
บทที่ ๗
ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงนิทราคันยุบยิบบนใบหน้า เธอพยายามปัดป้อง แต่แล้วบางอย่างที่หมาดชื้นก็ป้ายปาดลงบนแก้ม มิหนำซ้ำเธอยังไม่อาจบ่ายหน้าหนี ญาณิศาปรือตามองต้นเหตุแล้วก็พลันตื่นเต็มตา
“แทน...”
“พูดทำไมเล่า สำลีเกือบเข้าปากแล้วไหมล่ะ”
ญาณิศากะพริบตาปริบๆ มองสำลีที่มีคราบเครื่องสำอางในมือเขา รู้สึกหนักศีรษะ ตาลายอย่างไรชอบกล
“ปวดหัว”
“ก็ดื่มไปตั้งกี่แก้ว ดีนะไปถึงพอดี ไม่งั้นคงเมาพับหลับคาร้าน” เขาบ่นว่า แต่ก็ลงมือเช็ดเครื่องสำอางให้คนเมาต่อ
แม้จะปวดศีรษะจนแทบประคองสติไม่อยู่ ญาณิศาก็ยังพอมีสติพิจารณาคำพูดชายหนุ่มว่าเดหลีคงไปดื่มมา โดยมีเขาไปรับกลับมาที่คอนโดมิเนียม
อย่าว่าแต่เมาเลย ร้อยวันพันปีเธอจะแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่เวลานี้กลับถูกฤทธิ์น้ำเมาเล่นงาน ทั้งปวดหัว ทั้งพะอืดพะอมจากลมที่ตีขึ้นมา
ในที่สุดญาณิศาก็ทนไม่ไหว เธอผุดลุกจากเตียงพุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ โก่งคออาเจียนกับคอห่านหมดไส้หมดพุง
“เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นห่าน” ผู้ที่ตามมาลูบหลังและช่วยรวบผมว่าให้
หญิงสาวไม่เข้าใจคำพูดนั้นนัก แล้วยังพลอยไม่เข้าใจที่เดหลีต้องดื่มจนเมามายขนาดนี้ ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์นอกจากทรมานเหมือนจะตาย เธอเอื้อมมือกดชักโครกก่อนยึดเกาะขอบเคาน์เตอร์ รั้งร่างกายหนักอึ้งให้ลุกขึ้นยืน
ญาณิศารับแก้วน้ำจากชายหนุ่มมาบ้วนปาก ครั้นเงยหน้าสบตาหนุ่มสาวผ่านกระจกเงาเธอก็หลบตาวูบ ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงเหมือนตอนที่แอบมองเดหลีกับธีรดนย์อยู่ด้วยกันแล้วหวาดกลัวว่าจะถูกจับได้
“แทนออกไปก่อนเถอะ ดะ...เดียร์จะอาบน้ำ”
“ไม่ต้องสระผมล่ะ ดึกแล้ว” เขาบอกทิ้งท้ายก่อนออกไปโดยดี
ทันทีที่ประตูปิดลง หญิงสาวก็รีบกดล็อกพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เพียงแต่ต้องรับมือกับผลข้างเคียงของแอลกอฮอล์ที่ทำเอาเธอมึนหัวโงนเงน ยังต้องรับมือกับชายหนุ่มผู้มากด้วยฟีโรโมน คนรักของเพื่อน...ยิ่งอยู่ใกล้เขายามสติสัมปชัญญะน้อยนิดเช่นนี้ ญาณิศารู้สึกเหมือนสติจะกระเจิดกระเจิงได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อนั้นเธอคงไม่อาจรักษาตัว รักษาความลับได้อีกต่อไป
ทว่าสิ่งที่หญิงสาวหวาดระแวงไม่เกิดขึ้น เมื่อออกมาจากห้องน้ำธีรดนย์ก็หลับไปแล้ว ถึงอย่างนั้นเธอก็หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน กระทั่งรุ่งสางสาเหตุความไม่สบายเนื้อสบายตัวก็สำแดง
ญาณิศามองหยดเลือดบนผ้าปูที่นอนอย่างกลัดกลุ้ม เธอรีบลุกไปจัดการตัวเองในห้องน้ำก่อนที่ชายหนุ่มจะตื่น แม้เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ยากจะทำใจให้คุ้นชินกับร่างกายที่ไม่ใช่ของตน เธอพยายามไม่ก้มมอง แตะต้องสัมผัสเรือนร่างยามอาบน้ำ ปล่อยให้สายน้ำชโลมและขัดถูด้วยใยบวบแทนการสัมผัสร่างกายผู้อื่นโดยตรง แต่เวลาแต่งกายนี่สิที่ไม่อาจเลี่ยง โดยเฉพาะขั้นตอนการสวมชั้นในชิ้นบน เดหลีมีสีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ หน้าอกกลมสวยตามธรรมชาติ ไร้ไขมันส่วนเกินรอบเอวแม้เจ้าตัวนิยมกินดื่มสังสรรค์
หลังใช้น้ำกับสบู่ซักล้างคราบเลือดบนชุดนอน หญิงสาวก็รีบเร่งออกไปเช็ดถูหยดเลือดเป็นดวงบนที่นอนด้วยวิธีการเดียวกัน แต่เธอคงถูหนักมือไปหน่อย ผู้ที่นอนอยู่อีกฟากจึงลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ธีรดนย์ตลบผ้าห่มพ้นตัวแล้วยกศีรษะขึ้นมอง
“เดี๋ยวก็เอาลงไปซัก”
“ไม่รู้เปื้อนที่นอนข้างล่างหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก ใครจะมาเห็น” เขาตอบง่ายๆ น้ำเสียงยังงัวเงีย
ญาณิศาทอดมองชายหนุ่มที่เอี้ยวตัวหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา ก่อนทิ้งตัวนอนคว่ำหน้ากับหมอน ส่งเสียงคำรามในลำคอพร้อมกับบิดขี้เกียจ
ไพล่นึกถึงการดูแลเอาใจใส่คนเมาของเขาเมื่อคืน เธอก็อุ่นในอก เขาคงเป็นคนประเภทเดียวกันกับเธอ คนที่ไปปาร์ตีคราใดจะคอยจัดการบิล ตระเวนส่งเพื่อนที่เมามาย หรือไม่ก็คอยรวบผมและส่งน้ำให้หากใครอาเจียน แต่เมื่อคืนเธอกลับได้รับการปฏิบัติดุจเดียวกัน
“ลงไปวิ่งนะ”
หญิงสาวรีบฉุดตัวเองออกจากภวังค์ ถามออกไปอัตโนมัติ
“แทนไม่ไปทำงานเหรอ”
ธีรดนย์ชะงัก หันกลับมามองเธอพลางตอบ “วันนี้วันเสาร์”
คนสับสนวันคืนพยักหน้าช้าๆ ก้อนเนื้อในอกวูบโหวงเมื่อค่อยๆ ตระหนักว่าวันนี้มีความสำคัญต่อเธออย่างไร
ถึงกำหนดประชุมเพลิงร่างของเธอ
หลังธีรดนย์ลงไปยิมพร้อมทั้งอาสานำผ้าปูที่นอนไปใส่เครื่องซักผ้าข้างล่าง ญาณิศาก็ไม่รอช้า หาเบาะแสจากเพื่อนที่อาจทิ้งข้อความไว้ แล้วก็พบว่าเดหลีตอบเธอจริงๆ
‘ใช่ เราเอง ตอนนี้ที่เรารู้คือแกกับเรามีชีวิตสลับกันคนละวัน คนอื่นคิดว่าเราบ้า เพราะฉะนั้นเปล่าประโยชน์ที่จะทำให้ใครเชื่อ ถ้าไม่อยากติดแหง็กอยู่ในโรงพยาบาลบ้าทั้งคู่ เราต้องร่วมมือกันเข้าใจไหม เราจดสิ่งที่ต้องทำและต้องระวังให้แกแล้วในสมุดนัดหมาย’ (เอียง)
ข้อความนั้นเป็นของเดหลีไม่ผิดแน่ เพราะมันเป็นทั้งคำตอบและคำสั่งกลายๆ ประสาคนที่ถนัดควบคุมผู้อื่น ถึงอย่างนั้นญาณิศาก็ไม่มีทางเลือก เธอค้นหาสมุดนัดหมายที่มีวันที่กำกับมุมบนของหน้ากระดาษ แล้วเปิดหน้าที่คั่นไว้ขึ้นมา
สิ่งที่ต้องทำ
สิ่งต้องห้าม
ญาณิศาอ่านทวนประโยคสุดท้ายด้วยอารมณ์ขุ่นมัว อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นหรือ...เหลือกี่อย่างให้เธอได้เป็นตัวของตัวเองกันนอกเหนือกฎเกณฑ์ข้อห้ามเหล่านั้น
อยากลาออกจากงานก็ไม่ได้ ถ้าเธออยากไปเที่ยวรอบโลกล่ะ ถ้าเธออยากเข้าคลาสโยคะ กินอาหารเพื่อสุขภาพเหมือนที่เป็นมาทำได้ไหม แต่เดหลีจดรหัสบัตรกดเงินสดไว้ ถึงแม้เธอจะไม่อาจปลอมแปลงลายเซ็นใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ยังพอมีเงินใช้สอย
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินเท่านั้น แต่มันคือศักดิ์ศรีที่ญาณิศาต้องการรักษาตัวตนของเธอเช่นกัน เธอจะไม่ยอมให้เดหลีครอบงำไปเสียทุกอย่าง ยุติธรรมกว่าไหมถ้าเธอจะเป็นเธออย่างที่เคยเป็น และเดหลีก็เป็นเดหลีโดยไม่ทำร้ายเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
หญิงสาวพบความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในตัวเอง เธอไม่เคยคิดเอาชนะเดหลีหรือเพื่อนคนใด เลือกที่จะประนีประนอมต่อทุกคน เพราะความรักเพื่อนก็ส่วนหนึ่ง และลึกๆ แล้วญาณิศาปรารถนาการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งในสังคม ต้องการให้ทุกคนรักเธอ ทว่ายามนี้ที่เธอไม่มีตัวตนในสายตาใครอีกต่อไป เธอกลับโหยหาการเป็นตัวของตัวเองยิ่งนัก
หยีจะทำตามที่เดียร์บอกในแบบของหยีโดยไม่บอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นใคร ส่วนเรื่องงานหยีจะพยายามสักตั้ง แต่ถ้าฝืนไม่ไหวหรือถูกจับได้ เดียร์ก็คิดหาทางออกไว้แล้วกัน
ญาณิศาไม่อยากจินตนาการเลยว่าถ้าเดหลีตื่นมาเห็นข้อความจะไม่พอใจขนาดไหน แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเผชิญกับอารมณ์ฉุนเฉียวของเพื่อนรักตรงๆ เหมือนที่เดหลีตกเป็นทาสอารมณ์จนเธอต้องจบชีวิต ความคิดนั้นทำให้ญาณิศากล้ามากขึ้นทีเดียว
หนึ่งในความตั้งใจของหญิงสาว...เธอจะไม่เลิกเข้าครัว มันคือความสุขความสามารถไม่กี่อย่างในชีวิตที่ทำได้ดี เดหลีจะไม่ทำกับข้าวก็เรื่องของเธอ ญาณิศาจะทำเสียอย่าง และจะทำให้ธีรดนย์ด้วย ตอบแทนที่เขาต้องหัวหมุนวุ่นวายเพราะพวกเธอ
หลังสำรวจอาหารสด อาหารแห้ง เครื่องปรุงรส และอุปกรณ์ต่างๆ เธอก็เริ่มทำข้าวไก่ต้ม ปกติแล้วเธอกินอาหารเพื่อสุขภาพตามพ่อกับแม่ แต่พอสังเกตได้ว่าธีรดนย์กินอาหารรสจัด เธอจึงทำน้ำจิ้มเข้มข้นพิเศษสำหรับเขา ข้าวสุกหอมได้ที่ตอนที่ประตูห้องเปิดเข้ามา ก่อนผู้ที่กลับขึ้นมาจากยิมจะแทรกกายผ่านทางเดินครัวเข้ามาถอดหูฟัง ชะโงกดูอกไก่ซึ่งหั่นไปบางส่วนบนเขียงอย่างแปลกใจ
“แทนจะกินเลยไหม” เธอเบี่ยงกายหลบคนตัวสูงพลางถาม “แต่หลังออกกำลังใหม่ๆ ไม่ควรรีบกินข้าวหรืออาบน้ำนี่นะ”
“ไม่รีบก็เคี้ยวช้าๆ สิ” เขาตอบยียวน
ญาณิศาเกือบตามไม่ทันถ้าชายหนุ่มไม่คดข้าวใส่จานรอสองใบ เขายื่นให้ดูแทนคำถามว่าพอไหม เธอพยักหน้าพร้อมกับล้างมีดและเขียงพลาสติก แล้วตามไปที่โต๊ะซึ่งธีรดนย์ยกจานทั้งหมดไป
“อันนี้น้ำจิ้มแทน อันนี้ของ...เดียร์” เธอนำเสนออย่างภาคภูมิใจ
ชายหนุ่มใช้ปลายช้อนคนน้ำจิ้มคล้ายน้ำจิ้มข้าวมันไก่มาชิม ขาดกลิ่นขิง แต่ก็ถือว่ารสชาติดีเมื่อเทียบกับประสบการณ์การทำอาหารระดับเนตรนารีของแฟนสาว
“ไปเอาสูตรมาจากไหน”
“อินเทอร์เน็ต” ญาณิศาตอบกว้างๆ
“ต้องถามว่าเมาค้างหรือเปล่ามากกว่ามั้ง” เขาค่อนว่า อารมณ์ไม่คลายขุ่นมัวเมื่อนึกถึงสภาพเมาไม่ได้สติครั้งแรกของอีกฝ่าย
ถ้ามื้อเช้านี้หมายถึงการง้องอน เขาก็เต็มใจรับไว้ แต่อีกใจหนึ่งก็อดระแวงไม่ได้ว่าอาจมีเป้าหมายอื่นซ่อนเร้น ยิ่งเห็นเจ้าหล่อนก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ ราวกับกำลังใช้ความคิด ไม่โต้กลับทุกคำอย่างเคย ธีรดนย์ก็ยิ่งมั่นใจ
“ทำไมกลับไปที่ร้านนั่นอีก”
ญาณิศาขมวดคิ้ว ฉงนกับคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ย เริ่มเห็นความสำคัญของการจดบันทึกสิ่งที่ทำ สถานที่ที่ไป คนที่พบระหว่างวัน แต่คนต้นคิดกลับไม่บันทึกรายละเอียดเสียอย่างนั้น
“ร้านก็เปลี่ยว ลูกค้าก็ไม่มี แล้วยังผ่าน...” ธีรดนย์ยั้งปาก ก่อนถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยเสียงเครียด “จะทำอะไรคิดถึงผลดีผลเสียบ้าง ถ้าแทนไม่ไปรับจะเป็นยังไง”
หญิงสาวถึงบางอ้อทันทีว่าเดหลีกลับไปที่ร้านบรรยากาศพิศวงนั้นแน่นอน ทว่าเธอไม่อาจรู้เจตนาของอีกฝ่าย ได้แต่เก็บความสงสัยเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นไว้ในใจ แล้วใช้ประโยชน์จากการกระทำของเพื่อน
“เดียร์คิดถึงหยีก็เลยแวะไป” ญาณิศาแอบอ้าง เงยหน้ามองเขาอย่างวอนขอ “พาเดียร์ไปส่งหยีเถอะนะ สัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่องสร้างปัญหา แค่อยากไปส่งหยีครั้งสุดท้ายจริงๆ”
ธีรดนย์วางช้อนส้อมก่อนเบือนหน้าหนี คิดแล้วไม่ผิดว่าเดหลีไม่มีทางยอมลงให้เขาโดยการจบเรื่องโกหกเสียดื้อๆ คนอย่างเดหลีมักหาทางลงหรือทางออกสวยงามให้ตัวเอง เช่นที่เธอเคยผิดหวังและเสียหน้าที่ถูกชุติมนแย่งตำแหน่งสำคัญไป เจ้าหล่อนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง กระทั่งได้งานใหม่และตำแหน่งใหญ่กว่าเดิม เธอถึงกลับมาเป็นหญิงสาวขี้เล่นซุกซนคนเดิม
ลึกๆ ในใจเขายังคงเชื่อมั่นในตัวคนรัก เดหลีจะต่อว่าว่าเขาไม่เชื่อใจเธออีกไม่ได้เมื่อเขาตัดสินใจตอบตกลง ด้วยความหวังว่าถ้าเขายอมเดินตามเกมของเธอ เรื่องบ้าๆ นี้จะยุติเสียที
การปรากฏตัวของหญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองเป็นที่สนใจของแขกที่มาร่วมงานเป็นครั้งสุดท้าย ประธานพิธีไม่คาดคิดว่าเพื่อนสนิทของลูกจะกล้ามาร่วมงาน ชายหญิงชรากุมมือกันแน่นเมื่อเห็นหนุ่มสาวเดินมาทางพวกตน ก่อนผู้เป็นภรรยาจะผละจากไปให้สามีรับหน้าแขกทั้งสองลำพัง
ญาณิศาแลตามแม่ที่หันหลังให้ด้วยหัวใจปวดปลาบ เธอลืมตัวจะก้าวตาม แต่ถูกมือหนารั้งต้นแขนไว้ ครั้นเหลือบมองเจ้าของมือข้างนั้นก็ได้รับสายตาปรามดุ ฉุดดึงสติสัมปชัญญะกลับมา
“พวกเราอยากมาส่งหยีครับคุณลุง” ธีรดนย์ไหว้แล้วกล่าวอย่างสุภาพ
ชายศีรษะล้านรับไหว้หนุ่มสาว เขาหันมองฝ่ายหญิงเต็มตาพลางบอก
“อย่าเพิ่งรบกวนแม่เขาเลย เขายังทำใจไม่ได้”
หัวอกลูกไหม้ขมน้ำตาตกใน ญาณิศาละอายต่อสิ่งที่ทำลงไป และพาลโทษเดหลีที่ทำให้เธอต้องด่วนจากไป ไม่มีโอกาสได้ทดแทนพระคุณบุพการี พ่อแม่เธอเป็นคนดี ไม่เคยว่าร้ายหรือทำร้ายผู้ใด ไม่ควรที่ท่านต้องมีชีวิตบั้นปลายเพียงกันและกันเช่นนี้เลย
“พ่อคะ” หญิงสาวหลุดปากเรียกบุรุษสูงวัยที่หันหลังจะจากไปอีกคน แต่ไม่ใช่ด้วยความพลั้งเผลอ “หนูขอโทษ”
สิ้นคำนั้น ญาณิศาเห็นท่านพยักหน้าเล็กน้อยก่อนผละไป น้ำตาลูกรินไหล เธอไม่ได้ผิดสัญญาที่ให้แก่ธีรดนย์ว่าจะไม่เอ่ยคำให้ผู้อาวุโสต้องขุ่นเคืองใจ เมื่อพ่อยอมรับคำขอโทษของเธอ
วันนี้เธออาจเป็นคนอื่น เป็นคนที่พวกท่านแคลงใจ แต่ไม่มีวันที่ลูกคนนี้จะลืมบุญคุณพ่อกับแม่ และสักวันเธอจะหาทางทดแทนพระคุณ
“ไปนั่งเถอะ”
ถ้อยคำที่ดังขึ้นข้างๆ บอกว่าธีรดนย์ยังคงจับตาดูเธอตลอดเวลา ญาณิศากะพริบตาไล่ฝ้าน้ำตา แล้วจึงเดินไปทางแถวที่นั่งที่เห็นกลุ่มเพื่อนของเธอ
หลายเสียงทักทายเพื่อนที่ไม่ได้พบตลอดงานพิธีบำเพ็ญกุศล ถามไถ่ถึงอุบัติเหตุและแสดงความเสียใจที่เธอต้องสูญเสียเพื่อนรัก ญาณิศาตอบอย่างเสียมิได้ หัวใจปวดแสบปวดร้อนที่เพื่อนแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเดหลี โดยหารู้ไม่ว่าเพราะความประมาท เพราะเดหลีปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ ถึงเกิดเหตุการณ์เลวร้ายนี้ แต่เธอที่เป็นผู้บริสุทธิ์กลับต้องเสียชีวิต ครอบครัวต้องเศร้าโศกเสียใจ
“มาก็ไม่บอก ฉันไปรับแกก็ได้” จักรพันธุ์ซึ่งนั่งแถวหน้าหันมาพูดคุย
ชุติมนซึ่งนั่งติดกับเพื่อนหนุ่มหันมายิ้มยั่ว “คนเขามีแฟนพามา ใครเขาจะมากับแกยะ”
“นั่นสินะ” จักรพันธุ์มองค้อน
“ไม่เจอแทนซะนาน ได้ข่าวว่าคุณเซย์กิย้ายกลับญี่ปุ่นไปแล้วหรือ ใครเป็นไดเรกเตอร์คนใหม่” ชุติมนชวนคุยประสาคนกว้างขวาง รู้จักบุคคลในแวดวงต่างๆ ดี
“มิสเตอร์ทาเคดะ” ธีรดนย์ตอบพร้อมยิ้มบางๆ
“ไว้เข้าไปฝากนามบัตรด้วยตัวเองดีกว่า” หญิงสาวหมายมาด กลั้วหัวเราะ
ตลอดเวลาที่คนรอบตัวพูดคุยกัน หญิงสาวคนกลางเอาแต่นิ่งเงียบอย่างที่ใครยากจะอ่านความรู้สึกออก ต่างคนจึงต่างตีความไปคนละทาง ชุติมนเชื่อมั่นว่าเพื่อนคู่แข่งกำลังสะกดกลั้นความไม่พอใจจากความหึงหวง ส่วนธีรดนย์อดคิดระแวงไม่ได้ว่าคนรักอาจมีแผนการในใจ เช่นเดียวกับทุกครั้งที่เธอเลือกเก็บงำความรู้สึก
ทว่าสำหรับญาณิศา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความอาลัยท่วมท้นอกยามเหม่อมองเมรุเบื้องหน้า ความจริงที่ว่าไม่มีวันที่เธอจะกลับไปเป็นตัวเองกัดกินใจให้ตายทั้งเป็นอีกครา ลาแล้วชีวิตที่พรั่งพร้อมด้วยความอบอุ่นและความรักจากครอบครัว เธอเสียใจที่เคยนึกเบื่อชีวิตที่เรียบง่าย ปลอดภยันตราย และชื่นชมคนอื่นมากกว่าตนเอง มารู้สำนึกก็ตอนที่ถูกคนอื่นพรากชีวิตไป
ญาณิศาคนหัวอ่อนและอ่อนแอคนนั้นได้ตายจากไปแล้ว แต่นี้ไปเธอจะยืนหยัดเพื่อตัวเองและความถูกต้อง จะไม่ยอมให้เดหลีครอบงำความคิด อยู่เหนือความรู้สึกของตนอีกแล้ว
หลังแขกผู้ใหญ่ทยอยขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ ก็ถึงคราวที่หนุ่มสาวจะเดินแถวขึ้นบันไดไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ญาณิศาหักใจวางดอกไม้จันทน์แก่ร่างไร้วิญญาณของตนเองโดยไม่มีน้ำตา เธอก้าวลงบันไดอีกฟากฝั่งพร้อมกับตระหนักดีว่า เส้นทางชีวิตจากนี้ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล
ความคิดเห็น |
---|