
บทที่ ๓
กิจกรรมรับน้องใหม่เป็นเรื่องน่าหวั่นวิตกสำหรับเฟรชชี่ปีหนึ่งอย่างญาณิศาที่มาจากโรงเรียนสตรีซึ่งขึ้นชื่อด้านการสร้างกุลสตรี เธอไม่คุ้นชินกับการเต้นแร้งเต้นกาทำกิจกรรมผาดโผนต่างๆ ร่วมกับเพื่อนชายหญิง แล้วยังกลัวจะถูกรุ่นพี่ทำโทษเท่าๆ กับที่กลัวถูกมองข้ามเมื่อเห็นนักศึกษาใหม่ต่างผูกมิตรกันอย่างรวดเร็ว บ้างก็มีเพื่อนจากโรงเรียนเดียวกัน ขณะที่เธอค่อนข้างขี้อาย ไม่กล้าทักทายใครก่อน
‘อุ๊ย โทษๆ’
คำขอโทษนั้นมาจากหญิงสาวที่พยายามเบียดแทรกมาเข้าแถว แต่ไม่วายถูกรุ่นพี่สังเกตเห็นและเรียกออกไปทำโทษที่มาสายด้วยการเต้นเพลงสันทนาการจังหวะคึกคัก นอกจากจะไม่สลด เธอผู้นั้นยังออกท่าออกทางเต้นสุดเหวี่ยง เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากเพื่อนและรุ่นพี่ทุกคน นับแต่นั้นทุกคนในคณะต่างก็จดจำ ‘เดหลี’ นักศึกษาสาวที่มีหน้าตาสวยเก๋สะดุดตา นิสัยสนุกสนาน กล้าแสดงออก รวมทั้งญาณิศาที่มองเพื่อนใหม่ด้วยความชื่นชม
เพราะเรียนเอกเดียวกัน ญาณิศากับเดหลีจึงกลายเป็นคนคุ้นหน้าค่าตา กระทั่งวันหนึ่งที่เดหลีประสบปัญหาเร่งด่วนของผู้หญิง ญาณิศาซึ่งเข้าห้องน้ำพอดีได้แบ่งปันของใช้ส่วนตัวให้ แล้วยังนำกระโปรงพลีตสำรองที่มีติดรถให้เดหลียืมสวมใส่ เดหลีขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ จากวันนั้นดาวคณะอย่างเดหลีก็เกาะติดเธอทั้งเวลาเรียนเวลาพัก พลอยให้เธอได้มีเพื่อนกลุ่มใหญ่และชีวิตที่มีสีสันในรั้วมหาวิทยาลัย
คนหนึ่งเรียบร้อย คนหนึ่งเปี่ยมด้วยพลังงานและความมั่นใจในตัวเอง นิสัยตรงกันข้ามนี้เองที่เติมเต็มมิตรภาพให้สมบูรณ์ สองสาวกลายเป็นเพื่อนสนิทตัวติดกัน เดหลีชอบแกล้งญาณิศาให้ได้แย้มหัว บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้คนที่มีประสบการณ์ชีวิตน้อยกว่าได้เปิดโลกทัศน์ ขณะเดียวกันญาณิศาก็ช่วยเหลือเดหลีเรื่องเรียน ทว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดในโลกที่มีแต่ด้านสดสวย ความสนิทสนมใกล้ชิดย่อมนำมาซึ่งการกระทบกระทั่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความเป็นคนเปิดเผยมีชีวิตชีวาของเดหลีดึงดูดสายตาทุกคน เดหลีรู้จักคนมาก รวมถึงเพื่อนต่างคณะ บ่อยครั้งจึงมองข้ามความรู้สึกผู้อื่นและคอยข่มคนรอบตัวกลายๆ บางคราวเดหลีก็ตั้งใจไม่เข้าเรียน และอ้อนวอนให้ญาณิศาแก้ตัวกับอาจารย์โดยไม่สนใจความลำบากใจของเพื่อน และถึงแม้เพื่อนบางคนจะนินทาลับหลัง เดหลีก็หาได้สนใจไม่ เธอมีเพื่อนกลุ่มใหม่อยากรู้จักสนิทสนมด้วยเสมอ หรือไม่เดหลีก็จะพุ่งตรงไปหาสิ่งที่สนใจเช่นธีรดนย์
ความชัดเจนในตัวตนและซื่อสัตย์ต่อความต้องการของตนเองของเดหลีเป็นสิ่งที่ญาณิศาชื่นชมระคนอิจฉามาตลอด อาจเพราะการเลี้ยงดู สังคมแวดล้อม หรือแม้กระทั่งรูปโฉม ที่หล่อหลอมให้เดหลีเป็นคนมั่นใจเช่นนั้น ส่วนเธอถูกปลูกฝังให้รู้จักควบคุมความรู้สึก ประเมินกำลังตามขีดจำกัดของร่างกาย นานวันมันจึงเป็นความคุ้นชิน ไม่ขวนขวาย และได้แต่มองความสำเร็จของผู้อื่น โดยที่อย่างมากก็เพียงแค่จินตนาการตัวเองไปอยู่จุดนั้นหรือได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าจินตนาการจะกลายเป็นเรื่องจริง!
หลับตา...แล้วลืมตาอีกครั้ง ภาพในกระจกเงาก็ยังเป็นหญิงสาวใบหน้ารูปหัวใจ ไว้ผมยาวถึงใต้อก ดวงตาเรียวที่หางตาสองชั้นยกขึ้นน้อยๆ เป็นทั้งความงามและความลึกลับ ขึ้นกับว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นรู้สึกอย่างไร
ถ้าเธอฟื้นตื่นในร่างเดหลี แล้วตอนนี้เดหลีอยู่ที่ไหน
คำตอบแรกที่แวบเข้ามาทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นเร่า หรือเธอยังไม่ตาย ไม่ว่ามันคือปาฏิหาริย์หรือเรื่องมหัศจรรย์พันลึกใดก็ตาม ญาณิศาบังเกิดความหวังว่าจะพบร่างตนเองที่ดวงจิตเดหลีอาจอาศัยอยู่ในนั้น เธอจะต้องหาคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกตน
“เดียร์”
เสียงเรียกดังฉุดญาณิศาออกจากภวังค์ความคิด หัวใจกระตุกผิดจังหวะราวกับคนมีชนักติดหลัง แน่อยู่แล้ว เมื่อเธอไม่ใช่เจ้าของเรือนกายเจ้าของชื่อที่ธีรดนย์เรียกหา
“เดียร์เป็นไรรึเปล่า”
เสียงกุกกักหลังประตูบ่งบอกว่าคนนอกพยายามเปิดเข้ามา ญาณิศาใจสั่น ตอบละล่ำละลักไป
“มะ...ไม่ ไม่เป็นไร”
ทุกอย่างกลับมาสงบนิ่งอีกครา หญิงสาวเหลียวมองกระจกเงาบานใหญ่ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใบหน้าเผือดสี แววตาตื่นตระหนก แต่ถ้าเธอเอาแต่ขลาดกลัวอยู่อย่างนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ญาณิศาบอกตัวเองพร้อมกับสูดหายใจลึก รวบรวมกำลังใจเปิดประตูออกไป ทว่าทันทีที่เงยหน้าก็พบร่างสูงใหญ่ยืนพิงผนังรออยู่หน้าห้องน้ำนั่นเอง
“ล็อกประตูทำไม”
ญาณิศาอึกอัก ไม่รู้จะตอบอย่างไร ไม่รู้ควรบอกความจริงว่าเธอไม่ใช่เดหลีหรือไม่ แต่มันน่าเชื่อง่ายดายเสียที่ไหน เธอหลบตาเดินเลี่ยงกลับไปที่เตียง
ภายในห้องเงียบสงัด นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเลยเที่ยงคืนมาเล็กน้อย ธีรดนย์ปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กวางบนโต๊ะเตี้ยข้างโซฟา ญาณิศาชำเลืองมองเขา คำถามมากมายจ่อที่ริมฝีปากให้เธอไม่อาจเอนกายนอน และดูเหมือนเขาสังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน เธอจึงรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องตน
“ไม่นอนเหรอ”
น้ำเสียงถามฟังดูแข็งไม่เหมือนคนรักอาทรต่อกัน ผิดจากภาพการแสดงความรักระหว่างธีรดนย์กับเดหลีที่เธอเคยได้ประจักษ์
ญาณิศายิ่งลังเลจะบอกความจริง
“เราฝัน...” เธอเลือกใช้สรรพนามอื่นแทนชื่อ หาทางเข้าเรื่องที่อยากรู้ “ตอนนี้หยีจะเป็นไงบ้าง อยากไปหาหยี”
ธีรดนย์เบือนหน้าไปทางอื่นพลางถอนหายใจ ถ้าเดหลีคิดได้ สำนึกผิดแต่แรกเขาคงเห็นใจเธอเหมือนที่รู้สึกท่วมท้นอกยามนี้
“งั้นก็นอนซะ ออกจากโรงพยาบาลจะได้ไปหาไง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนลง ทว่าคนฟังเบิกตาโพลง
“หยีออกจากโรงพยาบาลแล้วหรือ หยีไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”
ถามไปแล้วญาณิศาก็รู้ทันทีว่าเธอทำผิดมหันต์ ดวงตาคมกล้าสว่างวาบขึ้น ประกายในดวงตาคมทำให้เธอรุ่มร้อน เหงื่อกาฬผุดพราย
“มันคือมุกหรืออะไร อย่าบอกนะว่าความจำมีปัญหาขึ้นมา อย่าล้อเล่นแบบนี้เดียร์”
เปล่านะ เธอไม่ได้ล้อเล่น และไม่รู้ว่าเรื่องตลกร้ายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ญาณิศาสับสนและหวาดกลัวจนน้ำตารื้นอีกครา
หรือว่าที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ตัวเธอไม่มีชีวิตรอดอย่างในฝัน ธีรดนย์ถึงทำเหมือนว่าเธอพูดอะไรร้ายแรงเกินรับ
ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เธอถึงได้พบเดหลีก่อนฟื้นตื่นในร่างของเพื่อน แล้วร่างเธอไปอยู่เสียที่ไหน ญาณิศาคล้ายจะมีคำตอบให้ตนเอง พลันน้ำตาก็ร่วงพรู
“ถ้าเดียร์เสียใจกับการจากไปของหยีก็ยอมรับความจริง เลิกเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการซะที”
ในที่สุดความหวาดกลัวของหญิงสาวก็เป็นจริง เธอเอนกายนอนตะแคงพร้อมหัวใจแตกสลาย น้ำตารินไหลเป็นสาย โศกเศร้าอาดูรกับชะตากรรมของตน ห่วงหาไปถึงพ่อแม่และหวาดกลัวอนาคตต่อจากนี้ ลืมที่เคยใฝ่ฝันอยากเป็นเช่นเดหลีไปเสียสิ้น
นี่หรือคือผลของความยุติธรรมที่เธอเรียกหาให้ตนเอง แต่การต้องกลายเป็นคนอื่นจะน่ายินดีไปได้อย่างไร ญาณิศาไม่อาจคิดว่ามันคือปาฏิหาริย์ได้อีกแล้ว แต่เป็นคำสาปที่เธอต้องอยู่ใต้เงาเดหลีวันยังค่ำ
แสงของวันใหม่ขับไล่ค่ำคืนอันมืดหม่น เป็นเวลาเดียวกับที่ญาณิศาพยายามทำใจยอมรับชีวิตใหม่ ดึงตัวเองขึ้นจากบ่อน้ำตา ถึงอย่างนั้นเธอก็ตัดสินใจเก็บงำความลับไว้จนกว่าจะแน่ใจว่ามีคนพร้อมรับฟังและมองเห็นเธออย่างที่เป็นเธอ ใช่เพียงรูปกายเดหลี
หญิงสาวที่เงียบงันผิดปกติวิสัยสะกิดความรู้สึกของธีรดนย์ บ่อยครั้งที่เขารู้สึกถึงสายตาทอดมองยามเผลอไผล แต่เมื่อพูดจากันเจ้าหล่อนกลับหลบตา ดวงตาของเธอแดงช้ำอย่างน่าสงสารราวกับผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน เห็นอย่างนั้นชายหนุ่มก็ใจอ่อนยวบกับคนรักได้ไม่ยากเลย
หลังแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล ธีรดนย์ก็พาหญิงสาวกลับมาที่คอนโดมิเนียม เธอมีสีหน้าครุ่นคิดตลอดทาง แล้วยังมีท่าทางเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อก้าวเข้าไปในห้องพัก เขาชักไม่แน่ใจว่าเดหลีไม่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุจริงๆ แต่ก็ต้องปัดความคิดนั้นออกไปเมื่อผลตรวจร่างกายของแพทย์ยืนยันว่าเธอปลอดภัยดี
“กระเป๋าถือกับโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนนะ” เขาบอกหลังออกมาเห็นหญิงสาวยืนเคว้งอยู่กลางห้องนั่งเล่นดังเดิม แล้วก้าวไปอังหลังมือกับหน้าผากและซอกคอคนเหม่อลอย “ตัวก็ไม่ร้อน ทำไมหน้าซีด ปวดหัวหรือเจ็บตัวตรงไหนอยู่อีก”
ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างหนุ่มสาวทำเอาญาณิศาใจเต้นแรง ธีรดนย์ยังคงวางมือบนบ่า เธอลืมตัวช้อนตามองใบหน้าคมเข้ม เพียงชั่ววูบที่สบตาร่างกายก็สั่นสะท้าน เช่นเดียวกับใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ
“เปล่า ไม่เป็นไร” เธอปฏิเสธแผ่วเบา
“อืม เป็นไรก็บอก ถ้าไม่ไหวก็เลื่อนนัดลูกค้าเย็นนี้ซะ”
เจ้าของคำแนะนำด้วยความหวังดีผละไปเปิดตู้เย็น ทิ้งให้ญาณิศาประมวลคำพูดนั้นอยู่อึดใจ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความตระหนกเมื่อตระหนักว่าใช่แต่เธอกลายเป็นเดหลีในสายตาธีรดนย์ แต่ยังรวมถึงคนรอบตัวในทุกมิติชีวิต ที่หนักหนาที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องงานที่เธอไม่รู้อะไรเลย
“หยีจะลาออก” หญิงสาวโพล่งออกมาอย่างลืมตัว
ครั้นธีรดนย์ลดกระป๋องน้ำอัดลมมองเธอหน้านิ่ว ถึงรู้ตัวว่าหลุดปากอะไรไป
“เดียร์จะลาออก” ญาณิศารีบแก้สรรพนามเสียใหม่ “แทนช่วยพาไปหาหยีได้ไหม เดียร์อยากไป...เย็นนี้เลย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แม้มีหลายสิ่งหลายอย่างผิดปกติ ทั้งท่าทางน้ำเสียงของเธอยามพูดจา รวมถึงเรื่องงานที่เปรียบเสมือนชีวิตของเดหลี แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอคือเดหลีคนเดิม คือความรักความสำคัญที่มอบให้แก่ญาณิศา เพื่อนรักของเธอ
ธีรดนย์พยักหน้ามองแฟนสาวด้วยความเข้าใจ
งานสวดพระอภิธรรมคืนที่สองมีแขกบางตา ส่วนมากเป็นคนที่ญาณิศาคุ้นหน้าค่าตา เช่น ญาติพี่น้องห่างๆ และเพื่อนเก่าสมัยมัธยม เมื่อสายตาแลเห็นบุรุษและสตรีสูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวแถวหน้า น้ำตาก็พลันพรั่งพรูลงมา เรียกสายตาหลายคู่ให้หันมอง
ธีรดนย์แตะศอกพาเธอเดินไปหาผู้อาวุโสทั้งสอง ญาณิศาทรุดเข่าลงพนมมือไหว้บนตักแม่พร้อมกับสะอื้นไห้ตัวโยน ยิ่งท่านวางมือบนไหล่ ความรักความหวังก็เรืองรองไปทุกอณูใจ ขอแค่พ่อกับแม่จดจำเธอได้ ญาณิศาจะไม่ขออะไรอีกแล้วชั่วชีวิตนี้
เธอเงยหน้าขยับปากจะเอ่ยคำ แต่ช้ากว่าคำพูดอ่อนโยนอันเปี่ยมเมตตาจากแม่ผู้สูญเสีย
“ไม่เป็นไรลูก พ่อกับแม่อโหสิ แล้วแม่ก็เชื่อว่าหยีอโหสิให้เดียร์เหมือนกัน”
แม่...ญาณิศาครางในอก ถ้อยคำที่ตั้งใจจะเอื้อนเอ่ยติดในลำคอเมื่อแม้แต่แม่ก็จำลูกคนนี้ไม่ได้ แม่ให้อภัยคนที่มีส่วนให้ลูกท่านต้องจากไปอย่างง่ายดาย
“บอกหยีว่าเดียร์มานะ”
หญิงสาวเบนสายตาไปยังชายสวมแว่นสายตาศีรษะล้าน เธอนิ่งงันทำอะไรไม่ถูก ธีรดนย์จึงรับธูปสองดอกมาจากพ่อของเธอ แล้วแตะแขนประคองเธอไปหน้าโลงสี่เหลี่ยมสีขาวที่รายล้อมด้วยมวลบุปผชาติ ข้างกันมีกรอบรูปสาวผมสั้นสวมเสื้อแขนยาวกับเอี๊ยมกระโปรงยีนส่งยิ้มเขินอายตั้งอยู่
ญาณิศารับธูปดอกหนึ่งมาจากชายหนุ่ม เธอหลับตาทว่าในใจได้ยินแต่เสียงร่ำไห้ของตนเอง ก็แล้วเธอจะอธิษฐานจิตถึงใครได้ เมื่อดวงจิตเธออยู่ที่นี่ ยังอยู่ในร่างเดหลี แต่ไม่มีใครจดจำเธอได้สักคน
ระหว่างพักคั่นพิธี แขกที่มาร่วมงานจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสำรวม ญาณิศานั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนคุ้นเคย น่าสมเพชน้อยเมื่อไร ขนาดชีวิตพลิกผันถึงเพียงนี้ เธอก็ยังขลาดกลัวไม่กล้าต่อสู้เพื่อตนเอง
เสียงพูดคุยที่ผ่านเข้าหูทำให้หญิงสาวรู้ว่าพิธีบำเพ็ญกุศลจะดำเนินต่อไปอีกสามคืน ส่วนงานฌาปนกิจจะมีขึ้นบ่ายวันเสาร์ เธอคิดหาทางที่จะได้พูดคุยกับพ่อแม่ลำพัง บอกความจริงกับพวกท่านก่อนทุกอย่างจะสาย ญาณิศาทำใจไม่ได้ที่ต้องทนเห็นร่างกายตนเหลือเพียงเถ้า เธอยังหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับตนเองอีกครั้ง ได้กลับเป็นเธอคนเดิมที่ห้อมล้อมด้วยความรักความอบอุ่นของคนในครอบครัว
“น้ำไหมคะ”
ผู้ที่จมดิ่งในห้วงความคิดกะพริบตาเรียกสติ ญาณิศาหันมองพนักงานสาวประจำอะพาร์ตเมนต์ ลืมตัวหลุดปากออกไป
“ฝน...”
หยาดฝนยิ้มน้อยๆ พลางเลิกคิ้วด้วยความฉงน แน่ใจว่าตนไม่เคยรู้จักแขกผู้นี้มาก่อน
“น้ำไหมคะ” เธอถามย้ำอีกครั้ง
ญาณิศาพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เธอกวาดตามองรอบตัวเร็วๆ ครั้นเห็นธีรดนย์คุยโทรศัพท์อยู่นอกศาลา เธอก็รีบค้นหาเศษกระดาษและปากกาในกระเป๋าหนังโก้เก๋ของเดหลีทันที
“แป๊บนึงนะ” เธอบอกลูกจ้างที่ตนสอนงานกับมือ รีบเขียนข้อความบนกระดาษแล้วพับส่งให้อีกฝ่าย “หลังงานฝากนี่ให้พ่อกับแม่ทีนะ”
“พ่อกับแม่? พ่อแม่ใครคะ”
“พ่อแม่พี่...พ่อแม่หยีน่ะ” เธอรีบแก้แล้วหยิบแก้วน้ำพลาสติกทันทีที่เห็นธีรดนย์เดินมา
หยาดฝนผละไป แต่ไม่รอดสายตาชายหนุ่มที่กลับมานั่งที่เดิม
“รู้จักเหรอ” เขาถามอย่างแปลกใจมากกว่าจับผิด
“เปล่า”
“อ้าว เห็นคุยกันนึกว่ารู้จักผ่านหยี”
หัวใจสาวสั่นไหวเมื่อได้ยินชื่อตนเองผ่านริมฝีปากชายที่ตนแอบรัก แม้เขาจะไม่ใช่เพื่อนของเธอโดยตรง ก่อนหน้านี้ที่พบกันก็แทบไม่ได้สนทนากันตรงๆ แต่เขากลับเอ่ยถึงเธอได้อาทรนักราวกับเธอมีความหมาย มีตัวตนในสายตาเขาเช่นกัน
ญาณิศายื่นแก้วน้ำให้ชายหนุ่มตอบแทนความดีและน้ำใจของเขา ตั้งแต่ย่างก้าวขึ้นมาบนศาลาธีรดนย์แทบไม่ห่างไปไหน เขาคอยยื่นมือประคอง ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ซับน้ำตาเมื่อเธอร้องไห้ เป็นความอบอุ่นเดียวยามหัวใจเหน็บหนาวและมืดมน
ธีรดนย์ใช้หลอดเจาะฝาพลาสติก ยกน้ำดื่มก่อนยื่นเสนอให้หญิงสาวบ้าง ญาณิศาหลบตาวูบพร้อมกับสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างตกประหม่า
หลังออกจากวัด ธีรดนย์ชวนคนที่แทบไม่แตะต้องอาหารมาทั้งวันแวะร้านข้าวต้มโต้รุ่งเจ้าโปรดเธอ หากมีโอกาสผ่านมาทางนี้ทีไรเดหลีไม่พลาดชวนเขาแวะฝากท้องมื้อดึก
ช่วงค่ำเช่นนี้ภายในตึกแถวสองคูหามีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะ พวกเขาได้ที่นั่งบนทางเท้าด้านนอก คืนนี้ฟ้าเปิดเป็นใจ สายลมพัดเอื่อยพอให้เนื้อตัวไม่เหนอะหนะ
“อยากกินไร ไส้ทอดอีกรึเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทัน
ญาณิศาสั่นศีรษะทันควัน เธอไม่กินเครื่องในทุกชนิดมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนนึกได้ว่าเขาถามเดหลี ไม่ใช่เธอ
“ไม่เอา เบื่อแล้ว” หญิงสาวแก้ แล้วกลบเกลื่อนพิรุธด้วยการหยิบรายการอาหารเคลือบพลาสติกมาพลิกดู
ธีรดนย์เริ่มสั่งอาหารโดยไม่ดูเมนู เป็นจานเด็ดที่เขากับเดหลีมักสั่งประจำ เช่น ผัดหอยลาย ชะอมผัดวุ้นเส้น เนื้อแดดเดียว และต้มเกี้ยมบ๊วยหมูสับ ได้ยินแต่ละรายการแล้วญาณิศาไม่กล้าสั่งอะไรอีกเพราะเกรงจะกินไม่หมด ทว่าชายหนุ่มกลับสั่งเพิ่มเสียเอง
“ปลาอินทรีราดน้ำปลาอีกอย่าง ข้าวต้มสอง น้ำเปล่าน้ำแข็ง”
พนักงานรับรายการอาหารแล้วจากไป หญิงสาวกวาดตามองบรรยากาศไม่เคยคุ้นรอบตัว ก่อนสายตาจะเคลื่อนมาหยุดยังผู้ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ธีรดนย์ยกมือเมื่อพนักงานจะคีบน้ำแข็งใส่แก้ว แล้วจัดการบริการตัวเอง
“คืนนี้คนเยอะ สงสัยวัดแถวนี้มีงานคนสำคัญ” เขาบอกราวกับตอบคำถามในดวงตาอีกฝ่าย
ญาณิศาเผลอยิ้มบางๆ เขาช่างเท่นักที่เห็นใจกระทั่งพนักงานต่ำต้อย อารมณ์หมองหม่นค่อยๆ บรรเทาเมื่อความสนใจของเธอหันเหไปอยู่ที่ชายหนุ่ม
“แทนมาร้านนี้บ่อยเหรอ” เธอถามแผ่วเบา
“อะไร ก็มาด้วยกันทุกครั้ง จะจับผิดอะไร” เขาตอบกลั้วหัวเราะ
หญิงสาวยิ้มจืดเจื่อน กับข้าวจานแรกมาเสิร์ฟพอดี เธอจึงรอดพ้นจากสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อมาได้หวุดหวิด
ตลอดมื้ออาหารธีรดนย์มักตักหรือคีบอาหารใส่จานอีกฝ่าย การกระทำของเขาเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติราวกับปฏิบัติเช่นนั้นจนคุ้นชิน ญาณิศาเกือบห้ามไม่ทันเมื่อเขายื่นตะเกียบที่คีบเนื้อแดดเดียวมาให้คนที่ไม่กินเนื้อมาตลอดชีวิต รีบปฏิเสธ ครั้นเขาสังเกตว่าเธอตักปลาอินทรีกับต้มเกี้ยมบ๊วยบ่อยครั้ง ก็เลื่อนจานทั้งสองมาใกล้
ชั่วระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ละวางความทุกข์ชั่วขณะ ญาณิศาพบความสุขเล็กๆ จากความเอาใจใส่ของชายหนุ่ม ถ้าเพียงแต่ความรักความเอาใจใส่นั้นเป็นของเธอ มีต่อเธอจริงๆ ก็คงดี ไม่ใช่สำหรับเดหลี...คนที่ได้รับความรักล้นเหลือจนมองข้ามมัน
ทุกครั้งที่อยู่กับตัวเองในห้องน้ำ ญาณิศาไม่อยากมองภาพสะท้อนบนกระจกให้เจ็บปวดใจ ความรู้สึกสุดท้ายก่อนเกิดอุบัติเหตุยังคงแจ่มชัดในดวงจิต เธอเกลียดเจ้าของร่างนี้ ขณะเดียวกันก็เกลียดตัวเองที่รู้สึกเช่นนั้น เธอไม่ได้ให้อภัยเดหลีอย่างที่พ่อแม่คิดว่าลูกสาวท่านรักเพื่อน แต่ละอองความสุขที่ได้มีชีวิตอีกครั้งก็พร่างพรายในใจ ญาณิศานึกละอายที่เผลอปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเช่นนั้นและเงียบงันอีกครา
“ใส่ชุดคลุมนอนไม่อึดอัดหรือไง”
หญิงสาวที่ก้าวเท้าออกจากห้องน้ำอึกอัก ใจเต้นแรงเมื่อเห็นธีรดนย์นั่งดูโทรทัศน์บนเตียง
“หนาวน่ะ” เธอพึมพำ
“แอร์ก็เปิดเท่าเดิม ปรับเอาสิ”
“ไม่เป็นไร”
ธีรดนย์ลุกไปกดรีโมตเครื่องปรับอากาศให้เสียเอง ครั้นเขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตต่อหน้าต่อตา หัวใจสาวก็ตกไปที่ตาตุ่ม เธอหันขวับรีบสอดตัวเข้าใต้ผ้านวมตะแคงหันไปอีกทาง
เสียงเปิดประตูตู้เสื้อผ้าตามมาทำให้ญาณิศาค่อยๆ คลายใจว่าเขาไม่ได้จะทำอย่างที่เธอคิด ยิ้มบางๆ แต่งแต้มมุมปาก บอกตัวเองอย่างไรก็ยากจะห้ามความรู้สึกดีที่ก่อเกิดเพราะความใกล้ชิดเอื้ออาทร
เธอหลับตาข่มใจอ่อนไหว ก่อนผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลียและใจที่สงบกว่าค่ำคืนที่ผ่านมา
ความคิดเห็น |
---|