1

บทที่ 1


1

 

            ร่างสูงในเชิ้ตสีน้ำเงินกระชับเรือนกายผึ่งผายก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้าสู่บ้านหลังใหญ่ที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่าหรูหราสมฐานะเศรษฐี เขาหยุดตรงโถงทางเดินกลางบ้าน เงยหน้าขึ้นไปยังบันไดที่ทอดตัวสู่ชั้นสอง คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลงมาจากบันไดพร้อมกับข้าวของที่ยกลงมาราวกับเจ้าของบ้านกำลังจะย้ายบ้าน

                ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น เผลอกำมือแน่นก่อนที่ผู้คนจะรุมล้อมเข้ามาแทบทุกทิศทางแล้วยกเอาทุกสิ่งผ่านหน้าเขาออกไป ขุนพลเดินเข้าไปทางด้านซ้ายของตัวบ้านที่ว่างเปล่า ร้างไร้เฟอร์นิเจอร์ใดๆ มือใหญ่สั่นระริกยามที่เอื้อมไปจับลูกบิดประตูห้อง เหงื่อผุดซึมจากทุกรูขุมขน ลมหายใจเริ่มขาดห้วง กดข่มความหวาดกลัว ก่อนที่ร่างแกร่งเปลือยอกอวดมัดกล้ามสมส่วนจะสะดุ้งลืมตา เขาหอบหายใจรุนแรง เหงื่อโซมกาย เมื่อนึกถึงความฝันที่ห่างหายไปจากชีวิตเขานานนับสิบปี

                “เป็นอะไรคะอิฐ” ร่างแน่งน้อยที่นอนอยู่เคียงข้างงัวเงียถามแล้วโอบแขนเรียวกอดรอบเอวสอบ พยายามจะรั้งให้ชายหนุ่มเอนกายลงนอนต่อ “ยังไม่เช้าเลย นอนต่อเถอะค่ะ”

                ขุนพลยังหอบหายใจเหนื่อยหนัก เขาหลุบตามองร่างนุ่มเนียนที่เบียดเข้าแนบชิด แล้วใช้ฝ่ามือลูบหน้าตัวเองแรงๆ สะบัดผ้าห่มออก ควานคว้าผ้าเช็ดตัวจากพื้นมาพันรอบเอวทำให้คนบนเตียงผุดลุกขึ้นมองอย่างเง้างอน

                “อิฐขา ยังไม่เช้าเลย”

                “คุณกลับไปเถอะ ผมจะออกไปทำงานแล้ว” เขาบอกโดยไม่ได้มองหน้าหญิงสาวที่ปรนเปรอสวาทกันมาตลอดค่ำคืน         

                เธอทำปากยื่นแล้วค้อนพลางยิ้มอย่างรู้เท่าทัน “อิฐขา...ยังมีเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง ออฟฟิศคุณอยู่แค่นี้เอง ขยับมาใกล้ๆ ปาล์มสิคะ ปาล์มจะไล่ความเครียดที่สะสมในตัวคุณออกให้เกลี้ยงเลย สิคะ”

ปาลินเอียงคอยิ้มยั่วแล้วปล่อยผ้าห่มที่ดึงมาบังทรวงอกอวบอัดให้ร่วงหล่นไปกองที่บั้นเอวคอดกิ่ว พลางขยับตัวอย่างเย้ายวนไปตรงขอบเตียงแล้วเอื้อมมือไปลูบไล้กล้ามท้องแกร่งที่เจ้าตัวเกร็งรับสัมผัสแผ่วหวิวนั้น มือเรียวป้วนเปี้ยนอยู่แถวปมผ้าเช็ดตัวที่เขาขมวดไว้หมิ่นเหม่ก่อนจะช้อนตาขึ้นมอง

“อิฐขา...ขยับมาใกล้ปาล์มอีกนิดสิคะ”

                ขุนพลเกร็งไปทั้งตัว ปาลินมีวิธีทำให้เขาโอนอ่อนตามเพื่อจะป่ายปีนขึ้นไปพบกับบทเพลงพิศวาสที่เร่าร้อนถึงใจได้เสมอ ชายหนุ่มเผลอกัดปากแน่นเมื่อปมผ้าเช็ดตัวถูกมือดีปลดออก ริมฝีปากนุ่มอุ่นจัดแตะลงเม้มเบาๆ บนหน้าท้องแกร่งจนเผลอครางและรู้ตัวว่าเขาเครียดจริงๆ นั่นละ ให้ปาลินเป็นคนช่วยเขาปลดปล่อยความเครียดให้เบาบางก่อนไปทำงานก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

หญิงสาวยิ้มอย่างรู้ใจเมื่อร่างแกร่งเริ่มตอบสนองในสิ่งที่เธอรู้ว่ามันดีแค่ไหนถ้าเทียบกับลูกค้าคนอื่น...ขุนพลทั้งหล่อและรู้จักเมตตาผู้หญิงที่ปรนเปรอความสุขให้เขา ทั้งเงิน สิ่งของและสัมผัสเอาใจที่เขามักตอบแทนน้ำใจเธออยู่เสมอ

ปาลินรู้จักขุนพลมาระยะหนึ่งแล้ว เขาเป็นคนระวังตัว แม้ว่าหลายครั้งที่เธอพยายามจะเสนอสาวสวยระดับพรีเมียมให้เขา แต่ชายหนุ่มกลับไม่เคยสนใจ แต่ถึงอย่างไรขุนพลก็เต็มไปด้วยสัญชาตญาณแห่งบุรุษเพศที่ต้องการปลดเปลื้องอารมณ์ทางเพศในร่างกายกับผู้หญิงที่เขาไว้ใจแล้วเท่านั้น

ฉะนั้น หากเขาเรียกหา เธอก็พร้อมจะปรนเปรอเขาให้สุดความสามารถ เสียงครางผะแผ่วจากริมฝีปากบางที่ผ่านการตัดเย็บให้ได้รูปดังใจเจ้าตัวเริ่มดังไม่ขาดสาย เมื่อร่างแกร่งเป็นฝ่ายโลดแล่นอยู่เหนือร่างบอบบางของเธอ กว่าพายุลูกใหญ่ที่ซัดสาดคนสองคนจนเหนื่อยหอบสะท้านจะผ่านพ้นไปก็ตอนที่แสงแดดด้านนอกสาดจ้า ขุนพลขยับลุกขณะที่ปาลินยิ้มอย่างอิ่มเอมขณะมองตัวเลขในกระดาษแผ่นบาง

                ค่าตัวสาวสวยมีระดับที่ไม่ได้ทำเรื่องบนเตียงเป็นอาชีพ จะรับงานแบบนี้ต้องพอใจและเงินขาดมือจริงๆ เท่านั้น แน่นอนว่ามันต้องคุ้มค่าสมราคาค่าศัลยกรรมทั่วเรือนร่างของเธอ ตัวเลขหกหลักที่ปรากฏอยู่บนเช็คใบนั้นทำให้หญิงสาวอิ่มเอมยิ่งกว่ารสสัมผัสเร่าร้อนที่เขาแถมให้เสียอีก พลางเกิดความคิดที่ว่า หากทำให้ขุนพลพอใจมากขึ้น เธอจะได้บินไปศัลยกรรมเพิ่มขนาดหน้าอกหน้าใจให้ใหญ่สมใจยิ่งขึ้น

                “รักอิฐจังค่ะ คืนนี้...”

                “จะบ้าเหรอคุณ ขืนผมนอนกับคุณทุกคืน ผมก็หมดตัวกันพอดี”  ชายหนุ่มพูดเสียงห้วนแล้วเดินเข้า ถึงจะปลดปล่อยความเครียดไปกับปาลินทั้งคืน แต่เมื่อยืนอยู่ใต้สายน้ำขุนพลก็ยังต้องทอดถอนใจออกมา นับวันความสุขที่เขาซื้อหาหรือที่เกิดจากผู้หญิงคนอื่นที่ต่างเต็มใจให้เขานั้นยิ่งหายไป ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกอิ่มเอมหัวใจเลย เขากำลังคิดถึงใครบางคนซึ่งยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งทรมานกับการหักห้ามใจตัวเองขึ้นทุกที

เพียงแค่นึกถึงใบหน้านิ่งๆ ที่มักจะแต้มรอยยิ้มอ่อนบางอย่างคนเย่อหยิ่งเขาก็อยากจะรีบรุดไปพบหน้าเธอเหมือนเช่นทุกวัน แม้จะถูกพายุสวาทที่ปาลินจุดขึ้นช่วยบรรเทาได้ชั่วครู่ แต่พอสติกลับมาสมบูรณ์ หัวใจก็ร่ำร้องโหยหาราวกับไม่ได้พบเจอมานานแรมปี

 

อัยย์ศยา ชฎาพันธ์ เพ่งสายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าขณะพรมปลายนิ้วบนแป้นพิมพ์อย่างคล่องแคล่วอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวยาวทรงโค้งซึ่งทำจากวัสดุแข็งแรงทนทาน มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเรียงกันอยู่ลดหลั่นไปตามความสะดวกในการใช้งาน กระทั่งได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังก้องสะท้อนในความเงียบมาจากหน้าลิฟต์ บริเวณโถงทางเดินชั้นที่สิบแปดของอาคารสูง และหยุดลงตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมอง

หญิงสาวเบื่อหน่ายแต่จำต้องยิ้มให้ผู้มาเยือนตามมารยาท ทั้งที่ความจริงแทบอยากจะถอนใจ

“ฉันมาพบคุณขุนพล” แขกสาวในชุดสีน้ำเงินสดเอ่ยขึ้น

อัยย์ศยายิ้มรับแล้วกดหมายเลขภายในเพื่อแจ้งให้เจ้านายของเธอรับทราบ “เชิญด้านในค่ะ” แล้วหันไปสบตากับสาวแว่นผู้ช่วยของเธอ

ฝ่ายนั้นละมือจากเอกสารการประชุมแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้นรีสุดาเดินเฉิดฉายเข้าไปหาเจ้านายหนุ่มสุดฮอตของพวกเธอ ก่อนจะเดินกลับมาตั้งสมาธิกับงานที่พิมพ์ไปได้ครึ่งๆ กลางๆ

สามปีแล้วที่เธอทำงานกับขุนพล อดีตรุ่นพี่ที่โรงเรียนมัธยม คนที่เคยพยายามจะจีบเธอ ในตอนนั้นอัยย์ศยายังเป็นคุณหนู ลูกสาวเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่แสนร่ำรวย มีรถหรูคอยรับคอยส่ง มีทุกอย่างที่ต้องการ กระทั่งอุดม ผู้เป็นพ่อทำธุรกิจพังไม่เป็นท่า ต้องจ่ายค่าปรับให้แก่โครงการแห่งหนึ่งจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ในขณะที่อัยย์ศยากำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยปีแรก

อุดมเครียดและพยายามจะฆ่าตัวตายแต่ทำไม่สำเร็จ จากนั้นก็ป่วยหนักเดินเหินแทบไม่ได้ แม่ของเธอกลายเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด

จุฑามาศหันไปจับอาชีพขายตรง แม่รู้ตัวว่าเหมาะกับอาชีพค้าขายอะไรแบบนี้ก็ตอนที่แม่ตระเวนนำเครื่องเพชร เครื่องทอง รถยนต์ บ้านหลังใหญ่ หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ที่พอจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ไปขายเพื่อนำเงินมาเป็นค่ารักษาพยาบาลพ่อและค่าเล่าเรียนของเธอกับกันย์ณิตา น้องสาวกำพร้าผู้เป็นหลานแท้ๆ ของแม่

หญิงสาวถอนใจออกมาตอนที่โทรศัพท์ภายในดังขึ้น “ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงเรียบก่อนจะวางโทรศัพท์เบาๆ

 

ขุนพลวางสมาร์ตโฟนรุ่นทันสมัยลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาเอื้อมมือไปกุมมือนรีสุดา พริตตีสาวเงินล้านที่โด่งดังเป็นพลุแตก เมื่อสองปีก่อนเขาพบเธอที่งานอีเวนต์บัตรเครดิตอะไรสักอย่างที่เขาก็ลืมไปแล้ว นับจากนั้นก็เหมือนคนอื่นๆ ที่พอเขาชม้ายตามองและแสดงทีท่าว่าสนใจเธอ หญิงสาวก็พร้อมจะถลาเข้ามาควงแขนเขา ขุนพลลงทุนสำหรับคืนแรกกับนรีสุดาบนโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา

นรีสุดาเป็นสาวสวยที่เขาเรียกหานานนับปี นั่นเพราะเธอเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ และรักษากติกาซึ่งกันและกันด้วยดีมาตลอด เพียงแต่ว่าพักหลังความสัมพันธ์ของเขากับนรีสุดากลับจืดชืดจนกลายเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ที่ถือคติ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ กินข้าวดูหนัง ดื่มเหล้าด้วยกันได้ แต่ไม่อาจมีความสัมพันธ์ทางกายกันได้อีก แถมตอนนี้หญิงสาวกำลังมีความรักกับนักธุรกิจหนุ่มชาวอเมริกันคนหนึ่ง

ทว่าในความเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันทำให้หญิงสาวชายตามองคนที่ไล้หลังมือของเธอแผ่วๆ และซ่อนรอยยิ้มขันเอาไว้สุดกำลัง ตอนที่รู้ว่าอัยย์ศยาเข้ามายืนนิ่งอยู่ในห้องอีกเช่นเคย

ชายหนุ่มเหลือบมองเลขาฯ สาวซึ่งยืนยิ้มรอคำสั่งเขาอย่างเช่นเคย โดยยังไม่ยอมปล่อยมือนรีสุดา แต่อัยย์ศยาก็ยังคงทำหน้านิ่งเหมือนนั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องแยแส หนำซ้ำเขายังเห็นสายตาตำหนิที่ปรายผ่านมาจากเธออีกด้วย เหมือนแม่ชีที่โรงเรียนคอนแวนต์กำลังด่าทอลูกศิษย์ชายวัยเกรียน

ขุนพลเป็นเซียนหุ้นที่มีชื่อเสียง ในช่วงเวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มถูกเชิญไปเป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินการลงทุนมากมาย ดีกรีปริญญาโทด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยดังของสหรัฐอเมริกาด้วยทุนของบริษัทอุตสาหกรรมด้านอาหารรายใหญ่ของไทย จนกระทั่งห้าปีให้หลังที่เขาเริ่มหันมาทุ่มเทกับบริษัทค้าวัสดุก่อสร้างขนาดกลาง จนพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจที่เขาตั้งใจกับมันอย่างมากในนามเวิลด์เฮาส์

ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง เขาเชื่ออย่างนั้น ขุนพลเคยอยู่ในจุดที่ลงต่ำสุดมาแล้ว แต่โชคก็เข้าข้างเมื่อกันติมา น้าสาวของเขาเดินทางกลับจากเยอรมนีเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นเขายังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยด้วยเงินค่าจ้างเสิร์ฟอาหาร แจกใบปลิว พร้อมกับความฝันที่ไม่เห็นรูปร่างแม้เขาจะทดลองทำอะไรมากมายเกินเด็กหนุ่มในวันนั้นจะคิดสรรค์ทำได้

หลังจากที่ธุรกิจของพ่อถูกโกงจนเป็นหนี้สินมากมาย พ่อชิงตัดช่องน้อยแต่พอตัวทิ้งให้เขากับแม่ต้องย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่มาอยู่ในทาวน์เฮาส์ซอมซ่อ จากคนที่เคยอยู่สุขสบายชีวิตต้องพลิกผันราวหน้ามือเป็นหลังมือ แม่ต้องเปิดร้านขายน้ำเต้าหู้เพื่อหาเงินประทังชีวิตกันตามลำพังสองคนแม่ลูก กันติมาที่กลับจากเมืองนอกพลอยลำบากลำบนไปด้วยกัน

แต่แล้วกันติมาที่หัวหกก้นขวิดช่วยลัดดาขายน้ำเต้าหู้อยู่นานนับปีก็ได้รู้จักกับเจ้าสัวดิเรก เจ้าของบริษัทชื่อก้อง ดิเรกถูกชะตากับขุนพล เมื่อน้าสาวแนะนำให้รู้จัก ฝ่ายนั้นจึงรับส่งเสียให้เรียนถึงต่างประเทศ ประกอบกับความขยันขันแข็งของชายหนุ่ม และประสบการณ์ที่ได้จากต่างประเทศหลายปีทำให้เจ้าสัวดิเรกพร้อมมอบตำแหน่งสำคัญให้เขาพิสูจน์ตัวเองหลายครั้ง

ขุนพลทำอยู่ได้ไม่ถึงปีก็พบความขุ่นข้องหมองใจที่บรรดาลูกหลานดิเรกมีต่อเขา ชายหนุ่มจึงเริ่มหันไปทำธุรกิจในนามบริษัทเวิลด์เฮาส์ จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เครื่องมือ อุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสวน แต่กระนั้นปัจจุบันขุนพลก็ยังดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายการตลาดของบริษัทดีอาร์กรุ๊ป ตามความต้องการของเจ้าสัวดิเรก หัวเรือใหญ่ของที่นั่น

ขณะที่ชีวิตเขาอยู่ในช่วงขาขึ้น ดูเหมือนชีวิตของอัยย์ศยาจะอยู่ในช่วงขาลง เมื่อสามปีก่อนเขาพบเธอโดยบังเอิญระหว่างไปบรรยายให้ความรู้พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทันทีที่เห็นหญิงสาวเขาก็ตกหลุมรักเธออีกครั้งในทันที โดยไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า หญิงสาวใบหน้าสวยแสนเย่อหยิ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งเคยถวิลหาจะถูกชี้หน้าว่าเป็นเมียน้อย!

เหมือนสายฟ้าฟาดเข้าใส่หัวใจทุกครั้งที่คิดถึงถ้อยคำหยาบคายที่อัยย์ศยาถูกตะโกนใส่หน้า โดยที่เธอได้แต่ก้มหน้ายอมรับ แต่ถึงรู้แบบนั้นขุนพลก็ยังถูกความหวังอันเลือนรางและความต้องการที่ผุดแทรกจากรอยรั่วของความรู้สึกเรียกร้องให้เขารีบยื่นมือเข้าไปช่วย ทันทีที่อัยย์ศยาถูกตามอาละวาดจนถูกไล่ออกจากงานเขาจึงชักชวนเธอมาทำงานด้วยค่าจ้างซึ่งมากกว่าที่เดิมถึงสองเท่า ความทรงจำที่เคยคิดว่ามันคงจืดจางไปตามกาลเวลากลับมาเด่นชัดในห้วงความคิด

ภาพเด็กสาวใบหน้าพริ้มเพราสะอาดตาในชุดนักเรียนที่เคยแต่เชิดหน้ามองเมิน ไม่ว่าเขาจะเสนอหน้าไปใกล้เธอเพียงใด หนักเข้าอัยย์ศยาก็เลี่ยงไม่ผ่านมาให้เขาเห็นอีก จนป่านนี้เวลาที่เขาทอดสายตามองใบหน้าสวยที่ยังไม่ทิ้งรอยเย่อหยิ่งถือตัว ชายหนุ่มก็ยังไม่อยากเชื่อว่า ครั้งหนึ่งอัยย์ศยาเคยขายแม้แต่ศักดิ์ศรีของตัวเอง

“คุณไหมครับ” ขุนพลเรียกเธอหลังจากไล้หลังมือนรีสุดาจนคิดว่านานพอให้เลขาฯ สาวอึดอัดใจ “เดี๋ยวคุณช่วยโทร. จองร้านอาหารญี่ปุ่นให้ผมหน่อยนะครับ สามที่”

“ได้ค่ะ” อัยย์ศยารับคำเรียบเฉย ค้อมศีรษะลงแล้วทำท่าจะเดินถอยออกไป

แต่ขุนพลกลับเรียกเธอไว้แล้วลุกจากเก้าอี้ เดินอ้อมมาโอบไหล่นรีสุดา “คุณไปด้วยกันนะ”

“อะไรนะคะ!” อัยย์ศยาทำเสียงเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง ขณะที่เธอกำลังจะจมไปกับกองเอกสารที่คั่งค้างจนถึงขนาดคิดว่าจะยอมอดข้าวเที่ยงเพื่อเคลียร์ให้เรียบร้อย แต่เขากลับให้เธอออกไปข้างนอกด้วยกันพร้อมกับผู้หญิงที่เขาควง

อัยย์ศยาข่มความรู้สึกไม่ชอบใจเอาไว้ พยายามจะทำใจให้เคยชินกับความประเจิดประเจ้อของเจ้านายหนุ่มที่กำลังโอบนรีสุดา ทำเหมือนไอ้พฤติกรรมแบบนี้มันช่างน่าภาคภูมิใจ

“ไม่เห็นต้องแปลกใจ ผมจะไปทานข้าวกับนีน่า แล้วก็จะแวะชอปปิงนิดหน่อย แต่คุณต้องไปช่วยผมเลือกของขวัญวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบสี่ปีของเจ้าสัวดิเรก วันเสาร์นี้คุณลืมหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกึ่งตำหนิ

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำจบก็เดินออกไป

พอสิ้นเสียงปิดประตู ขุนพลก็ผละจากนรีสุดาไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง ใบหน้าเฉยเมยของอัยย์ศยาที่เขาเห็นมาตลอดสามปีก่อให้เกิดความหงุดหงิดพลุ่งพล่านที่เขาเริ่มจะเก็บไม่มิด จนนรีสุดาหัวเราะแล้วทำหน้ากระเง้ากระงอด

“เลือกของขวัญให้ท่านเจ้าสัว นีน่าก็ช่วยได้ค่ะ ไม่เห็นต้องหิ้วคุณเลขาฯ หน้านิ่งไปด้วยเลยนี่คะอิฐขา”

“ผมจ้างเลขาฯ มาทำงานนะครับนีน่า เรื่องอะไรผมต้องเหนื่อยทั้งคิดหาของขวัญ ทั้งหิ้วของ ทำแบบนั้นผมจะจ้างไหมไว้ทำไม” จู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนพาล รอยยิ้มรู้ทันของนรีสุดาทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจ สาวสวยตรงหน้าเขาไม่มีผลต่อความรู้สึกของอัยย์ศยาเลย

ขุนพลถอนใจยาว ในช่วงเวลาที่เขาต้องสูญเสียพ่อ ต้องเข้มแข็งในฐานะลูกชายที่เห็นแม่ลำบากก็แทบกระอักเลือด ไหนจะสายตาจากบรรดาเพื่อนร่วมโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกเต้าเศรษฐีทั้งสิ้น ในยุคนั้นไม่ใช่เขาคนเดียวที่ต้องแปรสภาพจากคุณอิฐเป็นไอ้อิฐ แต่เพื่อนหลายคนก็หายหน้าไปเรียนโรงเรียนวัด บางคนก็ไปอยู่ต่างจังหวัด ยกเว้นเขาซึ่งใกล้จะสอบจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก แม่จึงยอมกัดฟันจ่ายค่าเทอมงวดสุดท้ายให้เขาได้เรียนต่อในโรงเรียนเดิม

หนึ่งในนั้น เขาเกลียดที่สุดคือสายตาของนางในฝัน รอยยิ้มและแววตาเห็นอกเห็นใจที่หวังจะได้จากเธอไม่เคยกระเซ็นมาถึง แค่เขาตั้งท่าจะพูดด้วย อัยย์ศยาก็ยังเดินหนีไปไกลร้อยเมตร เขาเฝ้ามองเธอตาแทบหลุด อัยย์ศยาก็เชิดหยิ่งเหมือนในตอนนี้ไม่มีผิด

ยิ่งคิดขุนพลก็ยิ่งโมโห ตอนนี้เธอเป็นลูกน้องเขาแท้ๆ แถมยังมีเรื่องคาวราคีติดตัวอีกด้วย เธอยังกล้าหยิ่งใส่เขาอีกเหรอ

“นั่นน่ะสิคะ” เสียงเย้ยหยันจากนรีสุดาดังขึ้น เธอลุกเดินมายืนด้านหลังคนขี้หงุดหงิด ค่อยๆ ไล้มือไปบนไหล่กว้างใต้เชิ้ตสีขาวกระชับกายแกร่ง แล้วโน้มกายลง ยื่นปากไปพูดเสียงกระซิบข้างใบหูชายหนุ่ม

“จะจ้างไว้ทำไม ถ้าจะต้องหงุดหงิด เพราะคุณไหมไม่หึงอิฐสักที”

ขุนพลตวัดตาขุ่นคลั่กขึ้นไปมองใบหน้ายิ้มหยาดเยิ้มของนรีสุดา “อย่าพูดจาเลอะเทอะ ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณไหม”

หญิงสาวหัวเราะแล้วเลื่อนมือนุ่มๆ มาจับปลายคางของเขา “เหรอคะ” นรีสุดาถามเสียงสูง เลิกคิ้วขึ้นยั่วเย้าแล้วยิ้มหวาน ยื่นหน้ามาใกล้จนริมฝีปากแทบจะติดกัน ก่อนจะไล้ปลายนิ้วบนแก้มสากราวกับเอ็นดูเด็กชายน่ารักสักคนหนึ่ง “นีน่าเชื่อค่ะ ว่าอิฐไม่ได้คิดอะไร”

ขุนพลถอนหายใจเฮือก เบี่ยงหน้าหลบฝ่ามือของนรีสุดา แต่ในจังหวะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น นรีสุดานึกอยากจะแกล้งชายหนุ่มบนเก้าอี้จึงแตะริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว ขุนพลยกสองมือขึ้นหมายจะดันหน้านรีสุดาออก ถึงเขาจะแกล้งทำตัวรุ่มร่ามกับเธอให้อัยย์ศยาเห็น แต่ไม่เคยคิดจะทำตัวไม่เคารพสถานที่แบบนี้ 

ทว่าภาพที่เลขาฯ สาวเปิดประตูเข้ามาเห็นก็คือชายหนุ่มกับหญิงสาวในชุดเย้ายวนกำลังแลกจูบกันอย่างเมามัน เธอเม้มปากแน่น กลั้นอารมณ์หน่วงหนึบที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เห็นการกระทำอันน่าทุเรศของขุนพล

อัยย์ศยาสูดลมหายใจลึกแล้วรายงานสิ่งที่ตั้งใจทันทีด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าว “ไหมจองโต๊ะเรียบร้อยแล้วนะคะ ตอนบ่ายโมง คิดว่าถ้าไม่ออกไปตอนนี้เกรงจะไม่ทันค่ะ”

พออัยย์ศยาออกไปจากห้อง นรีสุดาก็ผละออกแล้วหัวเราะขบขันเมื่อเห็นใบหน้าของขุนพลแดงจัด คงไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าจูบเขาก่อนโดยที่เขาไม่ได้สั่ง และคงไม่คิดว่า เลขาฯ ที่เขาไม่ได้คิดอะไรด้วยนั้นจะโผล่เข้ามาได้จังหวะพอดี

“อิฐไม่ได้คิดอะไรกับคุณไหมนี่คะ ทำไมต้องใส่ใจด้วย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น