2

บทที่ 2


ศรุตเดินมาถึงรถยนต์แล้วหันมองนักศึกษาสาวที่จำใจเดินตามเขามาด้วยความขบขัน แต่วางสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงให้หล่อนรู้ ทว่าในใจนั้นกำลังคิดว่าอย่างน้อยหล่อนก็ยังฉลาดที่เดาท่าทางเขาได้ถูก ไม่ถามอะไรโง่ๆ ออกมา หรือเลือกที่จะดึงดันกลับเองเหมือนอย่างที่พูดไว้ แม้ว่าเจ้าตัวจะแอบทำหน้าง้ำไม่พอใจอยู่ก็ตาม
ชายหนุ่มกดรีโมตเปิดประตูรถ แล้วขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ส่วนคนที่ถูกบังคับให้มาด้วยกันก็ขึ้นรถมาอย่างเสียไม่ได้ พอปิดประตูรถและคาดเข็มขัดได้ เจ้าตัวก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า แต่ก็ยังมีมารยาทพอที่จะหันมาบอกเขา
“แสนรักขอส่งข้อความบอกพี่สาวก่อนนะคะ ว่าคุณจะไปส่ง”
“ตามสบาย แต่บอกทางไปบ้านของเธอให้ด้วย”
เขาว่าแต่ก็แอบขำอยู่ในใจลึกๆ เมื่อคิดว่าหล่อนอาจจะกลัวถูกหลอกพาไปไหนก็ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบอกว่าซื่อบื้อดีหรือกล้าดีก็ไม่รู้ เพราะถ้ากลัวขนาดนั้น แทนที่จะวิ่งกลับเข้าไปในสถานีตำรวจ แล้วขอความช่วยเหลือ กลับยอมมากับเขาง่ายๆ เพียงแค่โดนขู่ว่า ถ้าหล่อนไม่มาด้วยจะต้องไปเริ่มต้นขอฝึกงานกับโรงแรมแห่งใหม่
‘ช่างเป็นผู้หญิงที่ซื่อจนเกือบจะบื้อ’
ฝ่ายแสนรักที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ก็ลดแสงหน้าจอลงและเอียงหน้าจอโทรศัพท์ให้ตะแคงหาหน้าต่าง เพราะไม่อยากให้เขาแอบอ่านข้อความที่หล่อนกำลังพิมพ์อยู่ เนื่องจากหล่อนไม่ได้พิมพ์ข้อความบอกคุณปู่หรือแม่บ้านแต่อย่างใด แต่หล่อนกำลังพิมพ์ข้อความบอกเพื่อนรักต่างหาก!
แสน แสนรัก : เปรี้ยว แกอยู่ที่บ้านหรือเปล่า
ปลายทางที่สนทนาด้วยเหมือนจะถือโทรศัพท์มือถืออยู่พอดี เพราะมันแสดงข้อความว่า ‘อ่านแล้ว’ ทันที นั่นทำให้แสนรักรู้สึกโล่งใจว่าอย่างน้อยคนที่ติดต่อไปก็เห็นข้อความของหล่อนแล้ว
เปรี้ยวใจไร้รัก : อยู่ จะมาหาเหรอ
แสน แสนรัก : ป๊ากับม้าอยู่หรือเปล่า
เปรี้ยวใจไร้รัก : ไม่อยู่ แกถามทำไม
แสน แสนรัก : งั้นดีเลย เดี๋ยวฉันจะไปหา แต่แกช่วยเล่นละครเป็นพี่สาวของฉันให้หน่อยนะ
แสนรักพิมพ์ตอบไปเร็วปรื๋อ ขณะที่ศรุตถอยรถออกจากช่องจอดรถก่อนจะพาออกจากสถานีตำรวจ โดยที่หล่อนก็ยังคงพิมพ์ข้อความคุยกับปลายทางต่อไป
เปรี้ยวใจไร้รัก : ฮะอะไรนะไอ้แสนรัก เล่นละครอะไร พูดให้เคลียร์หน่อยซิ
แสน แสนรัก : เดี๋ยวจะมีคนพาฉันไปส่ง แต่ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าบ้านฉันอยู่ไหน คือว่าเขารู้จักคุณปู่ แต่เขายังไม่รู้ว่าฉันเป็นหลานสาวของคุณปู่ พอดีมันมีเรื่องนิดหน่อย ฉันก็เลยไม่อยากให้เขาไปส่งที่บ้าน แต่จะให้เขาไปส่งที่บ้านของแกแทน
เปรี้ยวใจไร้รัก : ฉันโทร. หาแกตอนนี้ได้ไหม
แสน แสนรัก : อย่าโทร. นะ! ฉันอยู่ในรถกับเขา
หญิงสาวรีบบอก กลัวเพื่อนโทร. มาหาแล้วหล่อนจะอธิบายลำบาก ดีไม่ดีถ้าเสียงปลายสายเล็ดลอดออกมา มีหวังศรุตรู้แน่ว่าคนที่หล่อนสนทนาด้วยไม่ใช่พี่สาวตามที่กล่าวอ้างไป
เปรี้ยวใจไร้รัก : เอ้า แล้วมันอะไรกันล่ะเนี่ย
แสน แสนรัก : เอาเป็นว่าอีกสามสิบนาที ฉันคงถึงบ้านของแก แต่แกต้องเล่นละครเป็นพี่สาวของฉัน แล้วก็ช่วยเออออไปกับฉันหน่อย ถ้าเขาส่งฉันเสร็จแล้ว กลับไปแล้ว ฉันจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลย แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเขาสงสัยว่าทำไมฉันคุยนานเกินไป
หล่อนบอกแค่นั้นแล้วก็ยุติการสนทนา แต่ไม่ลืมแชร์พิกัดที่รถกำลังแล่นอยู่ไปให้เพื่อนด้วย แต่ตอนนั้นเองที่ศรุตแอบเหลือบมองมาแวบหนึ่งและทันเห็นภาพแผนที่บนหน้าจอพอดี เขาถึงกับยิ้มเมื่อรู้ว่าหล่อนแชร์พิกัดของรถยนต์ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกระเซ้า
“พิมพ์เลขทะเบียนรถบอกไปด้วยก็ได้ 6กฒ 523 รถคันนี้ของฉันเอง ไม่ใช่ของโรงแรม ตรวจสอบกับกรมการขนส่งได้เลย”
“เปล่านะคะ แสนรักไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย” แสนรักปฏิเสธแต่เสียงไม่ได้บอกเลยว่าไม่ได้คิดอย่างนั้น
ศรุตยิ้มมุมปากแต่ไม่ได้ว่าอะไร แต่ในใจนั้นเขาคิดว่าดีเสียอีกที่หล่อนรู้จักระวังตัว ในเมื่อสังคมสมัยนี้มันอันตราย คนบางคนก็รู้หน้าไม่รู้ใจ
“เธอจะไม่ไว้ใจฉันก็ไม่แปลกฉันว่าเป็นเรื่องที่ดีเสียอีก เพราะนั่นแปลว่าเธอมีสติดีพอที่จะระวังตัวเอง เป็นเรื่องที่ดี” เขากล่าวชมในเรื่องนี้ ก่อนจะสรุปให้หล่อนสบายใจ “สบายใจได้ ฉันไม่สนใจเด็ก”
สิ้นเสียงพูดของเขา แสนรักก็ตอบในใจทันทีเหมือนกัน
‘ฉันก็ไม่สนใจคนแก่เหมือนกันแหละ’
เวลาล่วงเลยผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่ารถยนต์คันสวยก็แล่นมาจนถึงกลางซอยซอยหนึ่ง สองข้างทางเป็นบ้านเรือน ไม่มีร้านรวงใดๆ แสนรักชี้ไปยังบ้านที่ต้องการให้เขาจอด แต่ตรงบริเวณหน้าประตูรั้วบ้าน มีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ก่อนแล้ว ทำให้แสนรักต้องบอกให้ศรุตจอดต่อท้ายรถยนต์คันนั้นแทน
พอรถยนต์จอดสนิทแสนรักก็เตรียมปลดเข็มขัดนิรภัย แต่มันติดและไม่สามารถปลดออกได้
แก๊ก! แก๊ก!
หญิงสาวพยายามจะกดตัวล็อกเพื่อปลดเข็มขัดนิรภัย แต่ทำยังไงมันก็ไม่ออก พอดีกับศรุตหันมาเห็นเข้า เขาไม่ได้แปลกใจอะไร แถมยังบอกหน้าตาเฉยว่า
“ลืมบอกไปว่าตัวล็อกเข็มขัดนิรภัยอันนี้มันมีปัญหาอยู่ บางทีมันก็ปลดล็อกได้ บางทีมันก็ปลดไม่ได้ ต้องใช้จังหวะกับมุมกระตุกดีๆ”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกก่อนล่ะ แสนรักจะได้ไม่คาด” หล่อนบ่นแล้วเผลอทำหน้ามุ่ยใส่
“ถ้าเธอไม่คาด แล้วโดนตำรวจเรียกหรือเกิดอุบัติเหตุล่ะจะว่ายังไง”
เขาว่ากึ่งดุก่อนจะเอี้ยวตัวมาแล้วโน้มกายเข้ามาใกล้ มือขวาเอื้อมไปกระตุกสายเข็มขัดนิรภัยที่พาดอยู่เหนือไหล่ด้านซ้ายของหล่อน ส่วนอีกมือก็กดล็อกเข็มขัดไปด้วย แต่เพราะการเอี้ยวตัวมาแค่ครึ่งๆ กลางๆ ทำให้ไม่ถนัด เขาจึงตัดสินใจลงจากรถแล้วอ้อมไปเปิดประตูฝั่งหล่อน ก่อนจะโน้มตัวข้ามหล่อนเข้าไปช่วยปลดเข็มขัดนิรภัยให้
เขามัวแต่สนใจกับการปลดเข็มขัดนิรภัยให้หล่อนให้ได้ จนลืมคิดไปว่าใบหน้าของเขามันอยู่ใกล้ใบหน้าของหล่อนเกินไป แล้วถ้าใครเกิดขับรถผ่านมาเห็นเข้าอาจจะคิดได้ว่าเขากำลังจูบหล่อนหรือไม่ก็ทำอะไรๆ กับหล่อนอยู่ก็ได้!
“เดี๋ยว...เดี๋ยวแสนรักลองเองอีกที”
“เธอคิดว่าคุ้นชินกับรถของฉันมากกว่าฉันเหรอ”
“เปล่า คือว่า...” มันใกล้ไปแล้ว
หล่อนปฏิเสธแต่ไม่ได้พูดคำสุดท้ายออกไป ฝ่ายศรุตที่ไม่เข้าใจในนาทีแรก พอหันมาเจอหล่อนหน้าแดง เขาก็ถึงบางอ้อ แต่แทนที่จะรีบถอยออกไป กลับแกล้งชะโงกหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด เพราะอยากรู้ว่าที่หล่อนเขินอายอยู่นี่ อายจริงหรือแค่จริตมารยาหญิง
แต่แสนรักที่ไม่รู้ว่าถูกเขาทดสอบรีบเบียดตัวกับพนักพิงทำราวกับว่าถ้าสิงมันได้คงสิงไปแล้ว แถมยังหลับตาปี๋ ทำหน้าเหมือนเห็นผี
ศรุตเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ไม่ต้องถามให้เมื่อยแล้วว่าเคยมีแฟนหรือยัง ในเมื่อปฏิกิริยาก็ชัดขนาดนี้แล้ว เขาคิดแล้วก็เลิกแกล้งหล่อน ก่อนจะช่วยปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยออกให้จนสำเร็จ
แก๊ก!
ชายหนุ่มถอยห่างออกมา แล้วรอให้หล่อนลงจากรถ ฝ่ายคนที่ได้ยินเสียงล็อกเข็มขัดดังก็ลืมตาขึ้น แล้วก็โล่งใจที่เจ้าของรถสุดหล่อไม่ได้อยู่ใกล้หล่อนแบบเมื่อครู่นี้แล้ว หล่อนจึงรีบลงจากรถแล้วหันเหความสนใจของเขาไปเรื่องบ้านแทน
“หลังนี้แหละค่ะ”
แสนรักบุ้ยใบ้ไปยังประตูรั้วของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังหนึ่ง มีโรงรถอยู่ด้านหน้าและมีเนื้อที่หน้าบ้านเล็กน้อยไว้สำหรับปลูกต้นไม้กระถาง ภายในรั้วบ้านมีจักรยานจอดอยู่สองคัน ตัวบ้านค่อนข้างเก่า ประเมินจากสภาพบ้านและรูปแบบของบ้านที่ตกยุค ทำให้พอเดาได้ว่าน่าจะมีอายุประมาณสามสิบกว่าปีแล้ว
หญิงสาวเดินไปที่หน้าประตูรั้ว พอดีกับที่ปนิตาหรือเปรี้ยวเดินออกมาหน้าบ้าน หลังจากที่ตอนแรกมายืนคอยเพื่อนแล้วเกิดเปลี่ยนใจ เพราะเพิ่งคิดได้ว่า ในเมื่อเพื่อนให้หล่อนเล่นละครเป็นพี่สาว เวลาพี่น้องกลับบ้านก็ไม่ต้องมายืนรอกันแบบนี้ มันดูผิดปกติไป
เจ้าตัวจึงคิดว่าจะออกมาเมียงมองดูอีกทีว่าเพื่อนมาหรือยัง แต่กลายเป็นว่าออกมาคราวนี้เพื่อนดันมาถึงแล้ว แถมยังมากับผู้ชายสุดหล่อมาดเนี้ยบที่แผ่รังสีความรู้สึกชวนหวั่นไหวมาให้เสียด้วย
‘กรี๊ด! คนหล่อพระเอกตายเรียบคนนี้ ใครวะเนี่ย’ ปนิตายืนกรี๊ดในใจ ปากอ้าค้าง
แสนรักเห็นแล้วต้องรีบเรียกเพื่อเตือนสติ แล้วก็เพื่อให้เพื่อนเล่นละครรับสมอ้างเป็นพี่สาวให้มันแนบเนียนด้วย
“พี่เปรี้ยว เปิดประตูหน่อย เมื่อเช้าแสนลืมหยิบกุญแจบ้านมาด้วย”
“ประตู...เอ่อ อ๋อ เออ ใช่ๆ ประตู”
ปนิตาทวนแล้วหันรีหันขวาง ก่อนจะตั้งสติได้ว่าควรไปเอากุญแจที่ไหน จึงรีบกลับเข้าไปในตัวบ้าน ครู่เดียวก็ออกมาเปิดประตูรั้วให้ พร้อมกับมองไปยังศรุตด้วยแววตาที่บอกชัดว่า อยากรู้ใจจะขาดแล้วว่าหนุ่มสุดหล่อคนนี้เป็นใคร
“พี่เปรี้ยว มองอะไรขนาดนั้น เสียมารยาท” แสนรักเรียกให้อีกฝ่ายหยุดเคลิ้ม “นี่คุณศรุต เป็นเจ้านาย แล้วก็เป็นคนที่แสนรักบอกพี่เปรี้ยวในไลน์เมื่อกี้ไง ว่าเขาจะพาแสนรักมาส่ง พอดีว่าเกิดเรื่องนิดหน่อย แต่ตอนนี้เคลียร์หมดแล้ว”
ปนิตาที่กำลังเคลิ้มในความหล่ออยู่ พอได้ยินคำว่าเกิดเรื่องนิดหน่อยก็หยุดเคลิ้มได้ทันที
“เกิดเรื่อง? เรื่องอะไร”
คนเป็นเพื่อนถาม แต่ยังไม่ทันที่แสนรักจะได้เอ่ยตอบ ศรุตก็ชิงตอบเสียเอง แถมยังถือโอกาสดัดหลังแสนรักและสั่งสอนเรื่องความปลอดภัยไปด้วยเสียเลย
“พอดีน้องสาวของคุณวิ่งตามคนร้ายวิ่งราวกระเป๋าไป แล้วคนร้ายวิ่งตัดหน้ารถของผม แต่น้องสาวของคุณก็ยังจะคิดไปแย่งกระเป๋ามาจากคนร้ายอีก เป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก แต่ตอนนี้คนร้ายถูกตำรวจจับไปแล้ว พวกเราเพิ่งมาจากสถานีตำรวจ ผมก็เลยมาส่งเธอที่บ้าน เพราะอยากแจ้งให้ผู้ปกครองทราบด้วย”
‘อูย...นั่นไง ว่าแล้วว่าต้องโดนฟ้อง’
แสนรักได้แต่นึกเข่นเขี้ยวในใจ ทำไมเดาหวยไม่เห็นถูกเหมือนเดาเรื่องแบบนี้บ้างก็ไม่รู้ นี่ดีนะที่คิดล่วงหน้าไว้แล้วว่าเขาอาจจะทำอย่างนี้จริงๆ ถึงได้ไม่ให้ไปส่งที่บ้านคุณปู่ ถ้าขืนยอมให้ไปส่ง มีหวังตอนนี้หล่อนคงโดนปู่เทศน์ชุดใหญ่ไปแล้วแน่ๆ
ฝ่ายปนิตาพอได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนท่าทีไปในทันที จากตอนแรกที่เคลิ้มกับความหล่อของเขาอยู่ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอยากด่าเพื่อนแทนแล้ว ที่ทำอะไรเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น
“ไอ้แสนรัก แกนี่มัน...โอ๊ย ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีเลย วิ่งตามคนร้ายเนี่ยนะ ทำไปได้ยังไง!”
“ใจเย็นก่อนพี่เปรี้ยว”
“ใจเย็นบ้าอะไรล่ะ นี่ถ้าคุณปู่ของ...” พี่สาวกำมะลอของหล่อนพูดแล้วก็หยุดได้ทัน ก่อนจะตีมึนพูดต่อ “...ของพวกเรารู้เข้า รับรองแกโดนเทศน์ชุดใหญ่แน่ ทำอะไรเสี่ยงแบบนี้ก็ไม่รู้”
แต่มีหรือที่จะรอดพ้นหูตาของศรุตไปได้ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ทำเป็นไม่สนใจกับคำพูดแปลกๆ ที่ได้ยิน พร้อมกันนั้นก็แอบสังเกตพฤติกรรมของทั้งสองสาวต่อไปอย่างเงียบๆ
“ขอโทษ”
“ไม่ต้องมาขอโทษเลย” ปนิตาทำเป็นฮึดฮัด
“นะ นะ แสนรักขอโทษนะ พี่เปรี้ยว”
แสนรักอ้อนไม่ให้เพื่อนงอน แล้วมองไปทางศรุตครั้งหนึ่งก่อนจะหันมองเพื่อน ทำตัวเหมือนว่าอายที่ถูกพี่สาวดุต่อหน้าเขา แต่ความจริงแล้วเจ้าตัวแค่พยายามทำให้ศรุตรู้สึกว่า ในเมื่อเขามาส่งหล่อนถึงที่หมายแล้ว และได้บอกพี่สาวของหล่อนแล้ว ก็ควรกลับไปเสียที
ศรุตอ่านแววตาของหล่อนออกก็กระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับ ไม่ใช่ว่าช่วยหล่อนแต่อย่างใด เพียงแต่เขาได้บอกให้ครอบครัวของหล่อนรู้แล้ว ส่วนหลังจากนี้จะว่ากล่าวตักเตือนกันอย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาแล้ว เขาจึงกลับไปขึ้นรถและขับจากไป โดยมีแสนรักมองตามไปอย่างโล่งอก
คล้อยหลังจากที่ศรุตกลับไปแล้ว ปนิตาก็ปิดประตูรั้วแล้วลากแขนแสนรักเข้าบ้านไปด้วยกัน ก่อนจะกดตัวเพื่อนให้นั่งลงบนโซฟาพร้อมกันนั้นก็บอกเร็วปรื๋อ!
“ตอนนี้ป๊ากับม้าไม่อยู่ เพราะฉะนั้นแกเล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยไอ้แสนรัก ว่าไปวิ่งตามคนร้ายแบบนั้นมา แล้วทำไมถึงไม่ให้เขาไปส่งที่บ้าน แต่ดันให้มาส่งบ้านฉันแทน แถมยังต้องให้ฉันเล่นละครติงต๊อง ทำตัวเป็นพี่สาวของแกอีก ถ้าแกไม่ยอมเล่าให้หมดเปลือก ฉันนี่แหละจะโทรศัพท์ไปฟ้องคุณปู่ของแกเอง!”
“โอเค เล่าแล้วค่ะๆ คุณนายเปรี้ยว คืออย่างนี้นะ...”
แสนรักยอมเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง ตั้งแต่เรื่องที่ว่าศรุตรู้จักคุณปู่ของหล่อนมานานแล้ว เพราะปู่ของหล่อนกับปู่ของศรุตเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน แล้วหล่อนเลือกไปฝึกงานที่โรงแรมของเขาตามคำแนะนำของปู่ แต่ตัวหล่อนยังไม่เคยเจอศรุตตัวจริงสักครั้ง
จนกระทั่งวันนี้ได้เจอตัวจริงที่โรงแรมของเขา แต่เขายังไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร พอหล่อนออกมาจากโรงแรมก็เจอคนร้ายวิ่งราวถึงได้วิ่งตามไปจนคนร้ายวิ่งตัดหน้ารถของศรุต
ส่วนหลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่ศรุตบอกทุกอย่าง ซึ่งพอเสร็จธุระที่สถานีตำรวจแล้ว เขาก็อาสามาส่งที่บ้าน แต่หล่อนคิดว่าเขาน่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่การบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้คนที่บ้านรู้ จึงไม่กล้าให้เขาไปส่งที่บ้าน เพราะไม่
อยากโดนคุณปู่เทศน์ รวมทั้งหล่อนไม่ได้บอกเขาตั้งแต่แรกว่าตนเองเป็นหลานสาวของสินธร ก็เลยต้องให้เขามาส่งที่บ้านของปนิตาแทน
ปนิตาฟังจบก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่รู้ว่าควรจะแว้ดใส่เพื่อน หรือควรจะเห็นใจกันแน่ ในเมื่อเพื่อนเพิ่งไปทำวีรกรรมเสี่ยงๆ มา แต่จากที่รู้จักแสนรักมาตั้งแต่อยู่มัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ทำให้รู้ว่าพื้นฐานครอบครัวของแสนรักเป็นอย่างไร หล่อนเข้าใจดีว่าเหตุใดแสนรักถึงได้เสี่ยงวิ่งตามคนร้าย เพื่อไปเอากระเป๋าคืน
เพราะตัวแสนรักไม่ได้มีเงินเก็บมากมาย ถึงจะเป็นหลานสาวเจ้าของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต แต่แสนรักเหมือนคนอาศัยมากกว่า ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงกับใคร เท่าที่มีคุณปู่คอยคุ้มหัวก็นับว่าบุญมากแล้ว แต่คุณปู่ก็ไม่ได้ให้ท้ายแสนรัก หรือปล่อยให้แสนรักใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยแต่อย่างใด
“เฮ้อ ไอ้แสนรัก! แกนะแก ทำอะไรเสี่ยงแบบนี้ก็ไม่รู้ เกิดคนร้ายมันมีอาวุธขึ้นมาจะทำยังไง”
“ขอโทษ...”
“เฮ้อ...” ปนิตาถอนหายใจอีกครั้ง “เอาเถอะ แกปลอดภัยก็ดีแล้ว ว่าแต่ได้กระเป๋าคืนมาแล้วของทุกอย่างครบไหม”
“ไม่มีอะไรบุบสลาย ส่วนคนร้ายก็นอนอยู่สถานีตำรวจเรียบร้อย”แสนรักรีบบอกพร้อมกับส่งยิ้มออดอ้อนไม่ให้เพื่อนโกรธ
ปนิตาค้อนใส่ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วคุณศรุตเขาเป็นเจ้าของโรงแรมเหรอ”
“ถ้าไม่ได้เป็นตอนนี้ก็คงเป็นในอนาคตแหละ เขาเป็นกรรมการผู้จัดการของโรงแรม ส่วนประธานก็เป็นคุณพ่อของเขา” หล่อนบอกตามข้อมูลที่รู้มา
“โอ๊ย แบบนี้ก็หนุ่มในฝันเลยทีเดียว รูปหล่อ รวย ไฮโซ...” ปนิตาทำหน้าเคลิ้มฝัน ใส่จริตมารยาเพิ่มเข้าไปอีกนิดเพื่อความขบขัน “แต่ถึงจะหล่อ ก็มีออร่าที่ชวนหนาวๆ อยู่เหมือนกัน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น”
“คงเพราะดวงตาของเขามั้ง” หล่อนออกความเห็น “ดูเหมือนใจดีแต่ก็ดูดุในบางมุม แล้วก็ชอบทำหน้านิ่งๆ ให้อารมณ์เหมือนเจ้าชายน้ำแข็ง”
“โอ้โห นี่ยังไม่ทันได้ไปทำงาน ตั้งฉายาให้ว่าที่เจ้านายแล้วเหรอแก”
คนเป็นเพื่อนแอบท้วงเสียงขบขัน แต่คนโดนเข้าใจผิดรีบบอก
“เปล่า พี่ฝ่ายฝึกอบรมเขาบอกมา”
“เออ แต่ก็สมควรแหละ มาดอย่างนั้น สมกับเป็นเจ้าชายน้ำแข็งจริงๆ”
ปนิตาเห็นด้วยกับฝ่ายบุคคลที่แสนรักอ้างถึง เพราะศรุตให้ความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ถือว่าเป็นเจ้าชายน้ำแข็งที่ชวนให้ตกหลุมรักอย่างมาก
“แล้วนี่แกจะกลับคอนโดเลยไหม”
“ว่าจะมาขอข้าวบ้านแกกินก่อน”
แสนรักล้อเล่นแต่ก็มีความเป็นจริงปนอยู่ เพราะหล่อนมากินข้าวที่บ้านปนิตาหลายครั้งแล้ว พ่อกับแม่ของปนิตาเองก็เอ็นดูหล่อน จนตอนนี้เป็นเหมือนลูกสาวของบ้านนี้ไปอีกคนแล้ว
“งั้นไปกินที่ผับกัน พี่ปริมบอกว่าลูกน้องลาป่วยไปหนึ่งคน ส่วนอีกคนพาเมียไปคลอด ถ้าแกไม่ติดธุระแล้วไม่เหนื่อยจนเกินไป ไปหาเงินกินขนมกัน”
ปนิตาชวนแล้วก็คิดว่าแสนรักไม่ปฏิเสธ เพราะงานที่นั่นไม่ได้หนัก แค่อาจจะต้องกลับดึกสักนิด แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะอย่างไรเสียปนิตาก็กลับกับพี่ชาย แล้วก็ให้พี่ชายขับรถไปส่งแสนรักก่อนทุกครั้ง เวลาที่แสนรักไปช่วยงาน
พี่ชายของปนิตาชื่อปริม เป็นบาร์เทนเดอร์และเป็นหุ้นส่วนของผับหรูแห่งหนึ่ง ส่วนพ่อกับแม่ของปนิตานั้นเปิดร้านขายเครื่องรางของขลังระดับส่งประกวด อยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งงานที่ผับที่ว่านี้ แสนรักเคยไปทำมาแล้วสี่ครั้ง ตอนที่ปริมบอกว่าคนไม่พอหรือมีเหตุให้พนักงานต้องลาหยุด แต่ไม่ได้บอกให้ที่บ้านรู้ โดยเฉพาะคุณปู่นี่ให้รู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
หลังจากส่งแสนรักเรียบร้อยศรุตก็ขับรถกลับบ้าน แต่เขาต้องผจญกับการจราจรในกรุงเทพฯ อยู่เกือบชั่วโมง กว่าจะถึงบ้านก็ปาเข้าไปทุ่มครึ่ง พอรถจอดสนิทในโรงรถและก้าวลงจากรถได้ แม่บ้านที่พ่วงตำแหน่งพี่เลี้ยงเก่าแก่ ก็รีบเข้ามาบอกเขาทันทีว่ามงคลรออยู่ ส่วนพ่อกับแม่ของเขาออกไปงานแต่งงานของลูกสาวคนรู้จักตั้งแต่เมื่อตอนหกโมงเย็นแล้ว
ได้ยินแค่นั้นศรุตก็แทบอยากจะกลับขึ้นรถ แล้วไปสมทบกับเพื่อนต่อทันที แต่ที่ต้องขับกลับมาบ้านก่อนหลังจากที่เขาส่งไลน์กลุ่มชวนไปดื่มก็เพื่อจะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน มงคลก็เดินออกมาหน้าบ้าน เพราะได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดสักพักแล้ว แต่ไม่เห็นศรุตเข้าไปในบ้านเสียทีจึงออกมาดู พอเห็นหลานชายกำลังจะชิงหนีจึงต้องเรียกไว้
“นั่นจะไปไหนอีกไอ้เจ้ารุต หน็อย นี่พอแม่เอิบบอกว่าฉันกำลังรอแกอยู่ ก็คิดจะหนีเลยสินะ” มงคลเอ่ยดักไว้ก่อนจะสั่งแม่บ้าน “แม่เอิบจับตัวมันไว้เลย แล้วพาไปที่ห้องรับแขก อย่าให้หนีไปไหนได้”
“เอ่อ...ค่ะ คุณท่าน”
เอิบหรือแม่เอิบที่เลี้ยงศรุตมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จำต้องหันมาส่ายหน้าเบาๆ กับศรุตเหมือนบอกว่าช่วยได้แค่นี้จริงๆ ก่อนจะดึงแขนศรุตให้เดินไปที่ห้องรับแขกด้วยกัน ส่วนศรุตนั้นก็ไม่กล้าสะบัดหนีเพราะอีกฝ่ายก็อายุมากแล้ว เลยจำต้องยอมให้ถูกพาตัวเข้าไปในบ้านแต่โดยดี
พอเข้ามาในห้องรับแขกและนั่งลงเรียบร้อย มงคลก็เปิดฉากบ่นทันที
“แกนี่นะ ยิ่งนับวันยิ่งเอาใหญ่ คิดจะหนีออกไปดื้อๆ รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางจริงๆ ใครสอนมาฮะ!”
“คุณปู่ครับ”
“ยังจะมีหน้าพูดอีก!” มงคลว่าแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะหันไปหาแม่บ้านคนสนิทเพื่อหาพวก “ดูมันนะแม่เอิบ ดูพ่อตัวดีของแม่เอิบเลย นี่ถ้ามันไม่ได้ทำตัวดี ทำงานเก่ง ฉันคงแพ่นกบาลแยกไปแล้ว”
“โธ่ คุณท่านก็ คุณรุตก็แค่ไม่อยากให้คุณท่านบ่นจนเครียด แล้วความดันขึ้นมากกว่าค่ะ”
แม่บ้านคนสนิทช่วยแก้ต่างให้ แต่มีหรือที่มงคลจะไม่รู้
“ไม่ต้องช่วยพูดแทนมันเลยแม่เอิบ มาช่วยเข้าข้างฉันดีกว่า แก่จนจะลงโลงอยู่แล้ว ยังไม่มีเหลนให้อุ้มสักที มันน่าน้อยใจจริงๆ ดูลูกหลานบ้านอื่นซิ ผลิตลูกกันโครมๆ บ้านเรานี่เงียบเหงาเหลือเกิน”
“ผมไม่ใช่พ่อพันธุ์ผลิตเด็ก ที่เอาแต่ผลิตออกมาแต่ไร้คุณภาพ แล้วปล่อยลูกเป็นปัญหาของสังคมนะครับ ในเมื่อจะหาแม่ของลูกทั้งที มันก็ต้องดูให้ดีมีคุณภาพแบบที่ไม่ใช่มีแต่เปลือกนอก เดี๋ยวเหลนออกมาไม่ดี ปู่จะมาว่าผมทีหลังไม่ได้นะ”
“แกจะเอาคุณภาพคับแก้วขนาดไหนเชียวไอ้เจ้ารุต” คนเป็นปู่แขวะใส่ตรงๆ แต่หลานชายสุดหล่อก็ไม่ยอมแพ้ ตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เอาแบบที่ว่าถ้าใครเป็นแม่ของลูกให้ได้ แล้วผมคิดว่าดีค่อยว่ากัน”
“ดู ดูมัน!”
มงคลเอือมระอา เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ศรุตทำตัวลื่นเป็นปลสไหลได้แบบสุดๆ ทั้งที่ปกติเป็นคนตรงไปตรงมา เอาจริงเอาจัง ไม่ค่อยขี้เล่นสักเท่าไร
“ปู่มีเรื่องจะเทศน์ผมแค่นี้ใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่แค่นี้” คนเป็นปู่ส่ายหน้าหงุดหงิดก่อนจะเข้าเรื่อง “วันมะรืนจะมีงานทำบุญและเปิดตัวรีสอร์ตบนเกาะของสินธร แกเตรียมตัวหรือยัง”
“เตรียมแล้วครับ จรัญจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“แล้วเสื้อผ้าล่ะ” มงคลถามและเอ่ยดักอย่างรู้ทัน “คงใส่ไปชุดเดียวสิท่า”
“ไปเช้าเย็นกลับ จะต้องพกกระเป๋าเสื้อผ้าไปทำไมครับ”
“ไปถึงเกาะขนาดนั้น แกไม่คิดจะเที่ยวพักผ่อน อยู่ให้นานกว่าวันเดียวเลยหรือไง” มงคลต่อว่าแล้วก็เริ่มร่ายยาว “แกนี่นะ ช่วยเพลาๆ เรื่องงานลงบ้างได้ไหม นี่ฉันชักสงสัยแล้วว่าถ้าแกเอากระดาษเอกสารและบัญชีสินทรัพย์ของบริษัทเป็นเมียได้คงทำไปแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“เดี๋ยวปั๊ด! นี่ฉันประชด!”
“ถ้าปู่จะพูดเรื่องหาหลานสะใภ้ ก็ขอบอกอีกเป็นครั้งที่ร้อยที่พันว่ายังไม่มีใครถูกใจครับ”
“อะไรวะ ก็เห็นสวยๆ มาแจกขนมจีบให้แกตั้งเยอะแยะ ก็เลือกมาสักคนหนึ่งไม่ได้หรือไง”
“มีมาแต่ประเภทสวยแต่รูป จูบไม่หอมทั้งนั้นแหละครับ”
“โอ๊ย แบบนี้ฉันคงลงโลงไปก่อนได้อุ้มเหลนแน่ๆ”
มงคลตัดพ้อแล้วก็มองหน้าหลานชายทีหนึ่ง รู้ว่ารายนี้หัวแข็งยิ่งกว่าตอไม้ ถ้าลองเอ่ยคำว่าไม่ก็คือไม่ แต่อย่างน้อยถ้าไม่หาหลานสะใภ้ให้ ก็ช่วยเพลาๆ เรื่องทำงานบ้างก็ดี เพราะเขาไม่อยากให้หลานตายก่อนตัวเอง
”ก็ได้ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็ได้ แต่แกน่ะ พักร้อนบ้างหรือเปล่า ฉันไม่เห็นแกไปเที่ยวไหนกับใครเลย ไอ้เพื่อนที่เคยสนิทสนมกับแก มันไปไหนหมด ไม่เห็นติดต่อกันบ้าง”
“ช่วงนี้งานยุ่งทุกคนครับ”
“เหรอ” มงคลรับคำแต่ก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แล้วจึงยื่นข้อเสนอที่เพิ่งคิดได้อย่างปัจจุบันทันด่วน “งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม ที่จะไปงานเปิดตัวรีสอร์ตของสินธร แกช่วยอยู่พักร้อนสักหนึ่งอาทิตย์ ถ้าแกอยู่ครบหนึ่งอาทิตย์ ฉันจะไม่รบเร้าให้แกหาเมียปีหนึ่งเลยเป็นไง”
“พูดจริงหรือครับ”
ศรุตชักสนใจ อย่างน้อยถ้าปู่ไม่รบเร้าอยากให้เขาหาหลานสะใภ้ เขาก็ไม่ต้องทำหน้าเมื่อยแบบนี้บ่อยๆ แล้วก็ยังสบายหู ไม่ต้องวุ่นวายใจกับเรื่องนี้แบบนี้ไปหนึ่งปีเต็มๆ
“เออ จริง”
มงคลรับปากอย่างไม่มีทางเลือก ในเมื่อเป็นคนยื่นหมูยื่นแมวไปเอง แล้วด้วยความเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงต้องรักษาคำพูดให้ได้ด้วย
“งั้นเรามาทำข้อตกลงกันไหมครับคุณปู่”
ศรุตเปิดฉากทำตัวเป็นหมาป่าเตรียมตะครุบเหยื่อ แต่เหยื่อคราวนี้เป็นข้อตกลงอันแสนหวาน ไม่ใช่เหยื่อที่เขาจะทำให้ปั่นป่วนหรือยอมสยบแต่อย่างใด
“ได้ทีเชียวนะไอ้ตัวดี หลอกคนแก่ให้ตกปากรับคำเนี่ย ถนัดนัก”
“ก็ปู่สอนผมเองว่า โอกาสไม่ได้มาหาเราบ่อยๆ ถ้าจะเป็นผู้บริหารก็ต้องรู้จักถอย และก้าวเมื่อถึงเวลา”
“เออ เอากับมัน”
มงคลได้แต่ถอนหายใจ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมทำสัญญาข้อตกลง
“ถ้าแกยอมพักร้อนอยู่ที่เกาะนั่น ทำตัวสบายๆ เที่ยวหาความสุขใส่ตัวสักเจ็ดวัน แล้วก็ห้ามเอาเลขาฯ ของแกไปที่เกาะด้วย เพราะฉันรู้ว่าถ้าแกเอาไป แกต้องแอบทำงานหรือติดต่อเรื่องงานแน่ ถ้าแกอยู่ห่างๆ งานได้ครบเจ็ดวัน พักผ่อนพักร้อนให้เต็มที่ตามกำหนดได้ ฉันก็จะทำตามที่ตกลงกันไว้ จะไม่ถามหาหลานสะใภ้อีกเป็นเวลาหนึ่งปี”
“ปู่สัญญาแล้วนะ” เขาย้ำเพื่อไม่ให้ท่านบิดพลิ้ว
“เออ สัญญา ให้แม่เอิบเป็นพยาน หรือแกจะอัดคลิปไว้ให้เข้ากับยุคสมัยเลยไหม”
มงคลแกล้งประชดไปอย่างนั้น แต่รู้ว่าหลานชายไม่ทำแน่ เพราะตั้งแต่มีลูกชายจนถึงหลานชายคนนี้ เขาอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ให้รู้จักรักษาสัญญาไม่ว่ากับใคร และไม่ให้รับปากรับคำใครพล่อยๆ ถ้าทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นตัวเขาจึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดี
“ผมเชื่อในคำสัญญาของคุณปู่” ศรุตยอมทำข้อตกลง แล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ “ผมจะอยู่บนเกาะนั่น เที่ยวพักผ่อนจนครบเจ็ดวัน แต่ตอนนี้ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ พอดีนัดกับพวกไอ้ริศ ไอ้มิลไว้”
คนเป็นปู่ได้แต่มองตามอย่างเหนื่อยใจ แล้วจึงกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง โดยมีแม่บ้านตามเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งหลายนาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงรถของศรุตแล่นออกไป แม่บ้านจึงออกไปดูความเรียบร้อยก่อนจะกลับเข้ามารายงาน
“ไปแล้วละค่ะคุณท่าน”
“เฮ้อ เจ้ารุตนี่มันจริงๆ เลย”
“แต่คุณท่านคะ ดีแล้วหรือคะที่ให้คุณรุตกลับไปที่เกาะนั้นอีกครั้ง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกแม่เอิบ” มงคลเข้าใจดีว่าแม่บ้านห่วงอะไร “เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว เจ้าศรุตเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วย อีกอย่างนะ...ทุกคนมีสิ่งที่จะต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เมื่อมันคืออดีต มันคือสิ่งที่เราผ่านมาแล้วและจะไม่หวนคืนมาอีก”
“ก็จริงอย่างที่คุณท่านว่าค่ะ” แม้จะเข้าใจแต่ก็ยังอดเปรยไม่ได้ “ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ตัวเล็กนิดเดียว แต่กล้าหาญแล้วก็อึดมากเลยทีเดียว”
มงคลฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะเดินไปที่หิ้งพระที่อยู่ในห้องนอน เพื่อสวดมนต์ไหว้พระ แม่บ้านจึงออกจากห้องไปอย่างรู้งาน โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ประมุขของบ้านนั้นกำลังคิดว่า คนเราบางครั้งมันก็ผูกพันกันด้วยโชคชะตา บางคนเคยได้เจอกันและต้องห่างกัน แต่สุดท้ายเมื่อชะตามันถูกกำหนดไว้แล้ว ต่อให้มีเรื่องใดมาขวางกั้น มันก็ต้องกลับมาเจอกันอยู่ดี เหมือนอย่างที่มันกำลังจะเกิดกับหลานชายของเขา!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น