7
บทที่ 7
๗
หลังจากคุยกับมงคลจนได้รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในบ้านสิริภัทร์พอควรแล้ว ศรุตก็วางสายและมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสนรักยังยืนอยู่ใต้ต้นไม้และคอยปัดยุงที่มากัดไปด้วย เป็นภาพที่ดูน่าสงสารแต่ก็น่าขบขันไปด้วยในขณะเดียวกัน
ชายหนุ่มคอยมองหล่อนอยู่เป็นระยะ เพราะถึงแม้ว่ารีสอร์ตแห่งนี้จะเป็นรีสอร์ตส่วนตัว แต่มืดๆ อย่างนั้นก็อดห่วงความปลอดภัยของหล่อนขึ้นมาไม่ได้ เขาจึงคอยมองอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งเวลาผ่านไปใกล้ครบหนึ่งชั่วโมง เขาก็เห็นว่าแสนรักยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู หล่อนยืนอยู่ตรงนั้นอีกห้านาที แล้วจึงค่อยออกจากจุดที่ยืนอยู่ แสดงว่ากำหนดเวลาโดนลงโทษจบลงแล้ว
เขาออกมาจากบ้านพักตั้งใจจะเดินไปหาหล่อน แต่ช่วงที่หันไปปิดประตูบ้านพักและหันกลับมา หล่อนก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ไวเป็นกระต่ายจริงเชียวแม่คนนี้”
ศรุตพึมพำแล้วเดินไปยังชายหาดหน้าบ้านพัก ก่อนจะเดินเลียบชายหาดด้านหน้าเพื่อไปยังส่วนกลางของรีสอร์ต แต่พอเดินพ้นหน้าบ้านพักหลังที่อยู่ข้างๆ ที่ว่างอยู่ เขาก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อเจอกับภูวนัยตรงนั้น!
“ออกมาทำอะไรดึกดื่นตรงนี้ไม่ทราบ”
“มีกฎข้อไหนเขียนไว้หรือว่าแขกที่มาพักไม่สามารถออกจากบ้านพักได้ในยามวิกาล”
ชายหนุ่มถามกลับ ทำให้ภูวนัยแทบเดือด เพราะมีเรื่องไม่พอใจศรุตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ศรุตเป็นแขกของสินธรทำให้เขาทำอะไรไม่ค่อยสะดวก ภูวนัยนั้นเรียกว่าเกลียดศรุตเลยก็ว่าได้ เพราะสินธรมักเปรียบเทียบศรุตให้เขาฟังบ่อยๆ ว่าตอนที่ศรุตอายุเท่ากับภูวนัย มีความสามารถหลายด้านมากกว่า
ในทางบวกมันก็เหมือนกับสินธรใช้ศรุตเป็นแรงผลักดันให้ภูวนัยต้องพยายามอย่างหนัก แต่ในทางลบแล้วมันทำให้เขายิ่งเกลียดศรุตมากเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองคนเคยมีปัญหาบาดหมางที่ผู้ใหญ่ไม่รู้ นั่นคือปัญหาหัวใจ
ช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัย ตอนนั้นศรุตเป็นรุ่นพี่ปีสี่อยู่คณะเดียวกับภูวนัยซึ่งยังเป็นเด็กปีหนึ่ง แต่แฟนของภูวนัยที่คบกันมาตั้งแต่มัธยมปลายเกิดไปชอบศรุตเข้า จนถึงขั้นบอกเลิกภูวนัย แล้วหันไปตามตื๊อตามแจกขนมจีบศรุต แต่ศรุตไม่ได้สนใจแฟนของเขามากไปกว่ามองว่าเป็นแค่รุ่นน้องคนหนึ่ง
แฟนของภูวนัยเป็นคนที่มีอีโก้สูง เพราะหน้าตาดีและเรียนเก่ง แต่พอศรุตไม่สนใจก็ทำให้เจ้าตัวออกอาการไม่มั่นใจและรับไม่ได้ บวกกับผลสอบออกมาได้คะแนนตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนถูกทางบ้านต่อว่าอย่างหนัก หาว่าไม่ใส่ใจการเรียน ถึงขั้นพูดไปว่าอนาคตจะหางานได้อย่างไร
ความน้อยใจที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามที่หวัง แล้วก็ไม่กล้ามาขอคบกับภูวนัย เพราะเป็นฝ่ายทิ้งเขาไปตามตื๊อศรุตเอง เจ้าตัวจึงกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยาสังเวยชีวิตและเขียนจดหมายขอโทษทุกคน
การตายของหล่อนทำให้ภูวนัยที่ไม่ชอบศรุตอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ภูวนัยเกลียดศรุตยิ่งกว่าเดิมและโทษศรุตมาตั้งแต่วันนั้น ถ้าศรุตรับรักแฟนของตนเอง หล่อนคงไม่ตาย!
ภูวนัยจึงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับศรุต ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอีกฝ่าย แต่เพราะไม่อยากเห็นหน้าให้เจ็บปวดและนึกถึงแฟนเก่าที่จากไปมากกว่า จนกระทั่งมีงานเปิดตัวรีสอร์ตนี้ ที่ศรุตเป็นตัวแทนของมงคลมาร่วมงาน ทำให้เลี่ยงได้ยากที่จะไม่เจอกัน!
“อย่าคิดว่าเป็นแขกพิเศษ แล้วฉันจะไม่กล้านะ”
“ฮึ!” ศรุตทำเสียงในลำคอ “ยังไม่ลืมเรื่องนั้นอีกเหรอ”
“ฉันไม่มีวันลืม แล้วก็ไม่มีวันที่จะเลิกเกลียดนาย”
“ก็ตามใจ นายจะแบกทุกอย่างไว้มันก็เรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับฉัน ทั้งเรื่องนั้นหรือเรื่องไหนๆ”
คนฟังพอได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนกับมีใครเอาน้ำมันราดลงไปบนกองไฟ ที่ศรุตไม่รู้หนาวรู้ร้อนอะไรเลย แล้วก็ดูเหมือนจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วด้วย เจ้าตัวจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์โมโหที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมาได้อีกต่อไป
“ไอ้ศรุต!”
ภูวนัยพุ่งเข้าหาศรุตพร้อมกับมือที่กำเป็นหมัด แต่ศรุตเหมือนระวังตัวอยู่แล้วจึงเอี้ยวตัวหลบแล้วชั่วแวบหนึ่งหูก็ได้ยินเสียงร้องตกใจเบาๆ ดังมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมา ทำให้เขารู้ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น จากเดิมที่คิดจะสวนหมัดใส่ภูวนัย จึงเปลี่ยนใจทำได้แค่หลบและปัดป้อง พร้อมกับใช้สถานะของแขกพิเศษให้เป็นประโยชน์ตอนที่ภูวนัยเตรียมจะซัดใส่อีกครั้ง
“ถ้าชกฉัน แน่ใจแล้วเหรอว่าจะรับมือกับสิ่งที่ตามมาได้!”
คำพูดของศรุตทำให้ภูวนัยชะงัก เพราะสิ่งที่จะตามมามันเสี่ยงจริงอย่างที่ศรุตพูดมา แล้วเขาเองก็รู้ด้วยว่าคนอย่างศรุตทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้แน่ ภูวนัยจึงจำต้องปล่อยหมัดที่เงื้ออยู่ลงก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยความแค้นใจ แล้วจึงหมุนกายเดินจากไปด้วยท่าทีฮึดฮัดที่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้
คล้อยหลังจากภูวนัยไปแล้ว ศรุตก็หันไปทางต้นไม้ใหญ่ที่เมื่อครู่นี้เขาเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างและยังได้กลิ่นเหมือนน้ำหอมด้วย
“ออกมาได้แล้วแสนรัก ฉันรู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น”
คนถูกเรียกเดินหน้าง้ำออกมาจากหลังต้นไม้ ทั้งที่คิดว่าแอบดีแล้วเชียว แต่ทำไมเขาถึงรู้ได้ว่าหล่อนอยู่ตรงนี้ ซึ่งพอสงสัยอย่างนั้นเจ้าตัวจึงได้ร้องถามออกไป
“คุณศรุตรู้ได้ยังไงว่าแสนรักอยู่ตรงนี้”
“กลิ่นไง”
“นี่คุณจมูกหมา เอ๊ย ขอโทษค่ะ จมูกดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
แสนรักเผลอตัวพูดสิ่งที่คิดออกไป แล้วรีบยกแขนดมกลิ่นตัวเอง ก็ว่าไม่ได้กลิ่นเหงื่อเหม็นสาบอะไรขนาดนั้น
“ฉันได้กลิ่นน้ำหอม”
“กลิ่นน้ำหอม? แสนรักไม่ได้ใส่น้ำหอมสักหน่อย” หล่อนแย้งพลางยกแขนตัวเองขึ้นดมก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อได้กลิ่นหอมคล้ายแป้งก็ไม่ใช่จะคล้ายดอกไม้ก็ไม่เชิงบริเวณท่อนแขน “กลิ่นน้ำปรุงของป้าเพี้ยนติดแขนมานี่เอง”
“แม่บ้านที่เอาเมนูมาให้น่ะเหรอ”
“นั่นแหละค่ะป้าเพี้ยน พอดีป้าแกเพิ่งไปอาบน้ำมา แล้วแกมาจับแขนแสนรัก” พอพูดมาถึงตรงนี้เจ้าตัวก็เกิดสงสัยต่อ “ทำไมคุณศรุตถึงคิดว่าคนที่อยู่หลังต้นไม้เป็นแสนรัก ทำไมไม่คิดว่าเป็นคนอื่น”
“เพราะทิศทางการเดินมานั่นไง บ้านหลังข้างๆ ไม่มีคนพัก หลังถัดไปก็เช็กเอาต์ออกไปเมื่อตอนเที่ยง เพราะฉะนั้นถ้าจะมีใครเดินมา ก็คงต้องเป็นบ้านพักของฉัน แล้วใครล่ะที่จะมาที่นี่ในเวลานี้ ถ้าไม่ใช่เธอ”
“แล้วทำไมต้องเป็นแสนรักด้วยล่ะ” หล่อนไม่วายสงสัยต่อ
“เพราะเธอยังไม่ได้คืนโลชั่นกันยุงให้ฉัน”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าแสนรักกลับมาเพราะจะคืนโลชั่นทากันยุงจริงๆ”
แสนรักออกจะทึ่งอยู่ไม่ใช่น้อยที่เขาเดาถูกว่าหล่อนกลับมาทำไม แต่ในความทึ่งก็มีความสงสัยปนเปอยู่ด้วย เพราะเขาทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนเจอผู้ชายพันธุ์พิเศษ ฉลาดเป็นกรด ตาดีอย่าบอกใคร แถมปราดเปรื่องคาดเดาทุกอย่างเก่งด้วย
ศรุตที่อ่านแววตาของหล่อนออกจึงเฉลยให้ฟัง
“ผู้หญิงพิลึกๆ ที่เอาโทรศัพท์ไปให้เพื่อนบ้านที่อาบอบนวดอย่างเธอ เดาไม่ยากหรอก ว่าแต่ทำไมถึงไม่คืนก่อนจะไป แต่ย้อนกลับมาคืนแทน”
“พอดีว่าตอนนั้นแสนรักปวดห้องน้ำ”
แสนรักส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ศรุตได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ ว่าทำไมหล่อนไม่ขอเข้าห้องน้ำที่บ้านพักของเขา ในเมื่อนิสัยหล่อนมันออกจะดูง่ายขนาดนี้ ก็คงเกรงใจเพราะมองว่าเขาเป็นแขกวีไอพีอีกนั่นแหละ
“แล้วไหน ของที่เอามาคืน”
พอเขาถาม หล่อนจึงยื่นขวดโลชั่นกันยุงเล็กๆ ส่งคืนให้ แต่แทนที่ศรุตจะรับไป เขากลับบอกว่า
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ขอคิดค่าโลชั่นที่ใช้ไปแทนก็แล้วกัน”
“หา?!”
หล่อนร้องพลางทำหน้างง ผู้ชายคนนี้ อะไรของเขาเนี่ย!
“เดินเล่นชายหาดเป็นเพื่อนหน่อย”
ศรุตบอกง่ายๆ แต่มันไม่ง่ายสำหรับคนถูกชวนเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นคำขอที่พิลึกที่สุดและหล่อนไม่คิดว่าเขาจะขอเช่นนี้ด้วย
“เดินเล่นชายหาด? ตอนนี้เนี่ยนะคะ!”
“มันก็ยังไม่ดึกสักหน่อย แขกคนอื่นบางส่วนก็ยังอยู่ที่ห้องอาหารอยู่เลย”
“มันก็...ก็ใช่อยู่ แต่...”
แสนรักอิดออดไม่อยากเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา เพราะกลัวงานจะเข้าอีก ถ้าแม่เลี้ยงคิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรขึ้นมา หล่อนก็จะโดนดุ แล้วคุณปู่ก็จะต้องลำบากใจอีก
“แล้วไม่คิดจะตอบแทนเรื่องยากันยุงกันหน่อยเหรอ”
เขาถามทั้งที่ปกติไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย แต่ครั้งนี้เขาอยากคิด เพราะอยากรู้ว่าหล่อนจะทำยังไง
“ก็...ก็คิดอยู่ค่ะ”
“ถ้าคิด ก็นี่ไง เดินเล่นเป็นเพื่อนฉัน ถือว่าง่ายสุดแล้ว”
แสนรักทำหน้ามุ่ยทำปากขมุบขมิบเหมือนบ่นด่าเขา ง่ายบ้าอะไรล่ะ จะหาเรื่องซวยใส่ตัวให้หล่อนน่ะสิไม่ว่า หล่อนคิดใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็จำใจพยักหน้า ยอมเดินเล่นกับเขา
ศรุตจึงออกเดินนำไปบนชายหาดอย่างช้าๆ ที่ยิ่งตรงไปก็ยิ่งห่างไกลจากโซนที่พักและเงียบสงบมากขึ้น รวมทั้งมืดมากขึ้นด้วยเช่นกัน รอบกายของเขากับหล่อนมีเพียงแสงจันทร์ ดวงดาว และเสียงคลื่นที่พัดเข้าฝั่งคอยขับกล่อมเป็นเพื่อน
หญิงสาวมองคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะหลุบตาลงมองพื้นทราย พร้อมกันนั้นก็ทิ้งระยะห่างจากเขาเล็กน้อย ขณะที่เริ่มคิดถึงตัวตนของเขาทั้งที่หล่อนเคยเจอและตอนนี้
ครั้งแรกที่เจอกันที่โรงแรม เขาเข้ากับคำว่าเจ้าชายน้ำแข็งอย่างที่พนักงานพูด แต่พอมาเจอเขาอีกครั้ง แล้วก็อีกสองครั้ง เขาก็ไม่เห็นจะเป็นแบบที่พนักงานพูดเลย ไม่เห็นมีความเย็นชาหรือทำตัวนิ่งจนเอื้อมไม่ถึง เขาดูเป็นคนใจดีแล้วก็เอื้อเฟื้อ คิดถึงคนอื่น อ่อนโยน แล้วก็ชวนให้รู้สึกหวั่นไหว
เขาดูเหมือนคนที่มีสองบุคลิกอยู่ในตัว เป็นประเภทที่ว่าถ้าสนิทด้วยแล้ว ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าไม่สนิทหรือเวลาทำงานเขาก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าหล่อนจะได้เห็นทั้งสองมุมของเขาเข้าแล้วโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ชายที่น่าสนใจ แล้วก็เป็นอย่างที่สาวๆ ชอบเสียด้วย
แสนรักคิดแล้วกำลังจะเงยหน้า แต่จู่ๆ คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หยุดกะทันหัน เล่นเอาจมูกของหล่อนกระแทกกับแผ่นหลังของเขา ด้วยแรงที่แม้ไม่เจ็บมากแต่จมูกแดงได้เหมือนกัน
“อื้อ...”
แสนรักร้องเบาๆ ฝ่ายคนที่ถูกเดินชนก็หมุนกายหันมา มองสาวน้อยที่กำลังคลำสันจมูกป้อยๆ พอเห็นหน้าบูดๆ ของหล่อน ที่ชวนให้รู้สึกขบขันก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ็บหรือเปล่า”
“เจ็บสิคะ ถามได้” หล่อนทำหน้าบึ้งใส่ “จะหยุดก็ไม่บอก”
“เธอว่าฉันไม่ได้นะ เธอเดินใจลอยคิดอะไรอยู่เองต่างหาก”
“คุณศรุตรู้ได้ยังไงว่าแสนรักเดินคิดอะไรอยู่”
แสนรักถามเสียงอู้อี้หน้ามุ่ย มือยังคลำจมูกไม่เลิก แต่ก็นึกดีใจว่าตรงนี้ไม่ค่อยสว่าง ไม่อย่างนั้นเขาต้องเห็นจมูกแดงๆ ของหล่อนแน่ ก็เล่นชนเข้าไปจังๆ แบบนั้น
“คนที่มีสติอยู่กับตัว ไม่มีใครเดินชนคนอื่นหรือไม่เห็นคนที่อยู่ข้างหน้าหรอก” ศรุตให้เหตุผล
แสนรักฟังแล้วก็ยิ่งทำหน้ามุ่ย แต่ในเมื่อเขารู้แล้วก็ช่างเถอะ แต่ศรุตกลับไม่ช่างเถอะ เพราะเขาอยากรู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่
“แล้วบอกได้ไหมว่าคิดอะไร”
“ไม่บอกค่ะ” หล่อนตอบทื่อๆ “ในเมื่อมันเป็นความคิดของแสนรัก มันก็จะอยู่ในหัวแสนรักต่อไป”
“เจ้าเล่ห์นักนะเรา”
“ก็นิดหน่อย” หล่อนยอมรับว่ามีมุมนี้อยู่ในตัว “ว่าแต่เมื่อครู่นี้ คุณศรุตกับพี่ภูมีเรื่องอะไรกันหรือคะ ทำไมพี่ภูถึงทำท่าจะต่อยคุณแบบนั้น”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“แสนรักไม่ใช่เด็ก อายุก็เกินยี่สิบและกำลังจะเรียนจบแล้วด้วย!”
แสนรักเถียงกลับทันทีพร้อมกับค้อนใส่เขาเล็กน้อย แต่เขากลับส่งยิ้มบางๆ มาให้ ไม่อนาทรร้อนใจกับท่าทีกระเง้ากระงอดของหล่อนเลยแม้แต่น้อย แถมยังบอกอีกด้วยว่า
“ไว้ถึงตอนฝึกงาน ถ้าฝ่ายบุคคลไม่ให้ผ่าน เธอก็ยังไม่จบง่ายๆ หรอก”
“คนอย่างแสนรัก ฝึกงานผ่านอยู่แล้วค่ะ!”
“แน่ใจเหรอ”
ศรุตหยั่งเชิงพร้อมกับมองหน้าหล่อนตรงๆ คิ้วที่ขมวดอยู่เมื่อครู่นี้คลายลง แววตาเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มจนทำให้แสนรักหวั่นไหวใจเต้น ไม่คิดว่าเขาจะมีมุมนี้ให้เห็น แต่ก่อนที่หล่อนจะได้หวั่นไหวไปมากกว่านี้ เขาก็บอกว่า
“รู้ไหมว่า ถ้าฉันให้ฝ่ายบุคคลประเมินว่าเธอไม่ผ่าน เธอก็จะไม่ผ่าน”
เท่านั้นแหละคนที่เผลอหวั่นไหวไปเมื่อครู่ก็หายหวั่นไหวได้ทันที
“แสนรักคิดว่าคุณศรุตคงไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
“ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น”
ศรุตถามกลับ ชักอยากรู้ว่าหล่อนไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้คิดว่าคนอย่างเขาจะทำหรือไม่ทำอะไร ราวกับว่าหล่อนจะบอกว่าตัวเองอ่านเขาออกอย่างนั้นแหละ
“เพราะมันเป็นการกลั่นแกล้งแบบเด็กๆ คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างคุณศรุต แล้วยังเป็นถึงฝ่ายบริหารที่เก่งกาจ คงไม่ทำอะไรแบบนั้นให้เสียชื่อตัวเองแน่”
หล่อนแอบย้อนความเป็นผู้ใหญ่ของเขาเล็กน้อย แล้วก็ดักทางไว้ด้วยเสร็จสรรพ ว่าถ้าหากเขาใช้วิธีนี้จริง เขาจะกลายเป็นเด็กในสายตาของหล่อนและทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงไปด้วย
‘ฮึ...ฉลาดพูด’ ศรุตทำเสียงในลำคอแต่ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป หล่อนเริ่มทำให้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวหล่อนที่แตกต่างจากผู้หญิงอื่น ถึงจะเด็กกว่าและบางอารมณ์ก็เหมือนจะซื่อบื้อมากกว่า แต่ก็ไม่ได้โง่ แล้วยังมีคำพูดคำจาที่ทำให้เขารู้สึกว่าหล่อนมีอะไรที่น่าสนใจอยู่ในตัวมากเลยทีเดียว
“ไว้ถึงเวลาฝึกงานแล้ว ฉันจะจับตาดูเธออย่างดีเลย คอยดูสิ”
“แสนรักจะทำให้คุณศรุตเห็นเองว่า แสนรักเก่งและผ่านฉลุยแน่นอน!”
“แล้วฉันจะคอยดู”
ชายหนุ่มว่าแล้วก็เดินต่อไปอีกเล็กน้อย จากนั้นก็หยุดดื่มด่ำกับบรรยากาศเงียบสงบที่มีแค่เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพากันเดินกลับมาที่บ้านพัก ซึ่งเขาบอกให้หล่อนเดินไปส่งเขาที่หน้าบ้านพัก จะได้ถือว่าดูแลแขกพิเศษอย่างดีแล้ว แต่ให้ส่งแค่หน้าบ้านก่อนถึงสระน้ำของบ้านพัก โดยให้เหตุผลว่า
“ถ้าเธอเข้าไปส่งฉันถึงข้างใน เดี๋ยวจะมีใครจิตอกุศลคิดเอาได้”
“หน้าอย่างแสนรัก คงไม่มีใครคิดหรอกค่ะ ว่าจะเข้าไปทำอะไรคุณศรุต แล้วคุณศรุตเองก็เป็นแขกพิเศษด้วย ใครคิดก็บ้าแล้ว”
นั่นคือคำพูดอย่างตรงไปตรงมาของหล่อน แต่ศรุตกลับเตือนว่า
“คนไม่สวยหรือสวยน้อย ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดเรื่อง จะแขกพิเศษหรือไม่พิเศษก็เกิดเรื่องได้ ถ้าจะเกิด เธอไม่คิดและฉันไม่คิด แต่คนอื่นอาจคิด จริงอยู่ว่าเราไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคำพูดที่ไม่จริงของใคร ตัวเรารู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริงเป็นพอ แต่คนประเภทที่ชอบเอาเรื่องไม่จริงไปพูดมันมีเยอะ ต่อให้เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เมื่อเขาใจแคบ ใจไม่บริสุทธิ์ เขาก็คิดได้ทั้งนั้น”
“ค่า...เข้าใจแล้วค่ะ”
แสนรักบอกแล้วยกมือไหว้ท่วมหัว ถือเป็นการบอกลาไปด้วยในตัวก่อนจะเดินจากไป ศรุตจึงได้แต่ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ไม่เคลือบแฝง ไม่กรุ้มกริ่ม แต่เป็นยิ้มแทนคำขอบคุณที่หล่อนกินข้าวกับเขา แล้วก็เดินเล่นเป็นเพื่อนเขาเมื่อครู่นี้
หลังจากส่งศรุตเสร็จเรียบร้อย แสนรักก็ตั้งใจจะเดินกลับไปยังที่พักของตนเอง แต่หล่อนเพิ่งก้าวพ้นเขตบ้านพักของศรุตมาได้เล็กน้อยก็เจอกับภวิตาที่เดินออกมาจากหลังแนวต้นไม้เหมือนกับรออยู่ก่อนแล้ว
“พี่วิตา...”
“ใช่ ฉันเอง ตกใจมากหรือไง”
ภวิตาถาม สีหน้าเหยียดหยันชัดเจน ในใจนั้นไม่เคยมองแสนรักว่าเป็นน้องสาวอยู่แล้ว แต่วันนี้พอรู้ว่าแสนรักสั่งอาหารให้ศรุตเอง แถมยังได้รับรายงานจากพนักงานด้วยว่าน้องสาวนอกไส้กินอาหารอยู่กับศรุตที่บ้านพัก หล่อนก็ยิ่งไม่ชอบใจใหญ่ หล่อนไม่ได้แอบชอบศรุต แต่ไม่ชอบที่เห็นแสนรักทำตัวเด่นหรือพยายามถีบตัวเองจากการเป็นแค่ลูกเมียน้อย ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับหล่อนผ่านทางศรุต หล่อนจึงต้องหาทางกดให้แสนรักอยู่ในที่ที่ควรอยู่...ในระดับที่ต่ำกว่าหล่อน!
“เปล่าค่ะ” แสนรักพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้ห้วน “พี่วิตามีอะไร”
“ถ้าไม่มีแล้วเรียกแกไม่ได้หรือไง” ภวิตาขึ้นเสียงใส่ก่อนจะถามเข้าเรื่อง “ฉันเห็นแกเพิ่งเดินมาจากบ้านพักของคุณศรุต นอกจากกินข้าวกับเขาแล้ว หวังว่าคงไม่ได้ทำอะไรไร้ยางอายหรอกนะ”
แสนรักทำหน้าเมื่อย ไม่คิดว่าคำเตือนของศรุตจะเป็นจริง แถมคนที่คิดอกุศลก็ดันไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นพี่สาวต่างแม่ของหล่อนเสียนี่ โชคร้ายอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้
“แสนรักก็แค่ไปส่งคุณศรุตเฉยๆ”
“ทำไมต้องไปส่ง เขาสั่งเธอหรือไง”
“ค่ะ เขาสั่งให้แสนรักไปส่ง ถ้าพี่วิตาไม่เชื่อ ก็ไปถามคุณศรุตเองแล้วกัน” หล่อนตอบและโบ้ยเสร็จสรรพ “ถ้าหมดธุระแล้ว แสนรักขอตัวก่อน”
“ฉันยังไม่หมดธุระ” ภวิตาเริ่มขึ้นเสียงมากกว่าเดิมเกือบเป็นตวาดก่อนจะตวัดสายตาเหยียดๆ ใส่ “แล้วแกก็ไม่มีสิทธิ์มาทำตัวหยาบคายใส่ฉันด้วย รู้เสียบ้างว่าฉันเป็นใคร แล้วแกเป็นใคร ถือว่ามีคุณปู่คอยคุ้มกะลาหัว เป็นแค่ลูกเมียน้อยของพ่อ อย่ามาทำเป็นปากดีกับฉัน!”
แสนรักฟังแล้วก็ไม่ได้โกรธ ไม่ใช่เพราะมองโลกในแง่ดีหรือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เก่ง แต่เพราะภวิตามักพูดประโยคนี้บ่อยๆ เวลาต้องการดุด่า ชอบย้ำว่าหล่อนเป็นแค่ลูกเมียน้อยของพ่อ แรกๆ ตอนเป็นเด็กได้ยินทีไรก็จะโกรธมากและพยายามจะเถียงกลับ แล้วก็ต้องเสียน้ำตาและพ่ายแพ้ทุกครั้งไป
แต่เมื่อโตขึ้นก็เริ่มเรียนรู้ว่า การโกรธจะยิ่งทำให้ภวิตาชอบใจ หล่อนจึงพยายามควบคุมอารมณ์แล้วปล่อยผ่านหรือวางเฉย คิดเสียว่าคำพูดของภวิตาไม่มีความหมายใดๆ ให้เก็บมารกสมอง
“มีอะไรอีกล่ะคะ”
“นี่กล้าพูดกับฉันแบบนี้เลยเหรอ! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง ปากเก่ง คิดว่ากำลังจะเรียนจบแล้วอะไรๆ มันจะเข้าทางแกหรือยังไง อย่าลืมว่าแกไม่มีสิทธิ์อะไรในบ้าน ไม่มีสิทธิ์อะไรในตระกูล เป็นแค่คนอยู่อาศัย หัดเจียมกะลาหัวและรู้จักเคารพเจ้าของบ้านเจ้าของรีสอร์ตเสียบ้าง เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วค่ะ แสนรักขอตัวก่อนนะคะ!”
แสนรักรับคำแล้วเดินเลี่ยงจากไปทันที ไม่อยู่รอให้ภวิตาโขกสับ ยิ่งทำให้ภวิตาปรี๊ดแตก
“นังแสนรัก!”
ภวิตาตวาดใส่แต่น้องสาวต่างแม่ไม่สนใจจะหยุด เจ้าหล่อนจึงได้แต่มองตามไปอย่างเกรี้ยวกราด แม้ใจจะอยากลงมือลงไม้สั่งสอนเหมือนอย่างที่เคยทำเมื่อมีโอกาส แต่เพราะก่อนหน้านี้สินธรเอ่ยดักไว้ตอนชำระความกับแสนรักว่าไม่ให้ลงไม้ลงมือ ช่วงนี้จึงไม่สามารถทำอะไรแสนรักได้อย่างใจนัก
ทั้งที่หล่อนเกลียดแสนเกลียดน้องสาวนอกไส้คนนี้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แล้วยิ่งนับวันก็จะยิ่งเกลียดมากขึ้นๆ เพราะตั้งแต่พ่อพาแสนรักเข้ามาในบ้าน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทั้งชีวิตของหล่อน ทั้งของพี่ชาย แล้วก็แม่ ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย ทั้งหมดนี้หล่อนมองว่ามันเป็นความผิดของแสนรักคนเดียว ถ้าไม่มีแสนรักเสียคนหนึ่ง ทุกอย่างมันก็จะไม่กลายเป็นแบบนี้
“แกน่าจะตายๆ ไปเสียตั้งแต่วันนั้น!”
เจ้าหล่อนกล่าวอย่างแค้นใจก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งเพื่อกลับบ้านพักของตนเอง โดยไม่รู้เลยว่าศรุตเห็นการปะทะคารมนี้เข้าและเกิดสะดุดใจกับคำพูดแปลกๆ ที่ได้ยิน ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมมันถึงทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน เหตุการณ์ที่เขากลบฝังมันไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
ชายหนุ่มคิดแค่ว่าจะเดินมาดูว่าแสนรักเดินกลับไปถึงตรงที่สว่างๆ หรือยัง เพราะถึงจะอยู่ในเขตรีสอร์ต แต่หล่อนก็เป็นผู้หญิง แล้วสมมุติว่าถ้าแขกที่มาพักเกิดเมาแล้วลวนลามขึ้นมา มันก็คงไม่ดีและคงเป็นความผิดของเขา ที่ชวนหล่อนไปเดินเล่นจนเกิดเรื่อง
แต่ใครจะคิดว่า พอเดินตามออกมาก็ได้ยินเสียงคนสองคนเถียงกัน ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าใครเถียงกับใคร แต่พอได้ยินชื่อที่เรียกกันไปมาถึงได้รู้ว่าเป็นภวิตากับแสนรัก แล้วจากคำพูดที่ได้ยินมันก็ทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่คุณปู่เล่าให้ฟังทางโทรศัพท์เป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวนี้มีปัญหาไม่ลงรอยกัน
ทว่า ตอนนี้สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี้ แต่เป็นห่วงและสงสารแสนรักขึ้นมา หล่อนคงเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว มีครอบครัวก็เหมือนไม่มี แล้วก็ต้องอยู่โรงเรียนประจำมากกว่าอยู่บ้าน เจ้าตัวถึงได้ดูไม่สนิทกับคนในบ้านเลย
เด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีครอบครัวเป็นที่พึ่งทางจิตใจอย่างนี้ แต่ยังยิ้มและประคองตัวให้ผ่านพ้นช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อมาได้ นับว่าเก่งมากเลยทีเดียว ทั้งที่ภายในหัวใจคงร่ำร้องหาความอบอุ่นนั้นอยู่ไม่เสื่อมคลาย แต่ก็ต้องปิดบังไว้ เพื่อไม่ให้ใครใช้มันเล่นงานตนเอง
ศรุตคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินกลับมายังบ้านพักและมาหยุดตรงสระน้ำด้านหน้าตัวบ้าน มองออกไปยังท้องทะเลมืดมิดยามค่ำคืน ห่างออกไปคือเกาะใหญ่ที่มีแสงไฟจากบ้านเรือนให้เห็น
ชายหนุ่มปล่อยใจไปกับความว่างเปล่าเบื้องหน้า แต่เพราะความสงบและมืดมิด รวมทั้งเรื่องของแสนรักที่มันเข้ามากระทบจิตใจ ทำให้เขานึกถึงค่ำคืนเลวร้ายเมื่อหลายสิบปีก่อน จนอดคิดถึงเด็กคนนั้นขึ้นมาไม่ได้
‘เด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ป่านนี้น่าจะโตแล้ว อายุก็คงพอๆ กับแสนรัก’
เขาคิดมาถึงตรงนี้แล้วก็ฉุกคิดถึงความเป็นไปได้แปลกๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน จำได้ว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน หลังจากเกิดอุบัติเหตุ เขาฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล ตามเนื้อตัวมีบาดแผลเล็กน้อย แต่หนักสุดคือขาหัก หมอทำการผ่าตัดดามเหล็กให้จนเขากลับมาเดินได้ แล้วก็ถอดเหล็กออกไปหลังจากใส่มันสามปี
ตอนที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เขาเคยถามพ่อกับแม่ของตนเองเรื่องเด็กคนนั้น ก็ได้รับคำตอบว่าเด็กได้รับบาดเจ็บเพราะศีรษะกระแทกและจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ นอกจากนั้นก็มีแค่บาดแผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ และกำลังพักฟื้นอยู่
แต่ผู้ปกครองของเด็กไม่ต้องการให้เขาไปเยี่ยมเพราะกลัวจะไปทำให้เด็กจำเรื่องราวในค่ำคืนแย่ๆ นั้นขึ้นมาได้ เขาจึงได้แต่ฝากขนมและการ์ดคำขอบคุณไปให้ ซึ่งถ้านับจากอายุของเด็กกับช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้เด็กคนนั้นก็น่าจะโตและอายุพอๆ กับแสนรักนี่แหละ
‘จะเป็นไปได้หรือเปล่า ที่แสนรักจะเป็นเด็กคนนั้น’
ศรุตคิดแล้วก็สั่นศีรษะเบาๆ กับความคิดฟุ้งซ่าน แล้วตอบตัวเองเสร็จสรรพว่าคงไม่ใช่ เพราะถ้าเด็กคนนั้นคือแสนรักจริง สินธรก็น่าจะพูดอะไรบ้าง อย่างน้อยนั่นก็หลานทั้งคน แล้วถึงสินธรจะไม่พูด แต่นภดลที่เป็นพ่อของแสนรักและเคยเจอเขามาก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเสียชีวิตไป ก็น่าจะพูดถึงเหตุการณ์นั้นบ้าง เพราะฉะนั้นเด็กที่ว่าก็คงไม่ใช่แสนรักแน่
ชายหนุ่มสรุปแล้วก็เดินเข้าบ้านพักไปอาบน้ำและพักผ่อน แต่ก็ยังคงหยุดคิดเรื่องของแสนรักไม่ได้อยู่ดี แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดถึงเรื่องนี้อยู่หรือเปล่า ในความหลับใหลของค่ำคืนนี้จึงทำให้เขาฝันถึงเหตุการณ์ที่ไม่เคยฝันเลยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
...
เขารับรู้ได้ว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นโขดหินที่เดิมและเด็กหญิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ แต่คราวนี้เขาไม่ได้ทำเหมือนครั้งที่แล้ว เพราะเขาจำได้ว่าอีกเดี๋ยวเด็กจะต้องตกลงมาและค้างอยู่บนโขดหินเหนือขึ้นไปจากที่เขาอยู่ เขาจึงอยากให้เด็กคนนี้ปลอดภัย
“หนูอย่าลงมาตรงนี้ ไปตามผู้ใหญ่มาช่วย แต่ระวังตอนขาขึ้นไปด้วย ไม่ต้องห่วงพี่”
เด็กหญิงมองลงมาอย่างเป็นห่วง มีความลังเลอยู่ในดวงตาชัดเจน
“แต่ถ้าหนูกลับไปแล้วพี่เป็นอะไรขึ้นมาล่ะ”
“ไม่เป็นไร พี่ทนไหว รีบไปบอกผู้ใหญ่ให้มาช่วยเถอะ”
เด็กหญิงพยักหน้ารับแล้วเตรียมปีนโขดหินกลับไปทางเดิม เขาจึงพยายามขยับตัวเท่าที่ขยับได้ ความฝันกับความจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เริ่มซ้อนทับกันไปมา มันทำให้เขางุนงงและสงสัยว่า ทำไมเหตุการณ์นี้ถึงได้เกิดขึ้นอีก แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ตอนที่เขาได้ยินเสียง
“โอ๊ย...หนูเจ็บนะ!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างของเด็กหญิงหงายหลังลงมากระแทกกับโขดหินที่อยู่เหนือเขาขึ้นไป แต่จากนั้นนั่นแหละที่เขาเพิ่งเห็นแล้วก็แปลกใจสงสัย เมื่อแว่วเสียงพื้นรองเท้ากระทบกับโขดหิน ดูเหมือนเจ้าของเสียงนั้นจะเร่งรีบจากไป ซึ่งมันเกิดหลังจากที่ได้ยินเสียงร้องและเห็นร่างของเด็กคนนี้ตกลงมา!