4

4

บทที่ ๔

 

อุณหภูมิห้องที่สูงขึ้นทำให้หญิงสาวไม่สบายเนื้อสบายตัว เธอเลิกผ้าห่มออก มือไม้ป่ายปะตามร่างกายตนเอง เมื่อสัมผัสเนื้อผ้าเรียบลื่นบนอกและแขนเธอจึงปรือตามองชุดคลุมแขนยาวอย่างงัวเงีย

ร่างเพรียวบางลุกขึ้นนั่งเสยผมอย่างคนตื่นไม่เต็มตา เธอแกะเชือกผูกเอวออกพร้อมกับทำเสียงจึ๊กจั๊กขัดใจ ไม่ทันเรียบเรียงความคิด ธีรดนย์ก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัวในชุดพร้อมออกไปทำงาน

“แทน! ทำไมไม่ปลุกเดียร์” เธอหวีดร้องเมื่อคิดว่าอาจไปทำงานสาย แว่วเสียงหัวเราะในลำคอชายหนุ่มที่เธอเดินผ่านไปให้ยิ่งคันยุบยิบในใจ

“จะไปรู้เหรอ ทุกทีเดียร์ก็ตั้งนาฬิกาปลุก เมื่อคืนไม่เห็นตั้งเลยคิดว่าจะหยุดต่อ”

เมื่อคืนงั้นหรือ...หญิงสาวที่กำลังแปรงฟันพลันฉุกคิด เธอจำได้ว่าเมื่อคืนตนอยู่ที่โรงพยาบาล โต้เถียงกับธีรดนย์ที่เขาบังอาจกะเกณฑ์ชีวิตเธอก่อนหลับไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น

แล้วเธอกลับมาที่คอนโดมิเนียมได้อย่างไร

เดหลีบ้วนปาก วักน้ำล้างหน้า สบตาตัวเองในกระจกพลางคิดหาคำตอบ แต่คิดเท่าไรก็ไม่พบ ข้อสันนิษฐานเดียวที่คิดได้คือธีรดนย์ลักพาตัวเธอกลับมากลางดึก แต่เขาจะทำอย่างนั้นทำไม

“ตกลงจะไปทำงานใช่เปล่า จะได้รอออกไปพร้อมกัน” ชายหนุ่มเดินมาถามหน้าประตูห้องน้ำ

แค่ได้ยินคำว่า ‘งาน’ เดหลีก็พยักหน้าทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ครั้นธีรดนย์ดึงประตูปิดให้ เธอก็รีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะสายไปกว่านี้ พับความสงสัยเก็บไว้ชั่วคราว

หญิงสาวบำรุงผิวด้วยเซรัม ลงรองพื้นและทาลิปมัน จากนั้นจึงกวาดเครื่องสำอางอื่นๆ ใส่กระเป๋าไว้ไปแต่งต่อบนรถ เธอสวมรองเท้าส้นสูงพร้อมกับเร่งคนรักที่ยังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ธีรดนย์ส่ายศีรษะอ่อนใจกับนิสัยบ้างานอันแก้ไม่หายของเจ้าหล่อนราวเป็นคนละคนกับหญิงสาวคนเมื่อวานที่บอกว่าจะลาออกอย่างไรอย่างนั้น

“แทนส่งเดียร์ที่รถไฟฟ้าก็ได้” เธอบอกพลางเขียนขอบตาฆ่าเวลา รถติดตั้งแต่ยังไม่พ้นปากซอย

“รีบอะไรขนาดนั้น แต่งหน้ายังไม่ทันเสร็จ เดี๋ยวแวะไปส่งนั่นแหละ”

เดหลีมองค้อนทว่าไม่ได้ขัดน้ำใจ ถึงอย่างไรที่ทำงานของเธอกับเขาซึ่งอยู่แถวเพลินจิตกับพระรามสี่ก็ไม่ไกลกันเท่าไร

“จริงสิ เดียร์กลับมาที่คอนโดตั้งแต่เมื่อไร”

“เมื่อวานไง” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับปรายตามองเจ้าหล่อน

“เมื่อวาน...” เดหลีทวนคำ

หลังจากแต่งหน้าเสร็จหญิงสาวก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูตารางสิ่งที่ต้องทำและข้อความต่างๆ ทว่าทันทีที่เห็นสายที่ไม่ได้รับและข้อความตกค้าง เธอก็ร้อนใจแทบไหม้ หัวหมุนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน

มันเริ่มจากการที่เธอได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ต้องแอดมิตที่โรงพยาบาลเพื่อรอผลตรวจร่างกาย ทว่าเช้านี้เธอกลับตื่นขึ้นมาในห้องของตนโดยที่ธีรดนย์บอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลเมื่อวาน

เดหลีไล่ลำดับเหตุการณ์ก่อนหลุบตามองวันที่บนหน้าจอโทรศัพท์ แล้วก็ประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อนาฬิกาดิจิทัลระบุว่าวันนี้เป็นวันพุธ ทั้งที่เกิดอุบัติเหตุกลางดึกวันอาทิตย์ เธอรู้สึกตัววันจันทร์ และมีนัดกับลูกค้าสำคัญวันอังคาร!

“ไม่จริง” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง

ธีรดนย์ผินหน้ามองคนรัก ใบหน้าที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางแดงก่ำอย่างน่าประหลาด แต่ไม่เท่าสีหน้าตื่นตะลึงที่ฉายชัด

“มีไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”

ใช่สิ ก่อนหน้านี้เธอกับธีรดนย์มีปากเสียงกัน โกรธจนแทบไม่มองหน้ากันทั้งคู่ แต่เช้านี้เขากลับอารมณ์ดี พูดจาปกติดังเดิม เดหลีอยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“วันนี้วันพุธจริงๆ ใช่ไหมแทน”

“อืม”

“เดียร์ออกจากโรงพยาบาลเมื่อวาน? กี่โมง ใครมารับ แล้วไงต่อ”

ชายหนุ่มทำหน้านิ่ว มองคนข้างๆ ด้วยแววตาคลางแคลง อีกครั้งที่เดหลีทำให้เขาสับสนในตัวเจ้าหล่อน

“ก็กลับด้วยกัน ถามแปลก เดียร์เป็นคนชวนไปงานหยี ตอนเย็นยังไปด้วยกัน จำไม่ได้หรือไง”

จำได้ก็บ้าแล้ว! เธอน่ะหรือไปงานศพญาณิศาทั้งที่มีนัดกับลูกค้าสำคัญ ซ้ำร้ายสิ่งที่ธีรดนย์เล่ามาทั้งหมดไม่ปรากฏในซอกมุมความทรงจำ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอจดจำเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ได้เลย

“แทนไม่ได้อำเดียร์ใช่ไหม” เธอถามน้ำเสียงกล่าวหา

“เป็นงั้นไป แทนจะโกหกทำไม”

“ทำไมเดียร์จำอะไรไม่ได้เลย แทนก็รู้ว่าเดียร์มีนัดกับลูกค้า เป็นไปไม่ได้ที่เดียร์จะไปงานหยี หรือถ้าไปเดียร์ต้องจำได้สิ”

ธีรดนย์หรี่ตามองแฟนสาวอย่างพิจารณา สีหน้าแววตาสับสนว้าวุ่นของเดหลีเป็นจริงเกินกว่าที่เธอจะเสแสร้งแกล้งทำ

ถ้าเดหลีไม่ได้แสร้งแสดง ก็เหลือเพียงผลกระทบจากอุบัติเหตุที่อาจเป็นสาเหตุได้ ทว่าเขาไม่อยากให้เธอตื่นตระหนกจนเกินไป ธีรดนย์วางมือบนศีรษะคนรักแล้วโยกเบาๆ เพื่อปลุกปลอบ

“จำได้ถึงตอนไหนค่อยๆ คิด ระหว่างวันมีไรก็โทร. มา”

“หรือเดียร์จะความจำเสื่อมจริงๆ” เธอเปรย สีหน้าเหมือนจะร้องไห้

“แต่เดียร์ก็จำได้นี่ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น” เขาพยายามคิดอีกมุมไม่ให้ตนเองและเธอปริวิตก “เดี๋ยวตอนเย็นแทนมารับไปปรึกษาหมออีกที”

เดหลีพยักหน้าด้วยท่าทางเหม่อลอย ยังไม่เลิกครุ่นคิดหาคำตอบเรื่องความผิดปกติที่เกิดกับตน ธีรดนย์พูดถูก เธอจำความเป็นไปในชีวิตก่อนหน้านี้ได้ไม่ลืม แม้แต่วันแรกเข้าอนุบาลหนึ่งที่ตนเกาะหน้าต่างร้องไห้หาพ่อกับแม่ วันที่พ่อประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน ตกจากเสาไฟฟ้าแรงสูง ต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง พ่อกระทำอัตวินิบาตกรรมจากไปตอนที่เธอเรียนมัธยมปีสุดท้าย กระทั่งอุบัติเหตุคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เดหลีจำได้ทุกอย่างเว้นแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ราวกับความทรงจำในช่วงเวลานั้นถูกขโมยไปจากเธอ

ลงจากทางด่วนธีรดนย์ก็แวะส่งแฟนสาวที่โรงแรมที่เธอทำงาน เดหลียังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาอดแหย่ประสาคนรักไม่ได้

“เดี๋ยวเดียร์” เขาเรียกก่อนเจ้าหล่อนจะเปิดประตูลงจากรถ “ยิ้มก่อน”

หญิงสาวชะงัก หันไปแยกเขี้ยวใส่อย่างประชดประชัน ธีรดนย์โคลงศีรษะขบขัน อย่างน้อยก็โล่งใจว่าเดหลียังมีแก่ใจกวนประสาทเขาเช่นเดิม

 

ผลพวงจากการหยุดงานทำให้วันนั้นทั้งวันของเดหลีหมดไปกับการสะสางงานที่คั่งค้าง ศึกษารายงานการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และติดต่อกลับไปยังทุกคนที่ติดต่อมา โดยเฉพาะลูกค้าจากบริษัทที่รับจัดการประชุมแห่งหนึ่งซึ่งเธอไม่ได้ไปพบตามนัด แม้เขาจะแสดงความเห็นใจต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ก็คงขุ่นเคืองไม่น้อยที่เธอลืมนัดและติดต่อไม่ได้ จึงตกลงกับโรงแรมอื่นแล้วเรียบร้อย

ธีรดนย์โทร. มาครั้งหนึ่งตอนกลางวัน เธอพูดคุยกับเขาสั้นๆ ว่าไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหนก่อนวางสาย ที่จริงเธอไม่มีเวลาคิดหาคำตอบที่ค้างคาใจอีกเลยนับแต่ก้าวขาเข้ามาในออฟฟิศ

พระอาทิตย์ตกดินนั่นแหละหญิงสาวถึงได้พักหายใจหายคอ กระทั่งชายหนุ่มโทร. มาบอกสั้นๆ ว่ามาถึงแล้ว เธอจึงออกไปขึ้นรถเอสยูวีที่จอดรอ

“กินไรมายัง” เดหลีถามคนรักด้วยน้ำเสียงแจ่มใสกว่าเมื่อเช้า

“ยัง”

“เดียร์ก็ยัง หิวอะ แต่ว่าจะลดความอ้วน หรือเดียร์บวมน้ำเกลือฟะ”

คำบ่นผ่านหูชายหนุ่มที่มีเรื่องคิดหนักหลังได้รับสายที่ไม่คาดคิดจากบิดาของญาณิศาเมื่อตอนบ่าย ท่านเล่าเรื่องที่ทำให้เขาตกใจและไม่พอใจในคราวเดียวกัน

‘แทนใช่ไหม พ่อของหยีเองนะ’

‘ครับ คุณลุง’

‘ลุงมีเรื่องถามหน่อย เกี่ยวกับเดียร์น่ะ’

‘วันนี้เดียร์ไปทำงานน่ะครับ ถ้าคุณลุงติดต่อไม่ได้ยังไงผมจะบอกให้เดียร์โทร. กลับ’

‘ไม่ต้องหรอก ลุงตั้งใจโทร. มาถามแทน เห็นว่าทั้งสองคนคบกัน แล้วลุงก็ได้มารู้จักแทนเพราะเรื่องหยีคราวนี้’

‘อ้อ ครับ’ เขาตอบรับด้วยความแปลกใจ

‘หมอว่าเดียร์เป็นอย่างไรบ้าง’

‘ปกติดีครับ แรกๆ มีเจ็บหน้าอกบ้าง แต่หมอตรวจร่างกายแล้วว่าปกติทุกอย่าง’

ปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนเขาจะได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบา

‘วันนี้คนของลุงเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ บอกว่าเดียร์ฝากเขาให้ลุงกับป้าที่งานศพเมื่อคืน ข้อความในกระดาษเขียนว่า หยียังไม่ตาย หยีอยู่ในร่างเดียร์’

เกิดความเงียบอันยาวนานกว่าเมื่อครู่นี้ ธีรดนย์ตกตะลึง รู้สึกถึงก้อนเนื้อในอกที่เต้นแรงด้วยความตกใจและไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าใครทำเช่นนั้นต่อครอบครัวผู้สูญเสียเขาก็รับไม่ได้ และนึกประณามการกระทำ

‘พอแม่หยีได้อ่านข้อความเขาก็เก็บตัวร้องไห้ เราเองรักเดียร์เหมือนลูกหลาน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย ลุงอยากฝากแทนดูแลเดียร์ บางทีเดียร์อาจทำไปเพราะช็อกกับการสูญเสีย ลุงก็เห็นใจ แต่เรื่องข้อความนั้นเรารับไม่ได้จริงๆ’

ประโยคสุดท้ายของพ่อที่สูญเสียลูกสาวไปอย่างไม่มีวันกลับสั่นเครือ ธีรดนย์รับคำด้วยความเข้าใจและเห็นใจอย่างสุดซึ้ง ตรงข้ามกับความไม่เข้าใจในสิ่งที่คนรักทำลงไป เขาอยากถามเธอเดี๋ยวนั้น แต่ก็ได้แต่ข่มกลั้น อดทนรอเวลาเลิกงานเพื่อจะได้พูดจากันต่อหน้า

“ตกลงจะไปโรงพยาบาลไหม” เขาถามเสียงตึงเครียด

เดหลีฉุกคิดเรื่องที่ติดค้างใจขึ้นมาพร้อมๆ กับที่จับกระแสบางอย่างในน้ำเสียงคนรักได้

“ยังอะ วันหยุดค่อยไปก็ได้”

“แปลว่าจำเรื่องเมื่อวานได้แล้ว?”

“เปล่า แล้วทำไมแทนต้องทำเสียงอย่างนั้น”

ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นจมูกกับตัวตนของเธอที่ไม่เคยยอมใคร ต่อให้ฝืนเป็นอื่นอย่างไรก็คงทนได้ไม่นาน

ธีรดนย์ขับรถต่อไปโดยไม่เอ่ยคำ เดหลีเริ่มบ่นเรื่องที่เธอเสียลูกค้าเพราะผิดนัดด้วยน้ำเสียงเสียดายแกมหงุดหงิดเล็กน้อย แต่นั่นไม่อาจทำให้เขาเห็นใจ

ช่วยไม่ได้ที่เขาคิดว่าทั้งหมดเป็นแผนการของหญิงสาว เธอเป็นคนฉลาด ออกจะเจ้าเล่ห์นิดๆ เสียด้วยซ้ำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำว่าคนอย่างเดหลีสามารถทำอะไรแผลงๆ ได้ เธอเคยแกล้งไม่สบายเพื่อให้เขารีบกลับจากปาร์ตีสละโสดของเพื่อนซึ่งมีแต่ชายหนุ่มและบรรดาสาวเอนเตอร์เทน หรือครั้งที่ได้พบญาติห่างๆ ของเขาที่ต่างฝ่ายต่างไม่ถูกชะตา ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นคนจุ้นจ้าน ซอกแซก ถามเรื่องส่วนตัว เดหลีก็ตีรวนด้วยการพูดน้ำไหลไฟดับ ทำทีว่ามีงานเสริมเป็นงานขายตรงจนญาติเขาคนนั้นหนีกลับ สร้างเสียงหัวเราะและความประทับใจแก่ครอบครัวเขาอย่างยิ่ง

แต่คราวนี้เธอทำเกินไป เขาไม่คิดว่าเหตุผลใดจะฟังขึ้น

ธีรดนย์ไพล่นึกถึงตอนที่เขาลุกออกไปรับโทรศัพท์เมื่อคืนก่อน แล้วกลับมาเห็นท่าทีมีพิรุธของคนรักกับเด็กสาวที่คอยช่วยงาน บางทีเดหลีอาจแกล้งจำเหตุการณ์เมื่อวานไม่ได้เพื่อกลบเกลื่อนความผิด เช่นเดียวกับที่เธอยกชื่อญาณิศามาแอบอ้างต่อพ่อแม่ของเพื่อน ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจต่อหน้าพวกท่านเพื่อหวังได้รับความเห็นใจอันอาจส่งผลต่อคดีกระมัง

‘คดีแบบนี้เขาใช้เส้นสายกับตำรวจและญาติให้คนตายเป็นคนขับกันทั้งนั้น คนตายตายไปแล้ว แต่คนอยู่นี่สิต้องด่างพร้อยไปตลอดชีวิต’

คำพูดเอาตัวรอดนับแต่รู้สติของเดหลีย้อนกลับมาเพิ่มน้ำหนักให้แก่ข้อสันนิษฐานของชายหนุ่ม ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาจะต้องพูดกับเธอให้รู้เรื่อง ไม่ยอมให้เจ้าหล่อนบิดพลิ้วปั่นหัวใครต่อใครอีก

“ฟังเดียร์อยู่หรือเปล่า”

เสียงถามเจือกระแสไม่พอใจฉุดดึงธีรดนย์ออกจากความคิด แต่เมื่อเขายังคงเงียบและมึนตึง เดหลีก็ไม่ยอมปล่อยผ่านอีกต่อไป

“เป็นอะไร เมื่อกี้ก็เสียงแข็งใส่เดียร์ทีนึงแล้วนะ”

“ไว้ถึงห้องค่อยคุย”

“ก็แล้วมันเรื่องอะไร พูดมาเลย”

“ยังไม่อยากเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุ”

เดหลีอ้าปากมองคนรัก คาดไม่ถึงกับคำตอบของเขาที่จงใจกระทบกระเทียบเธอ

อุบัติเหตุจากความประมาทคืนนั้นเป็นความผิดของเธอ เดหลีไม่ปฏิเสธ เธอยอมรับตามจริงทุกประการ เขาก็รู้เห็น แต่กลับยกขึ้นมาพูดราวกับกล่าวหาว่าเธอเป็นต้นเหตุ เธอตั้งใจให้มันเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

เดหลีจับจ้องเสี้ยวหน้าคนรักด้วยแววตากรุ่นโกรธระคนตัดพ้อ หญิงสาวเม้มปากสะกดกลั้นความปวดร้าว เจ็บเสียยิ่งกว่าคราวที่เคยหวาดระแวงความรู้สึกของญาณิศาเสียอีก

 

ยามอ่อนไหวเดหลีมักปกปิดมันด้วยความแข็งกร้าว เธอปิดประตูห้องไล่หลังดังปัง เดินลงส้นใส่อารมณ์ไปโยนกระเป๋าบนเตียง ถอดสูทแขวนหน้าตู้เสื้อผ้าพร้อมกับถามออกมาอย่างสิ้นสุดความอดทน

“ตกลงมันเรื่องอะไร ถึงห้องแล้วนี่ไง พูดมาสิ” เธอท้าทาย

ธีรดนย์เท้าเอวพร้อมกับสูดหายใจลึก เมื่ออารมณ์ที่ปะทุตั้งแต่กลางวันทำท่าจะเดือดพุ่งอีกครา

“วันนี้พ่อหยีโทร. มา”

ทันทีที่ได้ยินสาเหตุที่มาของความหมางเมิน หญิงสาวก็ย่นคิ้วฉงน ตีหน้าไขสือ

“แล้ว?”

“แล้วไงเหรอ เดียร์ทำอะไรลงไป อย่าบอกว่าจำไม่ได้เพราะแทนไม่เชื่อ”

“ก็แล้วเดียร์ทำอะไรเล่า”

“เดียร์ฝากกระดาษข้อความอะไรให้พ่อแม่หยี เริ่มคลับคล้ายคลับคลาหรือยัง” เขาย้อนเสียงกร้าวกระด้าง “คิดบ้างไหมว่าพ่อแม่เขาจะรู้สึกยังไงที่เดียร์ไปแอบอ้างว่าหยีอยู่ในร่าง เขาเพิ่งเสียลูกแล้วยังต้องเจออะไรแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ”

“เขาบอกว่าเดียร์ทำแทนก็เชื่องั้นเหรอ”

“แทนเชื่อตัวเอง ไม่ใช่ไม่เห็นว่าเดียร์มีลับลมคมในกับเด็กคนนึงในงาน”

“โอ๊ย! บ้ากันไปใหญ่แล้ว ก็เดียร์บอกว่าไม่ได้ไปๆ แล้วจะทำอย่างนั้นได้ไงเล่า เดียร์จะทำไปเพื่ออะไร”

“แล้วเมื่อวานแทนไปกับใคร กับหยีงั้นสิ คงเชื่อถ้าแทนปัญญาอ่อนละมั้ง”

เดหลีนิ่งงัน ดวงตาค่อยๆ ขยายเมื่อฉุกคิดตามถ้อยคำประชดประชันของคนรัก

เธอฝันถึงญาณิศา ใช่แล้ว...เธอฝันว่าตนกลับไปที่ร้านซึ่งตกแต่งด้วยนาฬิกา พบญาณิศาที่นั่น พวกเธอโต้เถียงกันก่อนถูกญาณิศาจับตัวเขย่าจนหมดสติ มันเหมือนความฝันทั่วไปที่ฉายภาพเหตุการณ์ไม่ปะติดปะต่อและจบลงห้วนๆ ทว่าห้วงนิทราต่อจากนั้นที่เธอคิดว่าตนเองแค่หลับไปกลับกินเวลายาวนานถึงหนึ่งวัน

มันจะเป็นไปได้จริงๆ น่ะหรือที่เธอจะใช้ชีวิตหนึ่งวันนั้นโดยไม่รู้ตัว ไม่มีสักเศษเสี้ยวความทรงจำหลงเหลือราวกับนั่นไม่ใช่เธอ แน่อยู่แล้ว เธอไม่มีทางทิ้งนัดสำคัญเพื่อทำเรื่องบ้าๆ อย่างการบอกคนอื่นว่าญาณิศาอยู่ในร่างตน แค่ฟังยังอยากหัวเราะ หญิงสาวนึกถึงข่าวนักต้มตุ๋นกับคนงมงาย ชั่วแต่ว่าเธอกลับหัวเราะไม่ออก เมื่อเรื่องพิลึกพิลั่นนั้นเกิดขึ้นกับตน

เดหลีไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา ไม่เคยคิดถึงโลกหลังความตาย กระทั่งตอนนี้เธอก็ไม่อยากเชื่อว่าวิญญาณมีจริง และวิญญาณญาณิศาจะผูกอาฆาตถึงขนาดแทรกแซงชีวิตเธอได้ ธีรดนย์พูดถูก ใครเชื่อก็บ้าเต็มที

“เดียร์ไม่รู้จะทำยังไงให้แทนเชื่อ แต่เดียร์ไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำจริงๆ” หญิงสาวยืนยันหนักแน่น

เดหลีกลับเข้ามาในห้องนอน เธอทรุดนั่งลงปลายเตียง สองมือทึ้งผมด้วยความกลัดกลุ้มและสับสน

เธอป่วยใช่ไหม อาจเป็นผลพวงจากอุบัติเหตุที่ทำให้สมองกระทบกระเทือน ความทรงจำจึงขาดหายเป็นช่วงๆ แต่ต้องมีสักทางที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอได้สิ เดหลีจะต้องหาคำตอบให้ตัวเองให้ได้

 

หญิงสาวทำงานอยู่ในห้องนอน ธีรดนย์เยี่ยมหน้ามาถามว่าจะกินอะไรหรือเปล่า ครั้นเธอปฏิเสธเขาก็ออกไป

ทันทีที่อยู่ลำพังเดหลีก็สลับหน้าจอมาค้นหาหลักฐานยืนยันตัวตน เธอเปิดดูประวัติการท่องอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและโทรศัพท์มือถือด้วยกัน แต่ไม่พบประวัติการใช้งานของเมื่อวาน เช่นเดียวกับที่ไม่ได้ตอบข้อความหรือรับสายใคร นั่นไม่ใช่วิสัยของเธอเลย

ระหว่างไล่สายตาผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยๆ สายตาก็พลันสะดุดเข้ากับชื่อของญาณิศา ข้อความสุดท้ายที่คุยกันคือนัดหมายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แล้วเรื่องเหนือความคาดหมายที่ได้รับรู้รับฟังจากธีรดนย์ก็ย้อนมาให้เธอตัดสินใจพิมพ์ข้อความถึงผู้ที่จากไป

‘หยี แกใช่ไหมที่อยู่ในร่างฉัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร บอกมาสิว่าแกต้องการอะไร’ (เอียง)

เดหลีกลั้นใจมองหน้าจอ เธอคงใกล้บ้าเต็มทีก็คราวนี้ แล้วยังบ้าพอที่จะโทร. หาจักรพันธุ์ เพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มให้โทร. หาเธอทุกวันต่อจากนี้หากวันใดเธอไม่ได้ติดต่อไป และถ้าพบสิ่งผิดปกติในตัวเธอให้บอกธีรดนย์ทันที โดยให้เหตุผลว่าแพทย์ขอความร่วมมือให้คนใกล้ชิดเฝ้าระวัง ชายหนุ่มจึงตอบตกลง

“แกจะไปงานหยีไหม เพื่อนๆ เราเป็นเจ้าภาพคืนสุดท้าย”

“คืนสุดท้าย...วันไหน” เธอถามเสียงแผ่ว

“ศุกร์นี้ คิดแล้วก็ใจหายเนอะ ศุกร์ที่แล้วพวกเราเพิ่งเลี้ยงวันเกิดให้นางเอง”

ขอบตาร้อนผ่าว เดหลีกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่จุกแน่นในลำคอกลับลงไปอย่างยากเย็น เธอเป็นต้นเหตุให้ญาณิศาต้องด่วนจากไปไม่พอ ซ้ำยังเป็นการพรากจากขณะที่เธอโกรธเคืองแทบจะสาปส่งไม่อยากทนมองหน้า ไม่มีใครล่วงรู้ความรู้สึกผิดที่กัดกินใจเดหลี เจ็บใจ เกลียดที่จุดจบเป็นเช่นนี้ โกรธทั้งตัวเองทั้งญาณิศาที่ทำให้เธอไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีกต่อไป

เธอพึมพำบอกจักรพันธุ์ว่าขอเวลาตัดสินใจ ซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจ ก่อนจะขอตัววางสายเมื่อแว่วเสียงกุกกักหน้าประตู

หญิงสาวปาดน้ำตาที่คลอหน่วยพร้อมกับสูดหายใจลึก ลึกลงไปในใจหวาดกลัวและหวั่นไหว ใช่แต่ต่ออนาคตของตนที่มีความผิดตราติดดั่งบาดแผล เป็นครั้งแรกที่เดหลีประหวั่นต่อความไม่รู้ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะจิตใต้สำนึกหลอกหลอนหรือปาฏิหาริย์ใดๆ เธอหวาดกลัวว่ามันจะเกิดกับตนอีกครั้งหนึ่ง


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น