7

ตอนที่ 7


7

 

ความโกลาหลภายในห้องครัวบ้านโภคินอภิวัฒน์พาให้สามเสือที่เดินเข้ามาสมทบถึงกับส่ายหน้า กฤตนัยเดินเข้าไปมองบัวบูชาที่กำลังสาละวนอยู่หน้าเตา กฤตภาสเดินเข้าไปโอบกอดมินตราที่ยืนจัดผลไม้จากทางด้านหลัง กฤตกรขยับเข้าไปยืนข้างๆ เขมิกาที่กำลังนั่งจัดขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อนใส่จาน

“เหนื่อยหรือเปล่าครับ” ถามพลางวางมือหนาบนกลุ่มผมนุ่มของภรรยา

“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ อิ่มมากกว่า จัดไปชิมไปจนจะหมดจานแล้ว” เขมิกาเงยหน้าขึ้นตอบสามี

“ขอชิมลำไยหน่อยสิครับ จากต้นในสวนของเราหรือเปล่า” คุณรองเอ่ยข้างหูคนที่กำลังคว้านเม็ดลำไยอยู่

มินตราวางมีดคว้านในมือลง ก่อนจะใช้มือหยิบลำไยสีชมพูเนื้อหนาที่เพิ่งคว้านเม็ดออกป้อนใส่ปากพ่อนกที่วางคางเกยรออยู่บนลาดไหล่ของเธอ “ต้นในสวนค่ะ ลูกดกมากเลย”

“อืม หวานด้วย แต่ยังไงก็ยังหวานสู้เมียพี่ไม่ได้” ประโยคหลังผ่อนเสียงลงเพื่อกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน

“ใกล้เสร็จหรือยังครับ” คุณใหญ่ใช้หลังมือซับเม็ดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากเนียนของแม่ครัวใหญ่ที่กำลังปรุงรสแกงมัสมั่นไก่อย่างตั้งอกตั้งใจ

“ใกล้แล้วค่ะ แปลกจังเลยนะคะ เมนูที่บัวเลือกทำวันนี้เป็นของโปรดทั้งของพี่เล็กและน้องตาม” สะใภ้ใหญ่ตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน

สามเสือหันมายักคิ้วให้กันอย่างรู้ใจ เพราะการที่คนสองคนมีรสนิยมและความชอบคล้ายกันนั้นนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะเริ่มต้นสานสัมพันธ์ให้แนบแน่น

 

ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศภายในรถสปรินเตอร์คันหรูไม่ได้ทำให้มาติการู้สึกผ่อนคลายขึ้นแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เธอได้แต่นั่งขมวดคิ้วตลอดทาง มีเพียงจังหวะที่ต้องตอบคำถามเด็กๆ เท่านั้นที่จะทำให้คิ้วที่ขมวดเป็นปมของคุณครูสาวคลายตัว

“วันนี้คุณครูน้าตามสวยจังเลยครับ” เจ้าเสือน้อยที่นั่งแหมะอยู่ตรงเบาะข้างๆ คุณครูคนสวย จ้องใบหน้าหวานตาไม่กะพริบ

หญิงสาวอมยิ้มแล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะทุยของหนูน้อยช่างจำนรรจาแล้วตอบรับเสียงหวาน

“ขอบคุณครับใบบุญ”

กฤตพจน์ที่นั่งคู่กับเด็กหญิงบุศย์น้ำเพชรเบนสายตาสำรวจใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างลืมตัว ด้วยอารมณ์ที่ผันแปรทำให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านเสียจนกระทั่งลืมสังเกตความเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว ที่ปกติจะสวมเพียงเสื้อยืดรัดรูปคู่กับกางเกงยีน แต่วันนี้เธอเปลี่ยนการแต่งกายใหม่ เป็นสวมเสื้อแขนตุ๊กตาสีชมพูพาสเทลคู่กับกระโปรงทรงสุ่มสีครีม ซึ่งชุดนี้ทำให้เธอดูอ่อนหวานขึ้นจับใจ ผมยาวที่ปกติจะรวบตึงปล่อยหางม้า วันนี้กลับปล่อยสยายแล้วดัดลอนพองาม ใบหน้าหวานที่สะอาดหมดจดปราศจากเครื่องสำอาง วันนี้กลับแต่งแต้มสีสันเอาไว้บางๆ ซึ่งเข้ากับเครื่องแต่งกายสีหวานอย่างลงตัว มาสคาราสีดำที่ปัดแต่งขนตางอนยาวยิ่งขับให้ดวงตาคู่หวานกลมโต ริมฝีปากบางที่ปกติจะมีเพียงสีของผิวเนื้ออ่อน วันนี้กลับแต่งแต้มด้วยลิปกลอสสีชมพูระเรื่อ

องค์ประกอบทุกอย่างบนเรือนร่างของหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าพาให้เสือหมายเลขสี่เผลอยิ้มกว้าง ที่ผ่านมาเขาเองมัวแต่คิดจะหาวิธีแกล้งเธอจนหลงลืมสังเกตไปว่าเครื่องหน้าจิ้มลิ้มของคุณครูสาวมีเสน่ห์เพียงใด

“วันนี้คุณครูน้าตามเหมือนเจ้าหญิงเลยน้ำบุศย์ช้อบชอบค่า” เสียงใสของหลานสาวปลุกคุณอาคนเล็กออกจากห้วงแห่งจินตนาการในโลกส่วนตัว

ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมาแล้วกระแทกลมหายใจบ่นพึมพำกับตัวเอง “แกเป็นบ้าอะไรเนี่ยเจ้าเล็ก”

“ครูก็อยากเป็นเจ้าหญิงเหมือนน้ำบุศย์บ้างไงคะ” มาติกาเอ่ยตอบเสียงอ่อนโยน

“เจ้าหญิงต้องคู่กับเจ้าชาย” เด็กหญิงตัวน้อยว่า พลางผินหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อของผู้เป็นอา “อาเล็กเป็นเจ้าชาย คุณครูน้าตามเป็นเจ้าหญิง”

หนูน้อยน้ำบุศย์เอียงคอเอ่ยกับพี่ชาย ซึ่งเจ้าเสือน้อยเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ประโยคใสซื่อของหลานสาวพาให้ใบหน้าของผู้เป็นอาร้อนเห่อซับสีแดงระเรื่อขึ้นทันตา ซึ่งไม่ต่างกันเลยกับหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังยกมือขึ้นกุมแก้มนวลทั้งสองข้างด้วยความลืมตัว

 

“เจ้าเล็กอยู่ไหนแล้วตาใหญ่” เจ้าสัวก้องภพเอ่ยถามบุตรชายคนโต

“ใกล้ถึงแล้วครับคุณพ่อ ประวีร์ส่งข้อความมาบอกพนาเมื่อห้านาทีก่อนว่ากำลังจะเลี้ยวเข้าซอย” กฤตนัยตอบบิดา

“เจ้าเล็กนี่ก็ประหลาดคน กระเตงหลานไปตามคุณครูกลับมาสอนพิเศษ” คุณน้ำเพชรส่ายหน้าน้อยๆ

“แต่ผมว่าก็ดีนะครับคุณแม่ ประหลาดอย่างเจ้าเล็กก็คงต้องประมาณนี้” คุณรองกล่าวพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่แฝงด้วยเลศนัยของบุตรชายทั้งสามพาให้ผู้เป็นบิดาและมารดาเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย

“สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่รอคอยใกล้จะเป็นจริงแล้วครับ ติดแค่คนประหลาดของพวกเรายังไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง” คุณหมอกลางที่อุ้มเด็กหญิงน้ำมนต์อยู่ในอ้อมแขนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“จริงหรือตากลาง ไม่ได้หลอกให้แม่ดีใจเล่นใช่ไหม” คุณน้ำเพชรถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างเก็บอาการไม่อยู่

“ถึงขั้นอ้างครอบครัว หลอกพาหญิงกลับมาทานข้าวที่บ้านแบบนี้ ก็ไม่น่าจะธรรมดานะครับ” คุณหมอกลางตอบ

“ที่สำคัญแค่เริ่มต้นก็ทำให้สามสะใภ้หัวหมุนกันแล้ว” คุณใหญ่หัวเราะในลำคอ เมื่อนึกถึงสีหน้ามึนงงของบัวบูชา มินตรา และเขมิกา ที่ถึงแม้นจะสับสนกับสิ่งที่น้องชายตัวดีกล่าวอ้าง แต่ทั้งสามก็ยังกระตือรือร้นรีบดำเนินการทุกอย่างด้วยความเต็มใจ

“เสียงรถมาแล้ว พวกเราไปรอที่ห้องทานข้าวดีกว่า” เจ้าสัวก้องภพยิ้มกริ่ม ก่อนที่จะลุกขึ้นจูงมือภรรยาเดินนำบุตรชายทั้งสามไปรอชมว่าที่ลูกสะใภ้คนที่สี่ สะใภ้ที่สมาชิกในครอบครัวรอคอยมาแสนนาน

 

ภายในห้องรับประทานอาหารของบ้านโภคินอภิวัฒน์ เจ้าสัวก้องภพยังคงนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะดังเดิม ถัดมาทางฝั่งขวาเป็นคุณน้ำเพชร บัวบูชา และกฤตนัย ส่วนทางฝั่งซ้ายคือกฤตภาส มินตรา เขมิกา และกฤตกร เสียงสนทนาในห้องหยุดลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงเล็กของเด็กชายบุญรักษาและเด็กหญิงบุศย์น้ำเพชรร้องเพลงดังแว่วมาตามทาง แปดชีวิตบนโต๊ะอาหารรวมถึงแม่บ้านที่ยืนรอบริการอยู่ในห้องหันไปมองประตูทางเข้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

กฤตพจน์อุ้มหนูน้อยน้ำบุศย์นำเข้ามาก่อน คล้อยหลังไปไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน หญิงสาวร่างเล็กก็จูงมือเจ้าเสือน้อยเดินตามเข้ามาติดๆ มาติกาปล่อยมือเด็กชายตัวน้อยแล้วกระพุ่มมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม บัวบูชาอมยิ้มก่อนจะค้อมศีรษะเป็นเชิงขออนุญาตประมุขของบ้านแล้วจึงลุกขึ้นไปรับน้องสาวคนสนิทด้วยตัวเอง

“ตามขอโทษค่ะพี่บัว ตามจำไม่ได้จริงๆ ว่ามีนัดทานข้าวกับทุกคนวันนี้” มาติกาอ้อมแอ้มเอ่ยเสียงเบา

“ไม่เป็นไรจ้ะ” บัวบูชาตอบพร้อมกับลูบเรียวแขนงามของคู่สนทนาไปพลางๆ ทั้งที่ใจจริงอยากจะตอบว่าเธอเองก็จำไม่ได้เช่นกัน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาน้องชายคนเล็กของสามีที่กำลังขยิบตาระรัวเพื่อส่งสัญญาณบางอย่างอยู่นั้น เธอจึงจำต้องตอบเพียงสั้นๆ เช่นนี้ไปก่อน แล้วแตะแขนหญิงสาวให้เดินตาม

“คุณปู่ คุณย่าของเด็กๆ จ้ะน้องตาม” บัวบูชาแนะนำผู้อาวุโสทั้งสอง

มาติกากระพุ่มมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับย่อตัวลง

“ไหว้พระเถิดลูก” คุณน้ำเพชรและเจ้าสัวก้องภพรับไหว้ พลางพิศใบหน้าหวานด้วยความชื่นชม สองประมุขของบ้านส่งยิ้มให้กันด้วยความโล่งอก เดิมทีเคยจินตนาการถึงว่าที่สะใภ้คนเล็กไปต่างๆ นานาว่าจะขาดๆ เกินๆ เหมือนบุตรชายคนที่สี่หรือไม่ ด้วยความที่เป็นครอบครัวใหญ่และใฝ่ฝันอยากจะเห็นลูกๆ หลานๆ อาศัยอยู่รวมกัน ตั้งแต่สี่เสือยังอยู่ในวัยเยาว์ ทั้งสองจึงปลูกฝังให้ตระหนักรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของครอบครัว ทว่าลูกสะใภ้นั้นคือสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ถึงแม้นว่าหัวอกของคนเป็นพ่อและแม่จะรักและห่วงลูกมากสักเพียงใด แต่ก็ให้อิสระในการตัดสินใจเรื่องคู่ครอง

ทั้งนี้ทั้งนั้นบุตรชายสามคนแรกมีอุดมการณ์คล้ายกันและหาสะใภ้มาให้ถูกใจนัก สามสะใภ้รักใคร่สามัคคีกันเป็นอย่างดีดังนั้นจึงตัดเรื่องจุกจิกรำคาญใจว่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันทิ้งไปได้เลย คงมีแต่เสือหมายเลขสี่เท่านั้นที่แลดูจะมีความคิดผิดแผกไปกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ดังนั้นผู้เป็นบิดามารดาจึงเป็นกังวลมากเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้ยลโฉมหญิงสาวที่จอมวายร้ายลงทุนกระเตงหลานไปตามพากลับมารับประทานอาหารที่บ้านแล้ว ความเป็นกังวลต่างๆ ที่มีก็มลายเป็นปลิดทิ้ง

“หนูบัวพาน้องไปนั่งเถอะลูก” เจ้าสัวก้องภพเอ่ยกับสะใภ้ใหญ่

“ค่ะคุณพ่อ” บัวบูชารับคำ แต่ก่อนที่เธอจะทันพาน้องสาวคนสนิทไปนั่งนั้น ผู้มาใหม่อีกคนที่พาหลานสาวและหลานชายไปนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับเข้ามาแทรกเสียก่อน

“ไปนั่งฝั่งโน้น ฝั่งนี้นั่งกันจนจะล้นโต๊ะแล้ว” กฤตพจน์ว่า พลางดึงแขนหญิงสาวให้เดินตาม

มาติกาทั้งยื้อทั้งฝืน แต่กระนั้นแรงนกหงส์หยกตัวน้อยมีหรือจะสู้แรงเสือเจ้าป่าได้ การลากจูงยื้อยุดของทั้งสองเรียกทุกสายตาให้มองตาม

“เอาเข้าไป” คุณหมอกลางส่ายหน้า เมื่อหันกลับไปมองน้องชายฝาแฝดที่ตอนนี้กำลังกดไหล่หญิงสาวให้นั่งลงข้างๆ

“แววตักข้าวได้แล้ว” คุณน้ำเพชรเรียกแม่บ้าน โดยสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งตอนนี้กำลังทำสงครามฟาดฟันกับหญิงสาวข้างกายผ่านทางสายตา

“แกงมัสมั่นที่ไหนก็อร่อยสู้ฝีมือสะใภ้บ้านนี้ไม่ได้” เจ้าสัวก้องภพว่า พลางเอื้อมมือออกไปตักแกงมัสมั่นไก่มาวางบนจานข้าวของคุณน้ำเพชร

“แน่นอนสิครับคุณพ่อ อร่อยกลมกล่อมกว่ามัสมั่นบ้านนี้ก็คงมีแต่คนทำนี่แหละครับ” คุณใหญ่ว่าพร้อมกับลูบแก้มนวลของภรรยาไปพลาง

บัวบูชาใช้ศอกกระทุ้งสีข้างสามีแก้เขิน ก่อนจะเสไปตักยำถั่วพูขึ้นมารับประทาน

“ผมก็เห็นด้วยกับพี่ใหญ่ครับ หวานอร่อยไม่มีเบื่อเลย” คุณรองกล่าวพร้อมกับลูบผมดำขลับของภรรยาไปด้วย

“พี่รอง” มินตราย่นจมูกแล้วก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาพราวระยับของทุกคนบนโต๊ะ

“ที่สำคัญกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มด้วย” คุณหมอกลางเอ่ยต่อพลางโน้มศีรษะของเขมิกาให้ซบลงแนบไหล่ แล้วกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มอย่างแผ่วเบา

“ทำเป็นกับเขาหรือเปล่าล่ะมัสมั่นน่ะ” เสียงสนทนาของคนท้ายโต๊ะดังขึ้นเรียกความสนใจของสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้อีกครั้ง

และภาพที่กฤตพจน์กำลังเอียงหน้าถามหญิงสาวข้างกายนั้นก็ทำให้สามเสือต้องกลั้นเสียงหัวเราะ เพราะโดยปกติแล้วเมื่อใดก็ตามที่พี่ๆ ออดอ้อนภรรยา เสือร้ายหมายเลขสี่ก็มักจะเข้ามามั่วนิ่มเสมอ แต่คราวนี้ผิดแผกไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเสือตัวสุดท้ายกำลังให้ความสนใจแก่หญิงสาวอีกคนอย่างเป็นธรรมชาติ

“คะ?” มาติกาเลิกคิ้วมองคู่สนทนาคล้ายกับไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ถูกต้องหรือไม่

“ผมถามว่าทำแกงมัสมั่นเป็นเหมือนคนอื่นเขาหรือเปล่า”

“กะ...ก็ต้องเป็นสิคะ เมนูนี้เป็นเมนูโปรดของฉัน ฉันเลยให้พี่บัวสอนทำก่อนไปเรียนต่อ เพราะถ้าต้องไปซื้อกินที่นั่นทุกมื้อ มีหวังได้ล้มละลายกันพอดี”

“ก็ดี แต่จะอร่อยกลมกล่อมเหมือนต้นตำรับหรือเปล่าเถอะ ดูทรงแล้วก็น่า...” คุณเล็กเอ่ยต่ออย่างทันท่วงที แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความอร่อยกลมกล่อมที่พี่ชายสามคนเปรียบเปรยนั้นไม่ใช่แค่เพียงรสชาติอาหาร สายตาเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ที่จะหลุบมองส่วนโค้งส่วนนูนงดงามที่เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

“น่า...จะพอตัว” ท้ายประโยคเสือร้ายพึมพำเสียงแผ่วแล้วลอบกลืนน้ำลายลงคอ

คุณน้ำเพชรส่ายหน้ากับความเป็นตัวตนของบุตรชายคนเล็ก ก่อนที่จะเบนความสนใจของทุกคนโดยการชวนหญิงสาวคนใหม่สนทนา “หนูตามฝันเพิ่งกลับมาจากอังกฤษหรือลูก”

“ค่ะคุณท่าน เพิ่งกลับมาได้เดือนกว่าๆ ค่ะ” มาติกาเงยหน้าขึ้นตอบอย่างนอบน้อม

“เรียกคุณแม่ คุณพ่อเหมือนหนูบัวเถอะนะลูก เราคนกันเองทั้งนั้น” ถ้าไม่ออกตัวแรงเบอร์นี้ก็คงไม่ใช่มารดาตัวจริงของสี่เสือ คุณน้ำเพชรยังแรงดีตั้งแต่สะใภ้คนแรกจนกระทั่งวันนี้ วันที่ได้เวลาต้อนรับว่าที่สะใภ้คนเล็ก

“เอ่อ...” มาติกายิ้มแหยแล้วหันไปสบตาบัวบูชา

“เรียกคุณพ่อคุณแม่เถอะจ้ะน้องตาม” บัวบูชาอมยิ้ม

“ค่ะ คุณพ่อคุณแม่”

คุณพ่อ คุณแม่ คำสั้นๆ เพียงสองคำ ทว่าเมื่อได้ยินจากปากของผู้หญิงคนนี้กลับฟังดูไพเราะกว่าครั้งใด กฤตพจน์อมยิ้มอย่างเผลอไผลก่อนที่จะส่ายหน้าระรัวเพื่อขับไล่ความรู้สึกอุ่นซ่านที่กำลังเอ่ออยู่ตรงหน้าอกข้างซ้าย

“เห็นหนูบัวเล่าว่าไปเรียนต่างประเทศคนเดียวเลย เก่งจริงๆ” เจ้าสัวก้องภพกล่าวพร้อมยิ้ม

มาติกาวางช้อนและส้อมในมือลงแล้วประนมมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ ตอนไปอยู่แรกๆ ก็เหงาจนแทบจะหนีกลับ แต่พอนึกถึงสิ่งที่เคยฝันเอาไว้เลยมีแรงสู้”

“อืม ดี ว่าแต่ปีนี้หนูอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” เจ้าสัวก้องภพถามต่อ และนี่คงเป็นการออกตัวแรงครั้งแรกของประมุขใหญ่ ด้วยทุกครั้งจะทำแค่เพียงนั่งมองอยู่ห่างๆ เท่านั้น แต่สำหรับกรณีนี้ทุกอย่างแลดูน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด

“ปีนี้ตามย่างยี่สิบสามแล้วค่ะ”

“กำลังดีเลยนะคะ” คุณน้ำเพชรหันไปเอ่ยกับสามี

ซึ่งนั่นก็ทำให้คนอายุย่างยี่สิบสามปีทำหน้าเหลอหลา อะไรคือกำลังดี การเป็นครูสอนดนตรีทายาทของบ้านนี้เช่นนั้นหรือ

“เอ้านี่ไก่ชิ้นโต ทานเยอะๆ” นอกจากจะไม่เข้าใจกับคำว่ากำลังดีแล้ว การเอาใจใส่ของคนอารมณ์แปรปรวนข้างๆ นี่ก็ด้วยเช่นกัน จู่ๆ ก็ใจดีตักแกงมัสมั่นมาวางเพิ่มบนจานของเธอเสียอย่างนั้น

มาติกาเงยหน้าขึ้นมองคนคุ้มดีคุ้มร้ายด้วยสายตาหวาดระแวง

“ไหนบอกว่าเป็นเมนูโปรดไง ก็ทานเยอะๆ สิ” ชายหนุ่มยักไหล่

“ความจริงเมนูขึ้นโต๊ะวันนี้เป็นเมนูโปรดของน้องตามทั้งนั้นเลยค่ะพี่เล็ก ตอนทำบัวก็ประหลาดใจเหมือนกัน เพราะเป็นเมนูเดียวกับที่พี่เล็กชอบ” บัวบูชากล่าว และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกข้างซ้ายของเสือร้ายหมายเลขสี่สั่นสะท้าน

 

หลังจากจบมื้ออาหารกลางวัน มาติกาจึงขอตัวพาสองหนูน้อยไปผ่อนคลายที่ห้องดนตรี โดยมีคุณอาคนเล็กของเด็กๆ ตามเข้าไปสังเกตการณ์การเรียนการสอนอย่างเช่นเคย มาติกาใช้เวลาอยู่ในห้องดนตรีจนกระทั่งบ่ายคล้อยจึงขอตัวกลับ เมื่อเหตุการณ์ภายในบ้านกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว คุณใหญ่จึงเรียกรวมพลต่อที่ห้องลับ

“พี่ใหญ่มีเรื่องอะไรด่วนครับ พอดีผมมีงานต้องตรวจต่อ” คุณเล็กถาม

“เดี๋ยวนี้วันหยุดแกขนงานกลับมาทำด้วยหรือเจ้าเล็ก” คุณรองแสร้งถาม

“ครับ งานเยอะทำไม่ทัน”

“คนทำงานไวอย่างแกเนี่ยนะทำงานไม่ทัน มัวแต่ไปเถลไถลที่ไหนอยู่ล่ะ” พี่ชายฝาแฝดว่า

“ก็...” คนที่ปกติทำงานไวยกมือขึ้นเกาท้ายทอย “ช่วงนี้ใกล้เปิดตัวคอลเล็กชันใหม่งานเลยเยอะครับ”

“ไม่ใช่เพราะว่ายกเลิกนัดบ่ายวันพุธแล้วตามตามฝันไปสอนดนตรีหรอกหรือ” หมัดซ้ายได้แต้มพี่ใหญ่ของบ้านเอ่ยเสียงนิ่ม แต่นั่นกลับทำให้คนมีชนักติดหลังขนลุกซู่

“เอ่อ...” น้องเล็กของบ้านจนด้วยคำพูด ลืมไปสนิทว่าบรรดาพี่ชายหูตาเป็นสับปะรดเพียงใด “ก็แค่อยากรู้ว่าเก่งจริงหรือเปล่า มาเป็นครูสอนพิเศษหลานผมทั้งที จะให้มาทำเล่นๆ ไม่ได้เด็ดขาด”

“ดนตรีมีไว้เพื่อผ่อนคลาย นี่แกกะให้ใบบุญกับน้ำบุศย์เรียนจนเป็นนักดนตรีอาชีพเลยหรือไง” คุณหมอกลางรุกหนัก

“แกกำลังทำอะไรอยู่เจ้าเล็ก มีอะไรทำไมไม่บอกพวกพี่” คุณรองใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะขณะถาม

“ทำอะไรครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” คนไม่ได้ทำอะไรปฏิเสธเสียงสูง

“คิดอะไรกับตามฝันหรือเปล่า คนนี้แกจะมาเล่นๆ ไม่ได้นะ น้องบัวกับตามฝันรักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง จะทำอะไรก็ให้คิดถึงเมียฉันด้วย” หมัดขวาเกือบชนะน็อก ถ้าหากคนปากแข็งไม่ขัดขึ้นเสียก่อน

“โห พี่ใหญ่ครับ ผมจะไปคิดอะไรกับเด็กนั่นได้ ก็แค่...หน้าตาจิ้มลิ้ม สัดส่วนซ่อนรูปเหมือนน้องเข็ม ทำงานเก่งเหมือนน้องบัว แววตาใสซื่อเหมือนน้องมิน ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด” เสือหมายเลขสี่ว่าพลางยกมือข้างซ้ายขึ้นดูนาฬิกา “ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวคืนนี้งานไม่เสร็จ” พูดจบก็รีบผลุนผลันหนีเอาตัวรอดไปทันทีโดยไม่รอให้พี่ชายอนุญาต

“นี่คือไม่สนใจสินะ สังเกตรายละเอียดยิบขนาดนี้” คุณรองส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“ปากแข็งเสียด้วย ไม่ธรรมดา” คุณใหญ่ว่า

“แน่นอนสิครับ ออกตัวแรงมาตลอดว่าชีวิตนี้จะไม่ยอมจีบใคร” คุณหมอกลางกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ

 

“เกือบไม่รอด” กฤตพจน์ถอนหายใจดังเฮือกหลังจากก้าวพ้นขอบประตูห้องลับออกมา แล้วเดินบ่นกับตัวเองไปตลอดทาง “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่กลาง คิดอะไรอยู่ คนอย่างเสือเล็กนี่นะจะชอบเด็กคนนั้น หึ ไม่มีทาง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น