4
บทที่ 4
๔
บริเวณถนนที่ขึ้นชื่อด้านสถานบันเทิงที่ผู้ชายชอบไปเที่ยว อาคารใหญ่สูงสามชั้นถูกตกแต่งให้ดูโอ่อ่าติดถนนใหญ่ ศรุตเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านหน้าอาคาร เขาพาเพื่อนชาวต่างชาติที่มาเมืองไทย และอยากลองเที่ยวหาความสำราญแบบผู้ชายสักครั้ง แต่เขาไม่ถนัดเรื่องแบบนี้ จึงแค่แสดงน้ำใจด้วยการขับรถพามาส่งให้ถึงที่ ตามที่อีกฝ่ายระบุสถานที่ที่อยากมาเท่านั้น
ชายหนุ่มเดินเข้าไปส่งเพื่อนถึงด้านในล็อบบี ก่อนจะกลับออกมาที่ลานจอดรถด้านหน้าอาคาร แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าอาคารเยื้องไปด้านข้างที่มีสวนหย่อมเล็กๆ ทำไว้ให้ดูร่มรื่น
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังหลบใครอยู่ ท่าทางคงอยากให้ผู้คนเห็นตนเองได้น้อยที่สุด ในมือถือโทรศัพท์เครื่องหนึ่งไว้ ท่าทางเหมือนรอใครอยู่ แต่ถึงหล่อนจะยืนหันข้างให้ เขาก็จำหล่อนได้อยู่ดี
“แสนรัก”
เขาร้องทักขณะเดินเข้าไปหา คนถูกทักหันขวับมา พอเห็นว่าใครเรียกก็หน้าเบ้ทันที
“คุณศรุต...”
แสนรักครางเรียกชื่อพลางทำหน้าเบ้ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้ แล้วทำเป็นใจดีสู้เสือ แต่ความจริงแล้วหัวใจหล่นลงไปกองที่ตาตุ่มแล้วเรียบร้อย
‘อะไรมันจะซวยปานนี้ ทำไมถึงได้เจอเขาเร็วเกินคาดขนาดนี้!’
“นึกว่าจะทำเป็นไม่รู้จักกันอีก”
“แสนรักจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะคะ” หล่อนทำเฉไฉ
“งั้นเหรอ” เขาทำเป็นยอมเชื่อก่อนจะถามต่อ “เธอมาทำอะไรที่นี่ วันก่อนอยู่ที่ผับไฮโซ วันนี้มาอยู่แถวนี้ แล้วอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าจะไปฝึกงานที่โรงแรมของฉัน ตกลงแล้วเธอทำอะไรอยู่กันแน่”
“แสนรัก คือ...แค่มา เอ่อ มีธุระแถวนี้นิดหน่อย”
“ธุระ?”
“แสนรักเอาโทรศัพท์มือถือมาให้เจ้าของ คือพี่ผึ้งที่อาศัยอยู่ข้างห้องทำโทรศัพท์ตกหน้าห้องแสนรัก กว่าจะรู้ตัวก็มาถึงที่ทำงานแล้วและจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ แสนรักก็เลยมีน้ำใจเอามาให้”
หญิงสาวตอบแล้วยกโทรศัพท์มือถือในมือให้เขาดูว่าหล่อนพูดความจริง แต่ศรุตกลับคิดว่าไอ้ความจริงของหล่อนนี่แหละมันอาจทำให้หล่อนเดือดร้อน จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วดึงตัวหล่อนให้ยืนหลบข้างๆ กระถางต้นไม้ประดับที่ค่อนข้างใหญ่ พอจะให้พ้นจากสายตาผู้คนได้มากขึ้นอีกนิดก่อนจะถามตรงๆ
“รู้ไหมว่าที่นี่มันเป็นสถานที่แบบไหน”
“ตอนแรกไม่รู้ แต่ตอนนี้...รู้แล้วค่ะ”
หล่อนทำหน้าเหยเกก่อนจะชี้ไปด้านบนเพื่อให้เขารู้ว่าหล่อนได้คำตอบจากป้ายชื่อสถานที่ที่ติดอยู่ด้านบนซึ่งมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษเล็กๆ เขียนกำกับไว้ข้างใต้และมันแปลว่าการนวด
ตอนที่คุยกับพี่ผึ้งทางโทรศัพท์ หล่อนไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมพี่ผึ้งถึงบอกว่า ถ้ามาถึงแล้วให้รออยู่ที่หน้าอาคาร อย่าเข้ามา เดี๋ยวจะออกมาหาเอง แต่ตอนนี้คิดว่ารู้แล้วว่าทำไม เพราะถ้าหล่อนเข้าไปอาจจะมีคนเข้าใจผิดได้
แล้วที่หล่อนไม่เคยเอะใจในอาชีพของเพื่อนบ้านสาวเลย ก็เพราะว่าพี่ผึ้งที่อยู่ข้างห้องนั้นบอกแค่ว่าตัวเองทำงานที่สปา แต่งตัวดี วางตัวดี ไม่เคยแต่งตัวเซ็กซี่หรือโป๊ แถมยังเป็นคนสวยมากๆ หล่อนก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นระดับหัวหน้าในสปาแผนไทย ไม่ได้คิดเลยว่าจะหมายถึงแบบนี้
แต่ตอนนี้หล่อนอยากเอาโทรศัพท์ให้แล้วรีบออกไปจากที่นี่เร็วๆ เพราะถ้าขืนมีคนรู้จักมาเจอเข้าโดยบังเอิญเหมือนอย่างที่ศรุตมาเจอหล่อน มีหวังได้โดนเฉ่งตามหลังยาวแน่นอน
“แล้วต้องรออีกนานไหม กว่าเจ้าของเขาจะออกมา”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
แสนรักตอบ พอดีกับที่หางตาเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้าประตูมาและตรงเข้าไปจอด ตอนแรกหล่อนก็ไม่ได้คิดจะสนใจ แต่พอสายตาปะทะกับเลขทะเบียนรถเท่านั้น หัวสมองก็เหมือนกับมึนไปชั่วครู่ เพราะเลขทะเบียนนั้นมันเหมือนเลขทะเบียนรถของพ่อ ที่ตอนนี้กลายเป็นของภูวนัย
‘ไม่จริง พี่ภูมาที่นี่เหรอ อะไรมันจะซวยปานนี้ ไอ้แสนรัก’
หญิงสาวคิดแล้วมองไปยังประตูหน้าของอาคาร แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาว่าพี่ผึ้งจะมาออกมาเสียที จึงเริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้น ยิ่งพอหางตาเห็นว่าเจ้าของรถลงมาจากรถแล้วพร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง หล่อนก็ยิ่งกลัวว่าจะถูกเห็นเข้าไปใหญ่ แล้วก็นึกถึงฉากหนึ่งในภาพยนตร์ที่เคยดูเมื่อไม่นานมานี้ ที่สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเอามาฉาย
เรื่องนั้นคู่หูสาวแนะนำให้พระเอกจูบกันบนบันไดเลื่อน เพื่อตบตาไม่ให้กลุ่มตัวร้ายที่ตามมาจับรู้ว่าทั้งสองคนอยู่ใกล้พวกมันแค่ไหน โดยคู่หูสาวบอกว่า ‘จูบกันโจ่งครึ่มคนจะกระดากและทำเป็นไม่มอง’
ก็หวังว่าวิธีนี้จะใช้ได้จริงนะ!
หล่อนคิดแล้วก็ตัดสินใจที่จะทำ เพราะภูวนัยกำลังเดินตรงมาทางนี้เพื่อเข้าไปในตัวอาคาร แน่นอนว่าเขาต้องเห็นหล่อนกับศรุตแน่ แต่ถ้าเห็นว่ามีคนกำลังจูบกันอยู่ คนอย่างเขาก็คงจะเบนสายตาหันไปมองทางอื่นแทน
ฝ่ายศรุตที่รู้สึกว่าหล่อนลนลานแปลกๆ เหมือนเห็นใครเข้าก็ทำท่าจะหันไปมองด้านหลัง แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างนั้น จู่ๆ แม่สาวตรงหน้าก็ใช้มือสองข้างจับใบหน้าบริเวณแนวกรามของเขาแล้วบังคับให้หันมาทางหล่อน แล้วยังไม่ทันที่เขาจะถาม หล่อนก็บังคับให้เขาก้มหน้าลงมาอีกนิด ส่วนตนเองก็เขย่งปลายเท้าขึ้นเพิ่มความสูงอีกนิดก่อนจะประทับจูบลงบนเรียวปากของเขา
ศรุตตกใจ แต่เพราะไม่ได้มีอารมณ์เคลิบเคลิ้มจึงไม่ได้หลับตาและดื่มด่ำไปกับรสจูบ อีกทั้งการที่หล่อนเอาปากมาแตะปากเขา เหมือนเอาหน้ามาชนกันแค่นั้น มันไม่ใช่การจูบจริงๆ เลยแม้แต่น้อย
และเพราะเขาไม่ได้หลับตาดื่มด่ำไปกับมัน จึงเห็นว่าหล่อนเองก็ไม่ได้สนใจกับจูบที่ตนเองเป็นคนเริ่มเหมือนกัน แต่มองไปทางด้านหลังของเขาแทน นั่นทำให้เขาเดาได้ทันทีว่าหล่อนใช้การจูบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขา แล้วก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของใครบางคนที่หล่อนไม่อยากเจอในตอนนี้
แต่ว่า ใครล่ะที่หล่อนไม่อยากให้เขาหันไปเห็น
ชายหนุ่มจึงขืนกายผงกศีรษะเพื่อจะหันไปมอง แต่หล่อนกลับไม่ยอมและบังคับจูบเขาต่ออยู่อีกอึดใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูปิดลงแล้วนั่นแหละ หล่อนถึงยอมปล่อยเขาพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ภูวนัยเข้าไปในอาคารแล้วเรียบร้อย
ทว่าโล่งอกยังไม่ทันไรก็ต้องหนักใจต่อ เพราะตอนนี้ศรุตกำลังจ้องหน้าหล่อนอยู่ ท่าทางบอกชัดว่าจะเอาเรื่องที่หล่อนกล้าขโมยจูบเขา ทั้งที่หล่อนทำลงไปก็เพียงเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าอันจวนตัว ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่พอทำ
ไปแล้วก็ดันรู้สึกเขินอายขึ้นมา ถึงขั้นยกสองมือที่มือข้างหนึ่งมีโทรศัพท์มือถืออยู่ขึ้นปิดหน้า เพราะนั่นมันจูบแรกในชีวิตของหล่อนเลยก็ว่าได้
คนที่เตรียมตัวจะเปิดปากต่อว่าพอเห็นพฤติกรรมตลกๆ ของหล่อนแล้วก็เปลี่ยนใจ มีอย่างที่ไหนจูบเขาเอง อายเอง และรับไม่ได้เอง จนตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรโกรธหรือควรขำดีจริงๆ
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ประตูด้านหน้าอาคารก็เปิดออกก่อนที่เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มองหาแสนรักอยู่อึดใจหนึ่งจะดังมา
“แสนรัก...”
แสนรักเดินออกมาให้เพื่อนบ้านสาวเห็นตัวเองได้ชัดๆ แล้วพอเพื่อนบ้านเดินเข้ามาใกล้ หล่อนก็ยื่นโทรศัพท์มือถือที่อุตส่าห์เอามาให้ให้อีกฝ่าย
“นี่ค่ะโทรศัพท์”
“ขอบใจจ้ะ เอ๊ะ นี่...”
เพื่อนบ้านข้างห้องมองไปทางศรุตและมองกลับมาที่แสนรักอย่างอยากรู้คำตอบ ก็แหม! ผู้ชายคนนี้หล่อและราศีไฮโซจับขนาดนี้ เห็นยืนอยู่กับแสนรัก เป็นใครก็ต้องอยากรู้บ้างแหละว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“เขาเป็น...”
แสนรักกำลังจะตอบ แต่ศรุตกลับชิงตอบเสียเอง
“ผู้ปกครอง”
หญิงสาวถึงกับทำหน้าเหวอหันมองเขา อึ้งไปเล็กน้อยกับข้ออ้างเรื่องผู้ปกครอง ใจนึกว่าเขาจะบอกว่าว่าเป็นแฟนเพื่อไม่ให้ผึ้งถามอะไรซ่อกแซ่กให้วุ่นวายอีก แต่ดันบอกว่าเป็นผู้ปกครอง แบบนี้หนักกว่าอีก
ทว่า เพราะแสนรักทำหน้าเหวอไม่รับมุก ผึ้งจึงคิดว่านั่นอาจจะเป็นคำโกหกและแสนรักอาจจะต้องการความช่วยเหลืออยู่ ส่วนผู้ชายสุดหล่อข้างๆ อาจจะแค่แอบอ้างเป็นผู้ปกครองก็ได้
“แสนรักโอเคไหม”
“โอเคค่ะ”
หล่อนบอกพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ใบหน้าเหมือนคนที่กำลังอยากจะหัวเราะก็ไม่ใช่ อยากจะร้องไห้ก็ไม่เชิง อารมณ์ตอนนี้ขึ้นลงสุดๆ เพราะคำตอบศรุตเป็นเหตุ
“แน่ใจนะ มีอะไรให้พี่ช่วยไหม”
“ไม่มีค่ะ สบายมาก พี่ผึ้งไปทำงานต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวแสนรักกลับแล้ว”
แสนรักยืนยัน ผึ้งมองสองหนุ่มสาวสลับกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจ แล้วเพราะไม่เห็นว่าศรุตมีอาการแอบหยิกหรือข่มขู่อะไรแสนรักเลย เขายืนเฉยและยืนห่างจากแสนรักพอควรด้วย เพื่อนบ้านข้างห้องจึงมองว่าคำตอบของแสนรักน่าจะเชื่อได้ว่าเจ้าตัวไม่มีปัญหาจริงๆ
“งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ แล้วเจอกันจ้า”
“ค่ะพี่ผึ้ง”
สาวสวยรีบกลับเข้าไปทำงาน ส่วนแสนรักก็ได้แต่โบกมือให้ แต่คล้อยหลังสาวสวยไปแล้ว ศรุตที่ยืนเงียบอยู่ก็เอ่ยปากถามทันที
“วันก่อนให้ฉันไปส่งที่บ้านที่เป็นบ้านเดี่ยว แล้วทำไมวันนี้บอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนบ้านห้องข้างๆ เธอไม่ได้อยู่คอนโดหรือห้องเช่าไม่ใช่เหรอ”
‘โอ๊ะ ตาย คนอะไรจะฉลาดและช่างจำขนาดนี้’
แสนรักครางในใจ รู้แล้วว่าต้องโดนเขาซักจนขาวสะอาดแน่ แต่ขอเป็นไปซักที่อื่นดีกว่าตรงนี้ เพราะถ้าภูวนัยออกมาแล้วเจอหล่อนคงไม่ดีแน่ หรือถ้าภูวนัยออกมาเจอศรุตด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ดีเหมือนกัน
“คือ ไปหาที่คุยกันที่อื่นดีกว่าไหมคะ”
ชายหนุ่มหรี่ตามองหล่อนอย่างคาดโทษ แต่ก็คิดเหมือนกับที่หล่อนคิดอยู่เหมือนกันว่า ให้ยืนคุยกันตรงนี้ต่อไปก็เห็นจะไม่เหมาะนัก เขาจึงบอกให้หล่อนตามไปขึ้นรถแต่โดยดี
สองหนุ่มสาวจึงมาขึ้นรถก่อนที่ศรุตจะขับรถออกสู่ถนนใหญ่ ขับรถมาได้ครู่หนึ่งก็เริ่มทวงถามคำตอบที่ถามทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้
“พูดความจริงมาสิ ตกลงแล้วบ้านเธออยู่ไหนกันแน่ อย่าให้ถึงขั้นที่ฉันต้องไปเอาประวัติของเธอมาจากฝ่ายบุคคลนะแสนรัก”
เขาถามและขู่ในประโยคเดียว แต่นั่นทำให้แสนรักรู้ว่าเขายังไม่รู้ว่าหล่อนเป็นหลานของคุณปู่ แล้วก็คงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการตรวจสอบประวัตินักศึกษาฝึกงานอย่างที่เขาเคยพูดไว้ว่า เขาไม่ยุ่งกับการตัดสินใจคัดเลือกเด็กฝึกงาน
“คือแสนรักมีที่พักสองที่ บ้านกับหอพัก”
แสนรักบอกแล้วก็คิดว่าตนเองไม่ได้โกหก แค่บอกไม่ตรงเสียทีเดียว แต่มันมีความจริงอยู่ในนั้นแปดสิบเปอร์เซ็นต์ นั่นคือหล่อนมีบ้านให้กลับ แต่แค่กลับไม่ค่อยได้ ส่วนหอพักที่ว่าเอาจริงๆ มันคือคอนโด ก็แค่นั้นเอง
“งั้นตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันแน่”
“ก็...หอพักค่ะ”
“งั้นวันนี้ฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน”
“จะไปส่งทำไมที่บ้านคะ ตอนนี้แสนรักอยู่ที่หอพัก!”
“แต่วันก่อนเธอให้ฉันไปส่งที่บ้าน ซึ่งไม่มีใคอยู่นอกจากพี่สาวของเธอ พอมาวันนี้ฉันจะไปส่งที่บ้าน แต่เธอแสดงปฏิกิริยาไม่อยากให้ไปส่งที่บ้าน ก็แสดงว่าที่บ้านนั้นวันนี้มีคนอยู่มากกว่าหนึ่งคนและมันคือตัวหลอก ของจริงคือหอพัก เพราะฉะนั้น...ฉันอยากรู้นักว่าบ้านที่เธอหลอก จริงๆ แล้วเป็นของใครกันแน่!”
โอ้! แม่เจ้า เจอผู้ชายฉลาดล้ำทำไงดี
แสนรักครางในใจพยายามหาทางออกให้ตัวเอง พอดีเห็นไกลออกไปว่าข้างหน้ามีปั๊มน้ำมันอยู่ หล่อนจึงคิดหาทางหนีลงจากรถเขาด้วยการบอกว่า
“คุณศรุตช่วยแวะปั๊มน้ำมันข้างหน้าให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ทำไม จะหนีเหรอ” เขาถามอย่างรู้ทัน “คิดว่าหนีได้เหรอ ถึงหนีฉันได้วันนี้ ไปทำงานก็ต้องเจออยู่ดี”
“เปล่าค่ะ แสนรักปวดห้องน้ำ”
หญิงสาวสั่นหน้าปฏิเสธเสียงอุบอิบแบบอายๆ แต่ความจริงแล้วมันใช่เลยต่างหาก หล่อนคิดจะหนี เพราะไม่อยากให้ความแตกวันนี้ เนื่องจากป๊ากับม้าของปนิตาอยู่ที่บ้าน หล่อนยอมให้ศรุตไปส่งไม่ได้และยังไม่อยากให้เขารู้ด้วยว่าตนเองอยู่คอนโดหรูไม่ใช่หอพักธรรมดา อีกทั้งมีชนักติดหลังอยู่ด้วย ยิ่งไปกันใหญ่
ศรุตไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่ก็ยอมแวะปั๊มน้ำมันให้ อีกอย่างพอมองหน้าปัดบอกปริมาณน้ำมันในถังแล้วก็เห็นว่ามันก็สมควรเติมอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงพาหล่อนเข้าไปในปั๊มน้ำมันและจอดรอเติมน้ำมัน ในขณะที่แสนรักรีบลงจากรถแล้ววิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ด้านข้างมินิมาร์ตทันที
ชายหนุ่มคอยมองหน้าห้องน้ำอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้แสนรักคลาดสายตาไปได้ แต่ก็มีอยู่ช่วงจังหวะหนึ่งที่เขาต้องก้มลงไปเซ็นสลิปรูดการ์ดเติมน้ำมัน แล้วเด็กปั๊มยังคืนการ์ดมาผิดใบ จนเขาต้องเป็นฝ่ายหยิบออกจากมือของเด็กปั๊มเอง
พอเติมน้ำมันเสร็จเขาก็เอารถมาจอดตรงที่จอดรถหน้าห้องน้ำเพื่อรอหล่อน แต่ผ่านไปสิบนาทีหล่อนก็ยังไม่ออกมาจนเขาชักเอะใจ พอดีเห็นแม่บ้านของปั๊มเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาจึงรีบลงไปสอบถาม
“ขอโทษนะครับป้า ผู้หญิงที่ใส่เสื้อสีฟ้ากับกระโปรงสีขาวยังอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่าครับ”
“หืม...ไม่มีแล้วนะคุณ ในห้องน้ำตอนนี้ว่างทุกห้องเลย มีอะไรหรือเปล่าคุณ”
“พอดีผมทะเลาะกับแฟน แล้วเธอขอแวะเข้าห้องน้ำ ผมก็เลยรอที่รถ แต่ไม่เห็นเธอออกมาเสียที”
“งั้นเดี๋ยวป้าเข้าไปดูให้อีกที แต่ไม่มีแล้วนะเมื่อกี้”
แม่บ้านของปั๊มน้ำมันว่าแล้วเดินเข้าไปดูให้ ครู่ถัดมาก็เดินออกมาบอกว่าไม่มีใครในห้องน้ำแล้วจริงๆ แล้วด้วยความเชื่อว่าศรุตเป็นแฟนกับผู้หญิงที่เขาถามหาอยู่จริงจึงยิ่งเป็นห่วง
“คุณมีเบอร์โทร. แฟนไหม ลองโทร. ซิ แต่ป้าไม่เห็นจริงๆ นะ”
ศรุตพยักหน้ารับแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ทำทีว่ากำลังหาเบอร์โทร. ทั้งที่เขาไม่มีเบอร์หล่อนด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นเองก็มีพนักงานของปั๊มอีกคนเดินมา พอเห็นแม่บ้านกับผู้ชายหล่อเหลาเหมือนจะมีเรื่องอะไรกันจึงหยุดสอบถาม ก่อนที่เจ้าตัวจะร้องอ๋อ
“อ๋อ ผู้หญิงคนนั้น หนูเห็นเดินเลาะหลังต้นไม้อ้อมด้านหลังมินิมาร์ตออกไป ยังงงอยู่เลยว่าทางดีๆ มีทำไมไม่เดิน ทำไมต้องไปอ้อมด้านหลังมินิมาร์ตด้วย นู้น ออกจากปั๊มไปได้สักห้านาทีที่แล้วแล้วละคุณ คุณลองขับรถออกไปดูก็ได้ ถ้าไม่ได้เดินไปตามทางเท้าเรื่อยๆ ก็คงโบกแท็กซี่หรือไม่ก็มอเตอร์ไซค์วินไปแล้วมั้ง”
ศรุตได้แต่ขอบคุณและทำตามที่พนักงานแนะนำ เขารีบสตาร์ตรถและขับออกไปดู แล้วก็จริงอย่างที่พนักงานบอกไว้ ตอนที่เขาจอดรถริมถนนและชะโงกหน้าถามมอเตอร์ไซค์วินว่ามีผู้หญิงรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ใส่เสื้อผ้าแบบนี้เรียกมอเตอร์ไซค์ไปหรือยัง มอเตอร์ไซค์วินก็บอกว่าเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เอง
“เขาบอกให้ไปส่งที่ไหน ทราบไหมครับ”
“ไม่รู้เลยคุณ เขาบอกกับคนที่ได้คิวที่ออกไปแล้ว”
“ขอบคุณครับ”
ศรุตกล่าวขอบคุณและกดปุ่มปิดกระจกก่อนจะพารถเคลื่อนจากที่ พร้อมกับหมายมาดว่าเจอหน้าหล่อนเมื่อไหร่ละก็ น่าดูแน่
“ก็ได้แม่ตัวดี! ฉันจะไม่ไปค้นประวัติเธอ แต่มาทำงานเมื่อไหร่ จะเล่นให้หนักเลย!”
จากเหตุผลและข้อตกลงกับมงคลในวันก่อน บวกกับการต้องมาเป็นตัวแทนของมงคล ศรุตจึงขึ้นเครื่องบินไปยังจังหวัดใหญ่ทางภาคใต้ที่ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งท่องเที่ยว เพื่อไปร่วมงานเปิดตัวรีสอร์ตบนเกาะส่วนตัวแห่งหนึ่ง ในงานมีผู้มาร่วมงานประมาณห้าสิบคน หลายคนที่มาร่วมงานแล้วก็อยู่พักผ่อนต่อเลย เหมือนอย่างเขาในตอนนี้ แต่บางคนที่ทิ้งงานไม่ได้ จบงานเปิดตัวรีสอร์ตแล้วกลับเลยก็มี
ชายหนุ่มเดินเลียบชายหาด ปล่อยตัวเองไปกับธรรมชาติและความเงียบสงบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่เกาะแห่งนี้ เขาเคยมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อสิบสามปีที่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่มันยังไม่มีรีสอร์ต
สิริภัทรารีสอร์ตเป็นรีสอร์ตแบบปิดบนเกาะส่วนตัว ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นรีสอร์ตที่เพิ่งเปิดตัวใหม่เสียทีเดียว เดิมทีที่แห่งนี้เป็นเกาะที่สินธรซื้อไว้ก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจและปล่อยทิ้งไว้ในสภาพนั้นอยู่หลายปี จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและธุรกิจการท่องเที่ยวมีการแข่งขันสูง สินธรจึงคิดจะเอาพื้นที่บนเกาะมาทำรีสอร์ตส่วนตัวเล็กๆ
แต่ก็เหมือนมีเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาขัดขวาง เมื่อต้องสูญเสียลูกชายคนเดียวที่เปรียบเสมือนหัวเรือใหญ่ของบ้านไป โครงการที่ว่าจึงต้องยุติไปและกลายเป็นการให้บริษัทที่สนใจมาเช่าเกาะเพื่อทำรีสอร์ตแทน แล้วหลายปีต่อมาสินธรจึงยุติการให้เช่าและซื้อรีสอร์ตกลับมาเป็นของตัวเอง จนกระทั่งมาเปิดตัวในชื่อใหม่เมื่อวานนี้
สินธรถือเป็นคนเก่ง แต่ก็ยังเก่งน้อยกว่ามงคล ผู้เป็นปู่ของเขาที่เป็นรุ่นพี่ รวมทั้งชื่อเสียงของมงคลก็มีมากและเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากกว่าทำให้มีภาษีดีกว่าในหลายๆ เรื่อง เพราะเหตุนี้เองสินธรจึงค่อนข้างเคารพและยำเกรงมงคล แล้วก็ลามมาถึงตัวเขาด้วย เพราะเขาขึ้นชื่อด้านความเด็ดขาดและถอดแบบฉบับการบริหารมาจากปู่ แถมยังเขี้ยวยิ่งกว่าปู่เสียด้วย
ศรุตคิดไปเรื่อยขณะเดินเลียบชายหาด จนกระทั่งถึงแนวเตียงชายหาดที่มีร่มกางให้ร่มเงาอยู่ แต่ตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งร้องเรียกดังมาจากบริเวณทางเดินหินที่มาจากแผนกต้อนรับและดูแลลูกค้าของรีสอร์ต
“คุณศรุต...”
เขาเงยหน้ามองพอเห็นว่าเป็นใครก็ทักกลับ
“คุณสินธร”
“ไปเดินชมทั่วเกาะหรือยัง เอ๊ะ แล้วนี่พนักงานที่ผมให้มาคอยดูแลไม่อยู่เหรอครับ”
สินธรถามพลางมองซ้ายขวาแต่ไร้เงาพนักงานที่อุตส่าห์สั่งให้มาดูแล จนศรุตต้องเฉลย
“ผมขอความเป็นส่วนตัว เลยบอกให้เขาไปทำงาน และถ้าเกิดผมเห็นเขามาอยู่ใกล้ๆ ในระยะสายตา ผมอาจทำให้เขาตกงานได้”
สินธรฟังแล้วก็หัวเราะเล็กน้อย ไม่เซ้าซี้เรื่องคนของตัวเองต่อ จากนั้นก็ชวนศรุตไปนั่งคุยกันที่ศาลาไม้สีขาวเล็กๆ บริเวณสวนเที่ปูพื้นด้วยหญ้า โดยมีวิวทิวทัศน์ชายหาดกับเสียงคลื่นและลมทะเลเป็นฉากหลัง
“นี่น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันนั้น...ที่คุณได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง”
“ครับ เป็นครั้งแรก ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะมาก”
ศรุตเปรยและคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้เกาะแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาและกลายเป็นที่พักที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ที่ต้องการมาพักผ่อนได้เป็นอย่างดี
“ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามเวลาที่ผันแปร” สินธรว่าแล้วก็มองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าก่อนจะหันกลับมามองศรุต “แต่ผมกลับคิดว่ามีหนึ่งคนที่ไม่เปลี่ยนไปเลย นั่นคือคุณ สิบสามปีก่อนคุณฉายแววโดดเด่นมากในฐานะหลานของคุณมงคล สิบสามปีต่อมาคุณยิ่งทำให้ผมเห็นว่าวิสัยทัศน์ของคุณ การบริหารและการทำงานของคุณเป็นของจริง ไม่ใช่เพราะพึ่งบารมีคุณมงคล”
“คุณชมเกินไป”
“ไม่หรอก ผมพูดจริง แต่เพราะอย่างนี้ผมจึงยิ่งกังวล เพราะหลานชายของผมยังไม่ได้ครึ่งของคุณเลยด้วยซ้ำ” สินธรยอมรับอย่างไม่อายเพราะมองว่าถึงศรุตรู้ก็ไม่ได้มีผลเสียอะไร “บางครั้งผมก็คิดว่าตัวเองวางมือเร็วไปหรือเปล่า แต่เพราะผมเหลือหลานชายที่จะสืบทอดอยู่เพียงคนเดียว ถ้าไม่ยอมให้เขาก้าวขึ้นมา เขาก็จะไม่มีวันได้ก้าวต่อไป”
“นับว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องครับ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ดีสิ” เสียงของสินธรแฝงความเหน็ดเหนื่อยก่อนจะวกเข้าเรื่องที่แท้จริง “ผมรู้ว่าข่าวคราวในแวดวงธุรกิจในสายผู้ประกอบกิจการอย่างเรา ไม่มีทางเล็ดลอดผ่านหูผ่านตาคุณไปได้แน่ ผมถามตรงๆ เลยก็แล้วกัน คุณรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของ คอนราจ สเตซี บ้างไหม”
คำพูดของสินธรรวมถึงชื่อที่ถูกเอ่ยจากปากทำให้ศรุตนิ่งไปนิด พลางมองชายสูงวัยตรงหน้าเหมือนประเมินว่าเขาควรจะให้คำปรึกษาแค่ไหนถึงจะดี
“บางอย่างมันยังไม่เกิด ก็ถือเสียว่าเป็นเรื่องที่ดีจะดีกว่า”
ศรุตตัดสินใจให้คำแนะนำแค่นี้ เพราะไม่อยากก้าวก่ายการตัดสินใจในการบริหาร
แต่เพราะเขาตอบไปเช่นนั้น สินธรจึงสรุปได้ในทันทีว่าข่าวที่รู้มาจากเลขาฯ ของหลานชายน่าจะมีมูลแล้ว ยิ่งทำให้เจ้าตัวหนักใจมากขึ้น ถึงอำนาจการบริหารในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในมือของเขา แต่ก็ไม่อาจจะทนดูโรงแรมที่สร้างมากับมือต้องพังพินาศไป เพราะการบริหารและการตัดสินใจที่ผิดพลาดของหลานชาย
“ผมเข้าใจ ถ้าอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด แต่เมื่อถึงตอนนั้น ผมอยาก...”
สินธรยังพูดไม่ทันจบ อะไรบางอย่างขาวๆ เล็กๆ ก็พุ่งออกมาจากแนวต้นไม้ พร้อมกับที่ร่างหนึ่งวิ่งตามมาและกระโจนเข้าไปตะครุบเจ้าตัวสีขาวที่เตรียมกระโดดหนีไว้ได้ทันก่อนที่มันจะหนีไปอีก
ตุบ!
“จับได้สักทีนะเจ้าตัวดี”
แสนรักเปรยกับเจ้าขนปุยสีขาวในอ้อมแขน แล้วค่อยยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย หล่อนกอดเจ้าตัวดีที่ยุกยิกๆ ไว้ในอ้อมแขนข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็ปัดเศษหญ้าที่ติดกางเกงอยู่ออก แต่เพราะเจ้าตัวหันหลังให้ศาลาไม้และไม่ได้มองมาตั้งแต่แรก จึงไม่ทันเห็นว่ามีคนอยู่ในศาลา จนกระทั่ง...
“แสนรัก นั่นทำอะไร”
เสียงของคุณปู่ดังมาจากด้านหลัง คนที่กำลังอุ้มเจ้าขนปุยอยู่ถึงกับชะงัก แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้บนเกาะมีแขกมาพักหลายคน การที่หล่อนมาวิ่งไล่จับกระต่ายแบบนี้มันจึงดูไม่เหมาะอย่างยิ่ง
‘โดนแล้วไงไอ้แสนรัก ไม่น่าเลย’
หล่อนคิดแล้วจึงรีบหันไปขอโทษคุณปู่
“ขอโทษค่ะคุณปู่”
แสนรักกล่าวคำพร้อมกับยกอ้อมแขนขึ้นเล็กน้อยเหมือนกับกำลังยกมือไหว้ขอโทษผู้ใหญ่ แล้วตอนนั้นเองที่หล่อนได้เห็นว่าท่านไม่ได้อยู่คนเดียว จึงเลื่อนสายตาไปมอง ก่อนจะชะงักรอบสองเมื่อเห็นว่าแขกของคุณปู่คือ...
“คุณศรุต!”