5

5

บทที่ ๕

 

เสียงนาฬิกาปลุกไม่เพียงปลุกเจ้าของโทรศัพท์มือถือให้สะดุ้งตื่น เพื่อนร่วมเตียงยังพลอยงัวเงียรู้สึกตัวเช่นกัน

ธีรดนย์ปรือตามองคนรักที่กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งเหลียวมองรอบตัวราวกับหาอะไรสักอย่าง ครั้นเขาเหยียดแขนพาดหมอนเธอไปกดปิดเสียงโทรศัพท์ที่ปลุกพวกตน เจ้าหล่อนก็กระถดตัวหนีเกือบตกเตียง อากัปกิริยานั้นบอกให้รู้ว่าเธอยังไม่คลายความปั้นปึ่งจากเรื่องบาดหมางเมื่อคืน

“อาบเสร็จปลุกด้วย” ชายหนุ่มบอกห้วนๆ พลางตะแคงตัวนอนต่อ

ญาณิศากะพริบตาปริบๆ มองโทรศัพท์มือถือสลับกับคนบนเตียง ยิ่งกว่าความฝัน...เพราะเธอไม่เคยคิดฝันว่าจะตื่นขึ้นมาข้างๆ เขา ยิ่งกว่านั้นเธอยังตื่นจากความตายมีชีวิตใหม่ที่ไม่คิดฝัน

หญิงสาวลุกไปเข้าห้องน้ำตามที่อีกฝ่ายบอก แล้วก็ต้องประสบปัญหาหนักอกทุกครั้งที่เปิดตู้เสื้อผ้าของเดหลี เธอเคยคิดว่าเดหลีแต่งตัวอย่างไรก็สวยและทันสมัย แต่เมื่อต้องเป็นฝ่ายสวมใส่เสียเองกลับกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้จะหยิบจับชุดใดให้เข้ากันที่สุด แล้วจึงเลือกเดรสแขนกุดสีดำ ชายกระโปรงบานน้อยๆ ยาวระดับเข่า ญาณิศาไม่ได้แต่งหน้า ถึงอย่างนั้นก็ติดนิสัยต้องแปรงผมประสาผู้หญิง ก่อนประสบปัญหาหนักใจต่อมาเมื่อต้องปลุกธีรดนย์

เธอเดินอ้อมไปหยุดยืนข้างเตียง ก้อนเนื้อในอกเต้นระบำยามพิศมองใบหน้าด้านข้างของคนหลับใหล ยิ่งคิดถึงห้วงเวลาที่เขาคอยอยู่เคียงข้างตลอดวานวัน ความชื่นหวานก็เอิบอาบในอกในใจ

“แทน” เธอเรียกเขาแผ่วเบา แตะปลายนิ้วบนต้นแขนกำยำอย่างลังเล

ธีรดนย์ตื่นง่ายกว่าที่คิด เป็นอีกเรื่องที่เธอเพิ่งรู้ เช่นเดียวกับความเฉยชาเมื่อเขาเดินผ่านเธอไป ไม่มีคำทักทายอย่างที่ญาณิศาเคยคิดจินตนาการว่าคนรักจะพร่ำคำหวานหรือเย้าแหย่กันอย่างในละคร

หญิงสาวต่อว่าความคิดเหลวไหลของตน ไพล่นึกถึงคำที่เดหลีมักสัพยอกบ่อยๆ ว่าเธอจะไปรู้อะไร ใช่สิ เธอไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตเทียบเท่าคนอื่น อยู่แต่ในกรอบตลอดมา แต่บัดนี้กรอบนั้นได้ถูกทำลายด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ โชคชะตายังเมตตาผู้บริสุทธิ์อยู่บ้าง ถึงได้มอบโอกาสอีกครั้งแก่เธอ ญาณิศาสาบานว่าจะรักษามันอย่างดีที่สุด

เธอเริ่มวันด้วยการจัดเตรียมมื้อเช้า แต่วัตถุดิบที่มีก็ทำได้ดีที่สุดแค่ออมเล็ตไส้แฮมหั่นเต๋า หญิงสาวสะดุ้งตกใจน้อยๆ เมื่อเสียงแข็งดังขึ้นด้านหลัง

“ทำอะไร”

ญาณิศายกจานไปวางบนโต๊ะกินข้าวเล็กๆ แล้วเงยหน้าตอบชายหนุ่มที่ก้าวออกมาจากห้องนอน

“ออมเล็ตไส้แฮมให้แทน...”

ธีรดนย์ชำเลืองมองออมเล็ตสีเหลืองนวล แล้วดึงสายตามาจับนิ่งที่หญิงสาวพลางขบกรามแน่น

“นี่หยีใช่ไหม”

“แทน”

ญาณิศาเบิกตาโพลง ทั้งตกตะลึงและดีใจจนกายสั่นสะท้าน ทว่าท่าทางเช่นนั้นกลับทำให้ธีรดนย์เชื่อมั่นว่าเขาทันเกมของเธอ

“คิดแล้วไม่ผิด คิดว่าทำแบบนี้จะโยนความผิดให้คนอื่นได้หรือไงเดียร์ พนันได้เลยพรุ่งนี้เดียร์ก็จะแกล้งไม่รู้ไม่เห็นว่าทำอะไรลงไป”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“เดียร์อาจรู้จักหยีดี แกล้งแสดงได้สมบทบาท แต่แทนก็รู้จักเดียร์ดีเหมือนกัน” เขาว่าอย่างผิดหวัง กวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาขมจัด “ถ้าคิดจะลงทุนไม่ไปทำงานเพื่อความแนบเนียนก็เปล่าประโยชน์ แล้วถ้าเดียร์โผล่ไปงานหยีให้พ่อแม่เขาลำบากใจไปกว่านี้ละก็ อย่าคิดว่าแทนจะเข้าข้างอีก”

ถ้อยคำดักคอต่อว่าทำเอาญาณิศาหัวหมุน ความตกตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ ธีรดนย์พูดเหมือนรู้ว่าเธอพยายามทำสิ่งใด ไม่เคยมีสัญญาณหรือทีท่าว่าเขารู้ได้อย่างไร ในเมื่อหลังกลับจากวัดเมื่อคืนเขายังดีต่อเธอทุกอย่าง

หรือมีคนบอกเขาตอนเธอหลับไป...

“ใครบอกแทน” ญาณิศาถามเสียงพร่า

“เลิกไขสือเถอะ เดียร์ก็เห็นว่าคืนก่อนพ่อแม่หยีดีกับเดียร์แค่ไหน แล้วทำไมทำพวกท่านทุกข์ใจได้ลง”

คำว่า ‘ทุกข์ใจ’ สะท้อนสะท้านในความรู้สึกคนเป็นลูก หมายความว่าพ่อกับแม่ได้รับข้อความจากเธอ แต่คิดว่าเป็นฝีมือเดหลีอย่างนั้นหรือ

ญาณิศาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกระทำของตนจะนำความเจ็บช้ำมาสู่พ่อแม่ที่สูญเสีย ญาณิศาไม่เคยสงสัยความรักที่พวกท่านมีให้ ไม่เคยขาดความรัก และเธอก็รักพวกท่านมากจนแทบจะเรียกลูกแหง่ก็ว่าได้ นับแต่วันที่เธอเป็นลมขณะเข้าค่ายเนตรนารีระดับชั้นมัธยมแล้วพ่อกับแม่บึ่งรถจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมที่สระบุรี เธอก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้พวกท่านต้องเป็นห่วงเช่นนั้นอีก แต่ไม่วายเธอก็ทำให้พ่อแม่มีห่วงอีกจนได้จากความคิดน้อยของตนเอง

น้ำตารื้นไหลอาบลงมาตามร่องแก้มหญิงสาว ธีรดนย์แข็งใจเบนสายตาจากภาพนั้น ไม่ต้องการให้เธอได้ใจ เธอจะใช้เล่ห์เพทุบายเล็กๆ น้อยๆ กับเขาอย่างไรเขาไม่เคยว่า กลับรู้สึกมีสีสันเสียอีก แต่สิ่งที่ทำลงไปคราวนี้มันเกินรับ ถึงเขารักเธอก็ไม่ได้หมายความว่าจะนิ่งเฉยดูดายเข้าข้างผิดๆ

“แต่งตัวไปทำงานสิ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับก้มถอดปลั๊กชาร์จไฟคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก

ญาณิศาเอาแต่ส่ายศีรษะช้าๆ พลางเม้มปากกลั้นสะอื้น เธอจะไปทำงานได้อย่างไรในเมื่อเธอไม่ใช่เดหลี ไม่มีทางที่เธอจะตบตาใครต่อใคร

เห็นท่าทีสับสนของหญิงสาวแล้วธีรดนย์ไม่อยากใส่ใจไปกว่านั้นให้คนรักได้ใจ

“ตามใจ เอาที่เดียร์สบายใจ” เขาบอกแกมท้า เพราะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเดหลีย่อมเห็นแก่หน้าที่การงาน “แต่ถ้าแทนรู้จากครอบครัวหยีว่าเดียร์พยายามทำอะไรบ้าๆ อีก แทนคงต้องพาเดียร์ไปพบจิตแพทย์”

มันไม่ใช่แค่คำขู่เพื่อกำราบ ลึกๆ แล้วธีรดนย์เชื่อว่าเดหลีจะคิดได้ หาไม่แล้วคงมีบางอย่างผิดปกติกับระบบความคิดของเธอจริงๆ

เธอแค่พยายามรักษาบทบาทที่สร้างขึ้น ไม่เกินสองวันนี้แหละ คนบ้างานอย่างเดหลีจะกลับมาให้ความสำคัญแก่ตัวเองและหน้าที่รับผิดชอบดังเดิม พนันได้เลย

 

ญาณิศามองอาหารเช้าที่ถูกมองเมินด้วยใจร้าวราน ตอกย้ำว่าความพยายามของเธอไร้ความหมาย ไม่ว่าต่อธีรดนย์หรือพ่อแม่ของตน

‘เดียร์ก็เห็นว่าคืนก่อนพ่อแม่หยีดีกับเดียร์แค่ไหน แล้วทำไมทำพวกท่านทุกข์ใจได้ลง’

‘ถ้าแทนรู้จากครอบครัวหยีว่าเดียร์พยายามทำอะไรบ้าๆ อีก แทนคงต้องพาเดียร์ไปพบจิตแพทย์’

หญิงสาวยอมรับว่ากลัวคำขู่ของเขา เธอไม่ต้องการใช้เวลาชีวิตที่ได้คืนมาในโรงพยาบาล และที่สำคัญที่สุดญาณิศาไม่มีเจตนาให้พ่อแม่ทุกข์ใจ

แต่มันคุ้มกันหรือกับการถูกมองเป็นเดหลีตลอดชีวิต ญาณิศาคิดอย่างทดท้อแกมสับสน อีกไม่นานร่างของเธอก็จะถูกดำเนินพิธีทางศาสนา ถ้าไม่สามารถหยุดยั้งได้ คงไม่มีปาฏิหาริย์ที่เธอจะได้ฟื้นตื่นในร่างของตนอีกต่อไป

แม้เพิ่งผ่านความเป็นความตาย หญิงสาวก็ไม่วายยึดติดกับร่างกายดั่งทรัพย์สินติดตัวประสาปุถุชน แม้ได้เป็นสิ่งที่ชื่นชม ครอบครองสิ่งที่ปรารถนา ก็ยังหวงแหนสิ่งที่ตนเคยมีเคยเป็น ทว่าจากนี้เธอคงต้องหักใจ เวลาพิสูจน์คน คงมีแต่เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ใช่เดหลี เธอจะเป็นเดหลีในแบบของตน

ญาณิศาเช็ดน้ำตาแล้วหันออกไปมองนอกระเบียงที่มีกระถางต้นไลทอปเรียงรายบนชั้นวาง เธอไม่ได้เผชิญหน้าเดหลียามส่องกระจกเท่านั้น เพื่อนผู้จากไปยังปรากฏอยู่ในกรอบรูป ผ่านงานอดิเรก และสายตาผู้คนที่มอง ไม่รู้ระหว่างการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ตัวตนกับความตายอันเงียบงัน อย่างใดน่าเศร้ากว่ากัน

ญาณิศาดึงผ้าม่านบังแสงที่สาดแรงเข้ามาในห้อง เมื่อได้ใช้ความคิดเงียบๆ ลำพัง กลั่นกรองคำพูดของธีรดนย์ เธอก็ยิ่งซาบซึ้งที่เขาปกป้องครอบครัวของเธอ ตำหนิการกระทำที่เขาคิดว่าเป็นฝีมือคนรักด้วยความยุติธรรม ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าหากเขารู้ว่าแท้จริงเป็นเธอที่มีชีวิตใหม่ในร่างเดหลี ชายผู้มีหัวใจยุติธรรมจะยอมรับหรือรังเกียจเธอ

เมื่อตกลงไปในกระแสน้ำเชี่ยวกราก ทางรอดอาจเป็นการลอยคอเพื่อหาที่ยึดเกาะ ไม่ใช่การดิ้นรนเสมอไป

ลักษณะนิสัยที่พร้อมโอนอ่อนผ่อนปรนเสมอทำให้หญิงสาวค่อยๆ เรียนรู้ที่จะยอมรับสถานการณ์อย่างที่เป็นไป เธอเริ่มวาดแผนการชีวิตต่อจากนี้ อันดับแรกคือการลาออกจากงาน ญาณิศาหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้กลับไปทำงานให้พ่อกับแม่ ดูแลพวกท่านแม้ในฐานะเพื่อนของลูกสาวก็ตาม

หญิงสาวเก็บล้างจานชาม เช็ดครัวสะอาดเอี่ยมอย่างติดเป็นนิสัย แต่แล้วเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ทำเอาผู้ที่อยู่ลำพังสะดุ้งตกใจ เธอเดินตามเสียงเข้าไปในห้องนอน ที่มาของเสียงวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงนั่นเอง

โทรศัพท์มือถือของเดหลี แต่ชื่อผู้โทร. เข้ามาเป็นใครก็สุดรู้ ญาณิศารอให้สายตัดไป แล้วหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาอย่างลังเล ความหวังปรากฏรูปรอยในใจอีกครั้งเมื่อความคิดแวบเข้ามาว่ายังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ตัวเองได้ แค่เพียงมีโอกาสพูดกับพ่อแม่ตรงๆ

หัวใจพลันโลดแรงหลังปลดล็อกหน้าจอด้วยลายนิ้วมือสำเร็จ ญาณิศากดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจด้วยนิ้วมือสั่นเทา สัญญาณรอสายสะท้อนในโสตประสาทผสานเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำ สรรพเสียงอื้ออึงจนหญิงสาวแทบไม่ได้ยินเสียงจากปลายสายที่ตอบรับแผ่วเบา

“ฮัลโหล”

น้ำตาลูกไหลรินทันทีที่ได้ยินเสียงแม่ ญาณิศาต้องยกมือปิดปากกลั้นสะอื้น ขณะพยายามตั้งสติคิดคำเอ่ยก็แว่วเสียงสนทนาจากปลายทาง

“ใครไม่รู้น่ะพ่อ โทร. มาแต่ไม่พูด”

“วางเถอะ”

หญิงสาวสิ้นไร้กำลังใจจะเอ่ยคำ ลำคอตื้อตัน แค่ได้ยินน้ำเสียงทุกข์ใจของแม่ เธอก็ทำเพื่อตัวเองไม่ลง ไม่อาจทำให้ท่านต้องระทมทุกข์ไปกว่านี้ดังที่ธีรดนย์ตำหนิการกระทำของเธอ

สายตัดไปแล้ว ทว่าญาณิศายังคงจับจ้องหน้าจอจนน้ำตาค่อยๆ แห้งเหือด ปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยตอนนี้เธอก็สามารถโทร. หาพวกท่านเมื่อไรก็ได้ที่คิดถึง แล้วยังสามารถติดต่อเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับเจ้าของเครื่องตัวจริง เธอไม่ได้โดดเดี่ยวท่ามกลางโลกใหม่เสียทีเดียว

ความคิดนั้นนำพาญาณิศาเข้าสู่แอปพลิเคชันสนทนา มีข้อความตกค้างถึงเดหลีจำนวนหนึ่งนอกเหนือจากข้อความโฆษณาและข้อความกลุ่มที่เธอไม่รู้จัก หญิงสาวเลื่อนหน้าจอขึ้นเรื่อยๆ ราวกับหวังว่าจะมีเพื่อนคนใดสักคนที่เธอรู้จักแสดงความเสียใจต่อการจากไปของเธอ แต่กลับพบชื่อของตนปรากฏขึ้นมา ข้อความล่าสุดที่ส่งมาจากเดหลีทำเอาเลือดในกายเย็นเฉียบ

‘หยี แกใช่ไหมที่อยู่ในร่างฉัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร บอกมาสิว่าแกต้องการอะไร’ (เอียง)

เดหลีรู้...ญาณิศาอยากถามเหมือนกับเพื่อนว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร เป็นไปได้อย่างไรที่ข้อความนั้นถูกส่งมาเมื่อคืน...จากเจ้าของบัญชีตัวจริง ถ้าเจ้าหล่อนยังมีชีวิต ตอนนี้เดหลีอยู่ที่ไหน

ญาณิศากะพริบตาตั้งสติคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง เธอคิดว่าตนเองตายไปแล้วตอนที่ได้แต่มองพ่อแม่กอดกันร้องไห้ เรียกเท่าไรก็ไม่มีใครได้ยิน แล้วความฝันแหว่งวิ่นก็พาเธอกลับไปยังร้านอาหารอันเป็นสถานที่สุดท้ายที่ตนได้ไปเยือนก่อนเสียชีวิต เดหลีอยู่ที่นั่น อีกฝ่ายมองเห็นเธอ และเธอก็สามารถโต้ตอบสัมผัสเพื่อนได้เช่นกัน ก่อนแรงเหวี่ยงจะปลุกให้เธอสะดุ้งตื่นในร่างเดหลี

เธอหวาดกลัวและขวัญเสียเมื่อรู้ว่าตนเองได้ตายไปจากกายของตน ร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจต่อหน้าพ่อแม่บังเกิดเกล้าและโลงบรรจุร่าง ก่อนจะหาทางบอกความจริงกับพวกท่านด้วยการฝากกระดาษโน้ตไว้กับลูกจ้างคนหนึ่งของครอบครัว

‘เดียร์ก็เห็นว่าคืนก่อนพ่อแม่หยีดีกับเดียร์แค่ไหน...’

คืนก่อนหรือ...ญาณิศาฉุกคิดถึงคำพูดของชายหนุ่มหลังจากรู้ความจริง แล้วออกจากแอปพลิเคชันสนทนามาเปิดปฏิทินดิจิทัล พลันหัวใจก็กระตุกวูบเมื่อปฏิทินบอกวันพฤหัสบดี ทั้งที่เธอไม่มีทางจำผิดว่าตนไปร่วมงานศพของตัวเองเมื่อคืนวันอังคาร

ไม่ทันมีคำตอบให้ตัวเอง สายเรียกเข้าก็ปรากฏบนหน้าจออีกครั้ง หัวใจสาวเต้นแรงเมื่อคราวนี้เธอรู้จักผู้โทร. เป็นอย่างดี

“ไหนบอกจะโทร. มา แกไม่โทร. ซะที ฉันเลยโทร. มาเช็กตามที่แกสั่งเสียเมื่อวานแล้วนะยะ”

คำทักทายของจักรพันธุ์คล้ายจะตอบคำถามคาใจญาณิศา ชั่วแต่ว่ามันคือปาฏิหาริย์หรือคำสาปกัน

 

เดหลีรู้...คำพูดของจักรพันธุ์ตอกย้ำให้แน่ใจว่าใช่แต่เธอที่ผิดสังเกตเรื่องช่วงเวลาที่หายไป เดหลีก็เช่นกัน

‘ไหนบอกจะโทร. มา แกไม่โทร. ซะที ฉันเลยโทร. มาเช็กตามที่แกสั่งเสียเมื่อวานแล้วนะยะ’

‘เหรอ’

‘เป็นไรไหมเนี่ยแปลกๆ นี่แกอยู่ไหน’

‘ไม่ได้เป็นไร อยู่คอนโด’ เธอพยายามทำเสียงให้มีชีวิตชีวาเหมือนยามเดหลีพูดจา

‘อ้าว ว่าจะนัดกินข้าวเที่ยงแถวโรงแรมแกพอดี แหม ร้อยวันพันปีหยุดงานซะนี่’

‘ไว้คราวหน้าแล้วกัน’

‘เออๆ แค่นี้แหละ โทร. มาตามที่แกบอกแล้วนะ’

ไม่แปลกที่เดหลีจะระแคะระคายถึงขั้นฝากฝังเพื่อนที่ไว้ใจให้สังเกตการณ์ เพื่อนเธอเป็นคนฉลาดเฉลียว ย่อมจับสังเกตได้ไม่ยาก แล้วเดหลีก็คงบอกธีรดนย์ว่าเกิดอะไรขึ้น เช้านี้เขาถึงได้ทายทักเรียกชื่อเธอ ทว่าไม่ใช่ด้วยความสับสนโน้มเอียงเชื่อถือแต่อย่างใด แต่เป็นไปด้วยน้ำเสียงและแววตามึนตึง

ถ้าช่วงเวลาในชีวิตที่หายไปถูกแทนที่ด้วยใครอีกคน เช่นนั้นเธอกับเดหลีก็กำลังประสบปัญหาเดียวกัน เธอหาทางบอกความจริงกับครอบครัว ส่วนเดหลีคงพยายามบอกคนรัก แต่นอกจากจะไม่มีใครเชื่อ พวกเธอยังกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาคนที่ตนรัก

ญาณิศาลืมความบาดหมางระหว่างเพื่อนชั่วขณะ อย่างน้อยการได้รู้ว่ามี ‘เพื่อน’ ประสบชะตากรรมร่วมกันก็ปัดเป่าความโดดเดี่ยว เดหลีมักมีความคิดดีๆ เสมอหากเกี่ยวกับการเอาตัวรอด ทุกครั้งที่เธอคิดทำอะไรออกนอกกรอบ เดหลีมักจะสนับสนุนและอยู่เคียงข้างเสมอ

หญิงสาวเข้าแอปพลิเคชันสนทนาอีกครั้ง ถ้าเดหลีจงใจใช้วิธีนี้สื่อถึงเธอ นี่ก็อาจเป็นช่องทางที่เธอจะโต้ตอบเพื่อนได้

‘เมื่อวานเป็นเดียร์อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมพวกเราถึงเป็นแบบนี้ หยีไม่อยากเป็นเดียร์ตลอดไป’ (เอียง)

ญาณิศาไพล่นึกถึงคืนวันที่เธอโกหกพ่อแม่ว่าไปทำรายงานกับเพื่อน แต่แท้จริงเธอเป็นคนชวนเดหลีไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ ดำน้ำดูปะการังที่เกาะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก แม้เธอจะว่ายน้ำไม่แข็ง แต่แค่มีเดหลีอยู่ข้างๆ ก็อุ่นใจ

ทว่าคืนวันเหล่านั้นล่วงผ่านไปแล้ว บัดนี้ความอุ่นใจแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มกับปัญหาไร้ทางออก แล้วเธอจะทำอย่างไรถ้าเดหลีคิดเอาตัวรอดคนเดียวอีกครา

 

หญิงสาวกลับมาเงียบซึมจนชายหนุ่มที่เพิ่งกลับถึงห้องสังเกตได้ไม่ยาก ธีรดนย์ตัดสินใจถูกที่ไม่ไปดื่มกับลูกค้าค่ำคืนนี้ ยากจะบอกได้ว่าเพราะเป็นห่วงหรือกังวลว่าเธอจะก่อเรื่องมากกว่ากัน

ประตูห้องนอนเปิดค้างไว้ แต่ไม่มีทีท่าว่าคนข้างในจะออกมา ชายหนุ่มเป็นฝ่ายก้าวไปไถ่ถาม ยอมละวางทิฐิมานะชั่วคราว

“กินข้าวยัง แทนจะสั่งไรมากิน กินไรเปล่า”

ญาณิศาสั่นศีรษะ แต่ร่างกายที่ไม่ใช่ของเธอกลับไม่ให้ความร่วมมือ ท้องร้องประท้วงให้คนถามยิ้มขัน

“อ้ะ เอาไปสั่ง” เขาส่งโทรศัพท์มือถือที่เปิดแอปพลิเคชันบริการส่งอาหารให้ก่อนเดินไปเข้าห้องน้ำ

หญิงสาวรับมาอย่างทำอะไรไม่ถูก จะบ่ายเบี่ยงก็เกรงว่าจะยิ่งมีพิรุธ คนมั่นใจอย่างเดหลีไม่เคยลังเลเวลาเลือกสิ่งที่ต้องการ แล้วตอนนี้เธอก็มีสิทธิ์ทำอย่างนั้นเหมือนกัน

ญาณิศาค้นหาร้านอาหารเวียดนามอันเป็นอาหารโปรดเธอ แล้วเลือกกวยจั๊บญวนให้ตัวเอง เธอรีรอจนธีรดนย์ออกจากห้องน้ำ หลังส่งโทรศัพท์มือถือคืนเขาแล้วก็ลุกไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่เธอใช้เวลาระหว่างวันค้นหาและจดจำที่เก็บข้าวของต่างๆ ของเดหลี นอกจากนั้นยังพบสมุดบันทึกนัดหมาย สมุดจดหมายเลขโทรศัพท์ กระเป๋านามบัตร แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก

“ไม่ได้สั่งเผื่อเหรอ”

“ไม่รู้แทนอยากกินอะไร” เธอตอบพลางกลั้นใจหันไปสบตาชายหนุ่ม

ชั่ววินาทีที่ประสานสายตากันนานพอให้คนมีชนักติดหลังใจเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนธีรดนย์จะหลุบตามองหน้าจอโดยไม่เอ่ยวาจา

คราวหน้าเธอจะไม่ลืมเด็ดขาดว่าเดหลีมักกะเกณฑ์สั่งอาหารเผื่อคนรอบตัว ญาณิศาย้ำกับตนเองในใจ

“สั่งแล้วจะอาบน้ำก่อนก็ได้” เขาบอกง่ายๆ ครั้นเห็นคนรักหยิบเงินออกมาก็ทำหน้านิ่ว “ทำอะไร”

“ค่าอาหาร”

“มันตัดบัตรแทน ลืมหรือไง”

หญิงสาวหน้าซีด ก้อนเนื้อในอกเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง แต่กลบเกลื่อนด้วยการยืนยันคำพูดเดิม

“ก็...เดียร์เป็นคนเลือกร้าน” เธอดึงดัน

ธีรดนย์โคลงศีรษะแล้วออกไปจากห้อง ทิ้งให้ญาณิศาใคร่ครวญว่าทำอะไรผิด ก่อนรอยยิ้มบางๆ จะแต้มมุมปาก นึกชื่นชมที่เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเงินทอง

เพื่อนเธอโชคดีเหลือเกินที่ได้รับความรักจากชายผู้นี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นเธอที่สารภาพความรู้สึกกับธีรดนย์ก่อน เธอจะกลายเป็นคนโชคดีแทนที่เดหลีหรือไม่หนอ แล้วถ้าเดหลีหาทางพิสูจน์ให้ธีรดนย์เชื่อได้ว่าเธอมาอิงแอบในร่างเพื่อน...เหมือนที่อาศัยใต้เงาเพื่อนลอบชื่นชมเขาตลอดมา ธีรดนย์จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยคนรักโดยไม่สนใจไยดีดวงวิญญาณไร้ร่างนี้หรือไม่ เพราะคนที่เขารักไม่ใช่เธอ

ไม่...ตราบใดที่ยังมีโอกาส เธอจะทำให้เขารักเดหลีในเวอร์ชันที่เป็นเธอ เธออาจเคยขลาดกลัวที่จะทำสิ่งต่างๆ ตามความรู้สึก แต่เมื่อสถานการณ์บีบบังคับเช่นนี้ ระหว่างเป็นกับตาย ญาณิศาเลือกรักษาชีวิตอย่างไร้เงื่อนไขโดยไม่ลังเล

ชายหนุ่มที่ลงไปรับอาหารขึ้นมาหรี่ตามองหญิงสาวที่จัดเตรียมจานชาม ใบหน้าเก๋แปลกตาไม่ได้เรียบเฉยอมทุกข์เช่นก่อนหน้านี้ ดวงตากลับมาทอประกาย แม้เธอจะหลบตาเขาขณะรับถุงไปแกะก็ตามที

“สั่งเหมือนกันเหรอ”

“อืม”

ญาณิศาถ่ายอาหารใส่จานแทนผู้ที่ลงไปรับ ทำทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้นดังที่คนกระฉับกระเฉงอย่างเดหลีเป็น แม้ในใจจะสั่นไหวกับสายตาที่คอยมองตาม

“บอกมาเลยดีกว่าว่าต้องการอะไร” เขาโพล่งดักคอเมื่อชามถูกเลื่อนมาตรงหน้า

“หมายความว่ายังไง”

“มาเอาใจแปลว่ามีแผนการอะไร”

หญิงสาวตาโต แทบสำลักลมหายใจ เชื่อสนิทแล้วว่าเขารู้จักเพื่อนเธอลึกซึ้งสมคำอวดอ้างจริงๆ

‘ยาหยีที่ร้าก เราร้อยพวงกุญแจลูกปัดให้ สวยไหม’

‘ให้หยีหรือ น่ารักจัง เพิ่งรู้ว่าเดียร์ทำเป็นด้วย’

‘เคยทำขายเพื่อนๆ สมัยมัธยม เลยมีอุปกรณ์อยู่ แต่อันนี้ไม่ขายนะ เราทำให้หยีโดยเฉพาะ ชอบใช่ไหมล่ะ’

‘ชอบสิ สีฟ้าสีโปรดหยีด้วย’ เธอยิ้มเต็มปาก แล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ ‘อย่าบอกนะว่าเมื่อวานโดดคลาสไปทำให้ หยีไม่เชื่อหรอก’

เดหลีหัวเราะร่วน ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ‘ยืมสมุดหยีไปซีรอกซ์หน่อยสิ นะๆๆ’

นั่นแหละเดหลี คนที่รู้จักเอาใจและทำให้คนรอบข้างรู้สึกสำคัญเมื่อต้องการบางสิ่งจากคนคนนั้น

“เปล่า ไม่มีแผนการอะไร แค่อยากทำให้แทน”

หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะหัวเราะขันคำพูดคำจาของเธอ ถึงแม้เดหลีจะเจ้าเล่ห์ แต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมา ทว่าสองสามวันมานี้มีหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเจ้าหล่อนที่เขาคล้ายจะอ่านไม่ออก ตามไม่ทัน ธีรดนย์ไม่ชอบความรู้สึกเคลือบแคลงที่รบกวนจิตใจขณะนี้เลย เพราะมันทำให้เขารู้สึกห่างเหินเธอไปทุกที


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น