1
บทที่ 1
๑
บริเวณโถงทางเดินในอาคารสำนักงานของโรงแรมที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา นักศึกษาสาวเจ้าของใบหน้ารูปไข่สวยหวานและมีแก้มป่องน่าหยิกเป็นเอกลักษณ์ เดินออกมาจากห้องห้องหนึ่ง หลังจากที่เจ้าตัวเข้าไปเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เพื่อสอบสัมภาษณ์และสอบข้อเขียน
หล่อนตรงไปยังบันไดเพื่อลงสู่ล็อบบีชั้นล่าง ใบหน้าสวยเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เพราะผลสอบสัมภาษณ์และข้อเขียนด้านภาษาออกมาแล้วว่าหล่อนผ่านฉลุย ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดหล่อนก็จะได้ฝึกงานที่นี่ในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้
แสนรัก สิริภัทร์ เป็นหลานสาวของ สินธร สิริภัทร์ รุ่นน้องของ มงคล พศิตราภักดิ์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ ทั้งที่สินธรผู้เป็นปู่เองก็เป็นเจ้าของโรงแรมเหมือนกัน แต่เป็นโรงแรมระดับสามดาว ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนที่นี่s
ผู้เป็นปู่จึงแนะนำให้หล่อนมาฝึกงานที่นี่ แทนที่จะให้ฝึกงานที่โรงแรมของตัวเอง เพราะไม่อยากให้หล่อนมีปัญหาวุ่นวายใจกับแม่เลี้ยง เนื่องจากหล่อนไม่ใช่หลานสายตรงที่มีสิทธิ์ใดๆ ในบ้านสิริภัทร์ แต่เป็นแค่ลูกที่เกิดจากเมียน้อยของพ่อ
หลายสิบปีก่อน นภดลผู้เป็นพ่อมีภรรยาและลูกสองคนอยู่แล้วก่อนที่จะมาเจอมณีพร แล้วคบหากันฉันชู้สาวและสานสัมพันธ์ลึกซึ้ง จนกระทั่งมีแสนรักออกมา
นภดลไม่ได้พาแสนรักเข้ามาอยู่ในบ้านสิริภัทร์ตั้งแต่แรก แต่เพิ่งพาเข้ามา หลังจากที่มณีพรล้มป่วยและจากไปอย่างกะทันหัน ตอนนั้นแสนรักอายุได้แปดขวบ หล่อนเพิ่งมารู้ตอนโตว่า พ่อไม่ได้รักพิมพ์นรีผู้เป็นแม่เลี้ยงเลยแม้แต่น้อย แต่ที่ยอมแต่งงานด้วย เพียงเพราะความเหมาะสมและตามใจคุณย่าที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านในขณะนั้น
หลังจากแสนรักได้เข้ามาอยู่ในบ้านสิริภัทร์แล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป นอกจากแค่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่อ นอกนั้นแล้วหล่อนไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงอะไรในบ้าน เหมือนคนมาขออาศัยอยู่มากกว่า แม่เลี้ยงกับพี่สาวไม่ชอบหล่อนอย่างออกนอกหน้า ส่วนพี่ชายก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่เขาไม่มายุ่งและไม่สนใจหล่อน มีแต่ภวิตาผู้เป็นพี่สาวเท่านั้นที่ชอบกลั่นแกล้งหล่อนบ่อยๆ แต่แสนรักก็ไม่เคยปริปากบอกให้นภดลรู้
จนกระทั่งวันหนึ่ง นภดลเสียชีวิตจากการตกบันไดและเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้ชีวิตของหล่อนถึงจุดพลิกผันรอบที่สอง จากที่เสียแม่ไปก็ต้องมาเสียพ่อไปอีก โชคดีที่สินธรผู้เป็นปู่ให้ความเมตตา ยอมให้อยู่ในบ้านสิริภัทร์ต่อไปได้ หล่อนจึงเริ่มติดคุณปู่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สท่านเองก็รักใคร่เอ็นดูหล่อนมากเช่นกัน
ทว่า การที่ผู้เป็นปู่เอ็นดูแสนรักทำให้พิมพ์นรีเข้าใจผิดว่า ท่านคิดจะยกทรัพย์สมบัติรวมทั้งโรงแรมและรีสอร์ตให้แก่แสนรักแทนลูกของหล่อน จนท่านต้องประกาศต่อหน้าทุกคนอย่างชัดเจนว่าแสนรักไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในโรงแรมและรีสอร์ต
แต่แม้สินธรจะประกาศออกไปอย่างนั้น แต่พอลับหลังแม่เลี้ยงและทุกคนแล้ว ผู้เป็นปู่กบอกหล่อนว่า ที่ท่านไม่ยกโรงแรม รีสอร์ต หรือแม้แต่หุ้นของโรงแรมให้แสนรักเลยแม้แต่ส่วนเดียว ไม่ใช่ว่าท่านไม่รัก แต่เพราะรักจึงไม่อยากให้หล่อนต้องมาวุ่นวายกับการแก่งแย่งชิงผลประโยชน์ รวมทั้งรู้ดีว่าจะทำให้หลายๆ ฝ่ายเกิดความไม่พอใจ จึงกันแสนรักออกมาจากวงจรนี้และได้ทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สมบัติไว้ให้แสนรักต่างหากแล้ว เผื่อว่าถ้าท่านเกิดเจ็บป่วยและจากไป แสนรักจะได้ไม่ลำบาก
หล่อนเข้าใจและขอบคุณสินธร แล้วจึงมุ่งมั่นตั้งใจเรียนโดยเลือกเรียนด้านภาษาตามที่สินธรแนะนำ เพราะสินธรมองว่าถึงจะไม่อยากให้หล่อนก้าวเข้ามายุ่งเรื่องการบริหารธุรกิจของครอบครัว แต่ถ้าหล่อนเลือกทำงานในสายงานนี้ ตัวท่านที่ยังพอมีคนรู้จัก และพอที่จะช่วยฝากเข้าทำงานในองค์กรดีๆ ได้
แสนรักเดินลงบันไดและกำลังจะเดินตรงไปยังประตูทางเข้าด้านหน้าอาคาร แต่ยังเดินไปได้ไม่ถึงไหน ก็ถูกผู้หญิงที่เพิ่งออกจากลิฟต์ร้องเรียกไว้
“แสนรัก”
เจ้าของชื่อชะงักฝีเท้าพลางหันตามเสียงเรียก ก็เห็นนุชภาผู้ช่วยของหัวหน้าฝ่ายฝึกอบรมพนักงานที่หล่อนเจอตอนส่งข้อสอบวัดความรู้
“ลืมเอกสารจ้ะ” นุชภายื่นเอกสารให้ ปากก็บอกไปด้วย “นี่พี่ว่าถ้าลงมาไม่ทัน จะวอบอกเจ้าหน้าที่ รปภ. ให้เรียกแสนรักไว้ เพราะคิดว่าน่าจะยังไม่ทันออกไปพ้นประตูโรงแรม”
“ขอบคุณค่ะพี่แวว ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้พี่แววต้องเอามาให้” หล่อนกล่าวขอบคุณพลางรับแฟ้มเอกสารพลาสติกมาถือ รู้สึกผิดที่ต้องเป็นภาระให้คนอื่น แต่นุชภาไม่ถือสากับเรื่องแค่นี้
“ไม่เป็นไร แล้วนี่กลับบ้านเลยหรือเปล่า หรือไปแวะที่ไหนต่อ แล้วกลับยังไง”
“เดี๋ยวแสนรักไปขึ้นมอเตอร์ไซค์วินแล้วไปต่อรถไฟฟ้าอีกทีค่ะ”
“งั้นกลับดีๆ นะ”
“ค่ะพี่แวว”
แสนรักรับคำแล้วยกมือขึ้นไหว้ แต่หูหล่อนแว่วเสียงพนักงานที่อยู่ห่างออกไปใกล้กับลิฟต์อีกตัวเอ่ยชื่อเหมือนรับคำคนคนหนึ่ง ทำให้ต้องหันไปมอง พบผู้ชายร่างสูงดูสะโอดสะอง แต่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งและแผ่ความรู้สึกน่าเกรงขามออกมา ไหล่ภายใต้เสื้อสูทเรียบหรูสีเทาเข้มของเขากว้าง ให้ความรู้สึกของการปกป้อง เสี้ยวหน้าด้านข้างคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้า ชวนให้อยากรู้เหลือเกินว่าถ้าหันมาจะหล่อเหลาสักแค่ไหน
หญิงสาวมองแล้วก็คิดว่าเขาต้องเป็นคุณศรุตคนเดียวกับที่หล่อนเคยได้ยินแต่ชื่อจากคำบอกเล่าและคำชื่นชมของคุณปู่มาตั้งแต่เด็กแน่ๆ เพราะพนักงานที่อยู่ใกล้เขา มีท่าทีนอบน้อมมาก
แต่เขาเหมือนจะรู้ว่าถูกมอง เพราะจู่ๆ เขาก็หันมา แรกสบตากันเขาทำให้หล่อนสะดุ้งเพราะดวงตาคมกล้าที่เหมือนกับจะมองทะลุผ่านร่างหล่อนได้ พานทำให้แข้งขาของหล่อนเหมือนจะอ่อนยวบเสียให้ได้
‘โอ้ว หล่อลาก หล่อระทวย หล่ออะไรเบอร์นี้ มาดผู้บริหารขนาดนี้ มิน่าพี่ภูถึงเทียบไม่ติด’
แสนรักคิดในใจพร้อมกับพยายามทำหน้านิ่ง ทั้งที่อยากกรี๊ดเต็มแก่ แต่อีกใจก็อดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบกับพี่ชายต่างแม่ของตนเอง ที่มักจะโดนคุณปู่เอาศรุตมาเปรียบเทียบให้ฟังอยู่บ่อยๆ
‘พี่ภูชิดซ้ายเลย’
หญิงสาวคิดแล้วจึงเป็นฝ่ายหลบตาก่อน พอดีกับที่เขาหันไปพูดกับคนที่เดิมตามมา แล้วเดินไปอีกทางหนึ่ง หล่อนจึงได้แต่มองตามไปและยิ้มในใจ ว่าถ้าเพื่อนๆ มาเห็นคงกรี๊ดแตกแน่
เมื่อศรุตเดินจากไปแล้ว นุชภาที่เห็นหล่อนยังตะลึงกับความหล่อของเจ้านายก็เอ่ยแซวกึ่งบอก
“นั่นคุณศรุต กรรมการผู้จัดการของที่นี่ หล่อใช่ไหมล่ะ นั่นน่ะเจ้าชายน้ำแข็งของโรงแรมเลยจ้ะ”
นุชภาอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเจ้านาย ที่ถูกพนักงานทั้งหลายแอบเรียกลับหลังว่าเจ้าชายน้ำแข็ง เป็นเพราะความหล่อเหลา บวกกับมาดนิ่งๆ และดวงตาที่ดูดุทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร แต่กลับทำให้คนเกรงกลัวได้ ถึงขนาดมีสามหัวโจกที่ทำงานด้วยกันมานาน แอบเป็นเอฟซีเจ้านายด้วย
หล่อนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้พูดเรื่องของศรุตต่อ นอกจากยกมือไหว้ผู้ช่วยฝ่ายอบรมอีกครั้ง แล้วจึงขอตัวกลับบ้าน นุชภาจึงกลับไปทำงานตามเดิม
แสนรักเดินออกมาจากอาคารแล้วเดินไปตามทางเท้าที่อยู่ด้านข้างของถนนส่วนบุคคลของโรงแรมซึ่งเป็นทางให้รถวิ่งเข้าออก หล่อนเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งออกมาถึงหน้าทางเข้า ตรงที่มีป้อมของพนักงานรักษาความปลอดภัย ก็หยุดทักทายลุงยาม เพราะตอนขามาได้รับความอนุเคราะห์จากลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยช่วยบอกทางให้ว่าสำนักงานของโรงแรมนี้ต้องไปที่ไหน
เนื่องจากโรงแรมแห่งนี้มีสองอาคาร อาคารที่ใหญ่และสูงกว่าคือส่วนของลูกค้าและการให้บริการ ส่วนอาคารสูงห้าชั้นที่อยู่ติดกัน คืออาคารสำนักงานของโรงแรม ถ้าไม่รู้อาจจะเดินไปผิดอาคารได้
“เรียบร้อยไหมหนู”
“เรียบร้อยค่ะ ขอบคุณนะคะคุณลุง”
แสนรักบอกพร้อมกับส่งยิ้มกว้างแล้วเดินเลี้ยวออกจากเขตของโรงแรม หล่อนเดินไปจนกระทั่งเกือบถึงป้ายจอดรถประจำทาง แต่จู่ๆ กลับมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งสวนมา แล้วกระชากกระเป๋าสะพายของหล่อนอย่างแรง
“โอ๊ย!”
หญิงสาวร้องพร้อมกับที่ร่างถลาไปตามแรงกระชาก แฟ้มเอกสารพลาสติกที่กอดอยู่พลันหล่นลงไปกองกับพื้น ส่วนคนที่กระชากกระเป๋าของหล่อนก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระเป๋าในมือ
หล่อนมองตาม พอรู้ตัวว่าเพิ่งถูกวิ่งราวไปหมาดๆ เลือดความบ้าและตัวตนอีกด้านหนึ่งก็เปิดเผยออกมา เพราะความจริงแล้วหล่อนไม่ใช่สาวน้อยเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ซึ่งจะทำตัวเรียบร้อยเฉพาะกับผู้ใหญ่และคนที่เคารพเท่านั้น แต่กับคนที่ทำตัวไม่น่าเคารพและไม่น่าให้อภัย มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย!
“เฮ้ย! หยุดนะ ไอ้ขโมย เอากระเป๋าฉันคืนมานะ!”
แสนรักร้องตะโกน รีบเก็บแฟ้มขึ้นมาแล้ววิ่งตามมันไป โชคดีที่หล่อนใส่รองเท้าผ้าใบ ไม่ใช่รองเท้ามีส้น ส่วนกระโปรงนักศึกษาก็เป็นกระโปรงพลีตสั้นคลุมเข่าทำให้วิ่งสะดวก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโชคร้ายอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือบนทางเท้าเบื้องหน้าไม่มีผู้คนเดินผ่านมาพอให้ช่วยหยุดคนร้ายได้เลย
หญิงสาววิ่งตามคนร้ายไปจนกระทั่งเกือบตามมันทัน แต่จู่ๆ มันกลับวิ่งลงไปบนถนนใหญ่ ตัดหน้ารถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวที่กำลังวิ่งมา ทำเอารถยนต์คันสวยถึงกับเบรกตัวโก่งลั่นถนน ส่วนรถยนต์คันอื่นๆ ที่ขับตามหลังมาก็ต้องเบรกตามกันเป็นทิวแถว ผู้คนทั้งสองฝั่งถนนก็พลอยหันมองไปด้วย
เอี๊ยด!
กันชนด้านหน้าของรถปะทะกับสะโพกของคนร้ายจนมันกระเด็นล้มลงแล้วกลิ้งไปสองตลบ แสนรักชะงักมองรถยนต์ทีและมองคนร้ายทีด้วยความตกตะลึง แต่หล่อนเห็นชัดเจนว่าคนร้ายไม่ได้โดนชนแบบจังๆ เรียกว่าแรงกระแทกที่เกิดขึ้นเกิดจากที่ตัวมันวิ่งไปชนรถเองมากกว่า ทำให้ความมีมนุษยธรรมของหล่อนไม่ทำงาน อีกทั้งความโกรธที่โดนวิ่งราวกระเป๋ามันมีมากกว่าด้วย!
เจ้าตัวจึงรีบวิ่งเข้าไปหมายคว้ากระเป๋าของตนเอง ซึ่งคนร้ายทำหลุดมือและตกอยู่บนพื้น แต่คนร้ายกลับลุกขึ้นตอนที่หล่อนเกือบคว้ากระเป๋าไว้ได้ พร้อมกันนั้นมันก็หันมาชี้หน้าข่มขู่
“อย่าเข้ามานะมึง ไม่งั้นกูกระทืบมึงแน่!”
หญิงสาวชะงักด้วยความเจ็บใจ เกือบจะได้กระเป๋าคืนอยู่แล้วเชียว จังหวะนั้นเองเจ้าของรถยนต์คันสวยที่ถูกคนร้ายวิ่งตัดหน้าก็ก้าวลงมาจากรถ หล่อนเหลือบไปมองแล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นว่าเขาเป็นใคร
“คุณศรุต…” หล่อนครางอย่างไม่อยากเชื่อว่า ผู้ชายหล่อวัวตายควายล้มคนนั้นจะมาอยู่ตรงนี้
ฝ่ายศรุตที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถก็ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าทันที ยิ่งเห็นคนที่วิ่งตัดหน้ารถหันไปพูดกับนักศึกษาสาวด้วยท่าทางคุกคามข่มขู่ แถมในมือมีกระเป๋าผู้หญิงอยู่ด้วย แค่นั้นก็พอจะเดาได้แล้วว่าวิ่งราวมาอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ที่เสนใจที่สุดตอนนี้คือ มันวิ่งตัดหน้ารถของเขาและทำให้เขาเกือบเกิดอุบัติเหตุที่ไม่ควรเกิด!
“วิ่งตัดหน้ารถคนอื่นแบบนี้ ไม่คิดจะขอโทษหน่อยเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง!”
คนร้ายหันมาตวาดใส่ หมุนกายหันหลังเตรียมวิ่งตัดหน้ารถฝั่งที่วิ่งสวนมาเพื่อหนี แต่เพราะมันหันหลังให้นั่นแหละจึงกลายเป็นข้อผิดพลาด ศรุตคว้าอะไรบางอย่างจากบริเวณคอนโซนหน้ารถ ที่เขาเปิดหน้าต่างด้านข้างเอาไว้พอดี แล้วใช้สิ่งที่หยิบมานั่นแหละเขวี้ยงใส่คนร้าย
พลั่ก!
ร่างของคนร้ายเซถลาด้วยความเจ็บ เพราะสิ่งที่เขาขว้างไปคือเพาเวอร์แบงก์ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของคนร้ายกันแน่ ที่มุมของพาวเวอร์แบงก์พุ่งเข้าใส่ศีรษะของมันเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย...!”
คนร้ายร้องขณะที่เสียหลักหน้าทิ่มไปข้างหน้าและเสียจังหวะ แสนรักใช้จังหวะนั้นเข้าไปคว้ากระเป๋าถือของตนเองมาจากมันอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะอยากได้ของคืนมากกว่าสิ่งอื่นใด
ศรุตเห็นดังนั้นก็รีบถลาเข้าไปช่วย เพราะกลัวคนร้ายจะหันกลับมาเล่นงานหล่อน แล้วก็เป็นอย่างที่คิด คนร้ายหันกลับมา แม้จะยังมึนหัว แต่ความโกรธและความฉุนเฉียวมีมากกว่า มันกำหมัดแน่นก่อนจะเอี้ยวตัวมา แล้วพุ่งหมัดใส่แสนรัก
แต่ศรุตเข้าถึงตัวของหล่อนได้ทันเวลา เขาใช้ท่อนแขนปัดหมัดที่ชกเข้าใส่ พร้อมกับชกสวนกลับไป เล่นเอาคนร้ายหน้าหงาย ส่วนแสนรักก็ได้แต่อ้าปากค้าง เพราะนอกจากเขาจะชกไปหนึ่งหมัดแล้ว ยังพุ่งเข้าใส่คนร้ายแล้วใช้จังหวะที่คนร้ายคิดสวนกลับ บิดแขนคนร้ายไขว้กัน แล้วใช้ทักษะการต่อสู้ผสมกับแรงเหวี่ยงส่งมันลงไปนอนกองกับพื้นได้อย่างง่ายดาย
‘โอ้ เห็นหล่อเนี้ยบมาดคุณชาย ไว้ใจไม่ได้ค่ะ’
แสนรักครางในใจแล้วขอลบภาพความเป็นคุณชายมาดนิ่ง ที่ดูสะโอดสะองจนไม่คิดว่าจะมีทักษะการต่อสู้ เอากลับไปกองไว้ในมุมในสุดของหลืบที่เล็กที่สุดในใจได้เลย
อึดใจถัดมา ตำรวจที่ได้รับแจ้งเหตุจากมอเตอร์ไซค์วินที่ขับผ่านมาเจอเหตุการณ์ก็มาถึง จึงรีบเข้ามาจับคนร้ายใส่กุญแจมือ เพื่อไม่ให้คิดหลบหนี พอจัดการเรียบร้อยก็ตั้งใจจะหันมาถามเรื่องราวกับศรุต แต่เขากลับหันไปหานักศึกษาสาวที่อยู่ใกล้ๆ เสียก่อน แล้วดุใส่ชนิดไม่สนใจว่าตำรวจจะอยากพูดอะไรกับเขา เพราะเขาก็โกรธหล่อนด้วยที่ทำอะไรไม่ยั้งคิด!
“ไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์อะไรเลยใช่ไหม ถึงได้วิ่งเข้าไปหาคนร้ายแบบนั้น รู้ไหมว่ามันอันตรายและเสี่ยงมากแค่ไหน ต้องคิดให้มากกว่านี้ก่อนจะทำอะไรลงไป ไม่อย่างนั้นคนอื่นเขาจะเดือดร้อน”
แม้น้ำเสียงจะราบเรียบติดขรึม ไม่มีอาการตะคอกเสียงดังหรือใช้คำพูดเสียดแทงใดๆ แต่แค่นั้นก็ทำเอาคนโดนดุถึงกับจ๋อย เถียงไม่ออกเลยสักคำเดียว
เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นแล้วก็เปลี่ยนใจยังไม่เข้าไปแทรกตอนนี้ เปลี่ยนเป็นวิทยุเรียกขอกำลังสนับสนุน เพื่อจะได้พาตัวคนร้ายขึ้นรถไปยังสถานีตำรวจ
ส่วนศรุตกับแสนรักก็ต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจด้วยเหมือนกัน ทำให้หล่อนตกที่นั่งลำบาก ต้องอาศัยรถของเขาไปยังสถานีตำรวจ ระหว่างทางที่นั่งรถไปด้วยการแสนรักก็โดนซักประวัติไปด้วย เพราะศรุตจำหน้าหล่อนได้จากตอนที่เห็นในล็อบบีของโรงแรม
“เธอเป็นนักศึกษาที่จะมาฝึกงานกับโรงแรมของฉันใช่ไหม”
ศรุตเอ่ยถามแต่ตายังมองถนนหนทางตรงหน้า สีหน้าของเขาเรียบเฉยเช่นเดียวกับน้ำเสียง เหมือนต้องการชวนคุยมากกว่าจะซักถามเพื่อการอื่น
“ใช่ค่ะ”
“แล้วชื่ออะไร” เขาถามต่อ
“ชื่อแสนรักค่ะ”
แสนรักบอกชื่อจริงแต่ไม่ยอมบอกนามสกุล ไม่อยากให้เขารู้ว่าตนเองเป็นหลานของสินธร เพราะตอนนี้มีชนักเรื่องที่หล่อนวิ่งตามคนร้ายไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่ ถ้าเกิดเขารู้ว่าหล่อนเป็นใคร มีหวังเขาต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณปู่ของหล่อนแน่ๆ
“แล้วชื่อเล่นล่ะ”
“ชื่อเล่นก็แสนรักค่ะ แต่บางครั้งเพื่อนสนิทก็จะเรียกแค่แสนเฉยๆ”
“ชื่อแปลกแต่ก็เพราะดี” เขาว่าแล้วชวนหล่อนคุยต่อเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป “ทำไมถึงวิ่งตามคนร้าย แทนที่จะปล่อยไป หรือว่าพกเงินในกระเป๋าไว้เยอะ”
“ไม่เยอะค่ะ แต่เพิ่งจะได้เงินค่าขนมมา แล้วก็ไม่อยากเสียเวลาไปแจ้งความทำบัตรใหม่”
หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มตามความจริง หล่อนได้ค่าขนมเป็นรายเดือนจากคุณปู่ แล้วท่านก็เพิ่งจะให้มาเมื่อเช้านี้ ขืนกลับบ้านไปแล้วขอเงินค่าขนมคุณปู่ใหม่ คงได้ตอบคำถามกันยาวแน่
ฝ่ายคนถามพอได้ยินคำตอบก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากแอบประเมินหล่อนอย่างเงียบๆ เริ่มจากดูการแต่งตัว ถึงจะเป็นชุดนักศึกษาแต่ก็เป็นชุดที่ค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ได้แต่งตัวเหมือนบางคนที่เขาเคยเห็น ที่ใส่เสื้อตัวเล็กรัดติ้ว แล้วใส่เสื้อในดันทรงให้หน้าอกดูล้นหลามกับกระโปรงสั้นแหวกหน้าผ่าข้าง จนไม่รู้ว่านั่นคือแต่งตัวให้สมกับการเป็นนักศึกษาหรือตั้งใจจะโชว์กันแน่ ส่วนกระเป๋าก็เป็นกระเป๋าสะพายธรรมดา ไม่ได้มียี่ห้อ แฟ้มใสใส่เอกสารก็เป็นแบบปกติทั่วไป ซึ่งถ้านี่เป็นการแต่งตัวตามปกติจริงๆ ไม่ใช่แต่งมาเพื่อสัมภาษณ์เข้าฝึกงาน ก็ถือว่าเป็นนักศึกษาที่ค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ใช่นักศึกษาประเภททำตัวอู้ฟู่ ใช้จ่ายเกินกำลังตัวเอง
“ทำไมถึงเลือกมาฝึกงานที่โรงแรมนี้”
“อันนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์ใช่ไหมคะ”
แสนรักถามกลับ แล้วก็แทบอยากจะตบปากตัวเองนัก ที่ดันเผลอตัวย้อนถามไป ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่า แถมเป็นผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมที่หล่อนกำลังจะไปฝึกงานด้วย
‘โอ๊ย! พลาดแล้วไอ้แสนรัก’
ศรุตนิ่วหน้าเล็กน้อยเกือบจะถามไปอยู่แล้วเชียวว่า หล่อนรู้หรือว่าเขาเป็นใคร แต่พอหวนคิดว่าตอนที่เขาเห็นหล่อนครั้งแรก หล่อนก็ยืนอยู่กับฝ่ายอบรมพนักงาน เป็นไปได้ว่าพนักงานคนนั้นอาจจะบอกหล่อนแล้วว่าเขาเป็นใคร
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยุ่งกับการตัดสินใจคัดเลือกเด็กฝึกงาน”
แสนรักฟังแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วจึงตอบคำถามเขา
“แสนรักเลือกฝึกงานที่โรงแรมเพราะใกล้บ้าน เดินทางสะดวกค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ขณะขับรถต่อไปจนกระทั่งมาถึงแยกไฟแดงก็หยุดรอสัญญาณไฟ แต่เพราะในรถมันเงียบเกินไป เขาจึงเปิดเพลงเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น แต่พอเพลงขึ้นเท่านั้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างคนขับก็แทบจะขำพรืดออกมา เพราะมันเป็นเพลงที่เก่าพอควร ถึงจะไม่เก่าประหนึ่งยุคคุณปู่ยังหนุ่ม แต่อย่างน้อยก็ยี่สิบปีแล้วแน่นอน
‘ฟังเพลงบอกอายุเลย คนหล่อหัวใจแก่’
แสนรักคิด ไม่ได้แปลกใจเรื่องอายุของเขา ในเมื่อหล่อนได้ยินชื่อเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนตอนนี้หล่อนอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องอายุสามสิบปลายๆ สามสิบหกหรือไม่ก็สามสิบเจ็ด แต่ก็ถือว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดูแลตัวเองได้ดี สำหรับคนอายุสามสิบไปแล้ว เพราะถ้าหล่อนไม่รู้มาก่อนอาจจะเดาว่าเขาอายุสักสามสิบต้นๆ แน่นอน
“รู้จักเพลงนี้หรือเปล่า”
“เคยได้ยินตามห้างสรรพสินค้าค่ะ ไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไร แต่ความหมายดี”
“ความหมายดีจริงๆ นั่นแหละ ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำมันเพื่อเธอ...” เขาแปลชื่อเพลงให้ฟัง แล้วก็บอกเพิ่มอีกนิดว่า “แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนที่เรารักได้อย่างสุดหัวใจ สุดท้ายมันก็เป็นแค่เพลง”
แสนรักยิ้มแห้งๆ ไม่ตอบคำถามนี้ เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร พอดีกับที่สัญญาณไฟเขียวสว่างขึ้น ศรุตจึงเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งพารถเคลื่อนออกจากที่ มุ่งหน้าสู่สถานีตำรวจ แล้วไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย ศรุตเลี้ยวเข้าไปและจอดที่ด้านหน้าอาคารใกล้กับเสาธง
สองหนุ่มสาวลงจากรถแล้วขึ้นไปที่สถานีตำรวจ เสียเวลาในการสอบปากคำไปเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะเสร็จ หลังจากสอบปากคำเรียบร้อยทั้งสองคนก็ลงมาจากสถานีตำรวจ
แสนรักเดินนำลงมาก่อนโดยมีศรุตเดินตามมาติดๆ แต่พอลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายหล่อนก็หันมาหาและทำท่าอึกอักเหมือนมีอะไรจะพูดจนเขาต้องเอ่ยปากถาม
“มีอะไร”
“คือ...แสนรักจะขอแยกตรงนี้เลยค่ะ”
“มีธุระต้องไปทำต่อเหรอ”
ศรุตถามพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู มันบอกเวลาประมาณบ่ายสามกว่าๆ เกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว ใกล้ช่วงเวลาเร่งด่วน ทุกคนเลิกงานแล้วและรถติด ถนนกลายเป็นลานจอดรถดีๆ นี่เอง
“เปล่าค่ะ จะกลับบ้าน”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งให้ก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ แสนรักกลับเองได้”
แสนรักปฏิเสธอีกครั้ง ไม่มีทางยอมให้เขาไปส่งที่บ้านแน่ๆ เพราะกลัวว่าเขาจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปบอกคุณปู่ แล้วหล่อนก็คงโดนท่านเทศน์ยาวแน่นอน
“ฉันจะไปส่ง”
คราวนี้น้ำเสียงราบเรียบของเขาไม่ใช่คำบอกเล่า แต่เป็นคำสั่งว่าเขาต้องการจะไปส่งหล่อน แล้วก็ไม่ขอฟังคำปฏิเสธด้วย แต่แสนรักไม่ได้ว่านอนสอนง่ายขนาดนั้น ถึงจะเป็นเด็กดีในสายตาของคุณปู่ แต่หล่อนก็มีมุมดื้อและเป็นยายแสนดื้ออยู่เหมือนกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ แสนรักกลับเองได้ ขอลาตรงนี้เลยนะคะ สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวกล่าวจบก็ยกมือขึ้นไหว้ก่อนจะหมุนกายเตรียมเดินไปจากหน้าบันไดทางขึ้นสถานีตำรวจ แต่ขาของหล่อนก้าวไปได้เพียงแค่ก้าวเดียวก็ต้องชะงัก เมื่อศรุตส่งเสียงมาลอยๆ
“ถ้าก้าวไปอีกก้าวเดียว เธออาจต้องไปทำเรื่องสอบสัมภาษณ์และขอฝึกงานที่โรงแรมใหม่”
หล่อนหันขวับกลับมาพร้อมกับอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเขาจะมาไม้นี้ ซึ่งถ้าตัดเรื่องที่เขารู้จักกับคุณปู่ออกไป เหลือแค่หล่อนที่เป็นว่าที่นักศึกษาฝึกงานในโรงแรมของเขาแล้วละก็ เขาก็ถือเป็นเจ้านายของหล่อนดีๆ นี่เอง แล้วเจ้านายก็มีสิทธิ์กำหนดเส้นทางของลูกน้องด้วยเช่นกัน!
ศรุตมองหล่อนนิ่งโดยไม่พูดอะไร ราวกับกำลังให้เวลาตัดสินใจ แต่เพราะหล่อนเอาแต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นนานเกินไป เขาจึงทำเป็นเดินตรงไปที่รถยนต์ของตนเอง ดูเผินๆ เหมือนจะยอมตามใจ แต่ไม่เลยสักนิด หล่อนรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเสียงระฆังเตือนว่า ห้ามทำตัวมีปัญหากับเขา!