9

ตอนที่ 9


9

 

“วันนี้ทุกคนเก่งมาก ร้องประสานเสียงได้ดีขึ้น สัปดาห์หน้าครูจะมาสอนเพลงใหม่นะคะ” เสียงคุณครูสาวเอ่ยกับนักเรียนที่หน้าห้อง โดยมีหนุ่มมาดเท่หลังห้องหรี่ตามองจับผิดพฤติกรรมของเธอทุกกระเบียดนิ้ว

นับตั้งแต่ตั้งสมมุติฐานกับตัวเองว่ากำลังโดนเสน่ห์ยาแฝดเล่นงานจนต้องโร่ไปขอความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้คนโต และได้ของดีมาคุ้มกันตัว ชายหนุ่มก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องรู้ให้ได้ว่าเสน่ห์ของสาวเจ้าจะมีอิทธิฤทธิ์เก่งกล้าสามารถต้านทานอำนาจของแหวนกันคุณไสยร้อยแปดที่บัวบูชาให้มาได้หรือไม่ ซึ่งหลังจากอาราธนาพระคาถาทุกเช้าก่อนออกจากบ้านสติที่เคยกระเจิดกระเจิงก็ค่อยๆ หลอมรวมกันได้อีกครั้ง

“จะไปไหนตามฝัน” เสียงเข้มร้องทักทันทีที่หญิงสาวสาวเท้าเข้าไปใกล้รถยุโรปคันสีเหลืองของเธอ

มาติกาถอนหายใจแล้วหมุนตัวกลับไปตอบคำถาม “กลับคอนโดค่ะ”

“ผมไปส่ง แต่ขอแวะไปทำธุระก่อน” ว่าพลางใช้มือข้างที่สวมแหวนกันคุณไสยร้อยแปดคว้าข้อมือของเธอให้เดินตาม

มาติกาทำหน้าตาเหยเก และนั่นก็ยิ่งทำให้คนมีของดีอยู่กับตัวยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะเอ่ยถาม “ร้อนใช่ไหม”

“คะ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา

“ผมถามว่าคุณร้อนใช่ไหม”

“ร้อนสิถามได้ สามสิบกว่าองศากลางแดดเปรี้ยงๆ แบบนี้ ไม่ร้อนก็บ้าแล้ว” หญิงสาวตอบพร้อมกับส่ายหน้าคล้ายกับกำลังก่นว่าเขาอยู่ในใจ

กฤตพจน์หรี่ตามองจับผิดใบหน้าจิ้มลิ้มอีกรอบ “หึ ทนได้ก็ทนไป ลองดูว่าของใครจะเด็ดกว่ากัน”

“บ่นอะไรคะคุณกฤตพจน์ วัยนี้แล้วไม่น่าจะยังต้องคุยกับแม่ซื้อนะ แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ ฉันเอารถมากลับเองได้” ว่าพลางบิดข้อมือหมายจะหนีจากการเกาะกุม

“ผมบอกว่าผมจะไปส่งไง มาเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ” เอ่ยจบก็กึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวให้ตามไปขึ้นรถ แล้วกระดิกนิ้วขอกุญแจรถของเธอด้วยความคุ้นชิน เพราะการลากกันขึ้นรถเช่นนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก ทุกสัปดาห์หลังสอนเสร็จเขาก็มักจะหาเหตุผลแกมบังคับให้เธอขึ้นรถกลับพร้อมกันเสมอ และให้ผู้ติดตามขับรถของเธอตามไป

“ฉันไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ” มาติกาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือกระดิกแล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจรถออกมาให้ด้วยความจำยอม

ใบหน้าหล่อร้ายยกยิ้มพอใจ เพราะจากการทดสอบในวันนี้ทำให้เขารู้ว่าแหวนกันคุณไสยร้อยแปดมีอิทธิฤทธิ์มากเพียงใด ไม่ว่าเธอจะแสดงสีหน้าหรือกิริยาแบบไหน เขาก็สามารถบังคับจิตใจไม่ให้เตลิดได้มากขึ้น

“ไม่มีอวิชชาใดทำร้ายผู้มีศีลได้” ชายหนุ่มพึมพำเสียงในลำคอแล้วลูบแหวนพิรอดหางช้างสีขาวที่สวมอยู่บนนิ้วชี้ข้างขวาไปพลางๆ

แหวนวงนี้วิเศษนัก บัวบูชาเล่าให้ฟังว่าขนหางช้างสีขาวบางคนเรียกว่าขนหางแก้ว หรือขนหางช้างเผือก เป็นของหายากและมีอานุภาพทวีคูณกว่าหางช้างสีดำ ซึ่งเธอได้มาจากผู้ทรงศีลทางภาคอีสานเมื่อครั้งไปทอดกฐินเมื่อปีกลาย

 

“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม” มาติการ้องถาม ขณะที่รถคันหรูแล่นเข้าไปจอดเทียบประตูทางเข้าอาคารสำนักงานของ บริษัทโภคิน จิวเอลรี

“ขอผมแวะเคลียร์งานด่วนก่อน” ตอบพลางขยับตัวหมายจะก้าวลงจากรถ ทว่าผู้ร่วมเดินทางอีกคนยังคงนั่งนิ่งไม่มีวี่แววจะทำตาม กฤตพจน์จึงหยุดการเคลื่อนไหวแล้วหันกลับไปเจรจากับหญิงสาวอีกรอบ “จะเดินลงเอง หรือให้ผมอุ้มลง”

มาติกายู่จมูกแล้วขยับตัวอย่างรวดเร็ว “เดินเองค่ะ โตแล้วเดินเองได้”

ท่าทางกระฟัดกระเฟียดที่มาติกากำลังแสดง หากเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่ชอบใจ ทว่าเมื่อเป็นเธอ หญิงสาวผู้มีอำนาจวิเศษต้านทานได้แม้กระทั่งคุณแห่งแหวนกันคุณไสย กลับทำให้เขาอมยิ้ม ยิ้มทั้งหน้าทั้งหัวใจ กฤตพจน์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะขยับตัวลงจากรถแล้วเดินนำคณะขึ้นไปยังห้องทำงานส่วนตัว

“ฉันขอนั่งรอตรงนี้นะคะ” มาติกาว่าหลังจากเดินขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดของอาคาร แล้วปลีกตัวเดินไปนั่งยังชุดโซฟาด้านหน้าห้องทำงานส่วนตัวของผู้อำนวยการบริหาร

กฤตพจน์พยักหน้าอนุญาต ก่อนจะหันไปสั่งการกับเลขานุการหน้าห้อง “คุณปรางค์ช่วยดูแลแขกของผมด้วย”

“ค่ะ บอส” ปรางค์ขวัญรับคำ แล้วถอยตัวออกไปสั่งการกับแม่บ้านที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล

กฤตพจน์เหล่ตามองหญิงสาวที่นั่งไขว่ห้าง หยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะกลางโซฟาขึ้นมาอ่านเพียงชั่วขณะ ก่อนจะตัดใจเดินนำประวีร์และทินกรเข้าไปในห้องทำงาน

“รับผลไม้เย็นๆ รอบอสก่อนนะคะคุณผู้หญิง” ปรางค์ขวัญเอ่ยกับแขกของผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม

“ขอบคุณค่ะ” มาติกาพับหนังสือในมือวางลงข้างกายแล้วกระพุ่มมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะเอ่ยต่อ “อย่าเรียกตามว่าคุณผู้หญิงเลยนะคะ รู้สึกเหมือนกำลังตีกะบังเลย”

ปรางค์ขวัญหัวเราะร่วน นับว่าเป็นแขกของนายเวอร์ชันใหม่ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ปกติหากได้ชื่อว่าเป็นแขกของนาย หญิงสาวเหล่านั้นก็แทบจะลอยมาจากฟ้า จนมองไม่เห็นหัวเลขานุการตัวเล็กๆ เช่นเธอ

“ค่ะ คุณตาม” ปรางค์ขวัญรับคำอย่างเป็นมิตร

“อ้าว คุณนั่นเอง”

ในขณะที่มาติกาและปรางค์ขวัญกำลังสนทนากันอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงหวานของอีกหนึ่งสาวดังขึ้นในระยะใกล้ มาติกาและปรางค์ขวัญหันไปมองตามเสียงพร้อมกัน

“คุณเองหรือคะ เห็นหลังแวบๆ มาหลายวัน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทักทาย” มาติกาลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยกับผู้มาใหม่ นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่มาเจอเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ที่นี่

“ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เจอกันสักที ลดากำลังคิดว่าคืนนี้จะไปกดออดห้องพี่ แนะนำตัวเองสักหน่อย” เพชรลดาเจื้อยแจ้วเดินเข้าไปแตะแขนเพื่อนบ้านให้นั่งลง จากนั้นจึงนั่งแหมะลงข้างๆ แล้วกล่าวต่อ “พี่ชื่ออะไรคะ”

“ตามฝันค่ะ” มาติกาตอบพร้อมยิ้ม โล่งอกไม่น้อยที่เพื่อนบ้านคนใหม่น่ารักและเป็นมิตร เพราะคอนโดมิเนียมที่เธอและเพชรลดาอาศัยอยู่มีห้องพักเพียงชั้นละสองห้องเท่านั้น ซึ่งหากเจอเพื่อนบ้านประหลาดก็คงจะลำบากใจไม่น้อย

“พี่ตาม เป็นเพื่อนคุณปรางค์หรือคะ” หญิงสาวที่แลดูอายุน้อยสุดชวนคุย

“อุ้ย เปล่าค่ะคุณลดา คุณตามฝันเป็นแขกของบอส” ปรางค์ขวัญโบกมือโบกไม้ปฏิเสธเป็นพัลวัน

“จริงหรือคะ โลกกลมจังเลย พี่ตามรู้จักกับพี่เล็กด้วย ลดาดีใจที่สุด” สาวน้อยยิ้มตาหยีแล้วโผเกาะแขนมาติกาเอาไว้คล้ายกับสนิทสนมคุ้นเคยกันมานานหลายปี

มาติกายิ้มแห้ง เธอควรจะดีใจตามเพื่อนบ้านใหม่ หรือร้องไห้ตามจิตใต้สำนึกสั่งการดีกับการได้รู้จักกับผู้ชายประหลาดคนนี้ ตลอดระยะเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมาหลังจากการได้รู้จักเขาทำให้เธอรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าเสบียงบุญที่มีติดตัวเริ่มร่อยหรอ

“จริงสิ คุณปรางค์คะ ลดาอยากหาร้านอาหารนั่งชิลๆ คืนนี้จัง มีร้านไหนแนะนำบ้าง” เพชรลดาเอ่ยกับเลขานุการของพี่ชายทั้งที่ยังเกาะแขนมาติกาเอาไว้แน่น

“คุณลดาอยากทานอาหารอะไรเป็นพิเศษคะ” เลขานุการสาวถาม

“อืม...อาหารอะไรก็ได้ค่ะ แค่อยากนั่งเล่นในร้านสวยๆ มีต้นไม้เยอะๆ”

“ไปร้านที่พี่รู้จักไหมคะ อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเราด้วย” มาติกากล่าว

“ไปค่ะไป แต่พี่ตามต้องไปด้วยนะ ถือว่าเป็นมื้อพิเศษต้อนรับมิตรภาพใหม่” เพชรลดายิ้มประจบ

มาติกาจึงพยักหน้ารับน้อยๆ พร้อมรอยยิ้มหวาน

“คุณปรางค์ไปด้วยกันนะคะ ลดามาฝึกงานที่นี่ตั้งเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่มีโอกาสได้ทานข้าวกับคุณปรางค์เลย” สาวน้อยเอ่ยชวน

“เอ่อ...” ปรางค์ขวัญนิ่งคิดแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวอีกคน

มาติกาพยักหน้ารัวแล้วเอ่ยชวนอีกแรง “ไปด้วยกันนะคะคุณปรางค์ ร้านนี้เด็ดมาก อาหารอร่อย บรรยากาศดี ดนตรีไพเราะ”

“งั้น ปรางค์ไม่เกรงใจแล้วนะคะ” สามสาวนั่งล้อมวงสนทนากันอยู่ตรงชุดโซฟาอย่างออกรสออกชาติจนหลงลืมไปว่าที่นี่คือสำนักงาน และคนในห้องก็ออกมายืนมองพวกเธออยู่สักระยะแล้ว

“สามคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน” กฤตพจน์เอ่ยถามคนสนิท

“คุณตามฝันกับคุณลดาพักที่เดียวกัน อาจจะเคยคุยกันมาบ้างนะครับนาย” ประวีร์ตอบ

“อืม เป็นไปได้” ผู้เป็นนายพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถามต่อ “แล้วคุณปรางค์ล่ะ ทันไปสนิทกับมาติกาตอนไหน”

“สาวๆ ก็แบบนี้ครับ คุยกันถูกคอห้านาทีก็สนิทกันแล้ว” ทินกรแสดงความคิดเห็น

“สงสัยต้องไปถามน้องบัวว่าทำเสน่ห์ใส่เพศเดียวกันได้หรือเปล่า” กฤตพจน์พยักหน้าแล้วพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว

“พี่เล็ก” เสียงแหลมเล็กร้องเรียกคนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้อง ก่อนลุกขึ้นแล้วจูงมือพี่สาวคนใหม่ให้เดินตาม

“ว่าไงตัวแสบ ไปไหนมา” คนเป็นพี่เลิกคิ้วถาม

“ลดาไปคุยงานกับฝ่ายส่งออกมาค่ะ กำลังจะกลับโต๊ะบังเอิญมาเจอพี่ตามเลยเมาท์ยาว พี่เล็กรู้ไหมคะว่าพี่ตามคือเพื่อนบ้านของลดาเอง” คนเป็นน้องเล่าโดยที่ยังเกาะแขนเพื่อนบ้านคนใหม่เอาไว้ดังเดิม

กฤตพจน์หลุบสายตามองเพื่อนบ้านคนใหม่ของญาติผู้น้อง อะไรจะประจวบเหมาะถึงเพียงนี้ นอกจากเขาจะตามสืบพฤติกรรมตอนเธอสอนแล้ว ต่อไปคงต้องให้ตัวแสบหมายเลขสองตามสืบพฤติกรรมส่วนตัวเพิ่มอีกทางแล้ว

“งั้นก็ดี พี่กำลังจะไปส่งตามฝันกลับคอนโด เราจะกลับพร้อมพี่เลยหรือเปล่า” คนเป็นพี่ถาม

“กลับเลยค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงก็จะเลิกงานแล้ว ออกไปพร้อมเจ้าของบริษัทคงไม่ถูกหักเงินเดือนหรอกเนอะ” เพชรลดายักคิ้ว ก่อนจะเดินเลี่ยงไปหยิบกระเป๋าสะพายที่โต๊ะทำงานแล้วคล้องแขนมาติกาเดินนำพี่ชายออกไปอย่างรวดเร็ว

“พาทัวร์ออฟฟิศเหมือนเป็นเจ้าของบริษัทเลยนะลดา” ชายหนุ่มเอ่ยทีเล่นทีจริง

สองสาวที่กำลังชี้ชวนกันมองฝ่ายต่างๆ ที่เดินผ่าน หันหลังกลับมามองตามเสียง “ซ้อมไว้ก่อนค่ะ เผื่อพี่เล็กทำตัวไม่น่ารักแล้วโดนคุณป้าตัดออกจากกองมรดก ลดาจะได้สวมรอยแบบเนียนๆ”

มาติกากลั้นขำแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของสาวรุ่นน้อง กฤตพจน์ถอนหายใจแล้วเปรยกับคนสนิท “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะไม่ให้สองคนนี้เจอกัน”

ประวีร์และทินกรหลุดขำ แล้วรีบเดินตามหลังผู้เป็นนายที่ตอนนี้กำลังเร่งฝีเท้าเพื่อหาทางที่จะเดินนำหน้าสองสาวให้ได้

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะคะ ลดาจะขัดขาให้พี่เล็กกลิ้งสามตลบเลย” สาวน้อยเพชรลดายกมือป้องปากกระซิบกระซาบพี่สาวคนใหม่

“ตอนนี้ก็น่าจะพอทำได้นะคะ ที่สำคัญถ้าต้องการผู้ช่วยบอกพี่ได้ พี่พร้อมเสมอ รับรองจะจัดท่าสวยๆ ให้สักสองสามท่า” มาติกากระซิบตอบ สองสาวที่พัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อนบ้านคนใหม่มาเป็นพี่สาวน้องสาวคนใหม่ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หัวเราะประสานเสียงกันอย่างออกรสออกชาติ

“เสียงหัวเราะไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด” ผู้ที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาแบบลับๆ เอ่ยกับตัวเอง นึกไม่ไว้ใจเสียงหัวเราะฉบับกุลสตรีของทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

 

“พี่เล็กไม่ต้องลงไปส่งลดาหรอกนะคะ ลดาเดินไปกับพี่ตามสองคนได้” เพชรลดาเอ่ยกับพี่ชายที่กำลังตั้งท่าจะก้าวลงจากรถ

มาติกาลอบเบ้ปากแล้วยักคิ้วให้คนถูกเทเล็กน้อย ก่อนที่จะก้าวลงจากรถไปอีกคน

“เทกันง่ายๆ แบบนี้เลย” กฤตพจน์มองตามหลังมาติกาและเพชรลดาตาละห้อย ทั้งๆ ที่หมดภาระแล้วก็น่าจะออกคำสั่งให้ออกรถกลับบ้าน ทว่าความรู้สึกวูบไหวประหลาดที่กำลังก่อตัวอยู่บริเวณหน้าอกข้างซ้ายกำลังประท้วงว่าอยากอยู่ต่อ ชายหนุ่มยกมือข้างขวาขึ้นกุมหน้าอกแล้วลูบวนไปมา

“นั่นรถคุณปรางค์นี่ครับ” ทินกรร้องบอก

กฤตพจน์ขยับตัวนั่งหลังตรงอีกครั้ง ก็พบว่ามาติกาเดินเข้าไปรับกุญแจรถของเธอที่คนสนิทของเขานำไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์รีเซฟชัน จากนั้นจึงเดินนำเพชรลดาไปขึ้นรถยุโรปคันสีเหลือง แล้วขับนำรถของปรางค์ขวัญออกไป ที่สำคัญที่สุด รถทั้งสองคันนั้นขับผ่านสปรินเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดของเขาไปอย่างไม่ไยดี

“ตามไป อย่าให้รู้ตัว” คนในรถสั่งการเสียงเข้ม

 

“โอ้โห” เพชรลดาทำตาโตเมื่อทั้งสามเดินผ่านประตูร้านเข้ามา

“ร้านสวยมากเลย” ปรางค์ขวัญยิ้มร่า กวาดสายตามองธรรมชาติที่ถูกยกเข้ามาอยู่ในร้านใจกลางเมืองแห่งนี้ด้วยความชื่นชม

“ร้านของเพื่อนพี่ชายตามเองค่ะ เราไปตรงโน้นกันดีกว่า ตามจองโต๊ะไว้แล้ว” มาติการับไหว้พนักงานที่ออกมาต้อนรับ แล้วพยักหน้าชวนสองสาวให้เดินตาม

“พี่คินอยู่หรือเปล่าคะ ตอนส่งข้อความมาจองโต๊ะก็ลืมถามว่าอยู่ไหน” ตามฝันเอ่ยถามพนักงานที่ยืนรอให้บริการอยู่ หลังจากนั่งลงประจำที่เรียบร้อยแล้ว

“อยู่ค่ะ คุณคินเตรียมอาหารรอคุณมาติกาอยู่ในครัวค่ะ” พนักงานสาวตอบ

“อั้นแน่ อย่าบอกนะคะว่าเจ้าของร้านเป็นหนุ่มคนสนิทของพี่ตาม” เพชรลดาหยอกเย้า

“เปล่าจ้า พี่นับถือพี่คินเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง เราสนิทกันมาก มากเกินกว่าจะเป็นอย่างอื่นได้” หญิงสาวยืนยันความรู้สึกของตน

“ปรางค์ชอบการตกแต่งของที่นี่จังเลยค่ะ จะว่าเป็นสไตล์สวนบาหลีก็ไม่ใช่ สวนโรมันก็ไม่เชิง ผสมผสานแต่ลงตัว” ปรางค์ขวัญว่า

“รอชมกับเจ้าของไอเดียเองดีกว่าค่ะ มาโน่นแล้ว” มาติกาพยักพเยิดให้สองสาวมองหนุ่มใหญ่ที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาหา

ภาคินรับไหว้สามสาวแล้วหาที่นั่งสำหรับตัวเองไปพลางๆ ใจนึกอยากจะนั่งข้างมาติกา ทว่าที่ตรงนั้นมีคนนั่งแล้ว จึงจำเป็นต้องนั่งฝั่งเดียวกับหญิงสาวที่สวมชุดสูทสีครีมแทน

“พี่คินเจ้าของร้านค่ะ” มาติกาแนะนำ เพชรลดาและปรางค์ขวัญยกมือไหว้พร้อมกัน

“ส่วนนี่คุณปรางค์กับน้องลดาค่ะ เพื่อนใหม่ของตาม”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณปรางค์ คุณลดา” เจ้าของร้านค้อมศีรษะให้สองสาวอย่างสุภาพ

“ของโปรดตามทั้งนั้นเลย” มาติกาทอดน้ำเสียง ดวงตากลมโตเป็นประกายยามได้เห็นเมนูอาหารที่พนักงานเริ่มลำเลียงมาวางบนโต๊ะ

“พอตามส่งข้อความมา พี่ก็รีบจับรถมาเตรียมอาหารรอเลย ทานเยอะๆ นะครับ” ภาคินว่าพลางตักกุ้งมังกรอบชีสไปวางบนจานของมาติกาเป็นคนแรก จากนั้นจึงตักให้เพชรลดา และปรางค์ขวัญตามลำดับ

“อร่อยมาก” เพชรลดาลากเสียงยาวหลังจากกลืนอาหารคำแรกลงคอ

“คุณคินทำอาหารเองด้วยหรือคะ” ปรางค์ขวัญหันมาเอ่ยถามคนข้างกาย

“ครับ ถ้ามีเวลาผมจะเข้าครัวเอง” ชายหนุ่มตอบ

“เก่งจังเลยค่ะ” เลขานุการสาวชม ก่อนตักพิซซาโฮมเมดสูตรเด็ดของร้านขึ้นมาลองชิม

“ขอโทษทีมาช้าไปหน่อย พอดีรถติด ช่วยต่อโต๊ะให้ด้วยครับ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังมาตามทาง

มาติกา เพชรลดา และปรางค์ขวัญหันไปมองตามเสียงอย่างรวดเร็ว แล้วก็พบว่าเสือหมายเลขสี่ของตระกูลโภคินอภิวัฒน์กำลังเดินเข้ามาหาด้วยท่วงท่าสบายๆ มือขวากำลังแกะกระดุมที่แขนเสื้อข้างซ้าย จากนั้นจึงพับขึ้นเหมือนที่ทำกับแขนเสื้อข้างขวาก่อนหน้านี้

“คะ...ใครชวน” มาติกาอ้าปากค้างรำพันคล้ายละเมอ

“ลดาเปล่านะคะ” เพชรลดาปฏิเสธเป็นคนแรก

“ปรางค์ก็เปล่าค่ะ” ปรางค์ขวัญส่ายหน้าจนผมที่ทัดหูหลุดปลิวระใบหน้า

ภาคินลุกขึ้นยืนต้อนรับพร้อมกับยื่นมือขวาออกไปด้านหน้า “สวัสดีครับคุณกฤตพจน์”

“สวัสดีครับคุณภาคิน” สองหนุ่มสัมผัสมือทักทายกันตามธรรมเนียมสากล ก่อนที่เจ้าของร้านอาหารจะเรียกให้พนักงานมาต่อโต๊ะ ซึ่งการต่อโต๊ะเพิ่มในครั้งนี้ จึงทำให้ผู้มาทีหลังได้ตำแหน่งบุคคลหัวโต๊ะไปโดยปริยาย

กฤตพจน์โปรยรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ให้สามสาวขณะย่อตัวลงนั่ง โดยไม่ลืมที่จะยักคิ้วเย้าหญิงสาวฝั่งขวามือเพิ่มเป็นพิเศษ มาติกาเผลอเบี่ยงตัวหนียักคิ้วทะเล้นนั้น แล้วรีบหลุบตาลงมองจานข้าวตรงหน้าทันที

“มัสมั่นของโปรดใครกันน้า” ในขณะที่ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งโต๊ะอาหาร เจ้าบ้านจึงต้องสวมบทบาทเป็นผู้ปลุกสีสันของผู้ร่วมโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง โดยการเอื้อมมือออกไปตักเมนูโปรดของหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามขึ้นมาโชว์

“ของผมเองครับ คุณภาคินทำการบ้านมาดีมากเลยนะครับ แหม เตรียมของโปรดผมไว้รอทั้งนั้นเลย” คนหัวโต๊ะถือวิสาสะยกจานข้าวของตนออกไปรับน่องไก่ที่เจ้าของร้านตักค้างอยู่กลางอากาศมาครอบครอง

ภาคินเบิกตาโพลง คาดไม่ถึงว่านักธุรกิจรุ่นน้องจะมาไม้นี้ ซึ่งไม่ต่างกันเลยกับสามสาวที่ตอนนี้กำลังเข้าสู่ภาวะชะงักงันพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“เกือบลืมว่านี่ก็เมนูโปรดของคุณเหมือนกันนี่ตามฝัน” คนหัวโต๊ะที่เพิ่งจัดการเลาะเนื้อไก่ออกจากกระดูก ตักเนื้อนุ่มไร้กระดูกจากจานของตนไปวางไว้บนจานของหญิงสาวที่กำลังกะพริบตาปริบๆ อยู่กับที่

“ขะ...ขอบคุณค่ะ” มาติกาเอ่ยขอบคุณเสียงตะกุกตะกัก

ปรางค์ขวัญมองอากัปกิริยาของผู้เป็นนายแล้วพยักหน้าช้าๆ ด้วยอยู่ใกล้ชิดและช่วยดูแลงานให้ชายหนุ่มมาหลายปี เพียงเท่านี้เธอก็ได้คำตอบของทุกข้อสงสัยแล้วว่าเหตุใดจู่ๆ เจ้านายสายปาร์ตีจึงได้ผลุนผลันมาร่วมโต๊ะโดยไม่มีใครเชิญเช่นวันนี้

เลขานุการสาวส่งสายตาให้เพชรลดามองกฤตพจน์และมาติกา พลางยกนิ้วชี้ทั้งสองข้างของตนมาวางชิดคู่กัน เพชรลดาเบิกตาโพลง ยกมือข้างขวาขึ้นปิดปากก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง สองสาวท้ายโต๊ะยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังสื่อโดยอัตโนมัติ

“เมนูนี้เรียกว่าอะไรคะคุณภาคิน” เสียงใสของเพชรลดาร้องถาม

เจ้าของร้านอาหารเบนสายตามองมือเรียวที่กำลังผายไปยังจานร้อนที่วางอยู่กลางโต๊ะ “ผักโขมอบชีสครับ” ภาคินตอบด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ และนี่ก็คือสิ่งที่คาดไม่ถึงอีกอย่างของวันนี้ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวที่แต่งกายด้วยสินค้าแบรนด์ดังคล้ายรถขนแบรนด์เนมเคลื่อนที่จะไม่รู้จักเมนูนี้ ซึ่งไม่ต่างกันเลยกับญาติผู้พี่ที่ตอนนี้กำลังใช้สายตามองเธอคล้ายตัวประหลาด

“อ๋อ ใช่ ผักโขมอบชีสนี่เอง เรียกเหมือนกันกับที่บ้านเราเป๊ะเลยเนอะพี่เล็ก ลดานึกว่าจะมีชื่อเฉพาะของร้าน” สาวน้อยที่ออกตัวแรงเอ่ยตอบแบบน้ำขุ่นๆ พยายามฉวยโอกาสดึงความสนใจจากเจ้าของร้าน เพื่อให้พี่ชายได้ใช้เวลารับประทานอาหารกับว่าที่พี่สะใภ้เป็นการส่วนตัว

ปรางค์ขวัญกวาดสายตามองเมนูอาหารบนโต๊ะ แล้วเริ่มแผนของตนบ้าง “เมนูนี้คืออะไรคะแปลกจัง” เสียงคนข้างกายเรียกเจ้าของร้านให้หันไปมองจานเมนูอาหารบนโต๊ะอีกครั้ง

“ยำวุ้นเส้นครับ แต่ผมใช้น้ำดอกอัญชันลวกเส้น เส้นเลยมีสีม่วงอ่อนๆ แบบนี้” ภาคินตอบพร้อมยิ้ม

“อยากชิมจังแต่ตักไม่ถึง เห้อ คนแขนสั้นนี่ลำบากจริง” ปรางค์ขวัญว่าพร้อมช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองคนแขนยาวแววตาเป็นประกาย

ภาคินหรี่ตามองใบหน้าของหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกันเล็กน้อย ก่อนที่จะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเอื้อมมือออกไปตักเมนูยำวุ้นเส้นแล้วนำไปวางบนจานของคนแขนสั้น

“ขอบคุณค่ะ” เลขานุการสาวเอ่ยเสียงหวาน แล้วหันกลับมายักคิ้วให้สาวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยที่อีกฝ่ายก็กำลังลอบยกนิ้วโป้งให้เป็นคำชมเช่นกัน

จากนั้นสองสาวแสบก็เพียรผลัดกันชี้ชวนให้เจ้าของร้านคอยบริการตักโน่นตักนี่ให้ไม่ขาด ซึ่งการผูกขาดหนุ่มใหญ่ไว้ในวงสนทนาเช่นนี้ ทำให้คนหัวโต๊ะได้ใช้เวลาส่วนตัวกับหญิงสาวฝั่งขวามือมากขึ้น

“กุ้งตัวโต สดดีด้วย ลองชิมดูสิ” กฤตพจน์ตักเนื้อกุ้งมังกรที่ตนหั่นเป็นชิ้นพอดีคำไปวางบนจานของมาติกา ถึงแม้นจะเห็นว่าบนจานของเธอมีร่องรอยของเมนูนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่กระนั้นก็ยังอยากจะบริการด้วยตนเองอยู่ดี

เห็นทีอานุภาพเสน่ห์ยาแฝดของแม่มดสาวนางนี้คงมีอานุภาพร้ายกาจพอตัว เพราะนอกจากจะมีแรงดึงดูดให้เขาตามมาถึงที่นี่แล้ว ยังทำให้ผู้ชายไม้เลื้อยแปลงร่างเป็นบริกรส่วนตัวของเธอด้วยความเต็มใจอีกด้วย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น