2
หลังจบมื้ออาหารที่แสนน่ารำคาญและสิ้นเปลืองเวลาอย่างไม่น่าให้อภัยในความคิดของอัยย์ศยา เธอยังต้องมาเดินเลือกของขวัญให้เจ้าสัวดิเรก ซึ่งไม่ว่าเธอจะเสนออะไร ขุนพลก็ไม่เห็นด้วย แถมยังต้องช่วยผู้หญิงของเขาถือของ แวะช่วยเขาลองนาฬิกา อยากจะขย้อนเอาปลาดิบไม่กี่ชิ้นที่เพิ่งรับประทานเข้าไปออกมา สุดท้ายขุนพลกับเธอก็ตกลงกันได้เรื่องของขวัญสำหรับผู้มีพระคุณของเขา
ในขณะที่เขากลับมาส่งเธอที่หน้าอาคารสูงนั้น เป็นเวลาที่พนักงานจากบริษัทต่างๆ ที่เช่าอาคารแห่งนี้พากันทยอยกลับบ้าน อัยย์ศยากลอกตา ถอนใจยาวระหว่างรอให้ลิฟต์ไต่ระดับจนถึงชั้นสิบแปด
“พี่ไหม หนูนึกว่าพี่คงไม่กลับเข้ามาแล้ว” กมลพรสาวสวย สวมแว่นตากรอบดำร้องทักเมื่อเห็นหัวหน้าสาวมาถึง
“งานพี่ยังกองรออยู่มหาศาลจ้ะ” คนพูดทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วยิ้มให้สองสาวอย่างใจดี
“ให้พวกหนูช่วยก่อนไหมคะ” ผู้ช่วยอีกคนอาสาอย่างเห็นใจ อารดาเป็นสาวร่างกะทัดรัด มีใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แต่เป็นสาวปากจัด และชอบทำตัวเป็นเด็กช่างเมาท์ แถมยังพูดจาทะลึ่งตึงตังไม่น้อย
“พูดก็พูดเถอะค่ะ คุณอิฐแกจะพาพี่ไหมไปเป็นก้างแกทำไมก็ไม่รู้นะคะ จริงๆ ไม่ต้องเสียค่าร้านอาหารเลยก็ได้นะคะ ถ้าจะนัวเนียกันขนาดนั้น โรงแรมใกล้ๆ นี่ก็จบแล้วค่ะ”
อัยย์ศยาหน้าร้อนผ่าว เธอหันมาทำหน้าตาดุแล้วตีคนทะเล้นที่ทำท่าสูดปากแล้วหัวเราะคิก ด้วยคิดไกลไปถึงไหนต่อไหน
“บอสเรานี่เสน่ห์แรงนะคะ นี่ขนาดมีข่าวว่าลูกสาวเจ้าสัวดิเรกกลับจากนอกแล้ว ยังจะควงคุณนีน่าอีก โอ๊ย อย่างว่าละค่ะ ผู้ชายแซ่บๆ สมัยนี้ หายาก ต้องผลัดกันซี้ด”
อัยย์ศยาร้อนผ่าวไปถึงใบหูแล้วตีคนพูดพล่อยไปอีกที ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกร้อนรุ่มที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างแล้วยิ้มให้สองสาว เมื่ออยู่ลำพังหญิงสาวก็พ่นลมออกปากพลางขับไล่ความคิดเกี่ยวกับขุนพลและผู้หญิงของเขาออกไป
บรรยากาศรอบข้างยิ่งเงียบเชียบ ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเคลียร์งานอย่างยิ่ง หญิงสาวเริ่มจัดการเอกสารที่คั่งค้างอย่างเป็นระบบ รองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่ถูกสะบัดวางไว้ที่ปลายเท้า เสียงท้องร้องโครกครากชวนให้นึกถึงก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ หน้าปากซอยทำให้นิ้วเรียวพรมลงบนแป้นพิมพ์ถี่ขึ้นอย่างฮึดสู้
ตัวเลขตรงด้านขวาของจอคอมพิวเตอร์บอกเวลาสามทุ่มเศษ หญิงสาวลุกขึ้นไปรวบรวมแผ่นกระดาษที่สั่งพิมพ์ผ่านระบบเน็ตเวิร์กมาจัดเรียงเข้าแฟ้ม หูได้ยินเสียงลิฟต์เปิด แต่เข้าใจเอาเองว่าคงเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ขึ้นมาตรวจตราตามชั้นต่างๆ พอวางแฟ้มสุดท้ายเรียบร้อย เธอบิดกายไล่ความเมื่อยล้าบริเวณบ่าไหล่ อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้ขุนพลผู้ไม่จ่ายค่าล่วงเวลาให้เธอคงจะไประเริงรักกับนรีสุดาอยู่ที่คอนโดสุดหรูของเขาอย่างสบายอารมณ์ อัยย์ศยาอยากจะเบ้ปากเมื่อนึกถึงเขา แต่เธอก็เคยชินเสียแล้วกับตัวตนของขุนพล
สามปีที่เธอทำงานให้เขา ชายหนุ่มควงผู้หญิงหลายคน แต่ที่เห็นบ่อยสุดก็ปาลินกับนรีสุดานี่ละ ขุนพลจะรู้บ้างไหมว่าทุกคนที่เข้ามารุมล้อมเขาล้วนเห็นแก่ความโก้หรู หน้าตา บารมี และความสุขสบายแทบทั้งสิ้น
หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นคนที่กำลังนินทาในใจยืนอยู่ตรงหน้า ลมหายใจสะดุดขาดห้วงจนต้องปรับสีหน้าในทันที “คุณอิฐ”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เขาหัวเราะในลำคอขณะมองสีหน้าตกใจของเลขาฯ ตัวเอง “กำลังคิดอกุศลกับผมอยู่ละสิ ใช่มั้ย” เขายกมุมปากเป็นเชิงเยาะที่รู้ทันเธอ
“เอ่อ” อัยย์ศยามัวแต่ใจเต้นแรงจนลืมคำโกหก เธอกำลังนินทาเขาในใจจริงๆ หญิงสาวส่ายหน้า สบตากันนานเกินไปจึงรีบก้มหลบหยิบจัดทุกอย่างบนโต๊ะแล้วคว้ากระเป๋าคล้องไหล่ ก่อนจะปั้นยิ้มให้เขา “คุณอิฐลืมอะไรเหรอคะ พอดีไหมกำลังจะกลับแล้วค่ะ”
“เปล่า” เขาตอบเสียงสูง ยักไหล่น้อยๆ “แค่แวะมาดูความเรียบร้อย”
“ถ้างั้น ไหมขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวไหม”
“คะ?” หญิงสาวหันกลับมาตามเสียงกึ่งสั่งของเขาแล้วต้องรีบถอยเท้ากลับไปหนึ่งก้าวอย่างตกใจ เผลอสูดกลิ่นกลิ่นหอมสะอาดเจือกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากเรือนกายสูงเข้าไปเต็มรัก เกือบจะเผลอสูดให้ลึกๆ อีกรอบ เพราะอยากรู้ให้แน่ชัดว่ามันเป็นกลิ่นน้ำหอมยี่ห้ออะไร หรือจะเป็นเพราะมีกลิ่นสุราอ่อนๆ อยู่ในลมหายใจของเขาตอนนี้เลยทำให้เธอใจสั่นหวิวพิกล
ขณะที่ขุนพลนิ่งไปอึดใจ เขาก็หยิบกระดาษใบหนึ่งจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้เธอ “ไปจัดการตัวเองให้พร้อมสำหรับการไปงานวันเกิดเจ้าสัวดิเรกกับผม วันเสาร์นี้ หกโมงเย็น”
อัยย์ศยามองตัวเลขบนเช็คซึ่งนับว่ามากโข แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ขุนพลอาจจะเป็นเจ้านายที่แปลกๆ แต่เขามักจะใจบุญกับพนักงานเสมอ กับเธอเขาทำบ่อยจนเธอชิน จนรู้ว่าไม่ควรปฏิเสธทุกอย่างที่เขาให้ เพราะมันจะทำให้เขาหงุดหงิดและพาล เล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อ ว่าขุนพลเคยพาเธอไปงานเลี้ยงแห่งหนึ่งแล้วพบว่าลำคอของเธอว่างเปล่า เขาจึงแวะร้านเพชรเพื่อซื้อชุดเครื่องประดับเพชรให้เธอสวมและไม่เอาคืน
หญิงสาวเริ่มวางแผนคร่าวๆ ให้ทุกอย่างเสร็จก่อนหกโมงเย็นวันเสาร์ก่อนที่เขาจะไปรับเธอ ทว่าขุนพลกลับสั่งต่อจนเธอแทบหัวทิ่ม
“เจอกันที่ร้านดาด้า”
เขาหมายถึงระรินดา เพื่อนสนิทของอัยย์ศยาที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยมถึงมหาวิทยาลัย
“ค่ะ” อัยย์ศยารับคำสั้นๆ แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ด้วยความรู้สึกหน่วงลึกประหลาด คงเป็นเพราะชื่อของเพื่อนสาวเจ้าของร้านเบเกอรีและคาเฟกาแฟสุดหรูย่านทองหล่อกระมัง ยิ่งนับวันเธอยิ่งรู้สึกว่าขุนพลจงใจข่มเธอให้ตัวลีบลงจนกลายเป็นไม้จิ้มฟัน
เขารู้จักระรินดามาพร้อมกับเธอ แต่น้ำเสียงและสรรพนามที่พูดถึงบ่งบอกความสนิทสนมที่เขามีให้ต่างกัน หญิงสาวถอนใจตอนที่ลิฟต์เปิดออก ลืมเรื่องก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยไปชั่วขณะ เปลือกตาหนักอึ้งจนนึกถึงแต่ห้องนอน แต่ตอนที่เธอกำลังจะเอื้อมมือไปกดปิดลิฟต์ เจ้านายหนุ่มก็ก้าวเข้ามายืนอยู่ในกล่องโดยสารแคบๆ ด้วยกัน
“ไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
อัยย์ศยากำลังจะหันไปปฏิเสธอย่างมีมารยาทเท่าที่เธอจะอดทนต่อการใช้งานไม่เกรงใจของเขา แต่เสียงท้องของเธอกลับร้องครวญครางจนได้ยินชัดในขณะที่ลิฟต์ไต่ระดับลงมาถึงชั้นล่างสุดของอาคาร หญิงสาวแก้มร้อนผ่าวกับเสียงหัวเราะทุ้มๆ ในลำคอ
“ถ้าจะบอกว่าไม่หิวนี่ ถือว่าผิดศีลข้อสี่เชียวนะครับ ไหม” ขุนพลหรี่ตาลง ผิวหน้าของเขาอมชมพู ไรหนวดเขียวครึ้มและกลิ่นลมหายใจของเขาทำให้เธอแทบล้มทั้งยืน
อัยย์ศยาเดินลูบขนแขนที่ลุกเกรียวเพราะเสียงนุ่มๆ ที่เขาใช้เรียกชื่อเล่นของเธอ หญิงสาวจ้องแผ่นหลังใต้เชิ้ตสีขาวอย่างเหลืออด แต่ในที่สุดเธอก็ข่มอารมณ์ตัวเองลงได้เหมือนทุกครั้ง เดินตามเขาไปขึ้นรถนำเข้าสุดหรูเพื่อตรงไปรับประทานมื้อดึกกับเจ้านายเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาทำแบบนี้เสมอมาสามปีแล้ว
สตอรีออลเลิฟเป็นร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยบรรยากาศอิงลิชคันทรี เน้นโทนสีน้ำตาลขาว และประดับด้วยดอกไม้สไตล์วินเทจ เพิ่มสีสันให้ร้านดูอบอุ่น เหมาะแก่การมานั่งพูดคุย พักผ่อนหย่อนใจ
ระรินดาหันมาเปิดร้านร่วมกับเพื่อนๆ อีกกลุ่มเมื่อสองปีที่แล้ว ด้วยทำเลและรสชาติของเมนูอาหารกับเครื่องดื่มทำให้ร้านฮิตติดปาก ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาอุดหนุนไม่เคยขาด เจ้าของร้านสาวดูเหมือนคนที่ชอบเพ้อฝัน ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนได้ไม่ถึงสามปีก็ทนไม่ไหว โชคดีที่ฐานะทางบ้านของระรินดาจัดอยู่ในขั้นร่ำรวย เธอจึงลาออกมาเปิดร้านในฝันเป็นของตัวเอง ด้วยความตั้งใจที่จะให้ร้านนี้เป็นสถานที่แห่งความทรงจำสำหรับคู่รัก
ระรินดามักจะยิ้มอย่างปลื้มปริ่มเสมอเวลาเห็นคู่รักนัดพบกันที่ร้านของเธอเพื่อบอกรักและพูดคุยกัน แต่มักจะโกรธเมื่อรู้ว่าคู่รักคู่ไหนมาใช้ร้านของเธอเป็นสถานที่บอกเลิกกัน ทั้งหมดนั่นก็เพราะระรินดาไม่ค่อยสมหวังในความรัก แถมหมอดูที่เธอชื่นชอบยังการันตีอีกว่า ชีวิตของเธอนั้นดวงจะต้องห้อยโหนอยู่บนคานทองไปจนอายุเกือบสี่สิบถึงจะมีลุ้นได้แต่งงาน
“ฉันต้องรักษารูปร่าง ใบหน้า และรอยยิ้มของฉันให้สวยประหนึ่งคุณอั้ม พัชราภา” คนพูดยืดกายขึ้นแล้วบิดตัวพอยต์เท้าน้อยๆ หลังจากเล่าคำพยากรณ์ของหมอดูชื่อดังให้อัยย์ศยาฟัง ก่อนจะยิ้มเคลิ้มฝันแล้วยกมือขึ้นแตะที่คาดผมรูปขนมมาการองบนศีรษะ “แกลองคิดสิไหม ว่าผู้ชายคนนั้นเขาจะต้องหลงใหลกลิ่นหอมของเบเกอรีแสนอร่อยที่แค่ได้กลิ่นก็รู้ว่ารสชาติของมันจะละมุนลิ้นแค่ไหน เหมือนขนมมาการอง สีหวานน่าลิ้มลอง พอกัดเข้าไปข้างในก็จะพบกับความชุ่มฉ่ำ ละลายอยู่ที่ปลายลิ้น”
“นี่ หยุดบ้าได้แล้ว” อัยย์ศยาปรามเพื่อนแล้วหัวเราะขบขัน “กลิ่นขนมมาการองนี่นะจะทำผู้ชายได้กลิ่นแล้วเกิดพิศวาสแกขึ้นมาน่ะ” ถ้าเป็นกลิ่นเหล้าผสมน้ำหอมก็ว่าไปอย่าง เมื่อเผลอคิด อัยย์ศยาก็หน้าร้อนผ่าว จนต้องแก้เก้อด้วยการคว้าน้ำผลไม้ปั่นมาดื่ม ขณะที่ระรินดากระแทกตัวลงนั่งทำหน้ามุ่ย
“จริงๆ นะ แก ช่วยฉันคิดหน่อยสิ ฉันตื่นเต้นจะแย่ แค่คิดถึงริมฝีปากหนานุ่ม มีไรหนวดเขียวๆ เหนือปากที่กำลังงับขนมสีสวย แล้วแตะปลายลิ้นละเลียดขนมสีหวานเหมือนริมฝีปากของฉัน ฉันก็แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว”
“ทีหลังแกเลิกไปดูหมอเถอะยายด้า” อัยย์ศยาหลุบตามองแก้วเครื่องดื่มแล้วพูดกลั้วหัวเราะ จึงไม่เห็นว่าเพื่อนสาวของเธอกำลังทำตาเคลิ้มอยู่กับใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากสีฉ่ำหยักสวย และไรหนวดเขียวๆ เหนือริมฝีปากมาจนถึงใต้คางบึกบึน “ผู้ชายที่กินขนมมาการองแบบนั้น ระวังเขามีสามีอยู่แล้วนะยะ”
“นี่ไง...ในที่สุด เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าฉันจนได้” ระรินดาทำเสียงยานคาง
หญิงสาวในชุดราตรีสีโอลด์โรสตัดเย็บอย่างประณีตสมราคาและทันสมัยเงยหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างบรรจงเป็นพิเศษ มองตามสายตาหยาดเยิ้มของเพื่อนแล้วใจแกว่ง
ขุนพลยกมุมปากยิ้มเหมือนเขาจะบ้าจี้ตามมุกเพ้อฝันนั่น “หิวน้ำอะคุณ สั่งอะไรให้ผมดื่มหน่อยสิครับ”
ระรินดาออกจากภวังค์แล้วยืดกายขึ้น สวมวิญญาณเจ้าของร้านรีบเสนอเมนูมากมายให้ชายหนุ่มเลือกด้วยน้ำเสียงสดใส “ตกลงพี่อิฐสนใจเมนูไหนคะ ดาด้าจะได้สั่งให้” ถามจบแล้วเอียงคอยิ้มกว้างใส่ดวงตาคมเข้มแล้วเผลอนอกเรื่อง “พี่อิฐมีแฟนหรือยังคะ”
คนถูกถามเหลือบตาไปมองหญิงสาวในชุดราตรีที่ขับผิวของเธอจนผุดผ่องชวนใจสั่น แล้วหันมายิ้มให้ระรินดาที่ยิ้มล้อเลียนแล้วบิดตัวเขินอาย
“แฟนมี แฟนพี่ก็ต้องมาสิครับน้องดาด้า นี่ดาด้าเห็นพี่มากับใครล่ะ มีหรือเปล่า” เขาตอบยียวนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ระรินดาเพิ่งลุก
“อุ๊ย! ไม่รู้หรอกค่ะ ด้าเห็นพี่อิฐมาแต่กับยายไหม ไม่เห็นมีแฟน ถ้าดาด้าจะจีบพี่อิฐจะไฟเขียวหรือเปล่า พอดีหมอดูคนนี้ท่านแม่นมากเลยนะคะ บอกว่าด้าจะเจอเนื้อคู่ภายในปีนี้ ถ้าพลาดละก็จะไปเจออีกทีตอนใกล้สี่สิบ” หญิงสาวทำหน้ามุ่ย “ถ้ารอจนสี่สิบ ด้าคงต้องเก็บเงินไว้ดึงคาง ทำนม ฉีดโบทอกซ์เยอะๆ แน่ ถ้าเป็นไปได้ด้าก็อยากจะได้ผู้ชายที่ทั้งหล่อ ทั้งดี ทั้งรวย ทั้งเก่ง แบบพี่อิฐมาดูแลหัวใจ เราก็รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว พี่อิฐก็ยังไม่มีใคร ด้าก็ยังไม่มีใคร เรามาลองคบกันไหมคะ”
ขุนพลหัวเราะ แล้วแกล้งผลักใบหน้าสวยที่ลอยเข้ามาใกล้ออกไปอย่างไม่จริงจัง “พอได้แล้ว ชมซะเขินจริงนะเนี่ย ถ้าพี่ดีขนาดนั้น พี่คงไม่บ้ามาคบกับคนประสาทอย่างด้าหรอก”
“อ้าว” ระรินดายืดตัวอย่างเง้างอนแล้วสะบัดหน้าใส่ชายหนุ่ม “ก็แล้วแต่ ด้าถือว่าให้โอกาสพี่อิฐแล้วนะคะ อย่ามาเสียดายทีหลัง”
ระรินดาสะบัดก้นลุกหนีไปโดยมีสองคนหัวเราะตามหลัง นี่เป็นเหตุการณ์ประจำที่มักเกิดขึ้นในการพบหน้ากันกับระรินดาเสมอ พอเจ้านายกับเลขาฯ เผลอตัวหันมาสบตากันต่างคนก็ต่างหุบยิ้ม ขุนพลถือโอกาสนั้นจดจ้องใบหน้าสวยที่แสนจะขาดแคลนรอยยิ้ม ทุกตารางนิ้วบนตัวอัยย์ศยาดูดีจนเขาใจสั่น เรียวขาขาวเนียนที่ซ่อนปลายเท้าไว้ในรองเท้าส้นสูงสีสวยเข้ากับชุด เอวคอดกิ่วรับสะโพกกลมกลึง ทรวงอกขนาดกำลังพอดีที่ถูกห่อหุ้มด้วยเนื้อผ้าขับผิว ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนคนกระหายน้ำ เขาเมินไปอีกทาง แต่ไม่วายกระแนะกระแหนอย่างคนปากไม่อยู่สุข
“คุณน่าจะใช้เงินผมซื้อผ้าคลุมไหล่มาสักผืนนะไหม หรือว่าเงินไม่เหลือ”
อัยย์ศยายิ้มอ่อนให้เขาโดยไม่โต้เถียง เพราะรู้ว่าการทุ่มเถียงกับคนเช่นขุนพลนั้นเปล่าประโยชน์ เขาคงไม่หัวเราะแล้วผลักหัวเธออย่างเอ็นดูเหมือนที่ทำกับระรินดา หญิงสาวสูดลมหายใจขับไล่ความคิดน้อยใจออกไปอย่างรวดเร็ว
พอระรินดาถือแก้วน้ำสีหวานเดินกลับมา พร้อมกับขอให้ขุนพลช่วยถ่ายภาพพร้อมแก้วเครื่องดื่มแล้วเช็กอินร้านให้ ชายหนุ่มก็ยอมทำแต่โดยดี
ก่อนออกจากร้านเขายัดแก้วเครื่องดื่มให้เลขาฯ ของเขาถือ
อัยย์ศยาได้แต่กลอกตาตามองบนแล้วเดินตามหลังเขาไปโดยไม่ปริปากบ่น เมื่ออยู่ลำพังบนรถ เขาปรายตามองเธอเป็นระยะ พอหญิงสาวแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ขุนพลก็ถอนใจอย่างคนไร้มารยาท
“ผมซื้อน้ำมาแก้วละร้อยห้าสิบเพื่อปล่อยให้มันละลายไปเหรอครับ ผมขับรถอยู่ คุณไม่เห็นเหรอ”
อัยย์ศยาเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ในช่องวางแก้วแล้วยื่นให้คนขับรถดื่ม แรงดูดจากแก้วที่เธอถือทำให้หญิงสาวใจสั่นหวิวแต่ก็ต้องเก็บอาการ แล้วนึกโทษเพื่อนสาวจอมบ้าบอของเธอที่ดันมาพูดเรื่องผู้ชายกินมาการองให้ฟัง มันทำให้อัยย์ศยาขนลุกและทำให้แก้มของเธอร้อนผะผ่าว
งานเลี้ยงวันเกิดเจ้าสัวดิเรกจัดขึ้นอย่างอบอุ่น งานไม่ได้ใหญ่โตอะไร มีเพียงนักดนตรีบรรเลงไวโอลินคลอเบาๆ ทำให้การสนทนาของแขกกับสมาชิกครอบครัวที่มารวมตัวกันพูดคุยได้สะดวกโดยไม่ต้องตะเบ็งเสียง บาร์อาหารจัดไว้มุมหนึ่งของสนามกว้างเขียวขจี มีโต๊ะสีขาวผูกโบสีทองตั้งกระจายไปทั่วสวนจนถึงบริเวณสระว่ายน้ำ
อัยย์ศยาเดินตามเจ้านายหนุ่มโดยเว้นระยะห่างสองก้าว เจ้าสัวดิเรกเป็นชายชราที่ยังมีสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่งอย่างคนที่อยู่สุขสบายและร่ำรวยมหาศาล อัยย์ศยาเคยพบท่านสามสี่ครั้งจากการติดตามขุนพลไปประชุมที่สำนักงานใหญ่ของ ดีอาร์กรุ๊ป
ชายสูงวัยผู้คร่ำหวอดวงการธุรกิจครบวงจรท่านนี้มีความเอ็นดูเจ้านายของเธอมากถึงมากที่สุด บางครั้งเธอเคยเห็นดิเรกสั่งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำตามคำแนะนำของขุนพลกลางที่ประชุม จึงไม่แปลก หากว่าบรรดาผู้บริหารรุ่นใหญ่และลูกหลานหลายคนในตระกูลวิทย์เทวินท์จะไม่ค่อยชอบหน้าขุนพล
หลังจากที่ชายหนุ่มเข้าไปมอบของขวัญและอวยพรให้ผู้ใหญ่ที่เขานับถือแล้ว อัยย์ศยาก็เดินตามเขาออกมายังส่วนที่จัดเป็นงานเลี้ยง ขุนพลรู้จักแขกแทบทุกคนในงาน เขานั่งลงพูดคุยกับกลุ่มลูกหลานของเจ้าสัวดิเรก อัยย์ศยาเดินเลี่ยงไปที่บาร์อาหาร ตักอาหารอย่างละนิดละหน่อยสำหรับเธอและเจ้านาย ก่อนจะพบว่าที่นั่งของเธอไม่ว่างอีกต่อไปแล้ว
เพราะตอนนี้ข้างๆ ชายหนุ่มมีหญิงสาวสวยคนหนึ่ง หุ่นอวบอัด ผิวขาวอมชมพูกำลังนั่งพูดคุยอย่างยิ้มแย้มพลางชักชวนให้ขุนพลลองชิมอาหารหลากหลายที่อยู่ตรงหน้าเขา อาหารสองจานในมืออัยย์ศยาจึงไม่รู้จะวางลงตรงไหน
“อ้าว ไหม นี่คุณเปรมพลอย ลูกสาวคนเล็กของเจ้าสัวดิเรก”
พอรู้ว่าหญิงสาวที่นั่งแทนที่เธอเป็นใครอัยย์ศยาก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว และเพราะถือจานอยู่สองมือหญิงสาวจึงไม่ได้ไหว้เปรมพลอยอย่างที่ควรจะทำ ชื่อของเปรมพลอยนั้นเธอได้ยินมาสักพักแล้ว ลูกสาวคนสวยของเจ้าสัวดิเรกที่คนเป็นพ่อทั้งรักทั้งห่วงและหวังจะฝากฝังให้ขุนพลดูแล เธอรู้ว่าดิเรกพยายามจะให้สองคนรู้จักรักใคร่กันไว้ตลอดมา แต่ไม่คิดว่าพอได้เห็นสองคนนั่งเคียงข้างพูดคุยกันจริงๆ ใจจะสั่นถึงเพียงนี้
เปรมพลอยก็คงจะเขม่นหน้าเธอในวินาทีแรกที่สบตากัน และในวินาทีต่อมาที่ขุนพลขยับจานคัปเค้กสารพัดรูปทรงตรงหน้าออกเพื่อรับจานของเธอไปวางแทน เปรมพลอยก็เพิ่มความแรงของสายตาที่มองอัยย์ศยาขึ้นอีกสิบเท่า
“ไหมขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ ถ้าคุณอิฐมีอะไรก็เรียกไหมนะคะ” เธอบอกเขาเบาๆ ชายหนุ่มไม่ได้พยักหน้ารับหรือจริงๆ แล้วเธอเลี่ยงที่จะไม่มองตาเขามากกว่า หญิงสาวไม่อยากยืนเก้กังอยู่ตรงนั้นให้นานนัก เธอเคยได้ยินเรื่องระหว่างลูกสาวคนเล็กของเจ้าสัวกับขุนพลอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อได้ยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ใครต่อใครต่างเล่าลือว่าเป็นคู่หมายของเจ้านายหนุ่ม อัยย์ศยากลับรู้สึกตัวลีบเล็กลงไปทันตา
อารามรีบร้อนทำให้เธอเกือบจะชนกับร่างสูงจนเกือบจะล้มลงกองกับพื้น ถ้าไม่มีวงแขนแกร่งของใครคนนั้นรั้งเอวของเธอไว้
หญิงสาวใจเต้นกระหน่ำกับเสียงหัวเราะขบขันทุ้มเบาจากลำคอของทิวเมธ เธอจำได้ว่าเคยพบเขาในที่ประชุมของดีอาร์กรุ๊ปครั้งหนึ่ง ลูกชายภรรยาคนที่สองของท่านเจ้าสัวดิเรกที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นเจ้าของตำแหน่งรองประธานที่ดิเรกรอคอยให้กลับมาจากต่างประเทศ
“ขอบคุณค่ะ” อัยย์ศยาคิดว่าเสียงของเธอคงแทบไม่พ้นลำคอตอนที่สบตาระยิบระยับเจ้าชู้เล็กๆ ของทิวเมธ เขาประคองแผ่นหลังของเธอให้ยืนอย่างมั่นคงท่ามกลางสายตาของคนรอบข้างที่หันมองเป็นตาเดียว
“คุณไหมคงจะรีบร้อนไปห้องน้ำน่ะค่ะพี่เมธ ก็เลยไม่ทันระวัง” เปรมพลอยพูดยิ้มๆ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความหยามเหยียด
“ผมพาไปก็ได้ครับ” ทิวเมธรีบเสนอขึ้นอย่างมีน้ำใจ รอยยิ้มกระจ่างเต็มวงหน้า
“ดีเลยค่ะ คุณไหมมากับคุณอิฐ แล้วคุณอิฐก็กำลังคุยธุระกับพี่กายแล้วก็พลอย พี่เมธว่างช่วยพาคุณเลขาฯ ไปห้องน้ำหน่อยก็ดีค่ะ บ้านนี้กว้างอย่างกับสนามฟุตบอล เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ได้หลงกันพอดี”
อัยย์ศยาแก้มร้อนวูบวาบ เธอเบี่ยงตัวให้พ้นฝ่ามือที่ยังเกาะประคองเอาไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะ แต่เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเปรมพลอยผู้กำลังยิ้มหวานเยิ้มให้เจ้านายของเธอ
ระหว่างทางทิวเมธเดินเว้นระยะห่างพอไม่ให้น่าเกลียดและชักชวนเธอพูดคุยตลอดเวลา พาให้อัยย์ศยารู้สึกคลายความอึดอัดลงมาก และเขาก็เก็บมือเก็บไม้อย่างสุภาพบุรุษ ไม่ใช่พวกฉวยโอกาสอย่างที่เธอแอบหวาดหวั่น
“ผมรู้สึกว่า ผมคุ้นหน้าคุณไหมจังเลยครับ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าครับ ขอโทษที่ต้องถามเหมือนมุกจีบหญิงเมื่อกาลก่อน แต่มันตงิดใจจริงๆ ครับ”
“คงจะเคยพบกันที่ดีอาร์กรุ๊ปน่ะค่ะ ไหมติดตามคุณอิฐไปทุกครั้ง แต่พักหลังไม่ค่อยได้พบคุณทิวเมธ” เธอตอบตามความจริง ไม่แปลกที่เขาจะจดจำพนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เดินเกลื่อนกลาดรอบตัวพวกเขาไม่ได้
ทิวเมธครางในลำคอเหมือนนึกออก “ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นครับ ข้างในบ้านมีแต่ผู้ใหญ่เยอะแยะไปหมด ผมกลัวคุณไหมจะเกร็งเลยพามาที่ด้านหลังแทน ผมจะรอตรงนี้นะครับ” เขาบอกพลางผายมือให้เห็นอาคารสองชั้นสไตล์โมเดิร์นผสมผสานศิลปะร่วมสมัยขนาดกะทัดรัด “เดินเข้าไปในบ้านนะครับ ประตูไม่ได้ล็อก มองด้านซ้ายจะเห็นห้องน้ำครับ”
อัยย์ศยากวาดตาสำรวจอยู่อึดใจ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำตามที่ทิวเมธบอก
เมื่อกลับออกมาก็พบคนตัวโตนั่งรออยู่บนเก้าอี้เหล็กสีดำ ตรงระเบียงบ้านที่ยื่นออกจากตัวบ้าน มีเบาะหนังวางรองบนเก้าอี้ทั้งสี่ตัว
“นั่งก่อนไหมครับ”
อัยย์ศยาคิดจะปฏิเสธ แต่พอเห็นว่ามีทางเดินที่ลัดเลาะไปเข้าครัวของตึกใหญ่ และบรรดาพนักงานของบ้านนี้ก็เดินผ่านกันขวักไขว่เธอจึงคิดว่านั่งพักเท้าที่ปวดเมื่อยสักครู่ก็คงจะดี “ค่ะ”
“คุณไหมทำงานกับคุณอิฐมาหลายปีแล้วเหรอครับ”
“สามปีแล้วค่ะ”
“มิน่า ผมถึงได้คุ้นหน้าคุณไหมมากๆ เสียดายนะครับที่สองปีที่ผ่านมาผมไปเรียนต่อที่อเมริกาซะก่อน ไม่งั้นคงสนิทกันไปตั้งนานแล้ว” ทิวเมธอมยิ้ม นึกชื่นชมกิริยาเรียบเฉยแต่ซ่อนความอ่อนหวานไว้จนเขาอยากจะลองค้นหาความหวานจากภายใต้ท่าทางนิ่งๆ นั่น คงเป็นเพราะชุดราตรีสีโอลด์โรสกับเครื่องเพชรกระจุ๋มกระจิ๋มของต่างหูและสร้อยคอของเธอกระมังที่วับวาวแต่พองาม ไม่เยอะจนเกินไป ขับออร่าให้เธองดงามราวกับผู้ดีมีเงินจนเขาไม่อยากละสายตาไปจากเธอเสียด้วยซ้ำ
“ต่อไปก็คงได้พบกันบ่อยขึ้นค่ะ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไหมไม่มีความคิดจะเปลี่ยนงานไปจากคุณอิฐเลยใช่ไหมครับเนี่ย” เขากลั้วหัวเราะ มองอัยย์ศยายิ้มอย่างไม่เจาะจงว่าคือการยอมรับหรือปฏิเสธยิ่งทำให้ทิวเมธอยากรู้จักเธอมากขึ้น “น่าอิจฉาคุณอิฐนะครับ มีลูกน้องที่แสนดีแบบคุณไหม”
อัยย์ศยาหัวเราะเบาๆ อย่างนึกขัน “คงไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“อย่าถ่อมตัวสิครับ มีเลขาฯ แบบคุณไหมจะควงไปงานที่ไหนด้วยก็ไม่อับอายขายหน้าใคร ส่งเสริมสง่าราศีให้เจ้านายอีกต่างหากครับ ถ้าผมมีลูกน้องดีๆ แบบคุณ ผมจะไม่มีวันปล่อยไปแน่ๆ”
เลขานุการสาวซ่อนความขบขันอยู่ใต้ใบหน้าแต้มยิ้ม ขุนพลคงไม่มีวันปล่อยเธอไปง่ายๆ หรอก การจ้างเธอไว้คนเดียวทำให้เขาประหยัดค่าจ้างไปได้อีกหลายคน อัยย์ศยายิ้มรับทุกคำชมที่ทิวเมธพูดออกมาแล้วอดคิดไม่ได้ว่า ทิวเมธช่างเป็นผู้ชายที่มีความผสมผสานระหว่างเชื้อไทยกับจีนได้อย่างลงตัว ดวงตาของเขาถึงจะเรียวรี แต่ก็คมกริบเลยทีเดียว
“ผมลืมไป คุณไหมยังไม่ได้ทานอะไรเลย” เขาพูดแล้วหลุบตามองเท้าของเธอ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ถ้าคุณขี้เกียจเดิน นั่งรอที่นี่ไหมครับ ผมออกไปตักของกินมาให้”
“อย่าเลยค่ะ ไหมหายมานานแล้ว เผื่อเจ้านายจะเรียกใช้ เราออกไปข้างนอกกันเถอะค่ะ”
เมื่ออัยย์ศยากลับมาที่โต๊ะ ขุนพลไม่ได้นั่งอยู่ที่นั่น แต่ออกไปโอบเอวเต้นรำอยู่กับเปรมพลอย บรรดาลูกหลานของเจ้าสัวดิเรกที่สนิทสนมกับขุนพลชักชวนให้เธอนั่งรอเจ้านายตรงนั้น โดยมีทิวเมธอาสาเอาอกเอาใจ ดูแลเรื่องเครื่องดื่มและอาหารให้อัยย์ศยาจนถูกหลายคนแซ็ว ก่อนที่ปาลิตาผู้ช่วยของเจ้าสัวดิเรกที่รู้จักมักคุ้นกับอัยย์ศยาจะเข้ามาคุยด้วย
ทิวเมธนั่งดื่มบรั่นดีอยู่กับพี่น้องของเขาได้ครู่ใหญ่ขุนพลก็ยังไม่กลับมา ลูกชายคนเล็กของบ้านจึงหันมาชวนเลขาฯ ที่ถูกเจ้านายลืมออกไปเต้นรำบ้าง แต่อัยย์ศยารีบปฏิเสธทันที
ระหว่างที่ทิวเมธพยายามคะยั้นคะยอเธอนั้น อัยย์ศยาบังเอิญหันไปเห็นใครบางคนที่เดินควงแขนชายผู้มีใบหน้าละม้ายเจ้าของบ้าน เธอจำได้ว่านั่นคือสรรทิษ หลานชายของเจ้าสัวดิเรก ส่วนผู้หญิงที่ควงแขนกันอยู่นั้นคือ แพรนันท์ บุตรสาวของปรนัย ที่เคยตามปานธีราผู้เป็นแม่มาจิกหัวตบตีจนเธอต้องยอมกราบกรานฝ่ายนั้นเพื่อยุติเรื่องทั้งหมด
อัยย์ศยาคิดจะลุกเดินหนีแต่ไม่ทัน แพรนันท์ละสายตาจากการไหว้ลูกพี่ลูกน้องของสรรทิษมาเห็นเธอพอดี ก่อนจะยิ้มให้ปาลิตา เธอนึกโล่งใจที่แพรนันท์ถูกสรรทิษควงไปอีกทาง
ในตอนนั้นเปรมพลอยเต้นรำจบเพลงพอดี แพรนันท์กระซิบอะไรบางอย่างกับคนในกลุ่ม ขณะที่อัยย์ศยาร้อนรุ่มใจจนต้องดื่มพันช์ชืดๆ ที่เหลือจนหมด
“ผมไปเอาน้ำให้คุณไหมอีกดีกว่า” ทิวเมธอาสา
“เอ่อ ไหมไปด้วยดีกว่าค่ะคุณทิวเมธ พี่ปาคะ อยากได้ผลไม้เพิ่มไหมคะ”
“อ้อ ดีจ้ะ ขอบใจนะ” รุ่นพี่รู้สึกเอ็นดูน้ำใจของสาวรุ่นน้อง จะเรียกว่าถูกอัธยาศัยกันมานานก็ว่าได้ ปาลิตานิยมชมชอบอัยย์ศยาเป็นการส่วนตัวมานานแล้ว ยิ่งได้เห็นท่าทางของทิวเมธ ก็ยิ่งรู้สึกว่าอัยย์ศยาน่าเอ็นดูขึ้นอีกร้อยเท่า
ทิวเมธชักชวนให้หญิงสาวที่เขาพอใจแต่แรกเห็นตักอาหารที่วางเรียงราย ในจังหวะหนึ่งเขารู้สึกขัดใจกับสรรพนามห่างเหินของเธอจึงออกปากปราม
“ไม่ต้องเรียกผมเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ครับ คุณไหม”
อัยย์ศยาแก้มร้อนผ่าวกับน้ำเสียงท้ายประโยคของชายหนุ่ม ซึ่งจงใจส่งแววตาให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้คิดจะปิดบังความรู้สึกพิเศษให้เธอรับรู้
“ค่ะ คุณเมธ”
เพียงเท่านั้นทิวเมธก็ยิ้มแป้น แต่หนุ่มสาวยังไม่ทันได้พูดคุยกันต่อ เปรมพลอยกับแพรนันท์ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงบาร์อาหาร
“เสียแรงนะคะพี่เมธ เมื่อกี้พลอยอุตส่าห์แอบเชียร์ ว่าเลขาฯ คุณอิฐเธอเก่ง” เปรมพลอยกระแทกเสียงในท้ายประโยค ยิ้มเยาะใส่อัยย์ศยาที่นิ่งเฉย “ความสามารถรอบตัว แต่แหม...เพิ่งรู้จากน้องนีนว่า...” เปรมพลอยทำท่าไม่อยากจะพูด
“คุณเมธคะ ไหมขอตัวไปพบเจ้านายก่อนนะคะ” อัยย์ศยาไม่อยากมีเรื่องกับใคร เธอเหลียวมองหาขุนพลแต่ก็ไม่เห็น
แพรนันท์ปราดเข้ามายืนขวางเธอ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลูกสาวของปรนัยสาดค็อกเทลสีสดในมือใส่หน้าเธอทันที
“เฮ้ย! อะไรกันเนี่ย” ทิวเมธยังไม่ทันจับต้นชนปลายถูก ทิ้งจานอาหารปรี่เข้าไปหาอัยย์ศยา ดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ามาซับใบหน้าและเส้นผมให้อย่างร้อนรน “เฮ้ย น้องนีนครับ” เขาร้องออกมาอีกเมื่อแพรนันท์ยังไม่หยุด เธอสาดน้ำสีเดียวกันอีกแก้วใส่หน้าอัยย์ศยาที่กำมือแน่นแต่ไม่ตอบโต้
“ไหมขอยืมก่อนนะคะ แล้วไหมจะเอามาคืนให้” เธอดึงผ้าเช็ดหน้าของทิวเมธมาเช็ดหน้าของตัวเองอย่างเฉยชาทั้งที่หัวใจกำลังเดือดปุด กระบอกตาเต้นตุบ กำลังจะก้าวเดินหนี แต่แพรนันท์ยังไม่ยอมหยุด
“คิดว่านรกคงยังตามล่าตัวแกไม่เจอน่ะสินะ ผู้หญิงแพศยาอย่างแกถึงยังมีหน้ามาชูคออยู่ในงานเลี้ยงของคุณตา” แพรนันท์หมายถึงเจ้าสัวดิเรก ผู้เป็นตาของสรรทิษ “ไม่กลัวพวกผู้ชายในงานนี้จะจำหน้าแกได้หรือไง อ๋อ...หรือว่าลบโพรไฟล์ออกจากบัญชีไซด์ไลน์ไปหมดแล้วเพื่อหันมาจับผู้ชายรวยๆ แทน น่ารังเกียจ”
อัยย์ศยายืนนิ่ง น้ำตาคลอที่ถูกเหยียดหยาม ได้ยินเปรมพลอยทำเสียงตกใจซึ่งเสแสร้งสิ้นดี
“ตายแล้ว!”
“มิน่า” แพรนันท์แบะปาก เดินอ้อมมาประจันหน้ากับอัยย์ศยาที่โกรธจนตัวสั่น “ทั้งเสื้อผ้า อุ๊ย! เครื่องเพชร นาฬิกานั่น เรือนละเป็นแสนเลยนะ ถ้าให้ฉันเดา งานเลขาฯ น่ะใช้บังหน้าใช่ไหม จริงๆ แล้ว แกคงจะรับใช้ บริการคุณอิฐถึงบนเตียงด้วยใช่ไหม ถึงได้มีข้าวของแพงๆ แบบนี้ใช้ น่าสมเพชสิ้นดี”
“คุณพูดพอหรือยังคะ ถ้าพูดพอแล้วก็กรุณาหลบ ดิฉันจะได้ไปให้พ้นจากตรงนี้” อัยย์ศยาพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ลำคอแห้งผาก ขณะที่แพรนันท์ยิ้มเหยียด
“อัปเกรดตัวเองจากเด็กไซด์ไลน์ราคาไม่กี่พันมาเป็นของเล่นไฮโซ ให้ฉันเดานะ หลังจากจบงานคืนนี้ แกคงจะได้ลูกค้าประจำหลายคนแน่ๆ”
“อย่างน้อยก็พี่เมธคนหนึ่งละที่น้าเห็น” เปรมพลอยกลายเป็นลูกคู่ของว่าที่หลานสะใภ้ในทันทีทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยชอบหน้ากัน เธอใช้ส้อมจิ้มสับปะรดเข้าปากเคี้ยวช้าๆ ยิ้มเยาะหยัน มองคนที่เธอไม่ชอบหน้าทั้งสองคนมีเรื่องกันอย่างสบายอารมณ์ “จริงไหมคะพี่เมธ ได้เบอร์คุณไหมหรือยังคะ”
อัยย์ศยาไม่อยากทนฟัง เธอเบี่ยงตัวจะเดินหลบไปให้พ้นๆ แต่แพรนันท์กลับขยุ้มผมเธอจากด้านหลัง หญิงสาวเผลอส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บและตกใจ
“ฉันเกลียดแก” แพรนันท์เค้นเสียงพูดแล้วฉวยจังหวะที่อัยย์ศยากำลังตกใจเหวี่ยงร่างของสาวรุ่นพี่ที่รูปร่างสูสีกับเธอไปอีกทาง ผลคืออัยย์ศยาร่วงลงไปกองกับพื้น ข้อเท้าพลิกจนเจ็บจี๊ด
บรรดาญาติของเจ้าสัวดิเรกที่อยู่ใกล้ๆ ต่างตกใจลุกยืนและพากันเข้ามามุงดูเหตุการณ์ แพรนันท์ไม่สนใจว่าใครจะมองเธออย่างไร พอเห็นดวงตาเย่อหยิ่งที่อัยย์ศยามองมา หญิงสาวก็คิดถึงแต่ความเจ็บปวดของแม่ที่ถูกทรยศนอกใจ ถึงปรนัยจะไม่ใช่บิดาแท้ๆ ของเธอ แต่เขาก็อยู่ในครอบครัวเดียวกับแพรนันท์มานาน ที่สำคัญ ปานธีราผู้เป็นแม่รักผู้ชายคนนี้ ทุ่มเททุกสิ่งในชีวิตเพื่อเขาได้ หญิงสาวขยุ้มผมอัยย์ศยาแล้วจับกระแทกกับพื้นท่ามกลางเสียงหวีดร้อง
“หยุดครับ น้องนีน น้าบอกให้หยุด” ทิวเมธเข้ามารั้งแพรนันท์
แต่แทนที่หลานสะใภ้จะหยุด แพรนันท์กลับหยิบจานอาหารที่ตกแตกขึ้นมา เปรมพลอยทำเป็นหวังดีเข้ารั้งตัวทิวเมธไว้
“ปล่อยพี่นะพลอย”
“อย่าไปยุ่งเรื่องของเด็กๆ เลยค่ะ” เปรมพลอยพูดขณะลุ้นให้แพรนันท์ฟาดจานกระเบื้องใส่ใบหน้าสวยแสนเย่อหยิ่งของอัยย์ศยาให้เสียโฉมไปเลย เธอเองมีแต่ได้กับได้ เธอหมั่นไส้ตั้งแต่อีกฝ่ายไม่ไหว้เธอ แถมขุนพลยังกินอาหารของอัยย์ศยาแทนที่จะเป็นของเธอ
“แกรู้ไหมว่าแม่ฉันเจ็บปวดแค่ไหน แม่ฉันต้องทรมานแค่ไหน เพราะโลกนี้มีผู้หญิงชั่วๆ อย่างแก”
“ฉันกับแม่คุณคุยกันรู้เรื่องแล้ว ฉันทำตามที่คุณปานธีราต้องการไปแล้ว” อัยย์ศยาเสียงสั่น กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลยากขึ้นทุกที ใจหนึ่งอยากจะสู้แพรนันท์ แต่พอนึกถึงกันย์ณิตา น้องสาวคนเดียว อัยย์ศยาจึงทำเพียงดิ้นรนให้หลุดพ้น
“จบแล้วเหรอ แกจบคนเดียวน่ะสิ แกเลิกกับพ่อฉัน แกก็ไปทำร้ายครอบครัวคนอื่น ไม่นานแกก็ลืม แต่แม่ฉันจดจำความเจ็บปวดไปตลอดชีวิต” แพรนันท์บอกอย่างเคียดแค้น “ฉันจะทำให้แกจดจำไปชั่วชีวิตเช่นกัน แกจะมายืนชูคออยู่ในสังคมแบบนี้ไม่ได้อีก อย่างน้อยทุกคนในงานนี้ก็ต้องรู้ว่าแกเป็นอีตัว!”
“นีน นีน หยุดนีน” สรรทิษวิ่งหน้าเริดเข้ามา เขาปล่อยให้แฟนสาวคุยกับน้าสาวแล้วเข้าไปหาเจ้าสัวดิเรกในบ้านไม่นานก็เกิดเรื่องจนได้ จานแตกในมือแพรนันท์ทำให้ชายหนุ่มลังเลเพราะรู้นิสัยแพรนันท์ดี บทจะดีก็ดีใจหาย แต่บทร้ายเธอแทบจะทำได้ทุกสิ่งเพื่อสนองอารมณ์ ขนาดเขาเองยังเบื่อหน่ายจนไม่อยากจะพาไปไหนด้วย
ขณะที่สรรทิษกับทิวเมธเก้ๆ กังๆ ใครคนหนึ่งก็พุ่งผ่านหน้าพวกเขาไป ขุนพลยื้อข้อมือแพรนันท์แล้วดึงจานขว้างทิ้งไปอีกทาง
“พอเถอะครับคุณแพรนันท์ ผมขอร้อง” ขุนพลขอร้องหญิงสาวเสียงสุภาพแต่เข้มขึง สภาพเลขาฯ สาวที่เห็นทำให้เขานึกโมโหที่คนบ้านนี้รุมทำร้ายอัยย์ศยา เสียงตะโกนปาวๆ ของแพรนันท์เมื่อสักครู่ยิ่งทำให้ทุกคนรอบกายมองเลขาฯ เขาเหมือนขยะเน่าที่ผิดแผกอยู่ในงาน ขุนพลทั้งอับอายและสงสารอัยย์ศยา สุดท้ายเขาก็ตวัดสายตาคมปลาบมาคาดโทษเลขาฯ ตัวเอง ว่าเธอเป็นคนทำให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้
สรรทิษเข้ามาโอบประคองและปลอบใจแพรนันท์เพื่อตัดปัญหา ทั้งที่เขาเองเบื่อหน่ายเป็นที่สุด ญาติผู้ใหญ่ของเขาหลายคนก็ทำเช่นนั้น
แพรนันท์ร้องไห้สะอึกสะอื้นขอโทษวรรณวิภา แม่ของสรรทิษ ทุกสายตามองเหยียดอัยย์ศยา แม้แต่คนที่เมื่อครู่ยังตามพะเน้าพะนอเลขาฯ ของเขาก็ยังยืนใบ้กิน
ขุนพลมองสภาพกระเซอะกระเซิงของอัยย์ศยาแล้วเหมือนใจจะขาดรอนๆ อยากโผเข้าไปคว้าร่างบอบบางมาโอบกอดปลอบโยน แต่สิ่งที่เขาทำกลับตรงกันข้าม ชายหนุ่มกัดฟันจนปากสั่นแล้วลุกห่างออกไป ปล่อยให้เธอประคองตัวเองลุกขึ้น
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคุณไหมจะเคยทำอะไรอย่างที่น้องนีนกล่าวหา คุณอิฐจ้างคนที่มีประวัติเสื่อมเสียแบบนี้มาเดินตาม ออกงานพบปะผู้ใหญ่แบบนี้ รังแต่จะขายหน้านะคะ ใครจะไปรู้ ที่ผ่านมาเคยมีอาเสี่ยทั้งหลายนินทาเลขาฯ คุณอิฐมาเท่าไรแล้ว”
คำพูดของเปรมพลอยเหมือนการสาดน้ำมันใส่เพลิงอารมณ์ของขุนพล เขาตวัดตามองเลขาฯ สาวที่เคยสวยผุดผ่องอยู่ในชุดสวยแล้วต้องข่มใจ ใจของเขากำลังเดือดพล่าน ถ้าอัยย์ศยาลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองแล้วตะโกนใส่หน้าคนพวกนี้สักคำว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้หญิงไร้สติคนนั้นกล่าวหา เขาจะไม่ทนมองอยู่แบบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ขุนพลเดือดพล่านจนกำมือแน่น ก็เพราะคนที่ยืนเหมือนเป็นใบ้อยู่เมื่อครู่กลับถอนใจยาว แล้วเข้าไปประคองหญิงสาวที่ควรจะเอ่ยปากขอให้เขาช่วยแต่ก็ไม่ทำ
“มาคุณ ผมช่วยเอง” แทนที่ทิวเมธ ซึ่งรู้อดีตอันฟอนเฟะของอัยย์ศยาแล้วจะเดินหนี แต่เขากลับประคับประคองเธอแทน
“ผมจะไปรอที่รถ ถ้าชักช้าคุณก็หาทางกลับเองแล้วกัน” ขุนพลเดินเร็วราวกับพายุไปที่รถ โดยมีทิวเมธประคองอัยย์ศยาตามหลังมา สิ่งที่อัยย์ศยาควรทำคือเอ่ยปากขอร้องเขาไม่ใช่หรือ
ความคิดเห็น |
---|