8

บทที่ 8


แม้ความฝันยามค่ำคืนจะทำให้เขาคิดมาก แต่เขาก็เลือกที่จะตัดความฟุ้งซ่านนั้นออกไป หลังจากมื้ออาหารเช้าจบลงเขาก็ไปที่ท่าเรือที่ชายหาดเพื่อเตรียมขึ้นเรือสปีดโบ๊ต โดยสินธรสั่งให้ภูวนัยจัดเตรียมโปรแกรมล่องเรือเที่ยวชมหมู่เกาะอันงดงามและดำน้ำดูปะการังเอาไว้ให้ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการของทางรีสอร์ตที่จัดไว้ให้สำหรับแขกที่มาพัก หากต้องการล่องเรือแบบราคาถูกก็จะจองเป็นกรุ๊ปล่องเรือทัวร์เกาะ ไปสมทบกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่ท่าเรือที่เกาะสมุย แต่ถ้าต้องการแบบส่วนตัวทางรีสอร์ตก็จะจัดเรือไว้ให้เหมือนอย่างที่จัดให้เขาแบบนี้
ทว่า พอมาถึงท่าเรือศรุตก็ทำให้ทุกคนแปลกใจ เมื่อเขาบอกสินธรที่มาดูความเรียบร้อยด้วยตัวเองว่า จะขอพาแสนรักไปล่องเรือด้วยกัน โดยให้เหตุผลว่าเพราะหล่อนติดค้างคำขอบคุณเขาอยู่ เรื่องที่เขาเคยช่วยหล่อนเอาไว้
สินธรประหลาดใจ ไม่คิดว่าการโยนหินถามทางเมื่อวานนี้จะทำให้ศรุตสนใจแสนรักได้เร็วเกินคาด จึงยอมอนุญาต แล้วสั่งให้พนักงานไปตามตัวแสนรัก ในขณะที่สามแม่ลูกอย่างพิมพ์นรี ภูวนัย และภวิตา ได้แต่ยืนงงสงสัยว่าเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
ไม่นานนักแสนรักก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง หล่อนสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวบางทับเสื้อสายเดี่ยวสีขาวข้างใน ชายเสื้อผูกเอวไว้ ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกงขาสั้นสีฟ้าเข้มอวดเรียวขาและสวมรองเท้ารัดส้นแบบที่สามารถเดินเล่นและลุยน้ำได้ ในมือมีเพียงหมวกแก๊ปสีขาวหนึ่งใบ โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินอยู่ไม่กี่บาท
พอมาถึงได้เจ้าตัวก็ถามทันที แม้ว่าพนักงานจะบอกแล้วว่าหล่อนถูกตามตัวมาทำไม
“คุณปู่ พนักงานบอกว่า...”
แสนรักยังเอ่ยถามไม่ทันจบ สินธรก็ขัดขึ้น
“อย่างที่พนักงานบอกนั่นแหละ แสนรักต้องไปเป็นเพื่อนคุณศรุตวันนี้”
“ทำไมล่ะคะ”
หล่อนย้อนถามพลางมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ แต่กลับทำให้พิมพ์นรีที่ยืนอยู่ด้วยถลึงตาใส่ก่อนจะขานชื่อลูกเลี้ยงเป็นการเตือนอยู่ในที เพราะถือเป็นการเสียมารยาทต่อแขกพิเศษมากที่หลานสาวเจ้าของทำท่าเหมือนไม่อยากไป
“ยายแสนรัก!”
“ขอโทษค่ะ” แสนรักขอโทษแม่เลี้ยงเสียงอุบอิบ
ศรุตเห็นดังนั้นและไม่อยากอยู่ดูแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงทะเลาะกันจึงเอ่ยช่วยหล่อนให้พ้นจากสถานการณ์นี้และช่วยตัวเองให้พ้นไปด้วยเช่นกัน
“ผมขอพาแสนรักไปด้วยก็เพราะคิดว่าเป็นการตอบแทนที่เจ้าตัวน่าจะพอทำได้ เพราะถ้าให้ตอบแทนเป็นอย่างอื่น ผมก็ไม่ได้ต้องการเงินทองหรืออะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าจะบอกว่าไม่เป็นไรก็คงไม่ได้ เพราะวันนั้นผมต้องเสียเวลาไปจัดการอะไรๆ กว่าจะเรียบร้อย คิดเสียว่าให้แสนรักมาเป็นไกด์พาผมทัวร์ก็แล้วกัน”
เขาอุตส่าห์หาทางออกให้ แต่คนไม่เต็มใจจะไปกลับแย้ง
“แต่แสนรักไม่เคยเป็นไกด์ คงพาคุณศรุตเที่ยวไม่ได้หรอกค่ะ รับรองพาหลงชัวร์”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่คิดตอบแทนความมีน้ำใจกันเลยสินะ”
‘โอ้โห พูดดักชวนงานเข้าขนาดนี้ แถมผู้ใหญ่อยู่กันเยอะขนาดนี้ คงจะรอดไปได้หรอกยายแสนรักเอ๊ย’
แสนรักคิดในใจแล้วแอบตีหน้าเซ็ง แต่สินธรที่ดูเหมือนจะเป็นคนกลางที่สุดในขณะนี้และมองออกแล้วว่า ศรุตตัดสินใจแล้วว่าจะพาแสนรักไปด้วย ไม่ว่าหล่อนจะบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็คงไม่เป็นผล แล้วเขาก็ทำตามมารยาทโดยการบอกผู้หลักผู้ใหญ่ของหล่อนให้ทราบแล้ว ไม่ได้แอบพาไปหรือไม่บอกใคร คนที่อาวุโสที่สุดจึงต้องสั่งหลานสาวอีกครั้งและปิดประตูคำปฏิเสธทั้งหมด
“วันนี้ถือว่าแสนรักเป็นพนักงานของรีสอร์ต ต้องไปกับคุณศรุต ดูแลคุณศรุตให้เรียบร้อย ถือเสียว่าเป็นการทำโทษเรื่องนั้นไปด้วยในตัว เข้าใจที่ปู่พูดหรือเปล่า”
เข้าใจหรือเปล่า เฮ้อ ลองปู่ถามคำนี้ละก็ แปลว่าต้องตอบว่า ‘เข้าใจ’ เท่านั้น!
“เข้าใจค่ะคุณปู่”
หญิงสาวรับคำเสียงอ่อย ทำตามคำสั่งคุณปู่แต่โดยดี แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าศรุตต้องการอะไรกันแน่ ทำไมเขาต้องให้หล่อนไปด้วย แค่เมื่อวานนี้เขาก็ทำให้หล่อนเดือดร้อนพออยู่แล้ว วันนี้ยังถูกลากตัวไปเที่ยวด้วยกันอีก กลับจากเที่ยวเมื่อไหร่ มีหวังหล่อนได้โดนแม่เลี้ยงกับพี่ชายและพี่สาวซักฟอกจนขาวแน่ๆ เพราะพวกนั้นไม่มีทางเชื่อแน่นอนว่า ที่ศรุตชวนหล่อนเพียงแค่จะให้หล่อนตอบแทนน้ำใจเขา
“เข้าใจแล้วก็ไปขึ้นเรือ คุณศรุตเขารอนานแล้ว”
“ค่ะคุณปู่”
หลานสาวตัวดีรับคำแต่ยังทำหน้ามุ่ยไม่เลิกขณะเดินขึ้นไปบนสะพานของท่าเรือ แต่แม้จะเป็นยามสายแต่แดดก็เริ่มร้อน บวกกับทิศทางของแดดที่เอียงส่องมาทางด้านหน้า เจ้าตัวต้องยกมือที่ถือหมวกอยู่ขึ้นบังแดดแทนที่จะใส่หมวก
ศรุตที่หันมองมาพอดี พอเห็นดังนั้นก็ชะลอฝีเท้าให้หล่อนก้าวแซงไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมหลังหล่อนมาอยู่ด้านขวามือและเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีกนิด เพื่อใช้ตัวเองบังแดดให้หล่อน แสนรักพอรู้ว่าเขาทำอะไรให้ จากที่ขุ่นเคืองเรื่องถูกบังคับให้มาด้วย แม้จะยังไม่หายไปทั้งหมด แต่ก็พอจะคลายลงไปได้บ้าง
หลายอึดใจต่อมาก็เดินมาถึงด้านท้ายของสปีดโบ๊ตขนาดยี่สิบเก้าฟุตที่จอดเทียบท่าอยู่ มันเป็นเรือค่อนข้างเรียบหรูและดูดีมาก ไม่เหมือนกับที่ใช้รับส่งนักท่องเที่ยวทั่วไป ดูไปดูมาเหมือนเรือส่วนตัวมากกว่า
เรือเป็นสีขาวทั้งลำ ด้านข้างแต่งแถบสีเทาไว้ทำให้ดูเรียบหรู ตรงแถบด้านข้างค่อนไปทางท้ายเรือมีตราสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเรือจากอเมริกาติดหรา
ด้านหน้าของเรือถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ใช้สอย มีเบาะหนังสีขาวบุนวมนุ่มสบายไว้สำหรับนั่งกินลมชมวิวได้สองคน ส่วนที่นั่งอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเบาะหนังสีขาวบุนวมด้วยกันแทบทั้งสิ้น ส่วนบริเวณตรงที่นั่งคนขับก็มีกระจกกั้นกันลมที่เข้ามาปะทะจากด้านหน้าเอาไว้และมีหลังคาไฟเบอร์แบบเปิดรับลมแต่ก็ยังช่วยบดบังแสงแดดได้ดี ด้านหลังสุดของเรือเป็นเครื่องยนต์สองเครื่องแบบเอาต์บอร์ด
“แน่ใจเหรอว่าจะขับเอง เดี๋ยวเจอคลื่นแรงตีตัวเรือ เกิดเรือคว่ำ ตายกลางทะเลมันจะไม่คุ้มนะ”
ภูวนัยถามทันที เมื่อวานนี้เขาได้รับคำสั่งจากสินธรมาแล้วว่าให้เตรียมเรือให้ศรุต แต่ไม่ต้องเตรียมคนขับให้ เพราะอีกฝ่ายจะขับเอง
ศรุตกระตุกยิ้มกับคำพูดที่เหมือนจะหวังดีของภูวนัย แต่ทั้งสีหน้าและแววตาเหมือนอยากสาปแช่งให้ตายมากกว่า แล้วมีหรือที่ศรุตจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจส่งข้อความใดถึงเขากันแน่!
“พูดแบบนี้เพราะเป็นห่วงน้องสาวสินะ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันมีใบอนุญาตขับเรือ แต่ถ้านายยังกังวลว่าเรือของนายจะเสียหายก็เลิกกังวลได้ เพราะถึงมันจะเสียหาย ฉันก็มีปัญญาจ่ายอยู่ดี ลำนี้ดีไซน์ใหม่ เรือก็ยังใหม่ ยี่ห้อนี้ด้วย อย่างเก่ง
ราคารวมภาษีนำเข้าแล้วอะไรแล้ว ก็ไม่น่าจะเกินสิบล้าน หรือจะโก่งราคาสักหน่อย เอาตัวเลขสวยๆ สักสิบเอ็ดล้าน แต่รับรองว่าแค่นั้นขนหน้าแข้งของฉันก็ยังไม่ร่วงอยู่ดี”
ชายหนุ่มตอบอย่างอวดดีแถมบอกราคาเรือได้ค่อนข้างตรงเสียด้วย บ่งบอกเลยว่าเจ้าตัวรู้จักเรือเหล่านี้จริง ไม่ได้แค่โม้ว่าขับเรือเป็นหรืออวดไปอย่างนั้น เล่นเอาภูวนัยถึงกับควันออกหู ส่วนแสนรักนั้นกลั้นยิ้มแทบตาย เพราะไม่เคยเห็นพี่ชายต่างแม่สตันและไปไม่เป็นแบบนี้เลยสักครั้ง
ฝ่ายภูวนัยที่โกรธจนหน้าเปลี่ยนสี พอทำอะไรศรุตไม่ได้ก็หันมาเล่นงานแสนรัก ที่กลายเป็นกระโถนระบายความโกรธไปแทน
“มัวยืนเซ่ออยู่ทำไม ขึ้นเรือแล้วไปเตรียมตัวได้แล้ว เธอมีหน้าที่ดูแลเขา ไม่ใช่ให้เขาดูแลเธอ!”
แสนรักได้ยินก็ถึงกับอยากเบะปากมองบนใส่ ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาหน้ารักษามารยาทหล่อนคงทำไปแล้ว แต่ที่ทำได้มีแค่ก้าวขึ้นไปบนเรือโดยมีศรุตที่แสยะยิ้มใส่ภูวนัยเล็กน้อยก้าวตามขึ้นไป
ทว่า คนที่ก้าวขึ้นเรือมาก่อนกลับไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ส่วนไหน จึงยืนอยู่กลางเรือมองเขาตรวจตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อย เห็นเขาเปิดเบาะตรงนั้นตรงนี้ ช่องนั้นช่องนี้ ทำให้หล่อนได้รู้ว่าทุกส่วนบนเรือลำนี้สามารถเป็นช่องเก็บของได้ทั้งหมด แล้วมันก็มีอุปกรณ์จำเป็นหลายๆ อย่างที่ถูกเตรียมไว้ให้ แถมยังมีห้องน้ำเล็กๆ อยู่ด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ
ฝ่ายศรุตพอตรวจดูอุปกรณ์จำเป็นต่างๆ และระบบน้ำจืดว่าใช้งานได้ก็พร้อมจะออกเรือ พนักงานของรีสอร์ตที่อยู่บนฝั่งจึงเอาเชือกที่ยึดกับแท่นผูกตรงท่าเรือออกให้ ส่วนแสนรักก็ไปนั่งที่เบาะด้านซ้ายมือของคนขับทันทีและรอให้เขาขับเรือออกจากท่า
“คุณศรุตตั้งใจจะไปไหนบ้างคะ บอกก่อนนะว่าแสนรักไม่เคยมาเที่ยวที่นี่เลย ห้ามฝากความหวังไว้ที่แสนรักเด็ดขาด แล้วถ้าเกิดหลงหรือมีอะไรขึ้นมา ก็ห้ามโทษแสนรักด้วย” แสนรักถามทันทีที่เรือออกจากท่า
“งั้นก่อนอื่น ฉันคงต้องเอาเธอไปขายก่อน โทษฐานที่ทำประโยชน์ให้ไม่ได้”
“พูดเป็นเล่น!”
แสนรักร้องเสียงหลง ทำหน้าเหวอใส่ แต่เพราะหล่อนทำหน้าเหวอตกใจขนาดนั้น เล่นเอาคนที่ปกติจะไม่แหย่คนที่ไม่สนิทสนมด้วยถึงกับชะงัก มองปฏิกิริยาของหล่อนอย่างไม่รู้จะขำหรือจะว่ายังไงดี
“อย่าบอกนะว่าเชื่อจริงๆ”
“เปล่าค่ะ ใครจะไปเชื่อเรื่องติงต๊องได้”
“ดีแล้วที่ไม่เชื่อ เดี๋ยวเราแวะเกาะสมุยก่อน ฉันต้องไปเอาของที่สั่งไว้”
ศรุตบอกแต่ไม่ได้อธิบายว่าของที่ว่าคืออะไร แสนรักก็ได้แต่พยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้ถามอะไรต่อ จากนั้นยี่สิบนาทีต่อมา ชายหนุ่มก็ขับเรือเข้าไปจอดเทียบที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง มันเป็นท่าเรือที่ทำเหมือนร่องน้ำเอาไว้ให้เรือขนาดกลางสามารถแล่นเข้าไปจอดได้ มีทางเดินที่ทำจากทุ่นลอยน้ำแบบจิ๊กซอว์ต่อยื่นออกมาให้เรือเข้าเทียบ
บนทุ่นมีผู้ชายคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว ที่ข้างกายของเขามีกระเป๋าเป้ใบหนึ่งและกระติกใส่น้ำแข็งใบย่อมวางอยู่ด้วย เรือค่อยๆ แล่นไปจอดเทียบจนกระทั่งดับเครื่องเรียบร้อย
ผู้ชายคนนั้นยกมือไหว้ศรุตและพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นรัวๆ ที่หล่อนฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็ได้ความว่าเขาชื่อวอน เป็นคนเตรียมของตามที่ศรุตสั่งไว้ผ่านทางคนชื่อรัญ จากนั้นเขาก็ยกของขึ้นมาไว้บนเรือให้อย่างเรียบร้อย
ศรุตจึงยื่นธนบัตรใบละห้าร้อยให้เพื่อเป็นน้ำใจและเป็นค่าเหนื่อยที่ต้องขับรถเอาของมาให้ พอจัดการอะไรๆ เสร็จ คนที่เอาของมาให้ก็ขึ้นจากเรือและทำท่าจะยืนรอส่ง แต่ศรุตบอกให้ไปได้เลยไม่ต้องรอส่ง เจ้าตัวจึงต้องไปตามคำสั่ง
ศรุตเปิดกระเป๋าเป้ หยิบแผนที่ออกมาดู เพื่อตรวจสอบเส้นทางการขับเรือและอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์เพื่อความปลอดภัย ทำเอาแสนรักอดเปรยไม่ได้ว่า
“คุณศรุตเปลี่ยนใจหาคนขับเรือตอนนี้ยังทันนะ”
หล่อนพยายามโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจ เพราะยังไม่มั่นใจว่าเขาจะขับเรือไปไกลๆ ได้ ศรุตถึงกับหรี่ตาลงเล็กน้อยและยืนยันคำเดิม
“ฉันขับเรือเป็น ส่วนที่ดูนี่ ก็จะได้วางแผนการเดินทางถูก จะได้รู้ว่าเกาะไหนชื่ออะไร และมีอะไรน่าสนใจ”
“นึกว่าจะบอกว่าถ้าแสนรักพูดมากกว่านี้ จะโยนลงตรงนี้จริงๆ ทำแบบนั้นก็ได้นะคะ แสนรักไม่ขัด เดี๋ยวแสนรักหาทางกลับบ้านเองได้” สาวเจ้ายังหาทางที่จะไม่ต้องไปกับเขา แต่มีหรือที่เขาจะยอม
“ฝันไปเถอะ แม่กระต่ายน้อยจอมเจ้าเล่ห์” ชายหนุ่มว่าเมื่อเห็นหล่อนเริ่มออกลาย พอห่างไกลสายตาผู้ใหญ่ก็กลับมาเป็นแม่กระต่ายจอมซุกซนและดื้อรั้นเหมือนเดิม
คนถูกหาว่าเป็นกระต่ายน้อยจอมเจ้าเล่ห์ยักไหล่ แถมยังบอกด้วยว่า “ถ้าแสนรักเป็นกระต่ายจอมเจ้าเล่ห์ คุณศรุตก็เป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์เหมือนกันแหละ”
“ฉันเนี่ยนะเจ้าเล่ห์”
เขาย้อนถามกลั้วหัวเราะ ท่าทีผ่อนคลาย ไม่วางมาดเหมือนเดิม ดูเข้าใกล้ได้ง่ายกว่าตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่เพราะแบบนี้แหละ หล่อนถึงบอกว่าเขาเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน
“ใช่ค่ะ เพราะคุณศรุตชอบวางท่าวางมาด แต่พอไม่มีใครเห็น ก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่แกล้งเด็กแบบนี้”
“งั้นแสดงว่าเธอก็เป็นเด็กน่ะสิ”
“แสนรักไม่ใช่เด็ก แค่เปรียบเฉยๆ!”
หล่อนค้อนใส่ ทำหน้าง้ำไม่ชอบใจ แต่พอจะเดินหนีไปนั่งห่างๆ ก็ถูกเขาเรียกไว้เสียก่อน
“วันนี้ที่เราจะไปกันคือหมู่เกาะอ่างทอง เธออยากไปเกาะไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”
ศรุตถามพร้อมกับหยิบหนังสือท่องเที่ยวเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเป้ส่งให้หล่อน แสนรักไม่อยากรับเพราะใจจริงอยากขึ้นจากเรือมากกว่า แต่เขาก็รู้ทันจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนลง
“เราจะสงบศึกเรื่องที่ผ่านมาได้ไหม เธอหลอกฉัน แต่เราก็เคลียร์กันจนเข้าใจความจำเป็นของแต่ละคนแล้ว ตอนนี้ฉันแค่อยากมีเพื่อนไปเที่ยวด้วย แล้วก็ไม่อยากให้คนของรีสอร์ตมาด้วย เพราะพวกเขาเป็นพนักงาน เขาก็ต้องมาคอยดูแลฉัน แค่ไปเป็นเพื่อนฉันแค่นั้น ไม่ได้จริงๆ เหรอ”
น้ำเสียงของเขาที่อ่อนโยนและดวงตาที่มองมา มันทำให้หล่อนหวั่นไหว ก็ไม่ได้เกลียดอะไรเขาหรอก แต่ไม่รู้ว่าอยู่กับเขาแล้วควรต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เพราะในอนาคตอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาก็จะกลายเป็นเจ้านายของหล่อน ไม่ใช่แขกของรีสอร์ตหรือคนรู้จักของที่บ้าน แล้วเขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่า เป็นคนที่คุณปู่ยังต้องเกรงใจ แล้วบางครั้งเขาก็ทำให้หล่อนใจเต้นด้วย
“แล้วแสนรักต้องทำอะไรบ้าง”
“เที่ยวให้สนุก ทำตัวเหมือนไปเที่ยวกับเพื่อน แค่นั้นก็พอ”
“แต่เพื่อนของแสนรักไม่ได้อายุเท่าคุณศรุตสักหน่อย”
แสนรักพยายามบอกอ้อมๆ ว่าระหว่างเขากับหล่อนมันมีเส้นคั่นบางๆ กั้นอยู่ มันเป็นเส้นคั่นที่ทำให้หล่อนไม่กล้าหือกับเขา กลัวว่าเขาจะไปฟ้องคุณปู่ ถ้าเกิดหล่อนทำตัวไม่น่ารักหรือทำตัวมีปัญหากับเขามากๆ ยิ่งกว่าที่เคยทำมา
แต่ศรุตกลับหัวเราะ ดูผ่อนคลายผิดกับยามปกติที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นลิบลับ แถมยังแหย่หล่อนอีกด้วยว่า
“นั่นจะบอกว่าฉันแก่เหรอ ฉันอายุแค่สามสิบหกเองนะ”
“เปล่า” หล่อนปฏิเสธเสียงสูง “แสนรักไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น”
ศรุตหัวเราะในลำคอก่อนจะเลิกเย้าแหย่และพูดจริงจังมากขึ้น
“เอาเป็นว่าเธอทำตัวตามปกติ เป็นอย่างที่เธอเป็น ไม่ต้องมองฉันว่าเป็นผู้บริหารของโรงแรมหรือเป็นคนรู้จักของคุณปู่ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้เธอลบทุกอย่างที่เธอรู้เกี่ยวกับฉัน ลบทุกอย่างที่เธอเห็นและคิดว่าฉันเป็น ถ้าเราคุยกัน มีความเห็นไม่ตรงกัน เธอจะพูดจะเถียง ทำหน้าบูด หรืองอนฉัน ก็ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะเป็นใครหรือเธอจะเป็นใคร ถือเป็นเรื่องระหว่างเราสองคน แค่นี้จะได้ไหม”
แสนรักนิ่งไปอึดใจใหญ่ พอเห็นว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง ก็ยอมตอบตกลง
“ก็ได้ค่ะ”
ศรุตยิ้มให้เป็นการขอบคุณที่หล่อนยอมเข้าใจ แล้วก็รู้สึกดีที่คนที่มาด้วยวันนี้คือหล่อน อย่างน้อยๆ หล่อนก็ไม่ทำตัวเสแสร้งแกล้งยิ้ม แล้วเวลาพูดก็ไม่ได้ประดิษฐ์คำพูดสวยหรู แต่เป็นการพูดที่คิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น แสดงความจริงใจออกมาตรงๆ มันทำให้เขารู้สึกดี
เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ที่พยายามเข้าหาเขา พวกหล่อนเหล่านั้นมักจะปรุงแต่งตัวเองให้สวยตลอดเวลา แถมยังชอบพูดจาฉอเลาะ ชอบทอดสะพานให้ บางคนถ้าไม่ทอดสะพานใส่ แก็ทำตัวอวดภูมิอวดตัวเอง เป็นลูกสาวคนนั้นคนนี้ มีดีกรีนู่นนี่นั่น เพราะคิดว่าจะทำให้ดูเหมาะสมคู่ควรกับเขาที่สุด ทั้งที่ไม่เคยมีใครรู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเกลียดผู้หญิงแบบนั้นที่สุด แล้วเพราะเหตุนี้เองถึงทำให้เขาครองตัวเป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้
หลายนาทีหลังจากนั้นแสนรักก็สรุปสั้นๆ ว่าศรุตจะขับเรือพาไปเที่ยวเกาะไหนก็แล้วแต่เขาเลย เพราะหล่อนไม่ได้มีที่ไหนที่อยากแวะเป็นพิเศษ ศรุตพยักหน้าเข้าใจแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความอะไรสักอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขับเรือออกจากท่าบ่ายหน้าไปยังเป้าหมายแรกนั่นคือเกาะวัวตาหลับ อันเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง
หนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมา ศรุตจอดเรือไว้ที่ชายหาด วันนี้มีนักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาก เก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่เพราะเป็นชาวต่างชาตินั่นแหละ บางคนจึงใส่ชุดว่ายน้ำเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ผู้หญิงก็ใส่บิกินี ผู้ชายก็ใส่แต่กางเกงว่ายน้ำอวดซิกซ์แพ็ก เป็นอาหารตาชั้นเลิศสุดๆ
“อื้อหือ ซิกซ์แพ็ก เซเว่นแพ็ก เอ็กแพ็ก คิดถึงไอ้เปรี้ยว ไอ้มด ไอ้เอิร์นจริงๆ เดี๋ยวฉันจะดูซิกซ์แพ็กไปเผื่อพวกแกก็แล้วกันนะ” หล่อนเอ่ยถึงกลุ่มเพื่อนที่เวลาอยู่ด้วยกันก็มักจะตั้งวงเมาท์กันแบบผู้หญิงๆ ซึ่งมีทั้งเรื่องเมาท์มอยธรรมดา ไปจนถึงเรื่องทะลึ่งตึงตังบ้างอะไรบ้างตามประสาความสนิทสนม
ศรุตที่ได้ยินทุกคำพูดของหล่อนถึงกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย ไม่คิดว่าแม่กระต่ายจอมเจ้าเล่ห์คนนี้จะมีมุมชอบแอบมองหนุ่มๆ เป็นอาหารตาอยู่ด้วย สงสัยว่าเวลาอยู่ลับหลังผู้ใหญ่จะแอบเซี้ยวไม่เบา แต่คงเป็นประเภทเซี้ยวและแสบแบบหลบในแน่ๆ
“ลงจากเรือกันดีกว่า” เขาบอกคนที่มัวแต่มองซิกซ์แพ็กหนุ่มตาน้ำข้าวบนชายหาด
คนเพิ่งได้สติเพราะถูกเสียงของเขาเรียกให้คืนกลับมาถึงกับหันมาถาม “แล้วทิ้งเรือไว้อย่างนี้ ไม่มีใครเฝ้าจะไม่เป็นไรเหรอคะ”
“ไม่เป็นไร อีกอย่างกุญแจก็อยู่กับฉัน แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะขโมยเรือกันได้ง่ายๆ หรอก เรือทั้งลำนะ ถึงขโมยจากตรงนี้ไปได้ แต่ขับไปไหนก็ต้องมีคนเห็น แล้วก็ชี้เบาะแสให้ตามได้อยู่ดี ไม่คุ้มที่จะขโมยหรอก”
แสนรักคิดตามแล้วก็พยักหน้าเข้าใจกึ่งเห็นด้วย ศรุตจึงชวนหล่อนลงจากเรือ สองหนุ่มสาวเดินไปหยุดถ่ายรูปที่ป้ายอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่โตมาก พอถ่ายรูปเสร็จก็เดินไปตามป้ายที่ชี้ว่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติ หยุดดูแผนที่ทางขึ้นเล็กน้อยก่อนที่คนชวนมาจะเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“เส้นทางห้าร้อยเมตร กว่าจะถึงจุดชมวิว ไหวไหม?”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวค่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่อยากเสียเที่ยว” แสนรักว่าแล้วก็มองยอดเขาสูง คิดว่าเป็นไงเป็นกัน
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินขึ้นไปตามทางเดินหินที่ทำเป็นขั้นบันได ซึ่งพอเดินขึ้นไปได้หน่อยจากทางเดินเตี้ยๆ ก็กลายเป็นเริ่มชันขึ้นทีละน้อยๆ โดยสองข้างทางมีเชือกกั้นเป็นราวไว้ให้จับ
หญิงสาวมองบันไดหินตรงหน้า แม้มันจะเป็นบันไดหินที่ทำให้กลมกลืนธรรมชาติคล้ายกับโขดหิน เพียงแต่มันเรียบและดูเป็นขั้นบันไดมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นยิ่งเดินขึ้นไปเท่าไร หัวใจของหล่อนก็ยิ่งเต้นผิดจังหวะ ใจมันก็เริ่มโหวงๆ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามันดูน่ากลัวทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเลย
‘หรือจริงๆ แอบเป็นโรคหัวใจอยู่วะไอ้แสนรัก ทำไมแค่นี้ถึงกับหวิว’
หล่อนคิดแล้วก็บอกตัวเองเสร็จสรรพว่าไม่ใช่ เพราะไม่มีประวัติว่าเป็นตั้งแต่เด็ก แล้วปกติก็ออกจะแข็งแรงอยู่ เพียงแต่ตอนนี้มันมีอาการกลัวๆ โหวงๆ แค่นั้นเอง
แสนรักเดินขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เพราะหล่อนไม่ใช่นักเดินป่าหรือนักปีนเขาตัวยงจึงเดินได้ช้า บางคราวจึงต้องหยุดและเบี่ยงทางหลบให้นักท่องเที่ยวที่เดินตามขึ้นมาได้ไปก่อน
“คุณศรุตเคยมาที่นี่มาก่อนหรือเปล่า” หล่อนถามขณะหยุดพักไปด้วยในตัว
“เคย แต่นานแล้ว สักสิบสองปีได้แล้ว...” เขาเกือบหลุดปากไปแล้วว่าตั้งแต่หลังเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นก็ไม่ได้มาอีกเลย แต่ยั้งปากไว้ได้ทันและเปลี่ยนเป็นถามกลับ “แล้วเธอล่ะ”
“ไม่เคยค่ะ แสนรักไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน” หล่อนตอบเสียงเรียบเรื่อย ไม่ได้รู้สึกน้อยใจที่ตนเองไม่ค่อยได้มีโอกาสไปเที่ยวไหนเหมือนคนอื่นๆ
ศรุตที่ได้รู้ประวัติคร่าวๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในบ้านนี้มาจากสินธร พอมาได้ยินคำสารภาพของแสนรัก เขาก็ตั้งปณิธานและบอกหล่อนกลับไปทันทีว่า
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ฉันจะชวนเธอเที่ยวบ่อยๆ”
“ได้ยังไงคะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะแสนรักไม่มีเงิน” หล่อนบอกอย่างตรงไปตรงมา “คุณศรุตอาจจะไม่เชื่อ ว่าคุณปู่มีเงินขนาดนั้นแล้วแสนรักมาบอกว่าไม่มีเงินได้ยังไง แต่ไม่มีจริงๆ แสนรักมีแค่ค่าขนมต่อเดือน เดือนละหกพัน แต่โดนค่าเดินทางไป-กลับ ก็หมดตูด บางเดือนแทบไม่มีเงินเก็บ นี่โชคดีนะคะว่าตามสัญญาฝึกงาน โรงแรมของคุณศรุตให้ค่าแรงด้วย”
ศรุตพยักหน้าเข้าใจแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ สองหนุ่มสาวก็พักเหนื่อยต่ออีกนิด แล้วเริ่มเดินต่อจนกระทั่งมาถึงจุดชมวิวแรก แต่แค่นั้นแสนรักก็ออกอาการหอบแล้ว ผิดกับศรุตที่ยังไม่มีอาการหอบให้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็รู้ว่าเขาเหนื่อยเหมือนกัน เพราะเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้า
พอเขาเดินตามขึ้นมาหล่อนจึงหยิบซองทิชชูที่ตนเองชอบพกติดตัวเวลาไปไหนมาไหนออกมาจากกระเป๋ากางเกง เนื่องจากหล่อนเป็นพวกผิวมันแล้วก็ไม่ชอบเวลาหน้ามันเยิ้ม เพราะเวลาน้ำมันผสมกับเหงื่อแล้วไหลเข้าตามันจะทำให้แสบตา
หล่อนยื่นซองใส่ทิชชูส่งให้ แต่ระดับความสูงที่หล่อนยืนอยู่มันต่างกับเขา เพราะหล่อนเดินนำขึ้นมาก่อน ทำให้ตอนนี้หล่อนเหมือนกำลังก้มมองเขาขณะยื่นมือให้ พลันนั้นเองภาพและความรู้สึกหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ซ้อนทับกัน
ฝ่ายศรุตก็เงยหน้าขึ้นมองและยื่นมือไปรับซองทิชชูจากหล่อน แต่พอเห็นสีหน้าของหล่อนดูแปลกๆ อีกทั้งดวงตาของหล่อนเหมือนไม่ได้มองเขาอยู่และไม่ได้มองไปข้างหลังเขาด้วย เหมือนจู่ๆ ก็เหม่อไป เพราะมีอะไรบางอย่างมาดึงความสนใจของหล่อน มันปนเปกับความกลัวและความตกใจที่เขาเห็นจากแววตาคู่นั้น
“แสนรัก...แสนรัก...”
เขาร้องเรียกเมื่อเห็นแสนรักยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ไม่นานก็ได้สติเพราะเสียงเรียกของเขา เพียงแต่สีหน้าและแววตายังดูสับสนอยู่ แล้วหล่อนก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว จนเขาต้องถามและกระตุ้นการตอบสนองอีกครั้ง
“เป็นอะไร ไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็นั่งพักก่อน”
“ไหว...ไหวค่ะ...”
แสนรักตอบพลางฝืนส่งยิ้มให้เขา สติเริ่มกลับมาเต็มที่แต่สีหน้ายังไม่ค่อยสู้ดีนัก หล่อนจึงขอนั่งพักตรงจุดพักตามที่เขาแนะนำเมื่อครู่นี้ โดยศรุตได้ถอดหมวกแก๊ปออกแล้วพัดระบายความร้อนให้ เพราะคิดว่าหล่อนจะเป็นลม
“ไม่เป็นไรค่ะ แสนรักไม่ได้จะเป็นลม”
“แต่เมื่อครู่นี้สีหน้าเธอดูไม่ดีเลย”
“แสนรักไม่ได้จะเป็นลมจริงๆ แสนรักแค่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนที่ส่งซองทิชชูให้คุณศรุต”
ศรุตนิ่วหน้าแต่ก็ไม่โง่พอที่จะซักไซ้ไล่เลียง เพราะสีหน้าของหล่อนเมื่อครู่นี้มันก็บอกชัดแล้วว่าคงไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำนัก ไม่อย่างนั้นหล่อนคงไม่ทำหน้าตาแปลกๆ และแววตาก็คงไม่แสดงความกลัวออกมาให้เห็นแน่
“งั้นนั่งพักตรงนี้สักครู่ ถ้าเธอไม่อยากเดินขึ้นไปต่อ เราจะกลับลงไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ แสนรักไม่เป็นไรจริงๆ ร่างกายแสนรักโอเคดี ไม่ได้ฝืน แล้วก็อยากเห็นวิวข้างบนด้วยค่ะ ว่าจะสวยเหมือนอย่างภาพถ่ายในหนังสือที่เคยเห็นหรือเปล่า”
แสนรักยืนยันอีกครั้ง ศรุตจึงจำต้องเชื่อและปล่อยให้หล่อนนั่งพักอยู่เป็นนานหลายนาทีกว่าทั้งสองจะพร้อมเดินกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้หล่อนไม่มีท่าทางน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปได้เรื่อยๆ มีแค่เหนื่อยบ้างตามระยะทางซึ่งก็แวะพักที่จุดชมวิวเป็นระยะๆ หล่อนก็ไม่มีอาการแปลกๆ อย่างที่เห็นเมื่อครู่นี้อีกเลย
ในที่สุด สองหนุ่มสาวก็ขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดของจุดชมวิวได้สำเร็จ
“ในที่สุดก็ถึงสักที!”
หญิงสาวร้องอย่างดีใจแล้วก็แทบจะนั่งลงไปบนพื้นเสียให้ได้ ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นหินซึ่งร้อนเพราะตากแดดมานาน แล้วอากาศเมืองไทยก็ร้อนสุดๆ ยิ่งมายืนอยู่บนยอดเขาที่แดดเปรี้ยงขนาดนี้ มันร้อนชนิดที่หล่อนรู้สึกเหมือนจะไหม้เสียให้ได้
จังหวะหนึ่งเมฆใหญ่ก้อนหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านมาช่วยบดบังแสงอาทิตย์ไว้ ทำให้ลดความร้อนลงไปได้มากพอที่จะยืนชื่นชมกับวิวทิวทัศน์ได้นานขึ้น หล่อนจึงใช้ช่วงเวลานั้นอย่างคุ้มค่า ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปวิวของหมู่เกาะอ่างทองไว้ แล้วทำใจกล้าดึงศรุตมาถ่ายรูปคู่ด้วยกัน
จากนั้นก็ถอยออกจากจุดถ่ายรูป ให้นักท่องเที่ยวอื่นถ่ายบ้าง ซึ่งตอนนี้ข้างบนนี้มีคนอยู่ไม่กี่คน เพราะนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้เริ่มทยอยเดินลงกันแล้ว บางคนที่เพิ่งขึ้นมาแต่กลัวว่าจะตกเรือก็รีบถ่ายภาพเป็นที่ระลึกแล้วก็รีบกลับลงไป ตอนนี้จึงเหลือแสนรักกับศรุต แล้วก็นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกเพียงสองสามคน
แสนรักถ่ายรูปแล้วก็ทำตามระเบียบ นั่นคือโพสต์ลงเฟซบุ๊ก แต่ตอนที่กำลังจะโพสต์ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามความเห็นชอบจากเขาเลย
“แสนรักโพสต์รูปที่ถ่ายกับคุณศรุตได้ไหมคะ จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เผื่อแบบ เอ่อ...มีคนรู้จักหรือคนรักของคุณศรุตมาเห็นเข้าเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง”
“เธอคิดว่าผู้ชายที่บ้างานและถูกลูกน้องเรียกว่าเจ้าชายน้ำแข็งอย่างฉันจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเหรอ”
“มีแฟนหรือไม่มี ไม่ได้เกี่ยวกับเป็นเจ้าชายน้ำแข็งสักหน่อย” หล่อนแย้งแล้วสรุป “เอาเป็นว่าถ้าคุณศรุตโอเค แสนรักขอโพสต์รูปก่อนนะคะ”
“ตามสบาย ว่าแต่มีสัญญาณมือถือด้วยเหรอนั่น”
“มีค่ะ แต่แค่สองขีดเอง คงอัปโหลดอืดอยู่”
หญิงสาวว่าติดตลกแล้วจัดการทำอย่างที่ปากพูด แล้วมันก็นานเกือบสามนาทีกว่าจะแชร์ภาพได้ ซึ่งก็โชคดีที่เมฆที่บังแดดไว้มันก้อนใหญ่พอควร หล่อนจึงไม่ต้องยืนตากแดดจนตัวไหม้เกรียม แต่พอกดแชร์ภาพออกไปแล้ว เพื่อนของหล่อนที่ใช้งานเฟซบุ๊กอยู่พอดีก็เข้ามาคอมเมนต์กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่เลยทีเดียว
เปรี้ยวใจไร้รัก : กรี๊ด ไอ้แสนรัก นี่แกอยู่กับเจ้าชายน้ำแข็งสุดหล่อได้ยังไง ไม่บอกเพื่อนฝูงเลย
เพื่อนสนิทคนแรกมาคอมเมนต์ สักพักก็ตามมาด้วยเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ในกลุ่มเดี๋ยวกัน
มดตะนอยต่อยต้นพริก : เฮ้ย ไอ้แสนรัก มีแฟนเมื่อไหร่ ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย
เอิร์น เกินร้อย : ท่าทางจะเด็ด เผ็ดซี้ด
หญิงสาวอ่านข้อความภาษาวัยรุ่นของเพื่อนๆ แล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง นึกดีใจที่ศรุตไม่ได้เป็นเพื่อนกับหล่อนในเฟซบุ๊ก ไม่อย่างนั้นหล่อนคงได้อายตายแน่ ใครๆ อาจจะคิดว่าสาวๆ ที่ผ่านรั้วโรงเรียนหญิงล้วนมานั้นจะต้องเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ แต่ความจริงมันหาได้เป็นเช่นนั้น เพราะผู้หญิงเวลาอยู่ด้วยกัน ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความทะลึ่งตึงตังและคุยอะไรกันแบบที่บางครั้งผู้ชายก็ต้องอึ้ง!
หล่อนกำลังจะพิมพ์ตอบแก้ไขความเข้าใจผิดให้เพื่อนรู้ว่าศรุตไม่ใช่แฟน แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนทั้งสามคนจะไม่ได้สนใจคำตอบหล่อนแล้ว เพราะคอมเมนต์คุยกันเองไปแล้วเรียบร้อย กว่าหล่อนจะส่งข้อความไปได้ ทั้งเปรี้ยวและมดตะนอยก็คอมเมนต์คุยกันไปหลายข้อความแล้ว
แสน แสนรัก : ไม่ใช่แฟนย่ะไอ้มด ส่วนไอ้เอิร์น มาถึงก็หื่นเลยนะแก เอาเป็นว่าเรื่องมันยาว ตอนนี้ฉันอยู่หมู่เกาะอ่างทอง แต่ถ้าแกอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร แกไปถามไอ้เปรี้ยวเอา ฉันยังไม่สะดวกคุยยาวๆ เที่ยวเสร็จแล้วจะมาคุยกับพวกแกนะ รักนะจุ๊บๆ
หล่อนพิมพ์ข้อความตอบในคอมเมนต์แค่นั้น แล้วรีบเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันไปมองวิวด้านข้างเล็กน้อยแล้วจึงหันมาทางศรุต แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองโดนเขาแอบถ่ายรูปเข้าให้แล้ว
“คุณศรุตอ่ะ จะถ่ายรูปแสนรักทำไมไม่บอกก่อนล่ะ จะได้แอ๊กท่าดีๆ สวยๆ ให้ นี่หน้าก็มันแผล็บ หัวก็ยุ่ง เหงื่อก็ออก”
หล่อนทำหน้างอเล็กน้อย แต่ศรุตกลับบอกว่า
“ฉันว่าก็ไม่ได้ดูแย่อะไรนี่ อีกอย่างการถ่ายรูปคนเวลาเผลอๆ แบบไม่ได้ตั้งใจถูกถ่าย มันได้อารมณ์ความเป็นธรรมชาติมากกว่า แล้วภาพเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้ดูแย่ด้วย”
ชายหนุ่มยืนยันแล้วจึงหันหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตนเองให้หล่อนดู ว่าภาพที่ออกมานั้นดูเป็นธรรมชาติมาก แล้วก็ไม่ได้ดูแย่แต่อย่างใด
“คุณศรุตส่งภาพนี้ให้แสนรักหน่อยได้ไหมคะ”
“มีไลน์หรือเปล่า”
“หือ คุณศรุตเล่นไลน์ด้วยเหรอ”
แสนรักทำหน้าแปลกใจ ไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะเล่นอะไรแบบนี้ด้วย
“ฉันไม่ใช่คนแก่สูงอายุที่ไม่ทันเทคโนโลยีนะแสนรัก อีกอย่าง...คนแก่สมัยนี้ก็รู้จักเทคโนโลยีมากขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่ส่งข้อความสวัสดีวันจันทร์เป็นอย่างเดียว”
“เปล่านะ แสนรักไม่ได้คิดว่าคุณศรุตแก่เกินจะเล่นแอปพวกนี้ แต่คิดว่าอย่างคุณศรุตน่าจะมีเลขาฯ ส่วนตัวคอยติดต่อประสานงานให้ ก็เลยคิดว่าคุณไม่เล่นต่างหาก”
“อันนั้นก็ใช่ ปกติฉันให้เลขาฯ จัดการเวลาต้องติดต่อกับลูกค้าหรือคนอื่น ส่วนไลน์นี่ก็มีไว้เป็นไลน์ส่วนตัว ฉันก็มีเพื่อนฝูงเหมือนกับเธอ ไม่ใช่คนไร้เพื่อนเสียหน่อย เอาละเอาคิวอาร์โค้ดมา เดี๋ยวจะส่งให้”
แสนรักยิ้มแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดเปิดคิวอาร์โค้ดเพื่อจะได้เพิ่มรายชื่อและรับรูปจากเขาได้ หลังจากทำตามขั้นตอนทั้งหมดเรียบร้อย ศรุตก็ส่งรูปที่หล่อนขอไปให้
“เอ๊ะ แบบนี้แสนรักก็มีไลน์ส่วนตัวของคุณศรุตแล้ว อื้อหือ เด็กฝึกงานมีไลน์ส่วนตัวของเอ็มดี ใครรู้อิจฉาตายเลย แต่เอ มันจะเป็นเรื่องไหมเนี่ย” แสนรักถามต่อซื่อๆ ปนเย้าแหย่
“ก็อย่าให้ใครรู้สิ เป็นความลับระหว่างเรา”
“ได้เหรอคะ”
“บนจุดชมวิวนี้มีแต่เราสองคน พวกฝรั่งเขาไม่ได้รู้เรื่องของเราด้วยเสียหน่อย เพราะฉะนั้นคำสัญญาและความลับของเราก็จะเป็นความลับต่อไป ไลน์ส่วนตัวของฉันนอกจากครอบครัว เพื่อน และเลขาฯ ก็จะมีเธออีกคนที่รู้ เพราะฉะนั้นห้ามให้ใครเด็ดขาด เข้าใจนะ”
“รับทราบค่ะเอ็มดี” หล่อนรับคำพร้อมยกมือขึ้นตะเบ๊ะ
ศรุตยิ้มและคาดโทษทีเล่นทีจริง
“ล้อเล่นกับฉันแบบนี้ ถึงเวลาทำงานเมื่อไหร่ ฉันจะเขี้ยวให้น่าดู จะสั่งให้เอชอาร์จัดการให้เข็ดเลย”
“อื้อ ไม่เอาน้า อย่าโหดเลยนะคะ นะ นะ นะ”
แสนรักทำเป็นยิ้มหวาน ออดอ้อน แต่ไม่มีมารยาร้อยเล่มเกวียนหรือจริตจะก้านใดๆ อยู่ในการกระทำ ตรงกันข้ามกลับเหมือนเด็กน้อยที่กำลังอ้อนผู้ใหญ่อย่างน่ารักน่าหยิกมากกว่า
“ต้องรอดูพฤติกรรมกันไปก่อน ถ้าเป็นเด็กดีก็ค่อยว่ากัน”
“แสนรักไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“เด็กสิ ไม่เด็กจะมาอ้อนฉันแบบนี้เหรอ”
“ฮึ! คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก งั้นแสนรักคงต้องเปลี่ยนมาเรียกคุณว่าคุณลุงถึงจะถูก คุณลุงศรุต!”
หญิงสาวขอเอาคืนเขาบ้างที่ชอบพ่นคำว่าเด็กใส่หน้าหล่อนเหลือเกิน แต่คำว่าลุงคำนั้น กลับทำให้ศรุตนึกถึงความฝันในค่ำคืนที่ผ่านมา ความฝันที่ย้ำเตือนให้เขานึกถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่เคยเรียกเขาว่าคุณลุง
แต่เพราะเขามัวแต่คิดและเงียบไปนาน ทำให้แสนรักคิดว่าเขาโกรธ ที่หล่อนกล้าล้อเลียนลามปามผู้ใหญ่ จึงรีบยกมือไหว้ขอโทษ
“ขอโทษค่ะ”
ศรุตเพิ่งรู้ตัวว่าหล่อนขอโทษเรื่องอะไรก็แกล้งทำหน้าดุใส่ แต่ในใจกำลังขบขันมากกว่า ก็ดูคนที่ทำปากดี คิดจะเย้าแหย่เขาเล่น แต่พอเขานิ่งใส่ก็ยกมือไหว้ขอโทษแล้ว เด็กหนอเด็ก นี่ถ้าเขาทำหน้าจริงจัง หรือแกล้งรุกหล่อนเล่นแบบที่ผู้ชายรุกผู้หญิง หล่อนจะไปรอดไหมเนี่ย
เขาคิดแต่ไม่ได้พูดอะไร ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ตรงจุดชมวิวอีกครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เดินกลับลงมา พอลงมาถึงข้างล่างก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าเกือบจะบ่ายโมงเข้าไปแล้ว ทั้งสองคนนั่งพักเหนื่อยชมวิวและบรรยากาศอยู่อีกพักใหญ่ ส่วนแสนรักก็แอบมองอาหารตาไปพลางๆ แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งที่หล่อนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแอบถ่ายอาหารตา ทำเป็นว่าถ่ายวิวทิวทัศน์แบบไม่เจาะจง แล้วส่งรูปไปให้เพื่อนในไลน์กลุ่มเพื่อให้ไปซูมดูกันเอาเอง
ทว่า ทุกอากัปกิริยาของหล่อนอยู่ในสายตาของศรุต เขาจึงชวนหล่อนกลับขึ้นเรือและนั่งกินอาหารที่เขาสั่งให้คนของเขาเตรียมมาให้พร้อมกับข้าวของอื่นๆ มันเป็นอาหารง่ายๆ อย่างข้าวกะเพราหมูไข่ดาว
พอกินอิ่มแล้วศรุตก็ขับเรือพาหล่อนไปยังเกาะแม่เกาะเพื่อไปดูทะเลใน แต่เพราะแสนรักเหนื่อยจากการเดินขึ้นบันไดหินจุดชมวิวก่อนหน้านี้ พอไปถึงทะเลในหล่อนจึงขอดูทะเลในตรงจุดชมวิวชั้นล่างเท่านั้น ศรุตก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะแค่จุดชมวิวชั้นล่างก็เห็นถึงความสวยงามของทะเลในได้แล้ว
สองหนุ่มสาวหยุดชมวิวและถ่ายรูปอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะเดินกลับลงมา ศรุตให้หล่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำที่เขาเตรียมมาให้ เล่นเอาแสนรักถึงกับทึ่งปนอึ้งที่เขาเตรียมมาทุกอย่าง จนเกือบจะแซวแล้วว่าเขามีกระเป๋าโดราเอมอนติดตัวมาด้วยหรืออย่างไร แล้วก็สงสัยอีกเรื่องหนึ่งด้วยว่า
“คุณศรุตรู้ได้ยังไงว่าแสนรักใส่ชุดว่ายน้ำเบอร์อะไร แล้วถ้าคุณศรุตเพิ่งไปเอาของที่สั่งลูกน้องเตรียมไว้ให้เมื่อเช้าที่เกาะสมุย แสดงว่าคุณศรุตรู้กำหนดการท่องเที่ยวตั้งแต่แรกงั้นเหรอคะ”
“ถูกอย่างที่เธอเข้าใจ กำหนดการท่องเที่ยวนี้ฉันรู้แต่แรกแล้ว เพราะปู่ของเธอบอกฉันเอง เขาคงไม่อยากให้ฉันนอนเบื่อๆ อยู่ที่รีสอร์ต แต่เรื่องชุดว่ายน้ำและตัวเธอคือเรื่องเหนือกำหนดการ ฉันให้คนเตรียมของและชุดว่ายน้ำให้เธอเมื่อคืนนี้”
“แล้วคุณศรุตรู้ได้ยังไงว่าแสนรักใส่ชุดว่ายน้ำไซซ์อะไร” หล่อนย้ำถามคำเดิม
“กะเอา คิดว่าคงมีไม่มากแต่ก็ไม่น้อย” ศรุตตอบพลางยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนหมาป่าเจ้าเล่ห์
แสนรักถึงกับยกสองมือขึ้นกอดอกเอี้ยวตัวหันข้างให้เล็กน้อยก่อนจะทำหน้าบูดและแว้ดใส่เขา เพราะเรื่องหน้าอกกับ เป็นอะไรที่ผู้หญิงยอมไม่ได้
“แสนรักมี แล้วก็คัปบี สามสิบสี่บี!”
ชายหนุ่มทำตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะก๊าก ใครจะไปคิดว่าหล่อนจะซื่อขนาดยอมบอกไซซ์หน้าอกให้เขารู้ เพียงเพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นแม่สาวกระดาน
“ไปเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำไป”
เขาตัดบทเปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปหยิบชุดของตัวเอง แสนรักจึงลงจากเรือแล้วเดินไปเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำในห้องน้ำที่อยู่บนเกาะอย่างแง่งอน ตั้งใจไว้แล้วว่าเดี๋ยวจะทำให้เขาอ้าปากค้างกับหุ่นและคัปบีเต็มๆ ของหล่อนไปเลย โทษฐานมาแหย็มกันเรื่องหน้าอก!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น