6

6

บทที่ ๖

 

อีกเช้าที่หญิงสาวสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก เธอกระวีกระวาดหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูปฏิทิน แล้วหัวใจก็เต้นเร่าเมื่อสิ่งที่เธอคิดเป็นจริง!

เดหลีเปิดแอปพลิเคชันสนทนาทันทีทันใด เลื่อนหน้าจอเพียงนิด บัญชีของญาณิศาก็ปรากฏขึ้นมา เมื่อกดเข้าไปก็พบข้อความใหม่ที่ส่งจากบัญชีของเธอเอง

‘เมื่อวานเป็นเดียร์อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมพวกเราถึงเป็นแบบนี้ หยีไม่อยากเป็นเดียร์ตลอดไป’ (เอียง)

นี่อย่างไรหลักฐาน...ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนส่งข้อความนั้นและตื่นขึ้นมาข้ามไปอีกวัน แล้วญาณิศาก็ยอมรับว่าเกิดเรื่องพิลึกพิลั่นกับพวกตน คงพอพิสูจน์ได้ว่าเธอไม่ได้คิดไปเองหรือกุเรื่องทั้งหมดขึ้นมา

เดหลีรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะเสียสติ เธอเขย่าปลุกธีรดนย์ ทันทีที่เขาลืมตาก็ยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าชายหนุ่ม เริ่มร้องไห้อย่างไม่อาจควบคุมตัวเอง

“บอกแล้วว่าไม่ใช่เดียร์ ดูสิ! หยีสิงเดียร์ เราใช้ชีวิตคนละวัน แทนดูสิ”

ชายหนุ่มทำหน้านิ่วขณะอ่านข้อความ ก่อนหลับตาสะกดกลั้นอารมณ์พร้อมกับทิ้งกายพิงหัวเตียง

นี่น่ะหรือคนที่บอกว่าไม่มีแผนการ เมื่อโกหกคำโตแล้วจึงต้องดื้อดึงรักษาศักดิ์ศรีด้วยการปั้นน้ำเป็นตัวต่อไปเรื่อยๆ เขาทั้งโกรธ ผิดหวัง และวิตกกังวลกับสิ่งที่เดหลีเป็น มันรุนแรงขึ้นทุกทีจนไม่อาจชะล่าใจ

“เดียร์บอกให้ดู เห็นไหมว่าเดียร์ไม่ได้ทำ” เธอเขย่าไหล่ให้เขาลืมตา

“ให้แทนดูข้อความที่เดียร์ส่งถึงเดียร์เนี่ยนะ” ชายหนุ่มเค้นเสียงถาม

“แต่นั่นไม่ใช่เดียร์! เดียร์ไม่ได้พิมพ์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน”

“เดียร์จะพูดจะพิมพ์อะไรก็ได้ มันคือตัวเดียร์ มือถือเดียร์” เขาโต้

“โธ่เว้ย! แทนแยกแฟนตัวเองกับคนอื่นไม่ออกได้ไง วันนี้กับเมื่อวันก่อนต่างหากที่เป็นเดียร์ ทำไมแทนดูไม่ออก ทำไมไม่เชื่อเดียร์” เดหลีร้องไห้คร่ำครวญพร้อมกับทุบอกตนเองก่อนทรุดนั่งบนขอบเตียง

ไม่เหลือเค้าหญิงสาวที่เฉิดฉายมั่นใจเสมอ ตั้งแต่คบหากันธีรดนย์ไม่เคยเห็นคนรักร้องไห้ราวกับโลกถล่มทลายต่อหน้า ต่อให้มีเรื่องหมางใจเธอก็เก็บซ่อนน้ำตาไม่ให้เขาเห็น แต่นั่นก็เพียงพอให้เขารู้สึกรู้สาไปกับเธอ ทว่าไม่กี่วันมานี้เขากลับได้เห็นน้ำตามากกว่ารอยยิ้มของคนที่ตนรัก

“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่มันน่าเชื่อหรือ” เขาเอ่ยเสียงอ่อนลง “จำตอนที่เราดูหนังเรื่องฟิฟตีเฟิสต์เดตส์ได้ไหม เดียร์ยังบอกว่าไม่น่าเชื่อว่ามีโรคนั้นเลย”

“เดียร์ไม่ได้ป่วย ไม่ได้ความจำเสื่อม” เธอแย้งหนักแน่น “ไม่เชื่อก็ถามมาสิ ถามเรื่องของเราอะไรก็ได้”

ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ลูบหน้าอย่างเหนื่อยล้าจะโต้เถียงเรื่องเดิมทุกวี่ทุกวัน

“วันนี้เดียร์อาจตอบถูก พรุ่งนี้แกล้งตอบผิดแทนจะรู้ได้ไง”

เดหลีจุกเจ็บราวกับถูกมีดปักกลางอก เธอตวัดสายตามองเขาอย่างเจ็บช้ำ

“เพิ่งรู้ว่าแทนไม่เชื่อใจเดียร์ขนาดนี้ เหมือนไม่รู้จักเดียร์เลยสักนิด”

หญิงสาวเชิดหน้าปาดน้ำตาก่อนผละไปเข้าห้องน้ำ เปล่าประโยชน์จะเรียกร้องความเชื่อใจจากคนที่มองเธอเป็นผู้ร้าย ก็เหมือนกับที่เดหลีรู้ซึ้งดีว่าไม่อาจทำให้คนหมั่นไส้หันมาชอบเธอ แต่เธอยังต้องมีชีวิตต่อไปแม้ใครจะชังก็ตาม

ที่ผ่านมาเธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่พอใจยิ่งยวดทุกครั้งที่ผู้หญิงหน้าไหนเข้ามาพัวพันใกล้ชิดคนรักของตน แม้กระทั่งคนคนนั้นคือเพื่อนรักของเธอเอง อาจเพราะเคยถูกคนใกล้ตัวแย่งคนรัก มิหนำซ้ำความรักพื้นฐานอย่างความรักจากแม่ยังถูกแบ่งปันไปให้น้องมากกว่า เดหลีจึงหวงแหนความรัก แต่บัดนี้เธอรู้แล้วว่ามันไม่สำคัญเลยว่าเธอให้ความสำคัญกับธีรดนย์มากเท่าไร ไม่สำคัญว่าญาณิศาหรือใครแย่งความรักของเขาไป เมื่อเขาไม่เชื่อใจเธอ

หญิงสาวสงบจิตสงบใจก้าวออกจากห้องน้ำ แสร้งเมินแฟนหนุ่มที่ทำท่าเหมือนมีเรื่องจะพูด แล้วลงมือแต่งหน้าหน้ากระจกเหนือตู้ลิ้นชัก ครั้นเห็นจากหางตาว่าธีรดนย์เปลี่ยนใจเข้าห้องน้ำ เธอก็เร่งมือและจัดกระเป๋าออกไปทำงาน ทิ้งไว้แต่ข้อความสั้นๆ ในกระดาษว่าเธอออกไปแล้ว

เดหลีไม่มีปัญหากับการนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างออกมาขึ้นรถไฟฟ้า เธอรู้วิธีเดินทาง รู้จักเอาตัวรอด หรืออาจเรียกว่ารู้จักชีวิตจนปรุก็ว่าได้ เดหลีภาคภูมิใจที่สามารถพึ่งพาตัวเอง ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทแอบอิงใต้ร่มเงาผู้ชาย แต่แล้วทำไมเธอถึงได้รู้สึกแตกสลาย เจ็บปวดเสียใจกับท่าทีของธีรดนย์ นี่ไม่ใช่ตัวตนของตนเองที่เธอรู้จักเลย

น่าขัน แม้ในยามที่ชีวิตสับสนวุ่นวายไม่มีอะไรแน่นอนถึงขนาดที่อาจเป็นเธอที่หลับไปตลอดกาล เดหลีก็ยังทุ่มเทให้แก่การทำงาน ทว่าเธอเลี่ยงการตอบคำถาม พูดคุยกับคนอื่นน้อยลง แล้วจมจ่อมกับโทรศัพท์มือถือตอนที่อยู่ลำพัง เธอไม่ได้โทร. กลับหาธีรดนย์ซึ่งโทร. มาเมื่อเช้า แต่เลือกติดต่อจักรพันธุ์เพื่อความแน่ใจของตนเอง

“ถ้าแกไม่โทร. มาก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย” เสียงแหลมของชายหนุ่มดังมาตามสาย

“อะไร พึ่งแค่นี้ไม่ได้”

“พูดงี้ก็สวยสิ เมื่อวานฉันโทร. หาแกนะยะ อุตส่าห์จะไปกินข้าวเป็นเพื่อนก็ดันไม่มาทำงาน”

เป็นญาณิศา...เป็นแกจริงๆ สินะหยี

เดหลีไม่แปลกใจ ไม่ตื่นตกใจอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นพุ่งถึงขีดสุดนับแต่ตื่นมาเห็นข้อความ แต่เมื่อเห็นว่าหามีใครเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอไม่ เดหลีก็ค่อยๆ ทำใจและตั้งสติคิดหาทางออกด้วยตัวเอง

“เหวี่ยงได้แล้วแบบนี้ โอเคขึ้นแล้วใช่มะ”

“ทำไม เมื่อวานฉันดูแย่มากหรือไง”

“แค่พูดน้อย มันไม่ใช่ มันไม่ชิน” จักรพันธุ์ดัดเสียงตอบอย่างน่าหมั่นไส้

หญิงสาวหัวเราะเท่าๆ กับที่อยากร้องไห้ แม้แต่ปลายสายยังสังเกตถึงความผิดแผกแตกต่างของเธอได้จากบทสนทนา แต่คนรักที่อยู่ซึ่งๆ หน้า เรียนรู้นิสัยใจคอด้วยการใช้ชีวิตด้วยกันนานปี กลับไม่อาจแยกแยะความต่างระหว่างเธอกับญาณิศา

“ตกลงคืนนี้แกจะมางานหยีไหม คืนสุดท้ายแล้วนะ”

“นังจูลี่ไป ฉันไม่ไปดีกว่า”

“เดียร์ ถามจริงเหอะ แกยังโกรธจูลี่กับหยีเรื่องที่พูดกันในงานเลี้ยงคืนนั้นอยู่ใช่ไหม”

คำถามของจักรพันธุ์สะกิดแผลในใจเดหลี และพบว่าบาดแผลซึ่งเกิดจากความทรยศทิ่มแทงที่เธอเคยคิดว่าฉกาจฉกรรจ์นั้น เทียบไม่ได้เลยกับความมืดหม่นของจิตใจยามนี้ที่ถูกเงาแห่งความกลัวครอบคลุม

เธอไม่อยากตาย ทุกคนรักตัวกลัวตายทั้งนั้น และไม่มีอะไรรับประกันว่าสักวันเธออาจเป็นคนที่หลับไปตลอดกาล แค่คิดร่างกายก็เย็นเยียบสั่นสะท้าน

“แค่นี้ก่อนนะ งานเข้า ถ้าเปลี่ยนใจจะโทร. บอก” เธอเลี่ยงตอบคำถามด้วยการขอตัววางสาย

ไม่ใช่ไม่อยากบอกความจริงกับจักรพันธุ์ แต่เพราะรู้นิสัยใจคอเจ้าของฉายา ‘แจ็กกี้รู้โลกรู้’ เดหลีไม่พร้อมรับมือกับคำพูดและสายตาของเพื่อนทุกคนที่อาจพุ่งเป้ามาที่เธอ จักรพันธุ์เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวที่ดี คบหาได้ ทว่าที่ผ่านมามีเพียงสองคนเท่านั้นที่เดหลีกล้าเปิดเผยทุกความคิด ความรู้สึก หรือปรึกษาปัญหา คือธีรดนย์กับญาณิศา

ตอนนี้...คนคนหนึ่งหันหลังให้ และอีกคนก็คงไม่มีโอกาสได้พูดจากันแล้ว ไม่มี...

 

ศุกร์ที่แล้วเวลาเดียวกันนี้ เดหลีกำลังมุ่งหน้าฝ่าการจราจรติดขัดไปร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนรัก ทว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ คืนนี้เธอกลับทำได้เพียงมาร่วมงานบำเพ็ญกุศล ฝากฝังตัวเองในมุมมืด ทอดตามองไกลๆ

ค่ำคืนสุดท้ายผู้คนมาร่วมงานแน่นศาลา ลำพังเพื่อนร่วมคณะและเอกเดียวกันก็ปาเข้าไปกว่าสามสิบคน ญาณิศาเป็นที่รักของเพื่อนๆ เพราะความมีน้ำใจและการมองโลกในแง่ดี ขณะที่เพื่อนสนิทอย่างเธอที่เหมือนจะห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูงกลับได้ยินได้ฟังคำนินทาลอยมาเข้าหูอยู่เนืองๆ ยิ่งรู้จักคนมากก็ราวกับยิ่งหาความจริงใจได้ยากขึ้นเท่านั้น เธอถึงได้เจ็บปวดผิดหวังรุนแรงที่ญาณิศามีความลับกับเธอ และแสดงออกด้วยการจิกกัดอีกฝ่ายเพื่อปิดบังความรู้สึกสั่นคลอนข้างใน

‘แกเข้าใจเราหรือยังหยี เราไม่เคยคิดอยากให้แกตาย เราไม่เคยเกลียดแก’

ส่วนเธอเข้าใจแล้วรู้ซึ้งทีเดียวว่า การที่ชีวิตแขวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย แต่โชคชะตานำพาไม่สามารถกำหนดหรือควบคุมแม้กระทั่งชีวิตตนเองได้ อาจเหมือนวาระสุดท้ายของญาณิศา สร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด

‘เราต้องตายโดยที่ไม่ใช่ความผิดของเรา!’

‘มันเป็นอุบัติเหตุ!’

‘แล้วทำไมเดียร์ไม่ตาย ทำไมต้องเป็นหยี ทำไม!’

ภาพและเสียงจากความฝันติดตรึงในมโนสำนึก ย้อนนึกคราใดก็สะเทือนใจ

หรือนั่นเป็นความปรารถนาของญาณิศา ต้องการชีวิตที่สูญเสียไปกลับคืน แล้วคนที่เจ้าหล่อนต้องการให้ชดใช้ความผิดก็คือเธอ

‘เวลาไม่เคยย้อนกลับ...ลืมแล้วหรือเดียร์ เวลานำพาบางสิ่งและพรากบางอย่าง เวลาซื่อสัตย์ยุติธรรมเสมอ และเวลาพิสูจน์คน’

พลันเดหลีก็นึกถึงร้านอาหารและบาร์ที่เต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาด ทั้งบรรยากาศร้าน พนักงาน และนาฬิกาหลายสิบเรือน ไหนจะคำคมและคำพูดของเจ้าของร้านที่เธอได้พบ ทุกอย่างสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

หญิงสาวตัดสินใจจะกลับไปที่ร้านเดี๋ยวนั้น แต่แขกเหรื่อที่ทยอยลงจากศาลาทัดทานอารมณ์หุนหัน เธอยืนปะปนกลมกลืนกับแขกที่มาร่วมงานศาลาอื่น รอจนกระทั่งประธานและผู้ที่มาร่วมงานกลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงแม่ครัวกับลูกน้องกำลังเก็บกวาด เดหลีถึงก้าวเข้าศาลาไปจุดธูป ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าโลงศพและรูปถ่ายเพื่อน

‘หยี ไม่ว่าตอนนี้แกอยู่ที่ไหน ไม่ว่าแกจะอโหสิให้เราหรือไม่ พนันว่าไม่ เรื่องบ้าๆ นี้ถึงเกิดขึ้นกับพวกเรา แต่ในเมื่อแกไม่อยากเป็นเราไปตลอดชีวิต ก็เหลือทางออกแค่เราต้องช่วยกัน ได้ยินไหม มันต้องมีสักวิธีสิที่ไม่มีใครสูญเสีย เราจะไม่ยอมให้แกตายจากไป แต่แกก็ต้องช่วยเรานะหยี’

คำอธิษฐานนั้นจะส่งถึงญาณิศาหรือไม่ก็สุดรู้ จู่ๆ เดหลีก็คิดได้ว่ามีวิธีที่ดีกว่า มั่นใจได้ว่าสารจะถึงผู้รับ เพียงแค่ส่งข้อความทิ้งไว้ในโทรศัพท์

ให้ตาย...นี่มันเรื่องผียุค ๔.๐ หรือไงนะ ไม่ว่ายุคสมัยไหนโชคชะตาก็เล่นตลกกับชีวิตคนอย่างร้ายกาจ แต่เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอสู้มาทั้งชีวิต กว่าจะมีจะเป็นเช่นทุกวันนี้ก็เพราะไม่ยอมแพ้โชคชะตาอย่างไร

 

เดหลีใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันไปยังร้านอาหารกึ่งบาร์ที่เคยคิดว่าน่าสนใจ ทว่าบัดนี้ความน่าสนใจนั้นขยายขอบเขตจากการตกแต่งอันเป็นเอกลักษณ์ เธอใคร่ค้นหาคำตอบของความเกี่ยวพันกับเรื่องพิลึกพิลั่นที่ตนกำลังเผชิญ

ระหว่างทางเดหลีเพิ่งเห็นว่าธีรดนย์ติดต่อมาหลายครั้ง หลังไม่รับสายเขามาทั้งวัน เธอคิดว่าอย่างน้อยก็ควรบอกเขาเพื่อความสบายใจ

“อยู่ไหน โทร. ไปไม่รับ แวะไปรับที่โรงแรมเขาก็ว่าเดียร์ออกไปแล้ว”

แค่ได้ยินน้ำเสียงเข้มงวด ภาพชายหนุ่มร่างสูงยืนจังก้าเท้าเอวตีหน้ายุ่งก็ฉายชัดขึ้นมาในมโนสำนึก

ช่วงเวลาหนึ่งเธออาจโกรธเขาจับใจ อยากกรีดร้องฟาดฟันความรู้สึก และธีรดนย์เองก็คงอยากบีบคอต่อว่าเธอ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปไม่ว่าเธอกับเขาจะโกรธหรือดีต่อกัน คือความทุกข์ร้อนห่วงใยและปรารถนาดีต่ออีกฝ่ายดังเดิม

“กำลังจะไปหาไรดื่ม” เธอบอก น้ำเสียงคลายความมึนตึงลงบ้างแล้ว

“ไปกับใคร”

“คนเดียว”

“ที่ไหน เดี๋ยวตามไป”

“ไม่ต้องห่วง เดียร์ดูแลตัวเองได้น่ะ”

ปลายสายเงียบไปชั่วขณะ แว่วเสียงหายใจสะท้อน บอกให้รู้ว่าธีรดนย์ยังคงถือสาย

“โกรธที่แทนไม่เชื่อเดียร์สินะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้กระแสตำหนิหรือกล่าวหา “ที่แทนไม่เข้าข้างก็เพราะเป็นเดียร์ ถ้าเป็นคนอื่นทำแทนไม่สนใจอยู่แล้วว่าใครจะมองคนนั้นยังไง”

“แทนก็ยังคิดว่าเดียร์ทำ”

“เพราะมันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้”

ใช่ มันยากจะเชื่อ เธอเข้าใจเขาข้อนั้น แต่ก็ต้องการใครสักคนรับฟัง เข้าใจ และหาทางแก้ไขด้วยกัน

“ถึงร้านแล้ว แค่นี้นะ” 

เดหลีขอตัววางสาย ครั้นสอดส่ายสายตาจนเห็นแสงไฟรำไรจากร้านซึ่งครึ้มด้วยกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ เธอถึงลงจากรถเดินไปในลานจอดรถที่ไม่มีรถลูกค้าสักคัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่มาที่นี่ถึงสองครั้งสองครา เช่นเดียวกับยามเปิดประตูร้านเข้าไปแล้วพบว่าตนเองเป็นลูกค้าคนเดียวอีกเช่นเคย

ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศปะทะผิวกาย พาให้ร่างผอมเพรียวสั่นสะท้านน้อยๆ ตรงข้ามกับก้อนเนื้อในอกที่สูบฉีดโลหิตร้อนไหลเวียนทั่วกายจนเหงื่อชื้นซึม หญิงสาวกดกระดิ่งบนเคาน์เตอร์บาร์เมื่อกวาดตาไม่พบใคร เธอนั่งพิงเก้าอี้ทรงสูง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างสองจิตสองใจว่าจะอยู่ต่อหรือกลับ ก็แว่วเสียงฝีเท้าลงบันไดมา

“คุณนั่นเอง ผมรอพบคุณอยู่พอดี”

หนุ่มใหญ่บุคลิกสง่าภูมิฐานส่งยิ้มทักทายพร้อมกับเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์

“คืนนี้ดื่มอะไร”

“Time flies” เดหลีตอบโดยไม่หยุดคิด

เธอเท้าแขนบนเคาน์เตอร์ไม้เงามัน เหม่อมองบาร์เทนเดอร์มากประสบการณ์ผสมค็อกเทลประจำร้าน ก่อนกะพริบตาเรียกสติเมื่อแก้วปากกว้างที่บรรจุค็อกเทลสีแดงตกแต่งด้วยอบเชยถูกเลื่อนมาตรงหน้า

“เมื่อกี้คุณบอกว่ารอพบฉัน?” เธอถามพลางหรี่ตาด้วยความสงสัย

“ใช่ คืนนั้นคุณจ่ายเงินแล้วออกไป เราติดเงินทอนคุณ ผมขอชดเชยด้วยค็อกเทลแก้วนี้แล้วกัน”

เดหลีลอบถอนใจ เธอยกมือสางผมอันเป็นท่าทางติดตัวเวลากลัดกลุ้ม เผลอคิดว่าตนเองจะได้รับคำตอบที่ต้องการ

“ผมจะไปหาอะไรให้คุณรองท้อง” เขาบอกอย่างมีน้ำใจ

หญิงสาวรีบปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอบคุณ”

ชายผู้นี้มีลักษณะบางอย่างที่ทำให้คนอยู่ใกล้รู้สึกปลอดภัย ไว้ใจได้ อาจเพราะรอยยิ้มสุภาพและแววตาอ่อนโยนที่ทอดมองคล้ายจะตะล่อมให้คู่สนทนาเปิดเผยความนัย

“พนักงานของคุณไปไหนหมด”

“หายไปพร้อมกับลูกค้านั่นแหละ”

เดหลียิ้มขันกับคำตอบของเขา “นึกว่าหายไปกับกาลเวลา”

“ถูกของคุณ”

หนุ่มสาวต่างวัยยิ้มจางๆ ให้กัน เดหลีหลุบตาพลางถอนหายใจ เธอใช้ปลายนิ้วแกว่งอบเชยไปมา

“คุณรู้เรื่องอุบัติเหตุอาทิตย์ก่อนไหม ห่างจากนี่ไปประมาณสองกิโลเมตรได้”

บุรุษวัยห้าสิบต้นๆ พยักหน้า รอฟังคู่สนทนาอย่างสงบนิ่ง

“รถฉันเอง คืนนั้นฉันเป็นคนขับ แต่ออกไปจากที่นี่ไม่ทันไรก็ประสบอุบัติเหตุ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้าฟัง แล้วยังสารภาพสิ้น “เพื่อนฉันเสียชีวิต”

ไม่มีวาจาปลุกปลอบหรือแสดงความเสียใจ แก้วค็อกเทลถูกดึงไปจากมือหญิงสาวแผ่วเบา แก้วใหม่ถูกเลื่อนมาแทนที่

“Time flies” เดหลีพึมพำ น้ำตาตกใน

“แก้วนี้...แด่ชีวิตที่รอดปลอดภัยของคุณ”

ผู้รอดชีวิตอยากหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กัน เธอสนองตอบน้ำใจของเขาด้วยการดื่มอึกใหญ่

“คุณเป็นคนแรกที่ทำเหมือนยินดีที่ฉันรอดมาได้” เสียงเอ่ยเจือกระแสขมขื่น “มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับฉัน แล้วที่นี่มีอะไรแปลกๆ หลายอย่าง เช่น เรื่องที่คุณหลงใหลนาฬิกา ประโยคเกี่ยวกับเวลาที่คุณพูดกับฉัน ฉันคิดว่ามันอาจเกี่ยวพันกัน”

“ผมพูดตามความเป็นจริง” เขาตอบ น้ำเสียงปลอบโยนในที “หรือคุณติดใจตรงไหน”

ถูกของเขา เธอเห็นด้วยกับกฎแห่งเวลาที่เขาว่าทุกประการ เดหลีส่ายศีรษะอย่างสับสน ไม่อาจโต้แย้งความจริงที่เห็น...ที่เป็น...

ก็คงเหมือนกับที่ธีรดนย์เชื่อสิ่งที่เขาเห็น...ที่เธอเป็น...เช่นเดียวกับที่เธอไม่อาจทำใจคล้อยตามสิ่งที่ภาพยนตร์บอกเล่า อย่างนั้นสินะ...เพราะมันง่ายที่สุดที่คนเราจะเชื่อตามความปักใจของตนเอง

“ขอผมพูดความจริงอีกเรื่องได้ไหม”

“ค่ะ”

“โลกนี้ไม่มีเรื่องแปลกประหลาดหรอก โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์ต่างหาก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

เดหลีพบความมหัศจรรย์อีกอย่างเกิดขึ้นกับตน เมื่อประโยคคำพูดนั้นดับความร้อนรุ่มในอก หลงเหลือไว้เพียงความอบอุ่นเรืองรอง

แปลกประหลาดกับมหัศจรรย์...ระหว่างสองคำนี้มีเส้นแบ่งบางๆ ขึ้นกับว่าเราเลือกยืนมองจากฝั่งไหน มันอาจเปลี่ยนการตัดสินใจหรือการกระทำของเราได้

เธอควรยอมรับเรื่องมหัศจรรย์พันลึก ควรดีใจที่เธอยังมีชีวิต และไม่ต้องแบกความรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนด่วนจากไป เพราะญาณิศามีชีวิตอยู่ในตัวเธออย่างนั้นน่ะหรือ

ไม่ง่ายเลยที่คนจอมบงการอย่างเดหลีจะเปิดใจรับฟังคำพูดของผู้อื่น แต่กับชายแปลกหน้าที่แทบไม่รู้จัก เธอสัมผัสได้ถึงความจริงใจ สีหน้าแววตาพราวประกายบอกว่าเขาพูดสิ่งที่เชื่อ เช่นที่เธอมองเห็นความรักความหลงใหลต่อนาฬิกาฉายชัดผ่านสีหน้าและแววตายามเขาเล่าที่มาของร้านให้ฟัง

“คุณจะไปทำอะไรก็ได้นะคะ ฉันขอนั่งเขียนอะไรสักหน่อย” หญิงสาวบอกอย่างตัดสินใจ

หนุ่มใหญ่ค้อมศีรษะแล้วผละไปทางหลังร้าน ปล่อยให้ลูกค้าคนเดียวในค่ำคืนนี้ได้ใช้เวลาลำพัง

เดหลีหยิบโทรศัพท์มือถือและสมุดบันทึกนัดหมายออกมาเปิดหน้าที่มีริบบิ้นหนังคั่นไว้ แล้วเริ่มจดปลายปากกาเขียนข้อตกลงกับญาณิศา รวมถึงนัดหมายและสิ่งที่ต้องทำ

เธอจะไม่ยอมสูญเสียทุกอย่างที่สร้างมาเพราะความขลาดกลัวของคนที่ร่วมแบ่งปันเวลาชีวิต

 

นาฬิกาตั้งพื้นโบราณตีบอกเวลาไปแล้วถึงสองรอบ เท่ากับเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงที่เดหลีฝังตัวอยู่ในร้าน แต่ไม่มีลูกค้าใหม่มาเยือนสักคน

“คุณอย่าท้อนะ ฉันชอบที่นี่ จะบอกต่อหาลูกค้ามาให้” เธอเอ่ยบางคำรวบรัด บางคำยานคางจากปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนในร่างกาย

เจ้าของร้านยิ้มรับน้ำใจ หลังพูดคุยกันนานกว่าสองชั่วโมงพอบอกได้ว่าหญิงสาวเป็นคนซื่อตรง ฉลาดเฉลียว และจริงใจ

“คุณน่าจะกลับได้แล้ว” เขาบอกอย่างหวังดี

“อ้าว ไม่ทันไรก็ไล่ลูกค้า” เธอพ้อไม่จริงจัง

“คุณเมา แล้วก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว”

“ฉันไม่ใช่ซินเดอเรลลาเสียหน่อย” เดหลีตอบพลางยิ้มเศร้า “ฉันเลิกเชื่อเรื่องฟุ้งฝันอย่างในนิทานมานานเต็มที”

นัยน์ตาคู่งามหม่นลงเมื่อนึกถึง ‘กฎแห่งเวลา’ เธอไม่อยากหลับตา ไม่ต้องการหลับไปโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นการนอนหลับไปตลอดกาล

“แต่คุณจดจำมันได้”

ข้อนั้นเดหลีไม่เถียง เธอยักไหล่เล็กน้อย

“ป่านนี้เจ้าชายคงกำลังตามหาคุณ”

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่รอเจ้าชายมาพลิกชีวิตหรอกนะ”

“ผมก็ไม่คิดอย่างนั้น ผมแค่พูดจากสิ่งที่เห็น...” เขาบุ้ยใบ้ไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างโร่ ปรากฏชื่อผู้โทร. เข้าคนเดิมหลายครั้งหลายครา “คุณน่าจะรับสาย จะได้มีเพื่อนคุยระหว่างที่ผมหาซุปร้อนๆ ให้”

ไม่รู้ว่าเธอนึกขวางใครมากกว่ากัน ระหว่างเจ้าของร้านผู้สุภาพทว่าดื้อดึง...กับแฟนหนุ่มนิสัยโผงผางผู้รักความถูกต้อง แต่สิ่งที่ทำให้เดหลีซาบซึ้งใจและไม่อาจขัดความต้องการของพวกเขา คือความห่วงใยและหวังดีต่อเธอ

คล้อยหลังร่างสูงใหญ่ที่หายเข้าครัวไป หญิงสาวตัดสินใจโทร. หาคนรัก คราวนี้เธอยอมบอกสถานที่ให้ธีรดนย์มารับตามที่เขาเรียกร้อง ก่อนวางสายแล้วหลุบตามองรูปถ่ายเก่าๆ ที่เก็บรักษาอย่างดีในหน่วยความทรงจำของโทรศัพท์มือถือและความทรงจำเธอ

‘ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ใจคอจะไม่ช่วยพายหน่อยเหรอ’

ครั้นออกแรงพายอย่างไร เรือคายักก็ไม่ไปไหน เธอถึงหันไปเห็นว่าธีรดนย์กำลังแอบถ่ายรูปเธอ

‘แฟนสวยก็บอกแอบมองแอบถ่ายอยู่นั่นแหละ’ เธอล้อเรื่องที่เขาเคยเล่าว่าแอบมองเธอตั้งแต่สมัยเรียน

คนมีแฟนสวยแกล้งตวัดไม้พายเฉียดศีรษะหญิงสาวอย่างหมั่นไส้ ก่อนพายเรือให้เจ้าหล่อนถ่ายเซลฟี่จนหนำใจ

ไม่ใช่แค่ยามสุขหรรษา เธอกับเขายังผ่านทุกข์ ผ่านความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามาด้วยกัน

‘คิดถึงพ่อ’ เธอบอกหลังถูกแม่กดดันให้พาธีรดนย์ไปที่บ้าน หรืออีกความหมายหนึ่งคือมารับท่านออกไปกินข้าวบ้าง ‘เชื่อไหม พ่อเป็นคนเดียวในโลกที่เดียร์ไม่เคยต้องสงสัยความรักของท่านเลย พ่อมีแต่สนับสนุนไม่ว่าเดียร์อยากเรียนอยากทำอะไร พ่อไม่เคยเรียกร้องอะไรจากใคร’

เธอสามารถเล่าปัญหา เปิดเผยแง่มุมชีวิตด้านที่ไม่สวยงามแก่ธีรดนย์ และอ่านรอยอ่อนล้าบนใบหน้าเขาออกเช่นกัน

‘มีใครเป็นไรหรือเปล่า’ เธอถามหลังเขาวางสายจากครอบครัว

‘พี่เทียนเลิกกับเมีย แต่ก่อนหน้านี้ไปค้ำประกันน้องเมียไว้น่ะสิ ตอนนี้สองคนนั้นหายเข้ากลีบเมฆ พี่เทียนเลยต้องใช้หนี้หัวโต’

‘โห หน้าด้านอะ’ เธอลืมตัววิพากษ์วิจารณ์แล้วถอนหายใจ ‘สงสารเต็งกับโต๊ด มีแม่แบบนี้ วันหยุดนี้แทนไปรับหลานมาเที่ยวสิ เด็กๆ จะได้ไม่คิดถึงแม่’

‘ว่าจะปรึกษาเดียร์อีกเรื่องด้วย แทนจะส่งเต็งโต๊ดเข้าเรียนโรงเรียนเอกชน เดียร์ว่าไง’

‘ถามเดียร์ได้ไง เงินแทน แล้วแทนกับพี่เทียนก็รักกัน แทนรักหลาน เดียร์เข้าใจ’

เจ็ดปีที่เธอกับเขาไม่มีความลับต่อกัน เจ็ดปีที่ต่างมีอีกฝ่ายเป็นอันดับหนึ่งในลำดับความสำคัญ ทว่าแต่นี้ไปช่วงเวลาครึ่งหนึ่งที่เธอกับเขาควรได้ใช้ร่วมกันกำลังจะถูกแบ่งแย่งไป ถึงแม้เรือนกายนี้เป็นของเธอ แต่เดหลีรับไม่ได้แค่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับญาณิศาในร่างเธอจะเกินเลยไปอย่างที่เคยเป็น

ทว่าไม่ทันคิดหาทางออก เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนก็ดังกังวาน

“เจ้าชายของคุณมาแล้ว”

เดหลีหันมองชายหนุ่มที่ผลักประตูร้านเข้ามา ก่อนภาพตรงหน้าจะดับวูบพร้อมกับเสียงนาฬิกาตีครั้งที่สิบสองสิ้นสุดลง


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น