
บทที่ ๒
ภาพตรงหน้าติดๆ ดับๆ ราวกับถูกจับขังในห้องมืดที่ไฟดวงเดียวกะพริบถี่ๆ เหตุการณ์ร้อยเรียงเข้ามาไม่ปะติดปะต่อ
เดหลีได้กลิ่นกายผู้คน กลิ่นอับของเสื้อผ้าที่เปียกชื้น ขณะที่ร้าวระบมไปทั้งกายจนไม่อาจขัดขืนเรี่ยวแรงที่พยายามผูกมัดเธอกับเปลหาม ก่อนทุกอย่างจะค่อยๆ รางเลือน เธอรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะความหนาวเย็น เดหลีลืมตาสู้แสงจ้าไม่ไหว เธอได้ยินเสียงประกาศตามสายเรียกญาติคนไข้ก็ให้อุ่นใจว่าตนอยู่ที่โรงพยาบาล หญิงสาวไม่อาจต้านทานความง่วงงุนรุนแรงราวกับมีมือที่มองไม่เห็นปิดตาปิดปาก เธอถูกฉุดดึงสู่ห้วงนิทราอีกครา
กระทั่งเสียงคุ้นหูชำแรกเข้ามาในโสตประสาท เธอจำเสียงธีรดนย์ได้ แล้วความหวงแหนหวาดระแวงที่ฝังในจิตใต้สำนึกก็ทำให้เดหลีฮึดต่อสู้ เธอจะไม่ยอมอยู่เฉยให้ญาณิศาฉวยโอกาสจากความเป็นเพื่อนเพื่อใกล้ชิดเขาอีก
“ครับ ปลอดภัยแล้ว”
ร่างสูงยืนหันหลัง ไร้เงาคู่สนทนาภายในห้องมืดสลัว
“ตอนเช้าหมอจะมาดูอีกที ถ้าเดียร์รู้สึกตัวคงได้กลับครับแม่ ไม่มีอะไรน่าห่วง ยังไงผมจะโทร. บอก สวัสดีครับ”
แม่หรือ...แม่ใคร แต่ไม่ใช่คนที่เธอหวาดระแวงก็ดีแล้ว
เดหลีโล่งอก เมื่อธีรดนย์หันมาก็สบตาเขาเข้าพอดี เพิ่งสังเกตว่าเขายังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมกับก่อนหน้านี้ที่เธอออกมาพบญาณิศา ทว่านาฬิกาบนผนังบอกเวลาสามนาฬิกา แปลว่านับแต่รู้ข่าวเขาอยู่ข้างเธอทั้งคืน
“แทน...” เธอครางเรียกชื่อเขาเสียงแหบโหย
“เป็นไงบ้าง”
“เจ็บสิถามได้” เดหลีบ่นระบาย ก่อนฉุกคิดขึ้นมาได้ด้วยความรักตัวกลัวตาย “หมอว่าเดียร์เป็นไรรึเปล่า”
“ฟกช้ำ ไม่มีอะไรแตกหัก แต่รอประเมินอาการตอนเช้าอีกที”
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอมองมือที่มีสายน้ำเกลือ ลองขยับขาก็พบว่าอวัยวะทุกส่วนทำงานปกติ เว้นแต่ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายเคล็ดขัดยอกกับเจ็บเสียดกลางอกเล็กน้อย คงเพราะแรงกระแทกจากอุบัติเหตุนั่นเอง
“แล้วรถล่ะ” เธอถามอย่างนึกขึ้นได้ “ซ่อมหนักหรือเปล่า ซวยชะมัด เพิ่งผ่อนหมดไม่ถึงปี”
ธีรดนย์ขบกราม หนักใจที่ต้องบอกข่าวร้ายพอๆ กับผิดหวังที่เดหลีให้ค่าแก่สิ่งของมากกว่าชีวิตคน
“จำได้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฝนตก เดียร์ขับรถเร็วไปหน่อย ตอนเข้าโค้งเลยหลุดโค้งไปชนต้นไม้ข้างทาง” หญิงสาวยกมือลูบหน้ายอมรับผิดกับบทเรียนอันเกิดจากความประมาท
“หยีอยู่บนรถกับเดียร์”
ประโยคย้ำเตือนนั้นขวางหูคนฟัง เธอตวัดมองเขาเมื่อคิดว่าธีรดนย์กำลังกล่าวโทษเธอเพราะผู้อื่น
“ใช่ เดียร์ผิดหรือไงที่จะแวะไปส่งหยี ต้องขอโทษไหมที่หยีบาดเจ็บเพราะเดียร์”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะไม่มีใครโทษเดียร์” ชายหนุ่มตอบเสียงแน่นหนัก “ค่อยไปขออโหสิหยีแล้วก็ขอขมาพ่อแม่หยีแล้วกัน”
นานนับนาทีกว่าสมองจะประมวลคำพูด ทำความเข้าใจคำตอบนั้น เดหลีเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง ในใจตะโกนปฏิเสธความจริงว่าเธออาจเข้าใจผิดความหมาย แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงถามหรือโต้แย้ง
จะเป็นไปได้อย่างไร เธอแค่บาดเจ็บเล็กน้อยแล้วผู้โดยสารจะถึงแก่ชีวิต แต่ยิ่งขุดค้นความทรงจำเพื่อยืนยันความเชื่อของตนว่าญาณิศา ปลอดภัยภาพใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนก็ค่อยๆ แจ่มชัดในมโนสำนึก ญาณิศาแน่นิ่งตอนที่เธอถูกช่วยออกมาจากซากรถ แต่นาทีนั้นเดหลีไม่มีสติไตร่ตรองว่าเพื่อนรักหมดสติหรือลมหายใจ
แล้วธีรดนย์ก็ยืนยันสิ่งที่เธอกลัวจับใจ
“พ่อกับแม่หยีเพิ่งกลับไป พรุ่งนี้ถึงจะมารับหยีไปที่วัด”
ไม่จริง...เธอไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ต่อให้โกรธจนไม่อยากมองหน้า เธอก็ไม่ต้องการให้ญาณิศามีจุดจบเพราะตน ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้ตามหลอกหลอนทั้งชีวิต ไหนจะเรื่องคดีและสายตาคนรอบตัวที่รอกล่าวหาซ้ำเติม เมื่อรู้แจ้งแก่ใจว่าจะต้องผูกติดกับตราบาปไปตลอดชีวิต ความโศกเศร้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความประหวั่น หวาดกลัวผลของการกระทำ
แววตาวูบไหวของหญิงสาวก่อให้เกิดความเห็นใจ ธีรดนย์วางมือบนไหล่แทนคำปลุกปลอบ ก่อนมือข้างนั้นจะถูกคว้าหมับจากคนที่อยู่ในอาการตกตะลึง
“แทนต้องช่วยเดียร์นะ เดียร์ไม่ได้ตั้งใจ เดียร์ไม่อยากมีคดี ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไม่ไปส่งหยีซะก็ดี จะได้ไม่ต้องซวยมีความผิดแบบนี้”
ชายหนุ่มปล่อยให้คนรักเขย่ามือเขาด้วยท่าทางเจียนคลั่ง
“มันเป็นอุบัติเหตุ ถ้าตำรวจเรียกสอบก็แค่เล่าไปตามความจริง”
“บอกความจริงให้เป็นความผิดของเดียร์เนี่ยนะ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีกไม่รู้กี่ครั้ง ทนายสักคนก็ไม่มี” เดหลีโวยวาย “คดีแบบนี้เขาใช้เส้นสายกับตำรวจและญาติให้คนตายเป็นคนขับกันทั้งนั้น คนตายตายไปแล้ว แต่คนอยู่นี่สิต้องด่างพร้อยไปตลอดชีวิต”
คำพูดแต่ละคำที่ออกจากปากเดหลีลดทอนความเห็นใจที่มีต่อคนสูญเสียเพื่อนรักจนอาจเรียกได้ว่าผิดหวังในตัวเจ้าหล่อน เธอไม่เหมือนเดหลีที่เขารู้จัก คนที่รักเพื่อนอย่างจริงใจ หรือแท้จริงเขายังไม่รู้จักเธอดีพอ ยามเกิดวิกฤติชีวิตจึงเผยด้านที่เห็นแก่ตัว
“โยนความผิดให้คนตาย เดียร์ไม่ละอายงั้นสิ” เขาย้อนเสียงเข้ม
หญิงสาวเชิดหน้า ก่อกำแพงปิดกั้นความรู้สึกข้างใน
“ไหนว่าพ่อแม่หยีไม่ติดใจ แล้วทำไมต้องให้เป็นคดีความ”
“แค่บอกเผื่อไว้ แล้วคนที่ห่วงว่าจะมีคดีติดตัวก็คือเดียร์ไม่ใช่หรือไง”
“ใช่สิ เดียร์ต้องห่วง เดียร์ยังมีภาระ มีหน้าที่การงานนะ”
ธีรดนย์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแดงเรื่อเจือรอยหวั่นวิตก ยากจะตัดสินเธอเมื่อนึกถึงสิ่งที่เดหลีต้องแบกรับและกำลังจะต้องเผชิญ ถึงอย่างนั้นปฏิกิริยาต่อปัญหาของเธอก็ห่างไกลจากคำว่าน่าสงสารเห็นใจ
“แทนมีรุ่นพี่ที่โรงเรียนเป็นทนาย พรุ่งนี้จะปรึกษาเขา แต่จะไม่มีวันทำแบบที่เดียร์บอก”
“แทนจะเป็นโจทก์เลยก็ได้นะ เป็นเลย” เธอประชดผลักไสเมื่อไร้ซึ่งคนเข้าใจ
“มีสติหน่อย แทนบอกสักคำไหมว่าเดียร์ผิด แต่ถ้าเดียร์ทำแบบที่คิดนั่นน่ะผิดและแย่มาก”
หญิงสาวอ้าปากจะโต้แย้ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจกลืนเก็บความในใจ
ทุกอย่างย่ำแย่พอแล้ว เธอไม่ต้องการทะเลาะกับเขาให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก เดหลีหลับตา แต่ความคิดความรู้สึกมิได้หลับใหล เธอก่นด่าโชคชะตาที่ผลักให้เธอเป็นผู้ร้ายทำให้เพื่อนถึงแก่ความตาย หวังให้คนรักเข้าใจและช่วยเหลือเขาก็เมินเฉย กว่าจะป่ายปีนถีบชีวิตมาถึงจุดนี้ไม่ง่ายเลย ผิดหรือหากเธอจะเห็นแก่ตัวทำทุกวิถีทางไม่ให้ตัวเองตกลงไป
ทำไมแกต้องตายด้วยหยี ทำไม...
เดหลีไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องมาเกี่ยวพันกับกระบวนการทางกฎหมายที่เธอมองว่ายุ่งยากและร้ายแรง แต่ก็เป็นไปแล้วอย่างไม่มีทางหลบหลีก เธอจำเป็นต้องบอกเล่าเหตุการณ์ตามความจริงกับเป็นเอก ทนายความซึ่งเป็นรุ่นพี่ร่วมโรงเรียนมัธยมกับธีรดนย์ ยกเว้นเรื่องเดียว...เธอไม่ได้แพร่งพรายปัญหาขัดแย้งระหว่างเธอกับญาณิศา
“ไม่น่ามีปัญหาอะไร เดียร์สารภาพดีแล้วครับ แทนบอกว่าโจทก์ไม่ติดใจ คดีก็คงไม่ยืดเยื้อ”
“โทษสูงสุดจำคุกสิบปีนี่เรียกว่าไม่มีปัญหาอะไรหรือคะ” หญิงสาวสวนกลับฉุนๆ
ทว่าแทนที่ชายหนุ่มจะเคืองขุ่น เขากลับยิ้มหัว ดวงตาหลังแว่นสายตายิบหยี
“เอาเป็นว่าถ้าตำรวจออกหมายเรียกเมื่อไรก็ไปรายงานตัวและเล่าอย่างที่บอกพี่ โทร. มาก็ได้ครับ พี่จะไปด้วย”
ตลอดเวลานั้นธีรดนย์อยู่ร่วมในห้องพักผู้ป่วย เขาสังเกตการณ์เงียบๆ ไม่ได้พยายามพูดจาให้กำลังใจคนรักแม้แต่น้อย
เธอรู้ว่าเขาเป็นคนซื่อตรง แต่ไม่คิดว่าจะเห็นแก่ความถูกต้องขนาดนี้!
“พี่แวะไปที่ สน. แล้วนะ” เป็นเอกหันไปพูดคุยกับเพื่อนรุ่นน้องอีกครั้ง “เรื่องรถ ตำรวจบอกว่าพิสูจน์หลักฐานเสร็จก็ไปรับคืนได้ น่าจะวันสองวัน”
คนเจ็บบนเตียงจ้องมองชายคนรักอย่างสับสน เขาทำเหมือนอยากให้เธอเป็นคนผิด ถ้าทำได้คงใส่กุญแจมือเธอ แต่ขณะเดียวกันก็หาทางเจรจาช่วยเหลือราวกับเห็นอกเห็นใจกัน
“ผมฝากพี่เอกตามเรื่องกับบริษัทประกันชดใช้ผู้เสียหายอีกเรื่องได้ไหมครับ”
“ได้สิ พี่จะไปร่วมงานเย็นนี้ จะพูดคุยเรื่องบรรเทาทุกข์กับครอบครัวด้วย”
เดหลีถึงบางอ้อ เขาไม่ได้เห็นใจเธอเท่านั้น แต่แบ่งปันอย่างเท่าเทียมให้แก่ผู้จากไป เธอไม่ได้อิจฉาญาณิศา ทว่าน้อยเนื้อต่ำใจแฟนหนุ่มและชะตาชีวิตตนมากล้นจนท่วมท้นความเสียใจต่อการสูญเสียเพื่อนสนิท เมื่อเธออาจเสียอนาคตต่อจากนี้
หญิงสาวปล่อยให้น้ำตารื้นซึมกับหมอนคล้อยหลังธีรดนย์กับเป็นเอกออกไปแล้ว ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด คราวนี้ประตูห้องเปิดออกโดยสตรีวัยกลางคน
แทนที่จะอบอุ่นใจคลายกังวลอย่างลูกคนอื่นที่เห็นแม่เป็นที่พึ่ง เดหลีอยากหลับตาหนีความจริงไปเสียให้พ้นๆ เหมือนที่เธอทำลืมว่ายังมีครอบครัวเสมอ
“เฮ้อ แกไม่เป็นอะไรจริงๆ ด้วย ตอนรู้ข่าวจากแฟนแกเมื่อคืนแม่ตกใจจนนอนไม่หลับ”
“เดียร์ไม่ตายง่ายๆ หรอก บาปหนาอย่างที่แม่เคยบอกไง” หญิงสาวอดพูดจาส่อเสียดไม่ได้
“แล้วแทนไปไหนกับใครน่ะ สวนกันหน้าลิฟต์ก็ไม่ทันถาม”
“เพื่อนเขามาเยี่ยม”
อะไรบางอย่างปิดปากเดหลีไม่ให้เล่าผลพวงจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับญาณิศา แม่ไม่เคยเป็นที่พึ่ง เธอต่างหากที่เป็นที่พึ่งให้แก่แม่ แล้วถ้ารูปการทำท่าจะเปลี่ยนไป ไม่แคล้วแม่คงทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต
จิตราดึงเก้าอี้มานั่งพลางถอนหายใจ แกะเงาะที่ซื้อติดมือมาเยี่ยมกิน พลางเล่าความเป็นไปในชีวิตให้คนเจ็บที่ปลอดภัยดีรับฟัง
“แกไม่แวะไปที่บ้านบ้าง เดี๋ยวนี้คนเก่าๆ ย้ายออกจากหมู่บ้านไปซื้อบ้านใหม่กันเยอะเชียว คนที่ย้ายมาใหม่ก็ไม่รู้ยังไง ไม่ค่อยซื้อของจากร้านขายของชำแล้ว ร้านบะหมี่น้องชายแกก็พลอยเงียบ ทำมาหากินยากเย็นนักสมัยนี้”
เดหลีจิ้มโทรศัพท์มือถือ พิมพ์ข้อความฝากงานกับลูกทีม ปล่อยให้คำพูดของแม่ผ่านหู
“เออ แกหายดีเมื่อไรแวะไปที่บ้านหน่อยสิ จำห้องแถวตรงป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้านได้ไหม มีห้องว่างพอดี ถ้าเปิดร้านบะหมี่ตรงนั้นดิวมันก็น่าจะขายดีขึ้น เขาเอามัดจำล่วงหน้าสองเดือนเอง ก็แค่สามหมื่น”
คราวนี้คนทำหูทวนลมแย้งขึ้นเสียงดัง
“ค่าเช่าเดือนละหมื่นห้า มันเอาไรคิดว่าจะได้กำไรพอจ่าย ขนาดขายในหมู่บ้านไม่เสียค่าเช่าที่ ค่าแฟรนไชส์เดียร์ก็ออก ยังบ่นว่าขาดทุน”
“ดิวไม่ได้คิด แม่นี่แหละคิด” จิตรามองลูกสาวตาขุ่นขวาง “เดือนเดือนนึงแกผ่อนรถผ่อนคอนโดเท่าไร กับอีแค่ช่วยน้องให้มันได้ลืมตาอ้าปาก ยังไม่ถึงครึ่งภาษีชีวิตแกเลยมั้ง ไม่คิดบ้างล่ะว่าที่แกได้เรียนคณะดีๆ ได้ดีมีอนาคตก็เพราะความเสียสละของน้องมัน”
เสียสละหรือ หญิงสาวอยากกรีดร้องพอๆ กับหัวเราะ แม่เรียกการที่เธอตั้งใจเรียนขวนขวายผลักดันตัวเองจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง ขณะที่วรเวชตัดสินใจออกจากสถาบันอาชีวะศึกษากลางคันโดยอ้างว่าไม่ใช่เส้นทางที่ชอบ...ว่าความเสียสละ ความรักไม่ลืมหูลืมตาที่แม่มีต่อลูกชายพาลให้เดหลีสมเพช ค่อยๆ หมดความนับถือในตัวผู้ให้กำเนิด
“เพิ่งรู้ว่าเดียร์ไม่ได้พยายามเลยเนอะ ไอ้ดิวมันอ่านหนังสือสอบแทน เจอปัญหาที่ทำงานแทน แหม...เดียร์นี่เกิดมาสบายจริงๆ” เธอประชด เหยียดยิ้มทั้งที่กระบอกตาร้อนผ่าว
“แกจะไม่ช่วย ไม่เอาครอบครัว ไม่เอาพี่น้องก็ได้ วันไหนแกลำบาก ฉันจะคอยดูว่าจะมีใครอยู่ข้างแกถ้าไม่ใช่แม่หรือน้อง”
ตอนนี้อย่างไรล่ะที่เธอกำลังประสบปัญหา แต่แม่ซึ่งประกาศตัวว่าอยู่เคียงข้างก็ไม่แคล้วเรียกร้องเอาจากเธอ แม่ถนัดตัดพ้อชีวิต ข้อนั้นเดหลีรู้ดีเชียวละ เธอถึงได้พยายามพิสูจน์ด้วยการลงมือทำเพื่อหลีกหนีจากอุปสรรคปัญหานานาที่แม่พร่ำกรอกหูทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วเธอก็ได้พิสูจน์ว่าต้นทุนชีวิตไม่ใช่ข้ออ้างความล้มเหลว ทว่าผลของความพยายามกลับไร้ค่าในสายตาแม่ นอกจากเห็นเป็นหน้าที่ที่เธอต้องฉุดดึงครอบครัวขึ้นไป
เสียงเคาะประตูก่อนเปิดเข้ามาเปรียบดั่งเสียงระฆังที่หญิงสาวรอคอย เธอสบตาธีรดนย์ชั่วระยะสั้นๆ แล้วมองตามแม่ซึ่งกอบเปลือกเงาะไปทิ้งถังขยะ เดหลีหลับตาถอนหายใจ
“มีคนอยู่ด้วยแล้ว แม่กลับไปดูร้านละ” จิตราเอ่ยเสียงสะบัด
เดหลีไม่ตอบ ไม่ลืมตา เธอได้ยินธีรดนย์อาสาลงไปส่ง ตามด้วยเสียงประตูปิดไล่หลัง เมื่อนั้นเธอจึงลืมตาขึ้นในห้องว่างตามลำพัง น้ำตาเอ่อท้นกลิ้งหยดจากหางตา
บางทีคนที่จากไปน่าจะเป็นเธอมากกว่าญาณิศา จะได้ไม่ต้องแบกรับเรื่องทั้งหมดนี้เหมือนเธอเป็นคนผิดฝ่ายเดียว
“พรุ่งนี้ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว” ธีรดนย์เปรยแกมปลอบประโลมหลังกลับมาจากการเรียกรถแท็กซี่ให้สตรีวัยกลางคน
เขาเข้ามาทันสัมผัสบรรยากาศตึงเครียดระหว่างแม่ลูก แล้วก็รู้สึกผิดที่มีส่วนให้เดหลีต้องลำบากใจ ถึงแม้การบอกครอบครัวของเธอเรื่องอุบัติเหตุนั้นสมควรแล้ว
“หมอบอกหรือเปล่าว่าจะให้ออกกี่โมง”
“หลังพบหมอรอบเช้าละมั้ง”
เดหลีลุกขึ้นนั่งพลางเสยผมที่ยาวถึงกลางหลัง เธอเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จแบตเตอรี่อยู่บนตู้ข้างเตียงอีกครั้ง คนมองส่ายหน้าอ่อนใจ
“จะได้เลื่อนนัดลูกค้าเป็นเย็นพรุ่งนี้” เธอพึมพำกับตัวเองแต่ไม่รอดหูชายหนุ่ม
“คิดว่าเดียร์จะไปงานหยี”
ถ้อยคำกึ่งชี้แนะส่งผลให้เดหลีลดโทรศัพท์ลง มันยากที่จะยอมรับและยากยิ่งกว่าที่ต้องเผชิญความจริง เธอเลือกหลับหูหลับตามองเมินข้อความและสายเรียกเข้าจากเพื่อนตลอดทั้งวัน แต่ธีรดนย์กลับยืนจังก้าย้ำเตือนสิ่งที่เธอควรทำราวผู้พิพากษา
“เดียร์รู้ว่าเดียร์ต้องทำอะไร ทำไมแทนไม่กลับไปพักลางานวันนึง แล้วนี่พรุ่งนี้จะได้ไปทำงาน”
“โอเค ถ้ามันเป็นนัดสำคัญ มะรืนค่อยไปงานหยีด้วยกัน”
แม้ธีรดนย์จะทำงานคนละสายงาน เป็นผู้วางกลยุทธ์การตลาดในบริษัทครีเอทีฟเอเจนซี แต่ก็ต้องติดต่อประสานงานกับลูกค้าเช่นกัน เขาถึงเข้าใจรูปแบบงานของเธอได้ไม่ยาก
“แทนจะกะเกณฑ์เดียร์เพื่อ!?” เดหลีถามเสียงเกรี้ยวกราด ความกดดันข้างในปะทุออกมาผ่านท่าทีแข็งกร้าว “หยีเป็นเพื่อนเดียร์ ไม่ใช่เพื่อนแทน อย่ามาบอกให้เดียร์ทำหรือไม่ทำอะไร”
“เหรอ แทนชักไม่แน่ใจ เพื่อนที่เดียร์บอกว่ารักที่สุดเสียชีวิต แต่เดียร์คิดถึงแต่อะไรก็ไม่รู้”
“ว่าเดียร์เห็นแก่ตัวงั้นเหรอ”
“แล้วใช่หรือเปล่าล่ะ” เขาย้อน สีหน้าแววตาเข้มจัด “เรื่องมาขนาดนี้พ่อแม่หยียังห่วงเดียร์ ฝากแทนมาบอกตอนรับศพลูกสาวเขา แต่เดียร์กลับ...”
ธีรดนย์ยั้งคำพูด เธอเป็นคนตรง เขาก็เหมือนกัน บางครั้งจึงขัดแย้งรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สภาพของคนเจ็บทำให้เขาได้สติหักหาญไม่ลง
ดวงตาเรียววูบไหวเมื่อความทรงจำที่เคยมีร่วมกับญาณิศาและครอบครัวทะลักทลาย
ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา หลายครั้งหลายหนที่เดหลีได้มีโอกาสไปค้างบ้านเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นคืนที่ต้องทำรายงาน ติวหนังสือด้วยกัน หรือตอนที่เธอจับได้ว่าแฟนเก่านอกใจ ครอบครัวญาณิศาต้อนรับเธออย่างอบอุ่นไม่ต่างจากลูกหลานคนหนึ่งเสมอ จนเธอนึกเปรียบเทียบแม่บังเกิดเกล้ากับแม่ของเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง
เดหลีไม่เคยสงสัยในความดี ความจริงใจของคนที่เติบโตมาอย่างพรั่งพร้อมด้วยความรักเช่นที่ญาณิศาเป็นมาก่อนเลย แต่เพราะเกมปั่นประสาทคืนนั้น ความเชื่อใจอันแกร่งกล้าจึงสั่นคลอน
“เดียร์ทำไม พูดมาสิ! เดียร์เป็นยังไง” เธอตวาดสาดความขื่นขมใส่แฟนหนุ่มด้วยดวงตาแดงก่ำ
ธีรดนย์เบือนหน้าจากภาพนั้นพลางขบกราม ยิ่งเดหลีขาดสติเท่าไร เขาก็ควรมีสติในเวลาที่ความสัมพันธ์ทำท่าจะสั่นคลอนรุนแรง แล้วทางออกเดียวที่นึกได้คือการหันหลัง ไม่โต้ตอบให้บานปลาย
หญิงสาวฝืนกลืนก้อนสะอื้นที่จุกในลำคอกลับลงไป เธอทั้งโกรธ ทั้งผิดหวังเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ที่ต้องทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สา เพราะไม่อยากยอมรับความจริงว่าญาณิศาต้องด่วนจากไปก็เพราะเธอ ไม่มีทางแก้ไข ไม่มีทางสลัดตราบาปนี้ตราบชั่วชีวิต แล้วชายคนรักยังขุดหลุมฝังเธอจมดิน
สถานที่แรกที่เดหลีตั้งใจกลับไปหลังแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลคือร้านอาหารกึ่งบาร์ที่เธอนัดพบญาณิศา ทันทีที่ผลักประตูกระจกเข้าไป เสียงเข็มนาฬิกาหลายสิบเรือนก็สะท้อนกังวานในความเงียบ หลอมรวมเป็นเสียงเดียวกับจังหวะหัวใจ
เป็นครั้งแรกที่เธอมาร้านแห่งนี้ตอนกลางวัน แสงแดดสว่างสาดส่องผ่านผนังกระจกด้านหนึ่งเข้ามาอาบไล้นาฬิกาส่องประกายระยิบระยับ
‘เวลาไม่เคยย้อนกลับ เวลานำพาบางสิ่งและพรากบางอย่าง เวลาซื่อสัตย์ยุติธรรมเสมอ และเวลาพิสูจน์คน’
กฎแห่งเวลาที่เธอเคยยกมาตอกหน้าญาณิศาดังก้องในโสตประสาท ก่อนเสียงตีกังวานของนาฬิกาโบราณจะทำให้เดหลีสะดุ้งตกใจ เธอหันขวับตามเสียง แล้วพบว่าข้างนาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่นั้นปรากฏหญิงสาวร่างผอมบางไว้ผมสั้นและหน้าม้า สวมชุดเพลย์สูทลูกไม้สีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กแขนกุดสีฟ้าอ่อน มองเธอด้วยแววตาตัดพ้อร้าวราน
“หยี...”
ฝันหรือจริง เดหลีสับสนว้าวุ่น เธอภาวนาให้อุบัติเหตุนั้นเป็นเพียงความฝัน แท้จริงเธอเพิ่งมาพบญาณิศาตามนัด คิดมาถึงตรงนั้นหญิงสาวก็ปรี่ไปจับต้นแขนเพื่อนเขย่าทันที
“นี่เรื่องจริงเหรอหยี เธอยังไม่ตาย”
เดหลีโล่งใจจนน้ำตารื้น เธอจะได้เป็นอิสระจากความผิดเสียที และจะแก้ไขไม่ให้มีจุดจบอย่างเดิม
“เวลาไม่เคยย้อนกลับ...ลืมแล้วหรือเดียร์ เวลานำพาบางสิ่งและพรากบางอย่าง เวลาซื่อสัตย์ยุติธรรมเสมอ และเวลาพิสูจน์คน”
คำตอบเรียบเย็นของญาณิศาและแววตาช้ำชอกเปรียบดั่งลิ่มตอกตรึงหัวใจที่เริงโลด เดหลีถอยมากวาดตามองเพื่อนพร้อมกับบอกตัวเองว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง นี่ก็คงเป็นความฝัน คำพูดนั้นตามมาหลอกหลอนเธอ
“เราไม่ได้ตั้งใจ”
“เดียร์ตั้งใจ ฝนตกแต่เดียร์ก็ยังขับรถเร็ว ไม่ว่ายังไงหยีก็เอาชีวิตคืนมาไม่ได้! หยีต้องตายโดยที่ไม่ใช่ความผิดของหยี!”
“มันเป็นอุบัติเหตุ!”
“แล้วทำไมเดียร์ไม่ตาย ทำไมต้องเป็นหยี ทำไม!”
ญาณิศาโผเข้าเขย่าตัวเดหลี เรี่ยวแรงมหาศาลส่งผลให้สรรพสิ่งในร้านสั่นสะเทือนอย่างน่าอัศจรรย์
หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลืมตาจากแรงเหวี่ยงที่พาเธอกลับมายังห้องมืดสลัว ครั้นมองรอบตัวก็พบว่าตนอยู่บนเตียงที่มีราวกั้น ก่อนหัวใจจะโลดแรงเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าที่เธอได้แต่แอบมองมาเนิ่นนานแจ่มชัดด้วยแสงจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ธีรดนย์นั่งเหยียดขาไปตามความยาวของโซฟา วางคอมพิวเตอร์บนตัก ดูผ่อนคลายอย่างยิ่งในชุดเสื้อยืดและกางเกงวอร์ม
“แทน...”
ชื่อของเขาผ่านริมฝีปากออกไปก่อนยับยั้งได้ทัน เพียงเสียงเรียกแผ่วเบาเขาก็หันมาดั่งความฝัน...ที่เขาจ้องมองเธอนิ่งนาน
ความปวดร้าวในอกกลั่นเป็นน้ำตา เธอสะอื้นไห้แรงขึ้น ยิ่งมองฝ่าม่านน้ำตาเห็นชายหนุ่มลุกมา เธอก็ยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้องปิ่มจะขาดใจ
“ช่วยด้วย ช่วยหยีด้วย”
ธีรดนย์ทำหน้านิ่วกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนรัก เมื่อเย็นนี้เองที่เดหลีปฏิเสธการตายของญาณิศาอย่างเลือดเย็น แสดงความเห็นแก่ตัวออกมา แต่ตอนนี้เธอกลับตื่นมาร้องไห้ตัวสั่นกลางดึก ขอให้เขาช่วยญาณิศาอย่างน่าเห็นใจ
ธีรดนย์บีบมือสั่นเทา กดคลึงนิ้วหัวแม่มือกับหลังมือเย็นเฉียบเพื่อปลุกปลอบ ทว่าการกระทำนั้นยิ่งทำให้หยาดน้ำตาเอ่อท้นกบตาหญิงสาว เขาเกลี่ยนิ้วซับน้ำตาที่ไหลพรากให้เธอด้วยความสะเทือนใจ
“พอเถอะ ร้องไห้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้”
“หยีไม่อยากตาย ช่วยหยีด้วย แทนช่วยหยีด้วย”
“แค่เดียร์รู้สึกผิดอย่างจริงใจหยีคงรับรู้ได้”
หญิงสาวส่ายศีรษะ อยากบอกว่าแค่นั้นไม่เพียงพอ ทว่าคำพูดกลับติดอยู่ในลำคอเมื่อได้ยินเขาเรียกเธอ
ธีรดนย์เรียกเธอว่า ‘เดียร์’ ไม่ใช่ ‘หยี’ เช่นที่เธอใช้แทนตัวเอง เขากำลังพูดกับเดหลี ไม่ใช่เธอ...แต่แล้วทำไมเธอถึงโต้ตอบกับเขาได้ถ้าเธอตายไปแล้ว คนตายฝันได้หรือไร
ญาณิศาหลุบตามองเรือนกายของตน ตั้งแต่นิ้วเรียวที่ทาเล็บยาวด้วยสีธรรมชาติ ไม่ใช่เล็บสั้นกุดที่เธอคุ้นเคย แล้วยังปลายผมยาวเป็นลอนอ่อนซึ่งพาดอยู่บนอก ยาวเกินกว่าผมทรงลองบ๊อบตัดตรงของเธอ
ดวงตาฉ่ำน้ำค่อยๆ แห้งผากเมื่อตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน ญาณิศาพยุงตัวลุกจากเตียง เดินผ่านธีรดนย์ที่ยื่นมือมาหมายประคองโดยไม่สนใจ เธอปิดประตูขังตัวเองในห้องน้ำ มองภาพสะท้อนของเพื่อนที่งามสมบูรณ์แบบในกระจกเงาด้วยดวงตาเบิกโพลง
เธออยู่ในร่างเดหลี เธอได้ชีวิตคืนมา แต่ในนามของเดหลี...เพื่อนที่เธอได้แต่มองอย่างชื่นชมตลอดมา
ความคิดเห็น |
---|