6
บทที่ 6
๖
แสนรักนำอาหารมาเสิร์ฟให้ศรุตถึงด้านในบ้านพักจนครบทุกเมนู ซึ่งบ้านพักของศรุตเป็นแบบที่หันหน้าออกทะเล มีห้องนอนใหญ่หนึ่งห้องและมีระเบียงนั่งเล่นกับสระน้ำส่วนตัวหน้าบ้านพัก สามารถว่ายน้ำเล่นไปชมวิวชายหาดไปได้อย่างสบายๆ
แต่ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้ว ศรุตจึงไม่อยากกินอาหารไปตบยุงไป จึงให้แสนรักเอาเข้าไปเสิร์ฟให้ในตัวบ้าน แทนที่จะนั่งดื่มด่ำตรงระเบียงหน้าบ้านเคล้ากับเสียงคลื่นกระทบฝั่ง เพราะยุงทะเลมันตัวใหญ่และกัดเจ็บทีเดียว
“อาหารที่สั่งไปได้รับครบไหมคะ”
หญิงสาวถามหลังจากวางจานสุดท้ายซึ่งเป็นขนมหวานลงบนโต๊ะเรียบร้อย เขามองแล้วก็พยักหน้ารับว่าทุกอย่างที่สั่งไปได้ครบถูกต้อง หล่อนจึงยกมือขึ้นไหว้พร้อมกับกล่าวคำขอโทษตามที่ถูกสั่งมา
“ขอโทษค่ะ”
ศรุตขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าหล่อนขอโทษเขาเรื่องไหน เพราะตอนนี้เรื่องที่ยังค้างคาต้องชำระความกัน คือเรื่องที่หล่อนไม่ยอมบอกเขาแต่แรกว่าเป็นหลานของสินธร แล้วก็เรื่องปลอมตัวไปทำงานในผับ กับเรื่องที่มาขโมยจูบเขาหน้าอาบอบนวดแล้วชิ่งหนีเขาไปตอนที่อยู่ปั๊มน้ำมัน
“เอาเรื่องไหนก่อนดีล่ะ มีหลายเรื่องเหลือเกิน”
หล่อนรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่หล่อนไม่ได้ขอโทษเรื่องพวกนั้น
“ไม่ใช่เรื่องที่กรุงเทพฯ ค่ะ แต่เป็นเรื่องที่แสนรักพูดจาไม่ดีกับคุณต่อหน้าพนักงาน ตอนที่อยู่ที่ห้องครัว”
“เรื่องนั้นฉันไม่เห็นว่าเธอจะพูดจาไม่ดีตรงไหน เธอก็แค่อธิบายและบอกเฉยๆ นี่”
ชายหนุ่มแย้งเพราะมองว่ามันไม่ใช่การเถียงหรือการพูดจาไม่ดี สำหรับเขาถ้าพูดจาไม่ดีมันจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างที่หล่อนทำ
“แต่คุณเป็นแขกของคุณปู่ แสนรักก็ไม่ควรต่อปากต่อคำกับคุณ ถือว่าผิดอยู่ดี”
เขานิ่วหน้าเล็กน้อยเดาได้ทันทีว่าหล่อนน่าจะโดนผู้ใหญ่ดุมา
“เรื่องที่ห้องครัว เป็นเรื่องใหญ่มากเชียวเหรอ” ศรุตถามน้ำเสียงอ่อนโยนลง
“ก็ไม่มากหรอกค่ะ อย่าสนใจเลย” หล่อนบอกปัด “คุณศรุตต้องการอะไรอีกไหม ถ้าไม่แล้วแสนรักจะได้ออกไปยืน...อุ๊บ!”
แสนรักเกือบหลุดพูดออกไปจึงต้องรีบยั้งปากไว้ แต่ศรุตที่ได้ยินอะไรแพลมๆ ออกมากลับนิ่วหน้า แล้วเขาก็ไม่ชอบปล่อยให้มีอะไรค้างคาใจด้วย
“จะบอกฉันตรงนี้ หรือให้ฉันไปถามคุณสินธรเอง”
คำขู่ของเขาทำให้หล่อนทำหน้าง้ำหน้างอใส่ แล้วก็จำใจต้องบอกความจริงกับเขา
“แสนรักไม่ใช่พนักงาน ไม่ควรรับออร์เดอร์จากคุณโดยตรง ควรเรียกพนักงานมาและให้พนักงานจัดการ ไม่ใช่ตัดสินใจไปเองโดยพลการ ก็เลยโดนทำโทษให้ยืนสำนึกผิดหน้าบ้านพักของคุณหนึ่งชั่วโมง”
“หน้าบ้านพัก?”
เขาทวนพลางมองเลยไปยังหน้าบ้านพักที่หันหน้าออกสู่ชายหาด ไม่เหมือนบ้านพักโซนอื่นที่หน้าบ้านพักจะเป็นทางเดินและมีรั้วไม้ของบ้านพักแต่ละหลังกั้นเป็นอาณาเขตไว้ แล้วจึงทวนถาม
“ยืนทั้งที่มันมืดๆ อย่างนี้น่ะเหรอ”
แสนรักพยักหน้าหงึกๆ ทำตาปรอยและหน้าคว่ำใส่เขา
“ยุงได้หามกันพอดี”
ศรุตส่ายหน้าแต่ไม่วิจารณ์เรื่องการทำโทษนี้ เพราะถือว่าตนเองเป็นคนนอก แต่ในส่วนที่เขาพอจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เขาก็จะช่วย เขาจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วรื้อของในกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่งที่อยู่ในนั้นพักหนึ่งก่อนจะเดินกลับมาและยื่นของที่ถือมาด้วยส่งให้
“นี่น่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
แสนรักมองขวดโลชั่นกันยุงในมือเขาอย่างลังเล ตอนแรกคิดว่าเขาจะสมน้ำหน้าหล่อนเสียด้วยซ้ำ
“รับไปเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”
หล่อนยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณแล้วรับขวดโลชั่นกันยุงมาถือ ศรุตไม่ได้รับไหว้และไม่ได้พูดเรื่องทำโทษต่อ แต่เปลี่ยนเป็นชวนหล่อนแทนหน้าตาเฉย
“นั่งลงก่อนสิ”
“นั่งทำไมคะ?”
“กินมื้อเย็นหรือยัง”
“ยังค่ะ” หล่อนก็พาซื่อตอบไปก่อนจะได้ทันคิด
“งั้นอยู่กินมื้อเย็นเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
ศรุตกล่าวจบก็ไม่รอฟังคำตอบ เลื่อนจานใส่ข้าวเปล่ามาวางอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ แล้วหยิบจานรองถ้วยขนมหวานมาใช้ต่างจานข้าวของตัวเอง ยกช้อนส้อมที่ควรเป็นของเขาให้หล่อน ส่วนเขาเปลี่ยนไปใช้ช้อนกินขนม โดยเอาไอศกรีมที่เป็นของหวานที่สั่งมาไปใส่ตู้เย็นไว้ก่อน
ชายหนุ่มทำทุกอย่างรวดเร็วเสียจนคนที่เตรียมปฏิเสธได้แต่ยืนทำตาปริบๆ กับการตัดสินใจกึ่งมัดมือชกของเขา แถมพอจัดการเสร็จเรียบร้อยเขาก็ลากเก้าอี้หวายที่มีเบาะบุนวม ที่เดิมวางอยู่หน้าโต๊ะกระจกมานั่ง แล้วสั่งย้ำให้หล่อนนั่งอีก
“นั่งเสียทีสิ”
“ไม่เอาค่ะ ไม่นั่ง”
แสนรักปฏิเสธชัดแจ๋ว ทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังทำตาปรอยหน้าจ๋อยอยู่แท้ๆ
“แล้วถ้าเป็นคำสั่งของลูกค้าล่ะ เธอจะนั่งไหม”
“ก็ไม่นั่งค่ะ เพราะมันผิดกฎของพนักงานที่จะมานั่งกินข้าวกับแขก”
“แต่เมื่อกี้เธอบอกเองว่าเธอไม่ใช่พนักงาน เพราะฉะนั้นกฎของพนักงานก็ไม่ใช่กฎของเธอ”
เขายกคำพูดของหล่อนมาอ้าง ทำให้แสนรักอึกอักถึงทางตัน เพราะมันก็จริงอยู่ว่าหล่อนไม่ใช่พนักงาน กฎของพนักงานไม่ได้ครอบคลุมถึงหล่อน แต่ว่าในทางปฏิบัติแล้ว ถ้าหล่อนยอมกินข้าวเป็นเพื่อนเขา หล่อนจะโดนเล่นงานซ้ำและอาจจะโดนคุณพิมพ์นรีลงโทษหนักกว่านี้ด้วยก็เป็นไปได้
“คุณศรุตกำลังจะทำให้แสนรักเดือดร้อน” หล่อนบอกตรงๆ
“ถ้าไม่เดือดร้อนก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
ศรุตถามกลับแล้วไม่รอให้หล่อนตอบ เขาเดินไปยังโต๊ะหน้ากระจก หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้มากดเบอร์สินธร ครู่ถัดมาพอสินธรรับสาย เขาก็ขออนุญาตยืมตัวแสนรักให้อยู่กินมื้อเย็นกับเขาที่บ้านพัก โดยให้เหตุผลว่าต้องการคุยกับหล่อนเรื่องที่มาฝึกงานและยังบอกอีกด้วยว่า
“ถ้าห่วงเรื่องความไม่เหมาะไม่ควร เพราะแสนรักเป็นผู้หญิง จะส่งพนักงานสักคนมาเฝ้าที่บ้านพักผมก็ไม่ว่า”
ชายหนุ่มบอกกับสินธรและปิดประตูคำปฏิเสธได้อย่างชะงัด ซึ่งสินธรเองก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธคำขอนี้ตั้งแต่ที่ได้ยินศรุตเอ่ยปากขอ แถมยังชอบใจอีกต่างหากที่ศรุตกล้าถึงขั้นโทรศัพท์มาบอกตรงๆ ว่าต้องการให้หลานสาวอยู่คุยด้วยและยังคิดปกป้องชื่อเสียงของแสนรักด้วยเสร็จสรรพ ไม่เปิดช่องให้ใครเอาไปนินทาลับหลังได้ เป็นคนรอบคอบจริงๆ
“ไม่เป็นไร ผมเชื่อใจคุณและเชื่อใจหลานสาวของตัวเอง”
สินธรเอ่ยอนุญาตและยอมให้แสนรักอยู่กินมื้อเย็นกับศรุตที่บ้านพัก ซึ่งพอศรุตวางสาย เขาก็หันมาเจอกับแสนรักที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ เพราะตอนที่เขาคุยโทรศัพท์กับสินธร หล่อนไม่อยากเสียมารยาทแทรกไปตอนนั้น เพราะกลัวว่าจะโดนคุณปู่ดุเรื่องมารยาทแถมให้ด้วยอีกเรื่อง จึงรอจนกว่าเขาจะคุยโทรศัพท์เสร็จ
“คุณศรุตทำแบบนี้ทำไม”
“เธอบอกว่าฉันจะทำให้เธอเดือดร้อน ฉันก็เลยทำให้ถูกต้อง”
“แสนรักไม่ได้หมายถึงเรื่องขออนุญาต แต่ที่คุณศรุตจะให้แสนรักอยู่กินอาหารกับคุณที่นี่ต่างหาก”
“ทำไม”
“มันไม่ควร แล้วแสนรักก็ไม่ได้หิวด้วย”
แสนรักโกหกอย่างดื้อดึง แต่ศรุตไม่ใช่คนที่ยอมรับคำปฏิเสธของใครง่ายๆ เขาไม่ขึ้นเสียงและไม่เหวี่ยงใส่ใคร แต่เขาสามารถทำให้คนที่ต้องการอยู่หรือไป แล้วก็ทำตามที่เขาต้องการได้ เพียงแค่...
“นั่งลง”
ศรุตสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอๆ กับสีหน้า แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้แสนรักรู้สึกกริ่งเกรงและไม่อยากขัดใจเขา ดวงตาของเขาที่มองมาไม่ได้มีความดุดัน คิ้วก็ไม่ได้ขมวดแต่อย่างใด ทว่าแค่เขามองแค่นั้น มันก็เหมือนกับเขากำลังจะบอกหล่อนว่า เขาสามารถทำให้หล่อนมีปัญหาได้แน่ถ้าอยากให้มี การถูกมองเช่นนั้นทำให้หัวใจของหล่อนเต้นระรัวและสุดท้ายก็ยอมทำตามที่เขาบอกอย่างจำใจ
พอแสนรักนั่งเรียบร้อย เขาก็เลื่อนจานข้าวมาให้หล่อน แต่เพราะจานที่มีข้าวอยู่มีแค่จานเดียวแล้ว พอคิดว่าเขาควรจะได้กินข้าวให้อิ่ม ไม่ใช่เอามาให้หล่อน เจ้าตัวก็โพล่งออกไปอย่างที่ใจคิด
“คุณศรุตเอาข้าวมาให้แสนรัก แล้วคุณจะกินอะไรล่ะ”
“ฉันกินแต่กับ”
เขาตอบไปอย่างนั้น คิดว่ากับข้าวเยอะแบบนี้ไม่ต้องกินข้าวเยอะก็คงอิ่ม
“ไม่ได้ค่ะ เพราะผัดเผ็ดเห็ดหลุบกับยำหอยเจาะมันเผ็ด อย่างน้อยก็ต้องมีข้าวเปล่าช่วย” แสนรักแย้ง
“งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน”
แบบนี้ที่ว่าคือ เขาตักแบ่งข้าวเปล่าจากจานตรงหน้าหล่อนมาใส่จานของตนเอง เป็นการแบ่งข้าวกันคนละครึ่ง แต่แสนรักก็ยังไม่วายห่วงอยู่ดี
“แล้วคุณศรุตจะอิ่มเหรอ”
“ฉันกินข้าวไม่เยอะแต่กินกับเยอะกว่า แต่ถ้าไม่สบายใจ จะสั่งข้าวเปล่ามาเพิ่มก็ได้”
แสนรักพยักหน้ารับ เห็นด้วยเรื่องสั่งข้าวเพิ่มเพราะกลัวเขาไม่อิ่ม จึงลุกไปที่โทรศัพท์ติดต่อภายในเพื่อโทร. เข้าไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ ทำตามขั้นตอนเหมือนอย่างเวลาที่ลูกค้าต้องการสั่งอาหารก็ต้องทำแบบนี้ พอสั่งเสร็จหล่อนก็กลับมานั่งที่เดิม แล้วก็รู้สึกเกรงใจบวกกับกลัวว่าอาหารจะเย็นเสียหมด
“คุณศรุตกินก่อนไหม เดี๋ยวอาหารเย็นหมดแล้วมันจะไม่อร่อย”
“ไม่เป็นไร ฉันรอได้” เขาปฏิเสธและเปลี่ยนเป็นชวนคุยฆ่าเวลา “วันนั้นทำไมถึงไม่ยอมบอกฉันว่าเป็นหลานของคุณสินธร”
ชายหนุ่มหมายถึงวันแรกที่เจอกัน หลังจากช่วยหล่อนจากคนร้ายวิ่งราวและจัดการเรื่องที่สถานีตำรวจแล้ว เพราะเขามาคิดดูแล้วหล่อนมีโอกาสบอกเขาได้ ทั้งตอนที่เสร็จธุระจากสถานีตำรวจ ทั้งตอนที่เขาขับรถพาหล่อนไปส่ง แต่ทำไมถึงได้หลอกกันแล้วให้เขาพาไปส่งบ้านหลังนั้นแทน
“แสนรักคิดว่าถ้าบอกไปว่าเป็นหลานของคุณปู่ ถ้าคุณรู้...ตอนคุณพาแสนรักไปส่ง คุณต้องฟ้องคุณปู่แน่ๆ แสนรักไม่อยากให้คุณปู่โกรธแล้วก็เป็นกังวล” หล่อนตอบเสียงอุบอิบหน้าจ๋อยเล็กน้อย “แล้วสุดท้ายมันก็จริงอย่างที่แสนรักคิด พอวันนี้คุณรู้ว่าแสนรักเป็นใคร คุณก็ฟ้องคุณปู่จริงๆ”
“แล้วมันน่าฟ้องไหม”
แสนรักทำหน้าง้ำหน้างอ รู้อยู่หรอกว่าผิดที่ไม่ระมัดระวังตัววิ่งตามคนร้ายไป แต่ก็ไม่เห็นจะต้องเอามาฟ้องคุณปู่ให้หล่อนโดนดุเลย ทั้งที่ช่วยปิดปากเงียบก็ได้แท้ๆ
“แล้วเรื่องที่ผับ คุณสินธรไม่รู้ใช่ไหม” เขาถามต่ออย่างเดาไว้แล้ว
“คุณปู่ไม่รู้ค่ะ คุณศรุตอย่าบอกคุณปู่นะ แสนรักขอ นะ นะคะ” หล่อนบอกความจริงแล้วออดอ้อนขอร้องเขาทันที
ศรุตนิ่วหน้าเล็กน้อย ที่หล่อนถึงขั้นยอมอ้อนขอ แสดงว่าถ้าสินธรรู้เรื่องนี้เข้าเมื่อไร ต้องเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหล่อนแน่ๆ
“ถ้าฉันรับปากว่าจะไม่บอก เธอจะเลิกไปทำงานที่นั่นไหม”
“แล้วทำไมต้องเลิกด้วยล่ะ แสนรักไม่ได้ไปเป็นเด็กนั่งดริงก์สักหน่อย” หล่อนแย้งพร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่ “แค่ไปเป็นพนักงานเสิร์ฟ เป็นอาชีพสุจริต ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“รู้ ว่าเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟ แต่ในผับในบาร์มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ถ้าไปเจอเฒ่าหัวงูจะทำยังไง”
“ก็เพราะแบบนั้นไง แสนรักถึงต้องแต่งตัวเป็นพนักงานผู้ชาย” หล่อนยังเถียงต่อ
“แล้วคิดว่าไม่มีใครมองออกหรือไง”
“เท่าที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครทักนี่คะ”
“เอาเป็นว่าฉันจะไม่บอกคุณสินธร แต่เธอต้องเลิกไปทำงานที่นั่น ถ้าไม่เลิกหรือรับปากฉันแบบขอไปที ถ้าฉันรู้ว่าเธอกลับไปทำงานที่นั่นเมื่อไหร่ ฉันจะบอกคุณสินธรและจะทำโทษเธอด้วย”
เขาไม่ให้ทางเลือกหล่อนแม้แต่น้อย
“ไม่ยุติธรรมเลย!”
แสนรักโอดครวญพร้อมกับทำหน้ามุ่ยขัดใจ ถึงแม้หล่อนจะไม่ได้เงินมากมายเป็นกอบเป็นกำจากที่นั่น แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่หล่อนเลือกทำเอง แล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดถึงขั้นที่ศรุตต้องประกาศห้ามอย่างนี้เลย
“นี่ยุติธรรมที่สุดแล้ว เพื่อตัวของเธอเอง”
หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดอย่างขัดใจ ไม่ชอบใจที่เขามาสั่งอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากลองดี เพราะถ้าคุณปู่รู้เข้าบ้านพังแน่ แล้วไหนจะแม่เลี้ยงที่รอเล่นงานหล่อนอยู่อีก ถ้ารู้ว่าหล่อนแอบไปทำงานที่ผับ คนที่ห่วงหน้าตาทางสังคมอย่างแม่เลี้ยงคงได้วีนลั่นจนบ้านแตกแน่นอน
พอเคลียร์เรื่องผับเรียบร้อย เขาก็เคลียร์เรื่องต่อไปทันที
“แล้วเรื่องที่หน้าอาบอบนวดนั่นอีก ตกลงแล้วเธออาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่”
“แสนรักมีคอนโดที่คุณปู่ซื้อไว้ให้ ตอนนี้อยู่ที่คอนโด”
“แล้วบ้านที่หลอกให้ฉันไปส่งวันแรกนั่นล่ะบ้านใคร”
เขาถามต่อแม้จะเดาได้รางๆ แล้วว่าไม่ใช่บ้านญาติแน่ เพราะหน้าตาก็ไม่ได้มีความคล้ายกัน แล้วก็อยากได้ยินคำตอบชัดๆ จากปากหล่อนด้วย
“บ้านเพื่อนค่ะ”
“คนที่มาเล่นละครเป็นพี่สาวนั่นก็คือเพื่อนใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“แล้ววันนั้น นึกยังไงถึงได้มาขโมยจูบฉัน” ศรุตถามไถ่กึ่งสอบสวนไปด้วย
เรื่องจูบนี่ ยังไงหล่อนก็คงไม่สามารถตอบคำถามเขาได้หน้าตาเฉยเหมือนเรื่องอื่นก่อนหน้านี้ จึงหลบตาทำเป็นมองไปทางอื่น ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะเคลียร์กับหล่อนทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องจูบก็ยังไม่เว้น
“ว่ายังไง” เขาจี้ถามมาอีก
“ก็...มันเป็นเหตุสุดวิสัย”
“เหตุสุดวิสัยยังไง”
“ก็มัน...เอาเป็นว่าแสนรักไม่ได้ตั้งใจจะขโมยจูบ” หล่อนทำหน้าคว่ำ “รู้ไว้แค่นี้ได้ไหมคะ”
“ไม่ได้” เขาปฏิเสธทันทีก่อนจะพุ่งคำถามเข้าเป้า “ใครกันที่เธอไม่อยากให้เขาเห็น ว่าเธออยู่ตรงนั้น แล้วก็ไม่อยากให้ฉันเห็นด้วย”
คราวนี้แสนรักที่นั่งหน้าคว่ำมองไปทางอื่นอยู่เมื่อครู่ถึงกับหันขวับมามองเขาทันที แปลกใจที่เขารู้ แต่พอรู้ตัวว่าพลาดก็ทำเป็นมองจานตรงหน้าแทน เพราะยังอายกับการกระทำของตัวเองอยู่ ศรุตจึงเฉลยให้ฟัง
“พฤติกรรมของเธอชัดขนาดนั้น วันนั้นถ้าเธอไม่อยากให้ใครเห็นเธอ ก็แค่ใช้ตัวฉันบังเอาไว้ก็ได้ แต่เธอกลับเลือกจูบหลอกๆ แทน มันก็เดาได้ไม่ยากหรอกว่าคนที่เธอไม่อยากให้เห็น ต้องเป็นคนที่ฉันรู้จักด้วย”
แสนรักอายหน้าแดง ยิ่งพอเขาพูดถึงจูบซ้ำๆก็พลันนึกถึงริมฝีปากและลมหายใจอบอุ่นของเขาที่มันแนบชิดกับปากหล่อน แค่คิดก็สยิวกิ้วแล้ว
“ต้องตอบด้วยเหรอคะ”
“ตอบมา แล้วฉันจะไม่ถามอีก”
“ก็ได้...” หล่อนยอมยกธงขาว “วันนั้น...คนที่แสนรักไม่อยากให้เห็น คือพี่ภู”
คำตอบของหล่อนทำให้ศรุตถึงบางอ้อ แล้วเขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีกตามที่พูดไว้ ครู่ใหญ่ถัดมาพนักงานก็นำข้าวเปล่าอีกจานมาเสิร์ฟ
จากนั้นสองหนุ่มสาวก็กินข้าวด้วยกันไปแบบเงียบๆ ไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะแสนรักไม่รู้จะคุยอะไรและยังแอบโกรธเขาอยู่ที่ฟ้องคุณปู่ของหล่อน ส่วนศรุตก็ทำทีเป็นสนใจโทรทัศน์และอาหารตรงหน้ามากกว่า โดยที่หล่อนไม่รู้เลยว่าคน
ที่ทำเป็นสนใจโทรทัศน์อยู่นั้น ความจริงแล้วแอบลอบมองและพิจารณาหล่อนอยู่อย่างเงียบๆ ต่างหาก เพราะนึกถึงคำพูดของสินธรที่บอกเขาไว้ว่า แสนรักถือเป็นคู่หมั้นคู่หมายปากเปล่าที่ผู้ใหญ่เคยคุยกันไว้
‘ผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนกระต่ายจอมซนตัวยุ่งแบบนี้น่ะเหรอ ที่คุณปู่กับสินธรคิดว่าเหมาะกับเขา’
ศรุตคิดแล้วก็ได้แต่ขำในใจ ยังนึกภาพไม่ออกว่าหล่อนจะทำให้เขาตกหลุมรักได้อย่างไร ในเมื่อมารยาร้อยเล่มเกวียนก็ไม่มี หรือถ้ามีก็คงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือถ้าจะบอกว่ามีเสน่ห์เย้ายวนชวนเซ็กซี่ก็คงไม่ใช่อีก มันทำให้เขาอยากรู้แล้วสิว่าหล่อนมีดีอะไร ทำไมสินธรถึงขั้นเสนอให้เขาลองพิจารณาดู!
สองหนุ่มสาวกินอาหารด้วยกันไป พูดคุยกันบ้างนิดหน่อยเกี่ยวกับรสชาติอาหารที่ค่อนข้างเผ็ด ศรุตนั้นกินเผ็ดได้เก่งกว่าแสนรัก แต่สุดท้ายกับข้าวทุกจานที่อยู่ตรงหน้าก็หมดด้วยฝีมือทั้งสองคน แสนรักจึงช่วยเก็บจานชามใส่ถาดไว้ให้เรียบร้อย แล้วนำออกมาวางบนโต๊ะตรงระเบียงด้านหน้าบ้านพัก เพื่อให้กลิ่นอาหารในห้องพักจางลง
พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าตัวที่มีความผิดติดตัวก็ทาโลชั่นกันยุง ก่อนจะพกออกไปด้วยเผื่อยุงจะดุเกินไป แล้วก็ไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เยื้องๆ หน้าบ้านพักตามที่ถูกลงโทษให้ต้องทำ
เจ้าของบ้านพักมองสาวน้อยที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วก็เกิดสนใจหล่อนขึ้นมา ไม่ใช่เพราะหลงเสน่ห์หรือความเย้ายวนแต่อย่างใด แต่รู้สึกว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่แปลกและน่าสนใจ เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าหาเขา ไม่ทำพฤติกรรมตลกๆ อย่างที่หล่อนทำ ส่วนใหญ่จะเป็นสาวสวย สาวสังคมเก่งอย่างนู้นอย่างนี้ แต่หล่อนกลับตรงกันข้ามทั้งหมด ดังนั้นถ้าเขาอยากจะรู้เรื่องของหล่อน ก็น่าจะต้องถามกับคนที่พอรู้
ศรุตคิดแล้วก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู พอเห็นว่ายังไม่ถึงสองทุ่มซึ่งเป็นเวลาสวดมนต์ไหว้พระของคุณปู่ เขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์หาท่านทันที แน่นอนว่าเขาไปถามคนในบ้านของหล่อนไม่ได้แน่ หรือถ้าได้ก็คงต้องเป็นการตะล่อมถามหรือแอบถามมากกว่าไปถามกันโต้งๆ
แต่ประโยคแรกที่มงคลเอ่ยทัก มันทำให้เขาไม่รู้จะขำหรือรู้สึกอย่างไรดีเลยจริงๆ
“ลาพักร้อนได้สองวัน คิดถึงเมียกระดาษเร็วไปไหมไอ้เจ้ารุต แล้วนี่จะโทร. มาให้ผ่อนผันข้อตกลงหรือไง”
“เปล่า ผมจะอยู่ที่เกาะต่ออีกหลายวันจนกว่าจะครบกำหนด”
“แล้วโทร. มาทำไม อ๊ะ ไม่ต้องมาเล่นมุกคิดถึงฉันด้วย ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด”
“ผมไม่มีทางพูดคำเลี่ยนๆ แบบนั้นออกไปแน่ปู่”
ศรุตเย้าพลางหัวเราะเล็กน้อย แต่นั่นกลับทำให้มงคลสงสัย
“แล้วโทร. มาทำไม”
“ผมแค่มีเรื่องอยากให้ปู่ช่วยนิดหน่อย ปู่รู้จักคุณสินธรมาหลายปี แล้วพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับคนในบ้านนี้บ้างไหม” เขาเกริ่นเปิดคำถามก่อนจะพุ่งเข้าเป้า “อย่างเช่นความสัมพันธ์ของคนในบ้านนี้เป็นยังไง”
“ไปเจออะไรเข้าล่ะ ถึงได้มาถามปู่แบบนี้”
มงคลถามเพราะแต่ไหนแต่ไรศรุตก็ไม่เคยสนใจเรื่องราวความสัมพันธ์ของใครมาก่อน วางตัวเฉยชาเสียจนท่านเองยังรู้ว่าพนักงานแอบเรียกลับหลังว่าเจ้าชายน้ำแข็ง แต่ภายใต้ความเย็นชาก็มีความอ่อนโยนแฝงอยู่ เพียงแต่ไม่แสดงออกมาให้ใครเห็นและไม่ทำให้ใครรู้ว่าตนเองกำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่ เพื่อไม่ให้มันกลายเป็นประโยชน์ต่อใครก็ตามที่อยากจะเข้าหา แต่มาบัดนี้กลับอยากรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของคนในบานสิริภัทร์เสียอย่างนั้น มันน่าแปลกจริงๆ
ศรุตเปิดปากบอกสิ่งที่เจอมาให้ผู้เป็นปู่รู้ เพราะอยากได้คำตอบอะไรๆ ที่มันกระจ่างกว่านี้ มงคลเองพอฟังเรื่องราวที่ศรุตเจอมาก็ยอมเปิดปากเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี้เท่าที่รู้ให้หลานชายฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่ลูกหลานบ้านนี้เข้ากันไม่ค่อยได้