็เป็นฝ่ายเห็นดีเห็นงามด้วยกับการที่เธอจะมาเจอเพื่อนสนิทของพี่ชายในวันนี้

“ฉันว่าคุณเข้าใจผิดแล้วละ ฉันไม่มีนัดกับที่บ้านคุณแน่นอน ในเมื่อพี่บัวอนุญาตให้ฉันลางานวันนี้เอง”

“ความจำสั้นจริงแม่คุณ” เสือหมายเลขสี่ส่ายหน้า ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋าแล้วกดต่อสายถึงใครบางคน

“สวัสดีค่ะพี่เล็ก” ปลายสายกดรับอย่างทันท่วงที

“น้องบัวครับ พอดีพี่มาเจอคุณครูสอนดนตรีของเด็กๆ โดยบังเอิญ ทำไมเธอถึงยืนยันว่าไม่ได้นัดทานข้าวกับพวกเราวันนี้ น้องบัวลืมแจ้งเธอหรือเปล่าครับ”

“...”

“อ๋อ ครับ ได้ๆ ไม่ต้องห่วง พี่จะพาเธอไปให้ทันเวลา อะไรนะครับ คุณพ่อคุณแม่ก็กลับมาแล้ว เรียนท่านด้วยว่าพี่จะรีบกลับ น้องบัวเตรียมอาหารต่อเถอะนะครับ” พูดเองสรุปเองเสร็จสรรพ แล้วจึงหันไปมองคนข้างกายคล้ายกำลังตำหนิทางสายตา

“เป็นไงล่ะ นัดซ้ำนัดซ้อน” นักแสดงฝ่ายชายเลิกคิ้วถาม แววตาเป็นประกาย สีหน้าบ่งบอกถึงชัยชนะในกำมือ

“ทำไมฉันจำไม่ได้เลย” มาติกาเกาท้ายทอย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม “ตามขอโทษค่ะพี่คิน”

“ไม่เป็นไรครับน้องตาม แล้วยังพอมีเวลาชิมของหวานก่อนหรือเปล่า พี่เตรียมของโปรดไว้ให้” ภาคินกล่าวพร้อมยิ้ม

หญิงสาวชำเลืองมองชายหนุ่มข้างกายเล็กน้อยก่อนตอบ “มีค่ะพี่คิน ตามอยากทาน แล้วช่วงที่พี่คินเตรียมของหวาน ตามจะจัดการอาหารบนโต๊ะนี้ให้เกลี้ยงเลยด้วย” มาติกาว่าพลางยกอาวุธในมือขึ้นมาชูพร้อมรอยยิ้มตาหยี

ภาคินหัวเราะในลำคอพลางขยับตัวลุกขึ้นยืน เอื้อมมือข้ามฝั่งมายีผมสีน้ำตาลเข้มของสาวน้อยจอมทะเล้นเล่น

“งั้นรอสักครู่นะครับ” เจ้าของร้านอาหารว่า ก่อนจะขอตัวเดินเข้าไปเตรียมเมนูโปรดของหญิงสาวด้านในครัว

กฤตพจน์ลอบสังเกตความสนิทสนมของคนทั้งสองแล้วเบ้ปาก

 

ทางฝั่งครอบครัวโภคินอภิวัฒน์ หลังจากสะใภ้ใหญ่วางสายจากเสือหมายเลขสี่ก็ได้แต่นั่งอึ้งอยู่กับที่ จนคนเป็นสามีอดแปลกใจไม่ได้

“เจ้าเล็กโทร. มาทำไมครับ” คุณใหญ่ถาม

“พี่เล็กบอกว่ากำลังพาน้องตามกลับมาทานข้าวที่บ้าน ให้บัวเตรียมอาหารไว้รอ แล้วให้เรียนคุณพ่อคุณแม่ด้วย” เสียงหวานตอบสามี แล้วคิดทบทวนก่อนเอ่ยต่อ “บัวไม่เห็นจำได้เลยว่านัดน้องตามทานข้าวกับครอบครัวเราวันนี้”

สามเสือหันมาสบตากันแล้วขำพรวด “น้องบัวทำตามที่เจ้าเล็กบอกเถอะนะครับ ส่วนคุณพ่อคุณแม่เดี๋ยวพี่จะเรียนท่านเอง” คนเป็นสามีว่า

“ค่ะ” บัวบูชารับคำทั้งที่ยังสับสนอยู่เต็มประดา

“มินไปช่วยนะคะพี่บัว” มินตราขยับตัวลุกขึ้น

“เข็มขอไปด้วยค่ะ” คุณแม่ลูกแฝดร้องตาม

บัวบูชาและมินตราเดินเข้าไปประคองสะใภ้คนที่สาม ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนออกไปเตรียมอาหารกลางวันมื้อสำคัญ

“ออกตัวแรงใช้ได้” คุณรองว่า

“มั่วๆ มึนๆ คนเดียวไม่พอ ยังพาให้วุ่นกันทั้งบ้าน” คุณหมอกลางส่ายหน้า

“แล้วแบบนี้หนุ่มที่ตามจีบครูตามฝันอยู่ก่อนไม่ชกเข้าให้หรือครับพี่ใหญ่ ที่อยู่ๆ ก็ไปฉกตัวสาวกลับมาแบบนี้” คุณรองถาม

“น้องบัวเล่าว่าหนุ่มคนนั้นโพรไฟล์ไม่ธรรมดาเลยนะ แต่ตามฝันก็ไม่เคยพัฒนาสถานะให้เป็นคนพิเศษสักที หลายปีที่ผ่านมาเธอให้ความสนิทแค่คำว่าพี่ชาย เรื่องแบบนี้ไม่มีคำว่ามาก่อนมาหลัง อะไรที่เป็นของเรายังไงก็ต้องเป็นของเรา แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้ฝืนให้รั้งเอาไว้แค่ไหนก็ไม่สามารถมาบรรจบกันได้” คุณใหญ่ตอบพร้อมรอยยิ้ม

 

“ว้าว” เสียงใสของเด็กชายและเด็กหญิงร้องประสานกัน แววตาเป็นประกายจับจ้องอยู่ที่สตรอว์เบอร์รีเครปเค้กชิ้นงาม

ภาคินระบายยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะส่งสัญญาณให้พนักงานนำเมนูโปรดของมาติกาไปวางด้านหน้าของทุกคน

“พี่คินทำเองแน่ๆ เลย ตามจำฝีมือพี่คินได้” มาติกาโน้มใบหน้าลงสูดกลิ่นหอมของเจ้าเครปเค้กชิ้นงามที่แต่งแต้มด้วยสตรอว์เบอร์รีลูกโตสีแดงสด

“พี่ดีใจนะครับที่น้องตามจำได้ ลองชิมดูสิว่ารสชาติยังเหมือนเดิมหรือเปล่า” ภาคินเอ่ยกับหญิงสาวคนพิเศษ ก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังเพ่งพลังจิตมองของหวานตรงหน้าตาไม่กะพริบ “เด็กๆ ทานเยอะๆ นะครับ ลุงทำไว้อีกเพียบเลย”

“เย้ ขอบคุณค่า” เด็กหญิงกระพุ่มมือไหว้ ก่อนจะหยิบช้อนคันเล็กขึ้นมาตักขนมตรงหน้าขึ้นมากิน

“อร่อยมากๆ เลย” เจ้าเสือน้อยยิ้มตาหยี หลังจากกลืนเครปเค้กคำแรกลงคอ

กฤตพจน์มองหลานๆ และหญิงสาวเพลิดเพลินกับขนมสีสวยบนจานอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาตักขนมเบื้องหน้าของตนขึ้นมาลองลิ้มรสบ้าง ใบหน้าหล่อแสร้งทำหน้าปูเลี่ยนแล้วทำปากขมุบขมิบเสียงแผ่วเบา

“ก็งั้นๆ”

“ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก” ประวีร์เอ่ยเสียงลอดไรฟัน

“คงได้เวลาลบเบอร์สาวสวยในบัญชีแล้วสินะ ท่าทางว่าที่นายหญิงจะทรงอิทธิพลระดับสิบบวก” ทินกรส่ายหน้าน้อยๆ สองคนสนิทที่ยืนตรึงกำลังอยู่ข้างโต๊ะถอนหายใจพร้อมกัน

 

หลังจากเคลียร์อาหารคาวหวานบนโต๊ะจนเกลี้ยง กฤตพจน์จึงส่งสัญญาณเรียกคนสนิทให้เข้ามาอุ้มหลานชายและหลานสาว ส่วนตนเองนั้นคว้าข้อมือเรียวแล้วพาเดินลิ่วออกไปด้านนอกร้านอย่างรวดเร็ว มาติกาฝืนตัวหมุนข้อมือออกจากการเกาะกุม

“ฉันเดินเองได้ค่ะ” ว่าพลางล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋า

“ไปรถผมก็แล้วกัน เด็กๆ จะได้เรียนการออกเสียงไปด้วย” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปคว้ากุญแจรถในมือมาติกามาถือไว้ ก่อนจะส่งให้หนึ่งในคนสนิท

“กร ให้คนขับรถของตามฝันไปที่บ้าน”

มาติกาได้แต่อ้าปากค้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนเธอตั้งตัวไม่ทัน มารู้ตัวอีกทีก็เข้ามานั่งในรถสปรินเตอร์สีขาวที่มีตราโภคินอภิวัฒน์ติดอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ภาคินยืนใจลอยมองตามหลังหญิงสาวในดวงใจไปตลอดทาง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงมาติดพัน แต่ก็ยังไม่มีใครทำให้เขายิ้มกว้างได้เหมือนเวลาอยู่ใกล้มาติกามาก่อน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น