8

ตอนที่ 8


8

 

เช้าวันจันทร์กฤตพจน์ยืนคุยงานกับคนสนิทอยู่บริเวณล็อบบีโดยมีสายตาของพนักงานหลายชีวิตจับจ้องด้วยความสนใจใคร่รู้ เพราะเวลานี้บอสของพวกตนควรจะอยู่ในห้องประชุมมากกว่า และแล้วสายตากระหายรู้ก็ต้องเบิกกว้างยิ่งขึ้น เมื่อรถยุโรปคันหรูที่มีตราโภคินอภิวัฒน์แล่นเข้ามาจอดเทียบประตูทางเข้า กฤตพจน์ก็เดินดุ่มเข้าไปหา สายตาเหยี่ยวหรี่ลงจับจ้องร่างแน่งน้อยที่กำลังก้าวขาลงจากรถแล้วยิ้มกริ่ม พลางกางแขนออกทั้งสองข้างเพื่อรอรับร่างบางที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาสู่อ้อมกอด

“ว่าไงตัวแสบ ไม่เจอกันตั้งนานยังตัวเท่าเดิม” ญาติผู้พี่ทักทายด้วยความเคยชินพร้อมลูบหลังรับขวัญคนไกลบ้านไปด้วย

“สูงขึ้นตั้งสองเซนนะคะ” เสียงใสแก้ต่างให้ตัวเองก่อนจะดันตัวออกจากอกแกร่ง “แต่ว่า...พี่เล็กรอยตีนกาเยอะขึ้นมากเลยนะ ยิ่งยิ้มตาหยีแบบนี้กองรวมกันเป็นชั้นๆ เลย” ใบหน้านวลที่แฝงความเจ้าเล่ห์เงยขึ้นมองใบหน้าตี๋อินเตอร์แล้วถอนหายใจ น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเป็นกังวลอย่างชัดเจน

“กรุณาให้เกียรติคนหล่อโดยการใช้คำว่าร่องรอยแห่งประสบการณ์แทน” ชายหนุ่มผู้ครอบครองร่องรอยแห่งประสบการณ์แยกเขี้ยว ก่อนจะโอบไหล่เจ้าตัวแสบของสี่เสือแล้วพาเดินไปขึ้นลิฟต์

เพชรลดาคือญาติผู้น้องที่สี่เสือขนานนามว่าตัวแสบ เพราะนอกจากเธอจะอายุห่างจากสี่หนุ่มร่วมสิบปีแล้ว เมื่อครั้งยังเยาว์เพชรลดานั้นเรียกได้ว่าเป็นเด็กสร้างของเสือหมายเลขสี่อีกด้วย

“คิดยังไงถึงอยากมาฝึกงานกับพี่” คนถามถามทีเล่นทีจริง

“ก็...พี่ใหญ่ พี่รอง พี่กลางมีครอบครัวแล้ว คงไม่มีเวลาพาลดาไปเที่ยว ฝึกกับพี่เล็กนี่แหละดีที่สุดแล้ว สายปาร์ตี” คนถูกถามตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“โห จะหาเหตุผลให้พี่ดูหล่อหน่อยก็ไม่ได้” กฤตพจน์โยกศีรษะเล็กเล่นด้วยความมันเขี้ยว

“โอ๊ย! แน่ใจนะคะว่านี่มือ” สายปาร์ตีหมายเลขสองดึงมือหนาออกแล้วอ้าปากไล่งับคล้ายเมื่อครั้งยังเยาว์วัย โดยหารู้ไม่ว่าความสนิทสนมของทั้งสองกำลังทำให้ใครบางคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมอันมีกระจกรอบด้านแทบจะวิ่งทะลุเจ้าสี่เหลี่ยมสีใสนั้นออกมา

นลิยาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติทั้งที่กำลังสั่นไปทั้งตัว ทว่าเมื่อชายหนุ่มหญิงสาวเดินเกาะเกี่ยวแขนกันเข้ามาในห้องประชุม หญิงสาวก็ผุดลุกขึ้นยืนต้อนรับด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

“สวัสดีค่ะคุณเล็ก” นลิยาทักทายเสียงหวาน โดยเลี่ยงที่จะมองใบหน้าของหญิงสาวอีกคนที่แทบจะสิงเข้าไปในร่างกำยำนั้น หากจะเรียกง่ายๆ ก็คือเธอกำลังเพ่งพิจารณาหญิงสาวร่างเล็กที่เดินคู่เข้ามากับชายที่เธอหมายปองให้เป็นแค่เพียงอากาศธาตุ

“สวัสดีครับลิยา ขอโทษด้วยที่ให้รอนาน พอดีต้องออกไปรอรับคนพิเศษ” กฤตพจน์จงใจใช้คำพูดกำกวมให้คนฟังตีความไปได้หลากหลายแง่ เพราะแค่เห็นแววตาแข็งกร้าวของเธอ เขาก็พอจะจับทางได้แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อโอกาสเป็นใจเช่นนี้ ขอใช้น้องสาวตัวเปี๊ยกเป็นเกราะกำบังหน่อยจะเป็นไรไป

สองสามเดือนที่ผ่านมาเขายอมรับอย่างไม่อายว่าหมดความกระปรี้กระเปร่ากับเพศตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง ภาวะวิกฤติของผู้ชายสายบันเทิงหนักหนาจนถึงขั้นเข้ารับการตรวจกับจิตแพทย์ ถึงแม้นว่าผลการตรวจจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าเสือเล็กไม้เลื้อยก็ไม่สามารถเลื้อยไปไหนได้อีก ทั้งยังกลายเป็นคนติดบ้านขยันเรียนพิเศษกับหลานๆ อีกด้วย

“คนพิเศษ?” ใบหน้าสวยโฉบเฉี่ยวเลิกคิ้วถามย้ำ น้ำเสียงที่ใช้ห้วนผิดปกติ

กฤตพจน์กระตุกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าเจ้าตัวเปี๊ยกในอ้อมแขนที่ตอนนี้กำลังกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าหล่อก็ยักคิ้วระรัวส่งสัญญาณให้คนพิเศษตามน้ำไปก่อน

เพชรลดายักคิ้วตอบแล้วซบใบหน้าน่ารักลงบนอกกว้างของญาติผู้พี่อย่างถือสิทธิ์

นลิยาจวนเจียนจะครองสติไม่อยู่ ร่างกายสั่นไหวโอนเอน มือบางทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ที่ข้างลำตัว แล้วเชิดใบหน้าขึ้นรอฟังคำตอบ

“ครับ เพชรลดาผู้ช่วยคนพิเศษของผม เพิ่งมาเริ่มงานวันนี้วันแรก เอาละเริ่มประชุมกันเลยดีกว่า” กฤตพจน์ว่า พลางแตะไหล่บางของเพชรลดาให้เดินตาม ประวีร์สบตาผู้เป็นนายแล้วจึงเดินไปขยับเก้าอี้มาเพิ่มที่หัวโต๊ะอีกหนึ่งตัว เพื่อให้ผู้ช่วยคนสำคัญในวันนี้ได้นั่งหัวโต๊ะประกาศศักดาคู่กัน

นลิยาถลึงตามองหญิงสาวหัวโต๊ะตลอดการประชุมตัวแทนจำหน่ายเครื่องเพชรรายใหญ่ประจำไตรมาสที่กินเวลาตลอดช่วงเช้า ส่วนคนหัวโต๊ะก็ช่างเป็นงานและเรียนรู้รวดเร็ว เพชรลดาคอยชม้อยชม้ายส่งสายตาให้พี่ชายแล้วเบนหางตามองสาวสวยกลางโต๊ะทุกครั้งที่สบโอกาส การห้ำหั่นกันผ่านทางสายตาของหญิงสาวพลอยทำให้สองคนสนิทที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างโต๊ะประชุมลอบหัวเราะ

“คุณลดานี่สมเป็นศิษย์ผู้น้องของนายจริงๆ” ประวีร์สะกิดทินกร

“ช่างแกล้ง ช่างคิด ไม่ผิดกัน ความบันเทิงของเราสองคนคงต้องยกกำลังสอง” ทินกรส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอ่อนแรง

 

คอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยอาคารสำนักงานต่างๆ เป็นที่จับตาและหมายปองของทุกคนที่พบเห็น ทว่าห้องพักมูลค่าสูงลิบที่ทางโครงการตั้งไว้นั้น กลุ่มลูกค้าของที่นี่จึงค่อนข้างพิเศษ

“ตามยังไม่อยากคุยเรื่องนี้ค่ะพี่ภูมิ” เสียงหวานตอบห้วนลงทันทีที่คู่สนทนาเสเข้าเรื่องที่เธอเลี่ยงจะตอบอีกรอบ

“ตามคนเดิมที่เชื่อฟังพี่ทุกเรื่องหายไปไหน” ร่างสูงในชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน

“หึ” ใบหน้าจิ้มลิ้มเบ้ปาก แค่นเสียงหัวเราะในลำคอ “เธอตายไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้วค่ะ”

“ตาม” เสียงเข้มปรามพร้อมถอนลมหายใจ

“ตามขอโทษค่ะพี่ภูมิ แต่ตามไม่สามารถทำตามที่พี่ภูมิขอได้จริงๆ”

“เอาละ ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรพี่รอได้ รอมาสี่ห้าปีพี่ยังรอไหวเลย รออีกนิดจะเป็นไรไป ว่าแต่จะไม่ชวนพี่ไปนั่งเล่นที่ห้องหน่อยหรือไง หืม นั่งในสวนตอนบ่ายในชุดเครื่องแบบเต็มยศแบบนี้เปียกไปทั้งตัวแล้วเนี่ย”

รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มอีกครั้ง “ก็ใครให้พี่ภูมิแต่งมาเต็มยศแบบนี้ล่ะคะ”

“เสร็จภารกิจที่ใต้ก็รีบเข้ามารายงานตัวที่หน่วย เสร็จจากงานที่หน่วยก็รีบมาหาเรานี่แหละ” นายทหารหนุ่มตอบ

“งั้นก็ไปค่ะ ไปข้างบนกันดีกว่า ตามก็ร้อนจะแย่แล้ว” ว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนคนร่างโตให้เดินตาม ชนม์ภูมิโอบไหล่บางของมาติกาเอาไว้หลวมๆ ขณะเดินเข้าไปในล็อบบีของคอนโด

 

“ไม่คิดมาก่อนว่าเสือเล็กจะมีวันนี้” เสียงใสหัวเราะลั่นจนตัวงอ เมื่อได้รับฟังเรื่องราวของญาติผู้พี่ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือในการปลีกตัวออกห่างจากบรรดาสาวๆ สาวกสายปาร์ตีทั้งหลาย

“ไม่ต้องขำเลยตัวแสบ ไหนๆ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ช่วยพี่ให้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน” กฤตพจน์ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก

“เป็นวาสนาของลดาแท้ๆ ที่ได้มีโอกาสร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ร่วมกับสายบันเทิง” เพชรลดายักคิ้ว ก่อนที่จะดึงมือพี่ชายให้เดินลงจากรถ

“คุณแม่ให้ลดาพักที่นี่หรือ” กฤตพจน์เบิกตาโตเมื่อก้าวลงจากรถแล้วพบกับภาพคอนโดมิเนียมที่คุ้นเคย

“ใช่ค่ะ คุณป้าบอกว่าซื้อไว้ให้ลดาโดยเฉพาะ หลานรักก็งี้ ระวังตัวไว้เถอะ ลดากลับมาแล้วสี่เสือถึงเวลาตกกระป๋อง” เสียงเจื้อยแจ้วของญาติผู้น้องถูกละเลยไปทันที เมื่อตาเหยี่ยวปะทะกับร่างบางคุ้นตาถูกชายในเครื่องแบบโอบประคองเดินเข้าไปด้านในตัวคอนโด

กฤตพจน์หัวใจเต้นแรงพลางคว้ามือของเพชรลดาแล้วก้าวขายาวๆ เดินดุ่มตามเข้าไปด้านในอย่างทันท่วงที

“รอด้วยครับ รอด้วย” เสียงเข้มร้องเรียกมาตามทาง แต่กระนั้นก็ยังไม่ทันการเมื่อประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดตัวลงอย่างช้าๆ แต่ถึงจะช้าเพียงใดก็ยังไวกว่าคนที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

“โธ่เอ๊ย! ไม่ทันจนได้” กฤตพจน์กระแทกลมหายใจ

“พี่เล็กขา ไม่เห็นต้องรีบขนาดนี้เลย ลดาเหนื่อย” ร่างเล็กบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วเดินเลี่ยงไปยืนหอบอยู่ข้างลิฟต์

กฤตพจน์เหลือบตามองใบหน้าน้องสาวเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะเบนสายตากลับไปมองประตูลิฟต์อีกรอบพร้อมกับบ่นพึมพำกับตัวเอง “เด็กบ้า พาผู้ชายขึ้นห้องกลางวันแสกๆ”

 

“บ้าชัดๆ ทำตัวแบบนี้จะปล่อยให้มาสอนดนตรีใบบุญกับน้ำบุศย์ต่อได้ยังไงกัน”

“เฮ้ย! ไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง”

“น่าจับมาตีสักทีสองที”

ประวีร์กับทินกรหันมายิ้มแห้งให้กันแล้วถอนหายใจยาว เพราะหลังจากผู้เป็นนายแยกตัวมาจากญาติผู้น้องก็เอาแต่บ่นพึมพำเช่นนี้ตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกจากคอนโดมิเนียมต้นเหตุ จวบจนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าประตูบ้านโภคินอภิวัฒน์แล้ว ผู้เป็นนายก็ยังคงคุยกับแม่ซื้อไม่จบสักที

“นายครับ” ประวีร์เรียก

“...”

ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก สองคนสนิทสบตากันชั่งใจเพียงชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าให้กันอีกรอบ

“นายครับ” ทินกรส่งเสียงเรียกที่ดังขึ้นกว่าเดิม

“เฮ้ย!” และนั่นก็ได้ผลเมื่อคนที่กำลังตาลอยคล้ายละเมอสะดุ้งจนตัวโยน “ว่าไง เรียกซะดังเลย ตกใจหมด”

“ถึงบ้านแล้วครับนาย” ทินกรตอบ

“บ้านใคร” ผู้เป็นนายถาม และนั่นก็ทำให้สองคนสนิทถึงขั้นยกมือขึ้นกุมขมับพร้อมกัน

“บ้านโภคินอภิวัฒน์ครับนาย” ประวีร์ตอบแล้วก้มหน้าลงเพื่อลอบขำแบบไร้เสียง

“ฮะ! ถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเพิ่งบอก” บ่นพลางก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

“หนักไม่เบา” ประวีร์มองตามหลังผู้เป็นนายแล้วส่ายหน้าช้าๆ

“เราสองคนจะทำยังไงกันต่อดี” ทินกรขอความเห็น

“ทำใจ” ประวีร์ตอบพร้อมถอนหายใจยาว

 

“ประชุมผู้ถือหุ้นเดือนหน้าเราสัญจรไปต่างจังหวัดดีไหม” คุณใหญ่เปิดบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารเย็น

“ดีสิครับ จะได้ถือโอกาสไปพักผ่อนด้วย” คุณรองตอบ

“ผมก็เห็นด้วยครับ” คุณหมอกลางพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันไปมองน้องชายฝาแฝดที่ยกช้อนอาหารคาอยู่กลางอากาศมาร่วมนาที จากนั้นจึงเบนสายตามองสมาชิกครอบครัวบนโต๊ะอาหาร

“เจ้าเล็ก” เสียงเจ้าสัวก้องภพดังขึ้นจากทางหัวโต๊ะ

เพล้ง!

เสียงช้อนในมือเสือหมายเลขสี่หลุดกระแทกจานข้าว ก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียก “คะ...ครับคุณพ่อ”

“ว่าไงเรื่องประชุม” ผู้เป็นบิดาถาม

“ประชุมอะไรครับ” คนใจลอยถามกลับด้วยน้ำเสียงงุนงง

คุณใหญ่ คุณรอง และคุณหมอกลางหรี่ตามองน้องชายคนเล็ก แล้วทำปากขมุบขมิบไร้เสียงใส่กัน จับใจความได้ว่า ‘มีพิรุธ’

“ประชุมผู้ถือหุ้นเดือนหน้าพี่ใหญ่เสนอให้สัญจรไปต่างจังหวัด แกสะดวกหรือเปล่า” คุณรองทวนสิ่งที่สนทนากันให้น้องชายฟังอีกรอบ

“ได้ครับ ไปพักผ่อนสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น” คุณเล็กตอบเสียงเนือย ซึ่งนับว่าผิดวิสัยคนเล่นใหญ่เป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติแล้วเรื่องทำงานนอกสถานที่เช่นนี้คือสิ่งที่เสือหมายเลขสี่โปรดปรานยิ่งนัก

“อืม งั้นก็ตามนี้ น้องบัวชวนตามฝัน”

เพล้ง!

ทันทีที่มีคนเอ่ยคำว่า ‘ตามฝัน’ เสียงช้อนในมือคนท้ายโต๊ะก็หล่นกระแทกจานอีกรอบ แต่คนพูดก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจเสียงแปลกปลอมนั้นแล้วเอ่ยต่อ

“ไปด้วยสิครับ เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแบบนี้น่าจะอยากไปพักผ่อนต่างจังหวัดบ้าง” คุณใหญ่เอ่ยกับบัวบูชาแล้วหันไปยักคิ้วให้น้องชายคนรองและคนกลาง

“ดีจังเลยค่ะ น้องตามก็เปรยๆ ว่าอยากไปเที่ยวต่างจังหวัด ขอบคุณนะคะพี่ใหญ่” บัวบูชาอมยิ้ม

 

“น้องบัวครับน้องบัว” เสียงเรียกที่เจือความร้อนรนพาให้คนถูกเรียกชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้ทันที

“ค่ะพี่เล็ก” บัวบูชาตอบ

“พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย” ว่าพลางคว้ามือพี่สะใภ้ให้เดินตามเข้าไปในห้องนั่งเล่น หันซ้ายแลขวาว่าทางสะดวกหรือไม่ และเมื่อมั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดคนจึงมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง

“พี่เล็กมีอะไรจะคุยกับบัวหรือคะ”

“คือ...” นัยน์ตาทะเล้นฉายแววเป็นกังวลจนคนเป็นพี่สะใภ้เริ่มร้อนใจ

“เอ่อ พี่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี” คนถามอึกอักคล้ายกับกำลังใช้ความพยายามอย่างหนักในการเรียบเรียงประโยค

“ไม่ต้องอ้อมค้อมถามตรงๆ ได้เลยค่ะ บัวยินดีตอบพี่เล็กทุกเรื่อง ถ้าหากเรื่องนั้นบัวมีข้อมูลอยู่”

“เสน่ห์ยาแฝดมีจริงหรือเปล่าครับ” อยู่ๆ คนที่กำมือตัวเองแน่นก็โพล่งถามขึ้นมา

“คะ?” บัวบูชาเบิกตาโพลง จับจ้องใบหน้าน้องชายคนเล็กของสามีตาไม่กะพริบ

“พี่อยากรู้ว่าพวกมนตร์ดำ เสน่ห์ยาแฝด ทำให้คนหลวมตัวเผลอใจมีจริงหรือเปล่า”

“เอ่อ กะ...ก็น่าจะมีนะคะ” คนถูกถามยิ้มเจื่อน ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ดีว่าสิ่งที่คู่สนทนาต้องการสื่อคืออะไร “ไสยศาสตร์อาจจะมีอยู่จริง แต่ไม่มีสิ่งใดมีอำนาจเหนือพระรัตนตรัย ทำไมพี่เล็กถึงถามแบบนี้คะ”

กฤตพจน์กระแทกลมหายใจรุนแรงก่อนตอบ “พี่กำลังสงสัยว่าพี่โดนทำเสน่ห์”

“...”

บัวบูชาได้แต่กะพริบตาปริบๆ แล้วนั่งนิ่งเพื่อรวบรวมสติ

“โดนทำเสน่ห์” เสียงหวานทวนคำอีกรอบ

“ครับ อยู่ๆ พี่ก็เบื่อผู้หญิงทุกคนบนโลก ยกเว้นเธอคนเดียว คนเดียวที่ทำให้พี่หัวหมุนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติมาก” ชายหนุ่มเล่าพลางเอนหลังลงพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง แต่ไหนแต่ไรใครก็รู้ว่าเขาหวาดกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นมากเพียงใด แล้วใครจะคิดว่าอยู่ๆ จะโดนคุณไสยมนตร์ดำเล่นงานเช่นนี้

“เอ่อ...” บัวบูชายิ้มแหย พลางเอื้อมมือไปแตะลำแขนแกร่งเอาไว้ก่อนเอ่ยต่อ “แต่พี่เล็กไม่ได้มีอะไรบ่งบอกว่าผิดปกติเลยนะคะ อย่าคิดมากเลยค่ะ ศาสตร์ร้ายไม่ทำลายคนดี และไม่มีอวิชชาใดทำร้ายผู้มีศีลได้”

“แล้วคนดีบ้างไม่ดีบ้าง ถือศีลครบบ้างไม่ครบบ้างล่ะครับ” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเสียคนเป็นคู่สนทนาแทบหลุดขำ

“ถ้าพี่เล็กไม่สบายใจ ไปกราบพระกับบัวไหมคะ”

“ก็ดีเหมือนกันครับ แต่ถ้าหากพี่มีอาการอะไรแปลกๆ น้องบัวต้องรีบเอาน้ำมนต์มาพรมพี่เลยนะ พี่กลัว” เสียงร้องสั่งและพร่ำบ่นโอดครวญดังแว่วไปตามทางขณะเดินตามพี่สะใภ้ขึ้นไปพึ่งบารมีแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ

คล้อยหลังสะใภ้ใหญ่และเสือหมายเลขสี่ สามเสือที่แฝงอยู่ตรงมุมประตูห้องนั่งเล่นก็ค่อยๆ เคลื่อนกายออกมาจากที่กำบัง

“มีใครให้มากกว่าเจ้าเล็กอีกไหมครับ แอบชอบสาว แต่กลับหาว่าโดนเสน่ห์” คุณรองว่าหลังจากหัวเราะกันจนหนำใจแล้ว

“คงหายากครับพี่รอง แปลกๆ แบบนี้สามพันปีจะมีหลงมาอยู่บนโลกมนุษย์สักคน” คุณหมอกลางตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“พี่ควรจะดีใจหรือเสียใจแทนตามฝันดีที่มีคนแบบเจ้าเล็กมาชอบ” พี่ใหญ่ของบ้านกล่าว ก่อนที่จะพยักพเยิดให้น้องชายคนรองและคนกลางเดินตามไปซุ่มดูต่อบนห้องพระ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น