1

1

บทที่ ๑

 

‘ชวนแทนมาด้วยก็ได้’ (เอียง)

ข้อความเดิม ข้อความเดียวกันให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป เดหลีไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลยว่าเพื่อนที่เธอรักและไว้ใจที่สุดซุกซ่อนความรู้สึกพิเศษที่มีต่อธีรดนย์ตลอดมาถ้าชุติมนไม่จุดประเด็น

‘หยีเคยแอบปลื้มแทน แล้วตอนนี้ล่ะ ยังชอบแทนอยู่ไหม’

ระหว่างพูดความจริงกับรับคำท้าดื่ม ญาณิศาปฏิเสธหน้าแดง แล้วเมื่อเพื่อนๆ จับพิรุธได้ เธอก็บ่ายเบี่ยงรับคำท้าให้จบๆ ไป

สำหรับเดหลี นั่นเป็นคำปฏิเสธที่ไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิง

มันทำให้เธอนึกย้อนกลับไปในอดีต ญาณิศาเป็นคนเดียวที่รู้ทุกลำดับพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับธีรดนย์ ตั้งแต่วันที่ความรู้สึกดีเริ่มผลิบานในหัวใจจนถึงวันที่ตกลงคบหากัน อยู่ร่วมในวันที่เธอกับเขาขนย้ายเครื่องเรือนตกแต่งคอนโดมิเนียม ญาณิศามักอาสาเป็นธุระช่วยเธอจัดการสิ่งต่างๆ ประสาคนที่มีเวลาว่างมากกว่าเพราะดูแลกิจการครอบครัว สร้างความซาบซึ้งใจให้เธอกับธีรดนย์จนพูดคุยถึงเจ้าหล่อนด้วยความชื่นชมลับหลังเสมอ แล้วทุกครั้งที่พวกเธอนัดพบกัน ไม่เคยมีสักคราที่ญาณิศาจะไม่ถามไถ่ถึงธีรดนย์

ที่ผ่านมาเดหลีคิดว่าทั้งหมดนั้นคือน้ำใสใจจริงอันบริสุทธิ์ของเพื่อนที่เธอมองว่าดีแสนดี ซื่อแสนซื่อ เพื่อนคนสุดท้ายบนโลกที่เธอคิดว่าจะมีความลับต่อกัน ทว่าผิดถนัด ญาณิศามีความลับกับเธอตลอดมา และชุติมนรู้! มีอะไรอีกที่ทั้งสองรู้เห็นเป็นใจกัน ยิ่งคิดหัวอกก็ยิ่งเจ็บแสบร้อนเร่า

‘ขับรถกลับดีๆ นะทุกคน’ ประโยคล่ำลามาจากหญิงสาวที่มักเอาใจใส่เพื่อนทุกคนเสมอ ‘เดียร์ถึงคอนโดแล้วไลน์บอกหยีด้วยนะ’

เดหลีแกล้งไม่ได้ยินความห่วงใยที่ญาณิศาเจาะจงมอบให้ เธอขึ้นรถขับจากมา แล้วตอนนี้เธอก็ปิดโทรศัพท์มือถือ นำมันไปชาร์จแบตเตอรี่ไว้ข้างโซฟาราวกับต้องการอยู่ให้ห่างจากความลวง

หญิงสาวเอนกายนอนตะแคงตอนที่ประตูห้องด้านนอกเปิดเข้ามา แว่วเสียงธีรดนย์คุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่ครู่หนึ่ง ตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ของเขาที่เข้ามาใกล้พร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ เดหลีรู้สึกได้ว่าเตียงด้านหลังยวบลง แต่เธอคร้านจะเปิดเปลือกตา ไม่นานเสียงน้ำฝักบัวก็ดังขึ้น

คำว่า ‘อาถรรพ์รักเจ็ดปี’ สะท้อนดังในโสตประสาทอีกครั้ง เธอไม่เคยคิดระแวงมาก่อนเลยว่ารักนี้จะจบอย่างไร แม้หลายครั้งหลายหนที่เธอกับเขามีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่มีสักเสี้ยวความคิดว่าปัญหานั้นจะทำให้รักมาถึงทางตัน อาจเพราะเธอเชื่อมั่นในตัวเองมาตลอดว่าควบคุมชายผู้นี้อยู่หมัดเจ็ดปี...ทำให้เธอรู้จุดแข็งจุดอ่อนของธีรดนย์ รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร ซึ่งเดหลีไม่คิดว่าจะมีใครรู้จักรู้ใจเขาดีเท่าเธอ ยกเว้นญาณิศา...เพื่อนคนเดียวที่เธอปรับทุกข์ปันสุขด้วย ธีรดนย์มักบ่ายเบี่ยงไปสังสรรค์กับเพื่อนสาวคนอื่นของเธอ ทว่าไม่ใช่กับญาณิศาซึ่งเขามีโอกาสพบบ่อยที่สุด

ความหวาดระแวงเหมือนยาพิษ เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็นำมาซึ่งความคิดแง่ร้ายหลอกหลอน เดหลีถอนหายใจระบายความรู้สึกอัดแน่นในอก แล้วที่นอนติดกับร่างเพรียวบางที่นอนตะแคงก็ยวบลง ตามด้วยเสียงห้าวต่ำที่ดังขึ้นเหนือศีรษะเธอ

“นึกว่าหลับ”

จมูกโด่งฝากฝังบนคอระหงเช่นเดียวกับริมฝีปากของชายหนุ่ม ผิวกายเย็นหลังอาบน้ำพาให้หญิงสาวขนลุกเกรียว เดหลีจำต้องลืมตาหันไปหาคนรัก แต่ไม่ทันเปิดปากเอ่ยอะไร ธีรดนย์ก็ยื่นข้อเสนอทันที

“ขอหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาผ้าลงไปซักให้”

“ยกลงไปคนเดียว?”

“อือ”

แม้ไม่มีข้อแลกเปลี่ยน เดหลีก็ไม่คิดจะห้ามปรามคนรักอยู่แล้ว

เจ็ดปีอาจทำให้รักจืดจาง แต่แทนที่ด้วยความผูกพัน ผูกพันเสียจนไม่เคยคิดจินตนาการถึงวันที่ไร้เงาอีกคนข้างกาย เดหลีเพิ่งรู้ว่าเธอหวงแหนเขามาก...ยิ่งชีวิต

 

ภายในห้องพักขนาดสี่สิบหกตารางเมตร แบ่งพื้นที่เป็นห้องนอนใหญ่ที่มีตู้เสื้อผ้าแบบบิลต์อิน ห้องน้ำแยกส่วนเปียกและแห้ง และห้องนั่งเล่นที่ใช้พื้นที่ร่วมกับครัวเล็กๆ และโต๊ะอาหารสองที่นั่ง ระเบียงหน้ากว้างสามเมตรขนานกับประตูกระจกสูงจดเพดานช่วยให้ห้องพักบนชั้นสิบเจ็ดไม่อึดอัดคับแคบเกินไป

สี่ปีแล้วที่ธีรดนย์กับเดหลีกู้ซื้อคอนโดมิเนียมร่วมกันด้วยน้ำพักน้ำแรงจากการทำงาน แม้ครอบครัวของหญิงสาวและเพื่อนของชายหนุ่มจะเตือนเรื่องปัญหาที่ตามมา แต่ธีรดนย์ไม่แยแส และเดหลีก็กล้าได้กล้าเสีย เป็นสี่ปีที่พวกเขาได้เรียนรู้นิสัยใจคอทุกแง่มุมในชีวิตกันและกันอย่างคุ้มค่า ผ่านปัญหาทั้งการจัดสรรรายจ่าย การรับผิดชอบงานบ้าน และการรับมือแขกที่มาเยือน อาจมีทะเลาะเบาะแว้งบ้าง แต่ทุกครั้งก็มีทางออกให้ทั้งสองยังคงอยู่ด้วยกันมาได้จนทุกวันนี้

บนชั้นวางบิลต์อินรอบโทรทัศน์ตกแต่งด้วยโมเดลหุ่นยนต์และยานยนต์อันเป็นของสะสมของธีรดนย์ ส่วนพื้นที่ครึ่งหนึ่งนอกระเบียงเต็มไปด้วยกระถางปลูกไลทอป พืชอวบน้ำที่มีลักษณะเหมือนหินที่เดหลีฟูมฟักบนชั้นวางไม้และตั่งเตี้ยๆ กับไม้กระถางนานาพรรณที่ให้พื้นที่สีเขียวสบายตา สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันของหนุ่มสาวและทำให้อยู่ร่วมกันได้คือ พวกเขาไม่ก้าวล่วงความชอบส่วนตัวของกันและกัน นานๆ ทีเดหลีจะช่วยชายหนุ่มปัดฝุ่นโมเดลเหล่านั้น และบางคราวธีรดนย์ก็ช่วยดูแลต้นไม้ให้เวลาเธอต้องไปต่างจังหวัดหรือเดินทางไปพบลูกค้าที่ต่างประเทศ

เดหลีเกือบลืมไปแล้วว่าอนาคตนั้นไม่แน่นอน เธอกับเขาเป็นเพียงคนรักที่คบหาดูใจกัน ไม่ใช่ครอบครัว หรือแม้แต่ครอบครัวที่ลงหลักปักฐานด้วยกันแล้วแตกกระจายก็มีตัวอย่างให้เห็น นับประสาอะไรกับคนรัก ต่อให้เจ็ดปีที่ผ่านมาจะพิสูจน์ตัวตนของธีรดนย์ได้ระดับหนึ่งก็ตาม

“แปลก วันนี้ตื่นเช้า”

แม้แต่คำทักทายยามเช้าวันหยุดก็บอกว่าเขารู้จักเธอดีเช่นกัน เดหลีไม่เคยตื่นก่อนเวลาเคารพธงชาติในวันหยุด โดยเฉพาะหลังจากคืนที่สังสรรค์ แต่ความคิดที่วิ่งพล่านในหัวไม่ยอมให้เธอเป็นสุขกับห้วงนิทราจนต้องลุกขึ้นมาชงกาแฟ

ธีรดนย์โผล่หน้ามาทักทายแล้วก็หายเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน ไม่ลืมหยิบเสื้อยืดติดมือออกไปส่งให้แฟนสาวที่จิบกาแฟไปพลางก้มๆ เงยๆ รดน้ำต้นไม้แต่ละกระถาง เมื่อเห็นว่าแสงแดดยามเช้าอาบไล้ผ่านชุดนอนผ้าแพรเห็นไปถึงทรวดทรงองค์เอว

“สวมทับไว้ เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วนั่น”

“ใครจะมอง นี่มันชั้นสิบเจ็ด” เธอแย้ง

“ยังจะถาม เดี๋ยวนี้กล้องมือถือมันซูมไม่รู้กี่สิบเท่า”

เดหลีส่ายศีรษะอ่อนใจ แต่ก็ยอมสวมเสื้อยืดทับให้จบๆ ไป ธีรดนย์จึงล่าถอยกลับเข้าห้อง ให้เธอใช้เวลากับการงานอดิเรกกระทั่งแดดเริ่มแรง

“เหลือไข่แค่สองฟองนะ จะออกไปซูเปอร์ฯ หรือให้แทนซื้อจากร้านข้างล่างมาสำรองไว้ก่อน” ชายหนุ่มที่กำลังตอกไข่ใส่แก้วหันไปถามคนรักที่กลับเข้ามาข้างใน

“สองฟองนี้ปะ”

หญิงสาวทำท่าจะลวนลามแฟนหนุ่ม แล้วก็หัวเราะคิกเมื่อเขาเอาคืนด้วยการจิ้มเอวเธอ

“ไว้บ่ายๆ เย็นๆ ค่อยไปแล้วกัน ว่าจะนอนต่อ” เธอตอบเสียงเกียจคร้าน

“สบายแล้วนี่ มีคนยกผ้าลงไปซักให้” ธีรดนย์กระเซ้า เรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับใบหน้าสวยเก๋

“ช่วยไม่ได้ เมาแล้วหน้ามืดนักนี่ ไม่เคยเข็ด”

ชายหนุ่มหัวเราะกังวาน ก่อนนึกเรื่องที่เกือบลืมเพราะความเมาและหน้ามืดขึ้นมาได้

“เมื่อคืนหยีโทร. มาถามว่าเดียร์ถึงห้องยัง พอดีเห็นโทรศัพท์เดียร์ชาร์จไว้บนโซฟาเลยบอกให้ว่ากลับมาแล้ว เออ ลืมถุงของขวัญไว้ด้วยนี่ใช่ไหม”

มือที่กำลังล้างแก้วชะงักกลางคันทันทีที่ได้ยินว่าญาณิศาโทร. หาธีรดนย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และไม่ใช่ครั้งแรกที่ญาณิศาฝากข้อความถึงเธอผ่านชายหนุ่มเวลาติดต่อไม่ได้ จวบจนตอนนี้ที่เดหลีฉุกคิดและถามตัวเองว่ามันไม่แปลกจริงหรือ เพราะความห่วงใย...หรือทั้งหมดนั้นเป็นเพียงข้ออ้างที่จะได้สานสายใยกับชายที่รู้สึกดีด้วย

“แล้วหยีว่าไง” เธอย้อนถาม หันไปเผชิญหน้าแฟนหนุ่มเพื่อจับผิด

ทว่าธีรดนย์เพียงยักไหล่ “ไม่ว่าไง รู้ว่าเดียร์ถึงห้องก็วางสาย”

เดหลีทำเสียงขึ้นจมูก หางตายกขึ้นน้อยๆ ดวงตาเรียวที่โชนแสงวาบบอกความฉุนเฉียวของเจ้าตัวไม่รอดสายตาธีรดนย์

“มีไร ทะเลาะกับหยี?” เขาถามแต่สีหน้าไม่เชื่อเสียเอง

“เปล่า ไม่เชิง แค่หงุดหงิดที่ต้องเจอนังจอมปลวก ต้องตามเกมของมัน” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดดังคำพูด

จากคำถามเย้าแหย่แปรเปลี่ยนเป็นบทสนทนาจริงจังขึ้น

“ไปงานวันเกิดใครก็สนใจแค่คนนั้น จะหัวเสียเพราะคนอื่นทำไม”

“แทนไม่ได้อยู่ตรงนั้น อย่าทำเป็นสอนเดียร์ได้ปะ”

“แทนแค่บอกดีๆ”

“ใช่ แทนก็พูดได้ไง เพราะไม่ได้ถูกจูลี่มันแย่งหรือขวางไปซะทุกอย่าง แล้วคนที่รู้ทั้งรู้ว่ามันทำไรกับเดียร์ก็เป็นคนชวนมันมา เจ็บใจไหมล่ะ”

ธีรดนย์ส่ายศีรษะ ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกับความเจ้าคิดเจ้าแค้นของเดหลี ท่าทางเช่นนั้นยิ่งจุดโทสะหญิงสาวให้เดือดพุ่ง

“ตกลงแทนเป็นแฟนใครกันแน่ รู้นิสัยเดียร์หรือคนอื่นมากกว่ากัน ถึงเข้าข้างเดียร์ไม่ได้” เธอขวางชายหนุ่มที่จะล้างเก็บแก้ว ทำราวกับไม่อาจทนต่อความยาวสาวความยืดกับเธอ

“เพราะรู้ไงถึงไม่เข้าข้าง เรื่องมันแล้วไปแล้ว เดียร์จะเก็บมาเป็นอารมณ์ทำไม”

“เออ ไว้แทนโดนแย่งแฟน แย่งงาน แย่งเพื่อน ดูซิว่ายังจะพูดแบบนี้อีกไหม”

ธีรดนย์ตัดสินใจวางแก้วบนโต๊ะ เดินหนีไปจัดการกับผ้าผ่อนชิ้นใหญ่ที่ต้องนำไปใส่เครื่องซักผ้าและปั่นผ้าที่ร้านซักแห้งข้างล่าง เลี่ยงที่จะโต้เถียงกับคนอารมณ์ไม่ดี

เขาหยุดมองเดหลีที่ยืนกอดอกมองออกไปนอกกระจกบานเลื่อน แล้วยกตะกร้าผ้าเปิดประตูออกไป ต่างฝ่ายต่างไม่อยากพูดจาเพื่อรับฟังคำพูดไม่เข้าหูจากอีกคน

 

หลังนำของที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เกตไปเก็บไว้ในรถ เดหลีและธีรดนย์ก็กลับมาหาของกินภายในคอมมิวนิตีมอลล์

คู่รักพูดจากันนับคำได้นับแต่มีปากเสียงเมื่อเช้า บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงค่อนข้างชืดชา หนุ่มสาวจิบเบียร์ไป เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือไป แล้วเมื่อเดหลีเลื่อนเจอข้อความจากญาณิศาที่เธอจงใจปล่อยทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน สายตาเฉียบคมก็อดชำเลืองคนรักที่นั่งฝั่งตรงข้ามไม่ได้

ธีรดนย์ไม่ใช่ผู้ชายหล่อเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดเท้า แต่เสน่ห์ของเขาอยู่ที่ความเป็นตัวของตัวเอง ยิ้มและหัวเราะอย่างเปิดเผยมั่นใจ เป็นคนหนุ่มประเภทที่ผู้ชายด้วยกันไม่มีทางเขม่น ขณะเดียวกันรูปร่างสูงโปร่งหุ่นนักกีฬาและผิวสีแทนของเขาก็ทำให้เขาเป็นที่หมายตาของสาวๆ ทว่าเจ้าตัวไม่เคยใช้ข้อได้เปรียบหาเศษหาเลยกับใคร อาจเพราะเขาไม่ให้ค่าแก่รูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร

เธอยังจำวันที่ธีรดนย์ประสบอุบัติเหตุจากกีฬาทางน้ำจมูกหักได้ เธอตกใจและรีบไปหาเขาที่โรงพยาบาล แต่พบคนจมูกเบี้ยวน้อยๆ ยิ้มเผล่และบอกเล่าประสบการณ์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หรือคราวที่เขาป่วยเป็นอีสุกอีใส ผิวหนังเป็นตุ่ม เธอรบเร้ากึ่งบังคับให้ทาครีมลบรอยแผลเป็น เขาก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา จนปรากฏรอยแผลเป็นจางๆ บนโหนกแก้มถึงทุกวันนี้

ถ้าไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก ธีรดนย์ให้ค่าแก่สิ่งใด

‘ชอบเราเหรอ’ เธอเคยถามหลังเขานำกระถางดอกเดหลีสีขาวบริสุทธิ์มาให้แทนความรู้สึกในวันวาเลนไทน์ ‘ทำไมชอบเรา’

‘พูดเสียงดังดี’

เดหลีเงื้อมือจะฟาดไหล่หนา ชายหนุ่มโยกตัวหลบทัน เขาหัวเราะก่อนขยายความ

‘ได้ยินสรรพคุณมาแล้วก็เคยมองๆ เวลาเธออยู่กับเพื่อนที่โรงอาหารคุยเสียงดังดี ดูเปิดเผย เราชอบคนเปิดเผย’

กว่าจะได้คำตอบตรงประเด็นก็ต้องรอถึงประโยคสุดท้าย เธอเกือบลืมความชุ่มฉ่ำเมื่อแรกรักไปแล้วเมื่อสายลมแห่งกาลเวลาพัดผ่าน นำพาเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ถมความทรงจำ และเขาก็คงลืมคำตอบของตัวเองเช่นกัน พักหลังมานี้เธอกับเขาจึงมักขัดแย้งกันเพราะทัศนคติไม่ลงรอย ความเปิดเผยของเธอกลายเป็นปัญหาถึงกับทำให้เขาหน่ายหนี

เดหลีลืมตัวกัดริมฝีปาก สะกดกลั้นความเจ็บแปลบที่แล่นรี่เข้าเกาะกุมจิตใจ ในเมื่อความเป็นคนตรงไปตรงมาสร้างปัญหาระหว่างกัน เธอก็จะจัดการปัญหานี้เอง

หญิงสาวทำทียกโทรศัพท์ขึ้นเล็กน้อยแอบถ่ายภาพธีรดนย์ตอนกินข้าว แล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียของตน ประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างโจ่งแจ้ง

 

“อ้าวหยี แม่นึกว่ากลับมาจากอะพาร์ตเมนต์แล้ว”

ญาณิศาชะงักย่างก้าว หันมองตามเสียงเรียก เธอรอสตรีสูงวัยเดินมาหาที่เชิงบันไดแล้วถึงตอบคำถาม พลางก้าวขึ้นบันไดไปด้วยกัน

“เด็กโทร. ตามเพราะคุยกับแขกไม่เข้าใจน่ะค่ะ แขกบอกว่าแอร์ไม่เย็น หยีเลยให้ย้ายห้องเรียบร้อยแล้ว”

“เฮ้อ หยาดฝนใช่ไหม เด็กเพิ่งจบไม่มีประสบการณ์ ค่อยๆ สอนกันไป”

ญาณิศายิ้มบางๆ เหนื่อยใจอยู่หรอก จวนจะสิ้นสุดระยะเวลาทดลองงานแล้วพนักงานใหม่ยังแทบไม่มีพัฒนาการ แต่ทำอย่างไรได้ เมื่ออีกใจหนึ่งเธอขี้ใจอ่อนเหมือนแม่ ใจเย็นเหมือนพ่อ ได้แต่ทำใจทนไป

“แล้วแม่ลงมาทำไมคะ”

“ได้ยินเสียงฟ้าร้องน่ะสิ ลงมาดูว่าเด็กในบ้านเก็บผ้าหรือยัง”

ขาดคำนั้นฟ้าก็รั่ว ฝนตกหนักจนต้องส่งเสียงดังตอนพูดคุย

“ดีนะหนูกลับมาก่อน ไปนอนเถอะลูก”

“กูดไนต์ค่ะ” ญาณิศายิ้มน้อยๆ แล้วเปิดประตูกลับเข้าห้องนอนตัวเอง

บนเตียง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กยังคงเปิดทิ้งไว้เสมือนประตูบานเดียวที่เปิดสู่โลกกว้าง เพียงแตะแผ่นสัมผัส คลิปท่องเที่ยวต่างแดนของนักเดินทางแบบแบ็กแพ็กก็ปรากฏบนหน้าจอ

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นลูกคนเดียว มิหนำซ้ำยังเคยผ่าตัดโรคลิ้นหัวใจรั่วแต่เด็ก พ่อแม่คงไม่เฝ้าทะนุถนอมเธอแต่เล็กจนเติบใหญ่ เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา เธอก็เข้ามาดูแลเซอร์วิซอะพาร์ตเมนต์อันเป็นกิจการครอบครัวซึ่งตั้งอยู่ปากซอยบ้านนี่เอง สิ่งที่เปิดโลกทัศน์ของญาณิศามีแต่อินเทอร์เน็ตหนังสือและเรื่องเล่าจากเพื่อนๆ เท่านั้น

บางครั้งญาณิศาก็อิจฉาเพื่อนคนอื่นที่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ผ่านประสบการณ์ชีวิตน่าสนใจหรือมีสังคมเพื่อนฝูงใหม่ๆ ดูอย่างเดหลีที่ผลการเรียนปานกลาง แต่ประสบความสำเร็จทั้งด้านการงานและความรัก เป็นสาวมั่นกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น มีเป้าหมายชีวิตชัดเจน และทำทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการนั้น ขณะที่ชีวิตของเธอแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่เป็นนักศึกษา พร้อมจะคล้อยตามผู้อื่นและทำตามความพอใจของคนรอบตัว

เพิ่งมีครั้งนี้ที่เธอทำให้คนอื่นไม่พอใจ และคนคนนั้นก็คือเพื่อนสนิทอย่างเดหลี

ญาณิศาเลื่อนดูหน้าจอโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง หวังได้รับข้อความจากเดหลีให้คลายกังวล แต่ก็ไม่มีสักข้อความ ตรงข้ามกับโซเชียลมีเดียของเดหลีที่มีความเคลื่อนไหว หัวใจญาณิศาสะดุดผิดจังหวะ ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ว่าเดหลีจงใจโพสต์รูปธีรดนย์เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อเธอ แล้วก้อนเนื้อในอกก็บีบรัด ลำคอตีบตื้อด้วยความน้อยใจ

หญิงสาวกำลังจะปิดหน้าจอโทรศัพท์ แต่แล้วก็มีแจ้งเตือนจากข้อความของเดหลีเสียก่อน

‘พรุ่งนี้จะเอาของขวัญไปให้ เจอที่ร้านเดิมเวลาเดิมแล้วกัน’ (เอียง)

 

นานครั้งที่ญาณิศาจะออกจากบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน แต่น้อยครั้งเสียยิ่งกว่าที่เธอเป็นฝ่ายมาสายให้คนอื่นรอ เพราะวันนี้รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ของที่บ้านเกิดเกเรเกรวนระหว่างทาง เธอจึงต้องรอรถลากไปไว้ที่อู่แล้วนั่งแท็กซี่มายังสถานที่นัดหมายแทน

ทันทีที่เข้าไปในร้าน ญาณิศาก็สะดุดตากับร่างเพรียวระหงที่นั่งหมิ่นเหม่บนเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ เดหลีมีโครงหน้าและเครื่องหน้าเก๋บาดตา ห่างไกลจากพิมพ์นิยม ยิ่งเจ้าตัวมีฝีมือการแต่งหน้าก็ยิ่งส่งเสริมความงามเฉพาะตัวขึ้นไปอีก ยามยิ้มหัวหรือพูดคุยก็ราวกับมีประกายบางอย่างเฉิดฉายให้คู่สนทนาไม่อาจละสายตา แต่เมื่อไรที่ไม่ยิ้ม ใบหน้าเรียบเฉยนั้นจะแลดูเย่อหยิ่ง เช่นตอนนี้ที่เดหลีปรายตามองเธอด้วยหางตา

ญาณิศายิ้มเก้อเมื่อเพื่อนดึงสายตากลับไป เธอตามเดหลีไปยังโต๊ะกลมที่มีโซฟาเดี่ยวสองตัว แล้วยิ้มอีกครั้งเมื่อนั่งลงตรงข้าม

“เดียร์รอนานเลยสินะ รถหยีเสียกลางทาง ซวยจริงๆ”

“ไม่เป็นไร ถือว่าหายกันที่คราวก่อนเรามาช้า”

น้ำเสียงเนือยราวเอ่ยออกมาอย่างเสียมิได้และสีหน้าเรียบเฉยของผู้พูดทำให้คนฟังหน้าเจื่อน รู้สึกเหมือนถูกกระทบกระเทียบอย่างไรอย่างนั้น

ทว่าญาณิศาก็ยังคงเป็นญาณิศาคนที่พยายามคลี่คลายสถานการณ์อึดอัด

“คนที่เดียร์คุยด้วยเป็นเจ้าของร้านเหรอ ได้ยินคุยเรื่องนาฬิกากัน” เธอยกบทสนทนาที่คิดว่าเพื่อนสนใจมาคลี่คลายบรรยากาศเข้มข้น

“ใช่ เขาว่าเขาสะสมนาฬิกาเพราะคลั่งไคล้กฎแห่งเวลา เวลาไม่เคยย้อนกลับ เวลานำพาบางสิ่งและพรากบางอย่าง เวลาซื่อสัตย์ยุติธรรมเสมอ และเวลาพิสูจน์คน”

ดวงตาเรียวจับนิ่งที่คู่สนทนายามเน้นเสียงที่ประโยคสุดท้าย ญาณิศาหลุบตามองมือบนตัก หัวอกปวดหนึบที่เดหลีกัดไม่ปล่อยราวกับเธอเป็นศัตรู ไม่ใช่เพื่อนที่คบหากันทั้งยามสุขและทุกข์

เมื่อถูกทิ่มแทงด้วยคำพูดครั้งแล้วครั้งเล่า ญาณิศาก็คิดหาหัวข้อสนทนาที่จะพาตนออกจากสถานการณ์อึดอัดไม่ออก อดน้อยใจทั้งเพื่อนสนิทและชีวิตตนเองไม่ได้

ที่ผ่านมาเธอกับเดหลีไม่เคยมีเรื่องขัดอกขัดใจ ไม่ว่าเรื่องเล็กใหญ่แค่ไหนญาณิศายอมเพื่อนได้เสมอ แม้แต่เก็บงำความรู้สึกดีที่มีต่อธีรดนย์ ทว่าเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวที่เดหลีไม่พอใจเธอ ความเป็นเพื่อนระหว่างกันก็พลันไร้ความหมาย ทั้งที่เธอไม่มีวันแย่งชิงหรือได้ครอบครองธีรดนย์อยู่แล้วก็ไม่วายกลายเป็นคนผิดในสายตาเพื่อน

“ดื่มอะไร Time flies อีกไหม”

รอยยิ้มหยันที่มุมปากบอกให้ญาณิศารู้ว่าเดหลีจงใจถากถางแดกดัน

“ไม่ดีกว่า เหมือนฝนจะตก หยีว่าจะรีบกลับ”

“หึ” เดหลีหัวเราะในลำคอ “ก็ได้ เข้าเรื่องก็ได้ เราอยากรู้ว่าที่จูลี่พูดคืนนั้นหมายความว่ายังไง หยียังชอบแทนหรือไง ถึงไม่กล้าพูดความจริงแต่กลับเลือกดื่ม”

“ไม่ หยีแค่ไม่เข้าใจกติกาคืนนั้น หยีบอกทุกคนแล้วไง” ญาณิศายืนยันคำพูดเดิมที่เคยแก้ตัว ครั้นสบสายตาหมิ่นหยามของเพื่อน กระบอกตาก็ปวดร้าวขึ้นมา

ใช่ เธอโกหก เธอชอบธีรดนย์ แม้เขาจะเป็นคนรักของเพื่อนก็ตาม ผิดมากหรือเมื่อเธอไม่ได้ยื้อแย่ง เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายช้ำชอกจากการแอบรักข้างเดียว แล้วตอนนี้เดหลียังลงโทษเธอด้วยสายตาและคำพูดจิกกัด แล้วเธอก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะปกป้องตัวเอง

“คิดว่าเราโง่เหรอ”

“เดียร์...”

“เราไว้ใจหยีมากนะ แต่ตั้งแต่คืนนั้นบอกตรงๆ ว่าเราไม่เชื่อหยีอีกแล้ว เราถามแจ็กกี้ มันบอกว่าหยีชวนจูลี่มางานทั้งที่หยีก็รู้ว่าเรากับยายนั่นไม่ถูกกัน”

“ก่อนหน้านั้นจูลี่ทักมาถามถึงเพื่อนๆ หยีก็ต้องชวนตามมารยาท”

“เห็นไหม ในที่สุดหยีก็ยอมรับว่าโกหก วันนั้นหยีบอกเราว่าไม่รู้ใครชวน แล้วเราจะเชื่ออะไรหยีได้บ้าง ถามจริงเถอะ”

นาฬิกาโบราณตีเสียงดังขัดบทสนทนาเผ็ดร้อนระหว่างเพื่อนรัก เดหลีผินมองรอบตัว เพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าทั้งร้านปลอดคน แม้แต่ชายวัยกลางคนที่เธอพูดคุยด้วยก็หายตัวไปจากหลังเคาน์เตอร์บาร์ตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้

หญิงสาวเปิดกระเป๋าหยิบธนบัตรก่อนลุกไปกดกระดิ่งบนเคาน์เตอร์เรียกพนักงาน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมาปรากฏตัว เธอจึงวางธนบัตรสีม่วงไว้ใต้แก้วเบียร์ของตน

“เดียร์จะกลับแล้วเหรอ”

คำถามเหมือนเด็กหลงทางดังมาจากเพื่อนที่เคยรัก เดหลีหยุดยืนหน้าประตูกระจกบานใหญ่ เงาของญาณิศาสะท้อนในนั้นให้เธอสะท้อนใจ

“ของขวัญอยู่ในรถ มาเอาสิ”

เหลียวมองร้านเงียบเหงาวังเวง ญาณิศาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตามเพื่อนออกไป ครั้นเดินไปถึงรถฟ้าก็คำราม

“ขึ้นรถสิ จะไปส่ง ถือว่าหายกันกับที่เคยไปค้างที่บ้าน” เดหลีแข็งใจทิ้งอีกฝ่ายไม่ลง “จากนี้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ถ้าจะเข้าหาแทนก็อย่าเอาความเป็นเพื่อนของเรามาบังหน้า เพราะเราคงไม่ยอมเป็นคนโง่อีกต่อไป”

ราวกับถูกตบหน้า ญาณิศาเจ็บจนหน้าม้านชา มิหนำซ้ำโลกยังหันหลังให้เธอยืนหยัดข้างเดหลี ไม่ยอมให้เธอเข้มแข็งปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง สายฝนโหมกระหน่ำจนเธอต้องติดรถเพื่อนที่เกลียดชังตน

แล้วเธอล่ะ มีสิทธิ์โกรธเกลียดเดหลีได้บ้างไหม เธอเกลียดที่เดหลีมักทำตัวเหนือกว่า เธอเกลียดที่เดหลีนึกถึงแต่ความรู้สึกของตนเป็นใหญ่ ไม่เคยมองเห็นความรู้สึกใคร เกลียดที่เดหลีมีชีวิตอย่างที่เธอใฝ่ฝันทุกอย่าง แล้วยังบีบคั้นให้เธอยอมรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ ยอมรับว่าเธอด้อยค่าและไม่มีทางสู้เพื่อนสักทาง

เสียงต่อว่าความอยุติธรรมดังก้องในใจ เสียงลมฝนอื้ออึง ยามนี้ฝ้าน้ำตาจับตาเช่นเดียวกับเม็ดฝนที่เกาะพราวบนกระจกรถยนต์

ญาณิศาหลับตากล้ำกลืนความปวดร้าว รู้ได้ว่าเดหลีก็ปรารถนาจะหลุดพ้นจากความอึดอัดนี้จากความเร็วของรถที่พุ่งทะยาน ก่อนสติสัมปชัญญะสุดท้ายของเธอจะลอยหวือตามแรงเหวี่ยงของรถที่เข้าโค้ง ไม่ทันลืมตา...สรรพสิ่งก็พลันมืดดับ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น